อ่านด่วน ภัยอันยิ่งใหญ่ ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
Posted by เขียดขาคำ , ผู้อ่าน : 15443 , 18:45:13 น.
หมวด :
พิมพ์หน้านี้ โหวต 13 คน
เปิดแฟ้มคดีพิศวง! ธัมมชโย แห่งธรรมกาย
มีดี-มีชั่วอะไรจึงได้อื้อฉาว และหลุดข้อหาที่หนักหนาในอดีต เขาว่า ทักษิณ ต้องสยบ ประธานศาลสงฆ์ ต้องเป็นม้าใช้ !!? . . . . . นับเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างมาก เราชาวพุทธทั้งหลายจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ จากความวิปริต อหังการ์ ของธัมมชโย และธรรมกาย ที่กำลังสร้างความฮือฮา ด้วยการปิดถนน แสดง แสนญานุภาพ ของพวกตน จนผู้คนต้องงุนงงว่า "แบบนี้ ก็มีด้วย" ทำให้นึกย้อนไปในอดีต เมื่อเกิดกรณี ธัมมชโย ได้สร้างวีรกรรมอันอื้อฉาว สั่นสะท้าน ไปทั้งวงการสงฆ์ ว่ากันว่า ความยิ่งใหญ่ในวันนี้ ของธัมมชโย และธรรมกาย ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ได้มาเพราะความชั่ว และความเลว ล้วนๆ หากจะย้อนไปดูต้นกำเนิดของเรื่องราว คงไม่มีใครให้รายละเอียดได้ดีเท่า พระอดิศักดิ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของผู้ก่อตั้งวัดธรรมกาย จนกลายมาเป็นลัทธิจานบินในปัจจุบัน พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโกเป็นหนี่งใน 3 ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย อดีตมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอา วาสและเหรัญญิก ซึ่งได้เปิดใจกับ"สยามธุรกิจ"เกี่ยวกับกรณีอื้อฉาวของวัดพระธรรมกาย สยามธุรกิจ พฤติกรรมของวัดพระธรรมกายจุดหลัก ๆ ที่อาจารย์มองเห็นว่าไม่ถูกต้อง แยกออกเป็นประเด็นอะไรได้บ้าง พระอดิศักดิ์ : แยกแยะออกได้คือ ประเด็นเทคนิคการสอนของวัดพระธรรมกายเป็นเทคนิคที่ พยายามจะเร่งเร้า เรี่ยไรบอกบุญในรูปแบบของบริษัท รูปแบบของธุรกิจมากกว่าที่จะสร้างศรัท ธาให้คนเห็นความสำคัญของการทำบุญด้วยจิตใจ การเรี่ยไรนั้นจัดเป็นขบวนการ มิใช่เป็นการบอกบุญธรรมดา แต่พยายามไปเซ้าซี้ พยา ยามที่จะไปทำให้ชาวบ้านเกิดความรำคาญและเกิดความเกรงใจแล้วก็ทำบุญกันมาซึ่งทำให้ ชาวบ้านเดือดร้อน แม้กระทั่งเขาไม่มีเงินก็ไปทำให้เขาเกิดความงมงาย ไปกู้ยืมเงินมาเป็นหนี้ เป็นสิน ซึ่งมันผิดหลักของพุทธศาสนา ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการเผยแพร่ใน ทางที่ผิด อีกประการหนึ่งก็คือว่า การเผยแพร่พุทธศาสนาแทนที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง ให้ เกิดความสงบ ให้เกิดความสุขกลับตรงกันข้าม เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาออกไปให้คนเกิด ความโลภยิ่งขึ้น คือเร่งเร้าให้เขาทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน แลกกับสวรรค์ ยิ่งทำบุญมากเท่าไหร่ ยิ่งได้สวรรค์ใหญ่โตมากเท่านั้น ซึ่งมันผิด สยามธุรกิจ : เขาบอกว่าเขาไม่ได้บังคับในเรื่องการทำบุญ พระอดิศักดิ์ : คือเขาพูดนะพูดได้ แต่การปฏิบัติมันไม่เหมือนคำพูด สยามธุรกิจ : เพราะฉะนั้นการที่มาพูดว่า เข้าถึงธรรมกายแล้วสามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้า ในอายตนะนิพพานเป็นเรื่องไม่จริง พระอดิศักดิ์ : ล้วนเป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการยกย่องตนเอง เป็นเรื่องของ การสร้างสัญลักษณ์ให้กับตนเอง ว่าเป็นผู้วิเศษ สยามธุรกิจ : คิดว่าเขาเข้าใจผิดหรือเจตนาที่จะหลอกลวง พระอดิศักดิ์ : เป็นทั้ง 2 สองอย่างนั่นแหละ คืออันที่หนึ่งก็คือว่าหลงไป จิตวิปลาสไป อีกอย่าง หนึ่งก็คือต้องการให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของตนเอง คือต้องการความยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธ ศาสนา ยิ่งใหญ่ในทางโลก ในทางอำนาจและในทางเงินตรา สยามธุรกิจ : คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ามั้ย พระอดิศักดิ์ : คือ เขาคิดว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด เขาเป็นหัวหน้าของพระพุทธ เจ้าทั้งหมดบนพระนิพพาน สยามธุรกิจ : ตรงนี้เขาเคยแสดงออกให้อาจารย์เห็นหรือไม่ พระอดิศักดิ์ : ตรงนี้เขาเคยประชุมสานุศิษส์จำนวนมากที่เขาต้อน หรือพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมดึง ขึ้นไปดอยสุเทพ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเศรษฐีณีที่เขาสอบประวัติอย่างแน่นอนแล้วว่า คนเหล่านี้มีทรัพย์ สมบัติมหาศาล แล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เขาจะส่งสาวกไปทาบทามไว้ล่วงหน้าแล้ว มีจุดอ่อนจุดแข็ง ที่ไหนอย่างไรแล้วก็พยายามที่จะโน้มน้าวให้คนเหล่านี้เกิดศรัทธาให้เห็นว่าเขา เป็นหัวหน้า ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด มีสิทธิ์มีเสียงมีอำนาจเต็มบริบูรณ์ที่จะสั่งพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ทำอะไร ก็ได้ มีสิทธิ์ที่จะลงโทษพระพุทธเจ้าได้ สยามธุรกิจ : คุณไชยบูรณ์คิดแผนการอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร พระอดิศักดิ์ : แกคิดแผนการนี้ตอนที่ไปอยู่ที่นั่นแล้วที่คลองสอง แกคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพระ พุทธเจ้า เมื่อถึงตรงนี้เราพูดได้เลยว่าสำหรับคุณไชยบูรณ์หรือวัดธรรมกาย เราไม่ต้องมานั่งถก เถียงกันเลยว่าหลักธรรมมันเป็นพุทธหรือเปล่า มันพูดได้เลยว่า มันเป็น 18 มงกุฎดี ๆ นี่เองมัน คงเกิน 18 แล้ว มันวิปริตไปแล้วจากพุทธศาสนา เป็นเพียงแค่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินเท่านั้น เอง สยามธุรกิจ : นอกจากพยายามสร้างภาพตัวเองว่าเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว ที่หลัก ๆ และที่ น่าเกลียดมาก ๆ มีอะไรอีก พระอดิศักดิ์ : น่าเกลียดมาก ๆ ก็คือ การเย้าแหย่สีกา เช่น เจอสีกาที่สวยๆ ถูกใจก็จะเย้า แหย่แหมวันนี้นะคุณแดง (สมมุติชื่อ) แก้มแดง น่าหยิก แหมหูสวย หน้านวล จมูกโด่ง คือชมกัน แบบชายหนุ่มเกี้ยวหญิงสาว มันก็เหมือนหมาหยอกไก่นั่นแหละก็เคยมีคนมาสารภาพให้อาตมาฟัง ว่ามันติด เข้าใกล้แล้วมันลืมโลกไปเลย แล้วก็มีเรื่องเยอะแยะเกี่ยวกับสีกา ซึ่งอาตมาตอนอยู่ที่นั่น เป็นคนคอยกันสีกาออกไป แล้วก็พบเรื่องสีกาแย่งกันไปแย่งกันมา ถึงกับทะเลาะเบาะแว้งกัน บางคนก็มาร้องห่มร้องไห้ อาตมาก็ไล่ออกไปหลายคน เพราะว่าอาตมาจับหลักฐานได้ ถึงขั้นสีกานั้นเขียนจดหมาย มาสารภาพ คือคนๆนี้เป็นคนวิปริตโดยบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ใดๆก็ตาม ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง เขียนมาสารภาพถึงความยิ่งใหญ่และความเก่งของตนเอง ซึ่งหมายถึงหลังจากมีการประพฤติผิดกัน aacute;ล้ว ให้เขียนจดหมายมาว่าคนนี้เก่งอย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาก็จับจดหมายได้ สยามธุรกิจ : เหตุการณ์นี้ปีพ.ศ.อะไร พระอดิศักดิ์ : ประมาณพ.ศ.2524-25 สยามธุรกิจ : สีกาคนนี้มีสามีหรือไม่ พระอดิศักดิ์ : มีสามีมีลูก 2 คน ฐานะอยู่ในขั้นปานกลางค่อนข้างดี ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐีณี แต่เขา สวย ไม่ใช่สีกาอี๊ด สยามธุรกิจ : อยากให้ท่านเรียบเรียงความเกี่ยวข้องกับสีกาตั้งแต่เริ่มต้นมา ใครเป็นคนแรก พระอดิศักดิ์ : คนแรกถ้านับจากสมัยชีวิตเขาเป็นฆราวาส เยอะเหลือเกินหลายคน แต่สมัยนั้น อาตมาก็ไม่เชื่อนึกว่าผู้หญิงพวกนี้มันบ้า เห็นผู้ชายหล่อไม่ได้ ตามตื้อ มาร้องห่มร้องไห้ เขาก็บอก เขาไม่มีอะไร ผู้หญิงมันบ้าเอง เราก็เลยช่วยกันกีดกันออกไปหลายรายทีเดียว ตอนสมัยฆราวาสเขาก็เคยมาเล่าให้ฟังว่า เขาเคยพาผู้หญิงไปทำมิดีมิร้าย จนกระทั่งเขา บวชแล้วซัก 1-2 พรรษาโรคมันก็กำเริบ จนถึงกับต้องให้ชิดชัยที่บวชเป็นพระในภายหลังพาไป หาหมอ โรคมากำเริบหลังจากบวชแล้ว ต่อๆมามีผู้หญิงที่แวะเข้ามาเยอะ เมื่อเป็นพระแล้วเขาก็ รูปหล่อ ผู้หญิงคนที่สำคัญที่สุดคือคนที่จับจดหมายได้ แต่อาตมาไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ ก็สีกาตุ๊นี่แหละ คือมีสามีและมีลูกแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีความสุขมีลูก 2 คนแล้วยังไม่เท่ากับนายไชยบูรณ์ เลย สีกาตุ๊เข้ามาในเวลาใกล้เคียงกับสีกาอี๊ด ต่างคนต่างมา มาแล้วก็เลยมาชิงรักหักสวาทกัน เดิมทีก็บอกว่ามาช่วยงานวัด แต่ในที่สุดก็มาช่วยเป็นเจ้าของวัด เกิดความเสื่อมเสียมาก อาต มาก็เลยกันสีกาตุ๊ออกไป ในที่สุดสามีเขาก็รู้ข่าว ก็เลยเลิกไป เนี่ยคือทำให้ครอบครัวเขาแตก สยามธุรกิจ :สีกาตุ๊มาพัวพันอยู่นานมั้ย พระอดิศักดิ์ :ก็สัก 2-3 ปีได้ เป็นสีกาที่เด่นที่สุด สีกาอี๊ดมาในยุคใกล้ๆกัน สีกาตุ๊ชัดกว่า แต่ว่าใน ภายหลังสีกาอี๊ดก็ชัดมาก สยามธุรกิจ : สีกาอี๊ดเกี่ยวข้องธุรกิจมากเหลือเกิน พระอดิศักดิ์ : เท่าที่อาตมาอยู่ที่นั่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปีๆหนึ่ง ทอดผ้าป่าหลายครั้ง ทอดกฐินอยู่ 1 ครั้ง เงินแต่ละครั้งได้มาทีหลายสิบล้าน แล้วก็เอาธนาคารกสิกรไทย สำนักงาน ใหญ่มาทั้งสำนักงานเลย เรายกอาคารให้ 1 หลัง อาคารหลังใหญ่ แค่เช็คเคลียร์ตัวเลขอย่าง เดียว ไม่นับแบงก์นะ ตั้งแต่เช้ามืด ยันเที่ยงคนไม่จบ ไปจบเอาวันรุ่งขึ้น คือ วันจันทร์ เงินทั้งหมดในนามของมูลนิธิ เดิมทีใช้คำว่ามูลนิธิธรรมประสิทธิ์ ต่อ ๆ มาเป็นมูลนิธิ ธรรมกาย เงินนี้เข้าแบงก์กสิกรไทยในวันนั้น แล้วก็กระจายทันทีไปตามแบงก์ต่าง ๆ ทั้งหมดกระ จายออกไปในนามของแบงก์ต่างๆ เสร็จแล้วก็ย้อนกลับเข้ามาในแบงก์กรุงเทพอีกที รู้สึกจะเป็นสา ขาแถวสะพานควายในนามของสีกาอี๊ด จากสีกาอี๊ดก็กระจายออกไปอีกในนามของบริษัทต่าง ๆ สีกาอี๊ดเป็นหน้าฉากของนายไชยบูรณ์ กระจายออกไปตามแบงก์ต่างๆ คือพูดง่าย ๆ ทำให้ ระบบการเงินสับสน หาตัวเลขไม่เจอ ติดตามได้ลำบาก สยามธุรกิจ : ทำไมสีกาอี๊ดถึงได้รับการยอมรับอย่างสูง พระอดิศักดิ์ : จริง ๆแล้วคน ๆ นี้เป็นคนใจกล้า เป็นนักธุรกิจขายยา อะไรต่าง ๆ ให้กับทาง หน่วยราชการ ให้กับโรงพยาบาล ขายทั่วๆไปแม้กระทั่งขายอาวุธ เป็นนายหน้าติดต่อ เพราะฉะ นั้นคน ๆนี้พูดเก่ง หน้าตาก็ไม่ได้สวย แต่พูดเก่งและใจกล้า กล้าทำทุกเรื่อง จนกระทั่งไชยบูรณ์ก็ Ecirc;นใจความกล้า แรก ๆ ก็เข้ามาเป็นสานุศิษย์ เบ็ดเสร็จแล้วในที่สุดก็ยกระดับฐานะตัวเอง เขาบอกเขา เป็นทุกอย่างของไชยบูรณ์ เขามากับสามี สามีก็เป็นลูกศิษย์ด้วย คือเขาเป็นคนพาสามีเข้าวัด แล้วก็เป็นคนชักจูงสามีทุกเรื่องราว ในที่สุดพอเขามายุ่งกับตัวเงินมากเข้า เขาก็กลัวว่าสามีจะ ติดร่างแหของความทุจริต อาจจะถูกสอบ เพราะสามีเป็นข้าราชการ ก็เลยทำนิติกรรมหย่าร้างกัน ก็ยิ่งสนุกใหญ่ แล้วก็กลับไปใช้นามสกุลเดิม แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ยังอยู่กับสามี สยามธุรกิจ : ความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับคุณไชยบูรณ์ สามีทราบหรือไม่ พระอดิศักดิ์ : สามีคงไม่ทราบเพราะว่าสามีเข้าใจว่าภรรยาตัวเองเก่ง สยามธุรกิจ : ธุรกิจหลัก ๆ ของคุณไชยบูรณ์โดยสีกาอี๊ดช่วงนั้นมีอะไรบ้าง พระอดิศักดิ์ : มีค้าน้ำมันอีสานกับสีกาอี๊ด จริง ๆ แล้วเป็นการค้าขายกับคุณวาสนา แต่เลิกค้ากันไป ค้ากันมาเจ๊งยับเยิน คุณวาสนาเห็นว่าไอ้บริษัทนี่เหลือแต่ชื่อกลวง ๆ แล้ว ก็ยกย่องสีกาอี๊ดขึ้นมาเป็น ผู้จัดการ ช่วงนั้นเข้าใจว่า หมดไปเป็นพัน ๆ ล้าน สยามธุรกิจ : ธุรกิจจัดสรรที่ดินทำกันอย่างไร พระอดิศักดิ์ : สีกาอี๊ดเป็นคนจัดการ กว้านซื้อที่ดินรอบบริเวณวัด บุกรุกป่าทำสารพัดก็อาศัยสีกาอี๊ด เป็นคนวิ่งเต้นขึ้นเหนือลงใต้ทุกอย่าง เป็นตัวจักรเด่นชัดที่สุด คนอื่นเป็นเพียงแต่ฉากประกอบ สยามธุรกิจ : ช่วงหลังสีกาอี๊ดห่างเหินไปจากวัดธรรมกาย พระอดิศักดิ์ : ช่วงระยะสั้นๆ เนื่องจากมีสีกาอีกคนหนึ่งเข้ามา สีกาเมียเสี่ยพ.เข้ามาทั้งรูปสวย รวยทรัพย์ สมบัติมหาศาล นายไชยบูรณ์หลงไประยะหนึ่ง พาไปไหนต่อไหนด้วยกัน จนกระทั่งสีกา Iacute;ี๊ดทนไม่ได้เพราะมีคนเห็นไปกัน 2 ต่อสองที่เชียงใหม่ ถึงขั้นมาคาดคั้นนายไชยบูรณ์ นายไชย บูรณ์บอกว่าไม่จริง ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้ในที่สุดเขาก็อ้างพยานได้ว่ามีคนเห็นไปอยู่ด้วยกันสองต่อ สอง ที่ไหนอย่างไร จนในที่สุดจนด้วยหลักฐาน พยานบุคคล สีกาอี๊ดโกรธมากถามว่าจะเลือกใครระหว่างคนนั้นกับตน คนนั้นมีเงินมากมายมหาศาลและ สามีตายแล้ว นายไชยบูรณ์เขาบอกว่าเขาเลือกคนนั้น สีกาอี๊ดโกรธมาก นายไชยบูรณ์เป็นคน หวาดระแวงว่า ตายจริงธุรกิจทั้งหมดอยู่ในมือของสีกาอี๊ดหมดเลย ก็เลยให้คนปลอมลายเซ็นต์ ของสีกาอี๊ด โอนกิจการกลับคืนมาหมด ได้ข่าวว่าถึงขั้นฟ้องร้องกันว่าปลอมลายเซ็นต์ ในที่สุดนาย ไชยบูรณ์เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาแล้วก็เลยออกมาโอ๋สีกาอี๊ด ทุกอย่างก็เงียบไปเพราะเขามี วาทะศิลป์ดี สยามธุรกิจ : โอนธุรกิจกลับมาอยู่ในมือใคร พระอดิศักดิ์ : ตอนนั้นไม่ทราบว่า กลับมาอยู่ในมือใคร คงอยู่ในมือของสาวกคนอี่น แต่ความที่เขา ไม่ไว้ใจใครเลย ฉนั้นพอมีปัญหาที่เขาแสวงหาเหมืองทอง เพชรนิลจินดาแถวพิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์หลายแห่งในย่านนั้น เขาก็บอกแถวนั้น หยกชั้นหนึ่ง มรกตก็มีอะไรก็มี เขาไปสืบเสาะ มาหมดเลยในช่วงนั้นประมาณ ปีพ.ศ. 2528 ได้ คุณไชยบูรณ์เล่าให้อาตมาฟังว่า เมืองไทย อุดมสมบูรณ์มาก มีเพชรนิลจินดา พวกมรกตชั้นหนี่ง พวกเหมืองทองแถวพิษณุโลกหรือที่อี่น ๆ เต็ม ไปหมด แล้วก็บอกว่า คนอื่นจะยึดเลยยึดเสียเอง ความที่เขาไม่ไว้ใจใคร การซื้อที่ ซื้อเหมืองจึง ใช้ชื่อเขา จึงเป็นเรื่องขึ้นมาให้เห็น สยามธุรกิจ: ตกลงสีกาอี๊ดยังไม่ใช่อดีต พระอดิศักดิ์: ได้ข่าวว่ายังเป็นปัจจุบันอยู่ สยามธุรกิจ:แสดงว่าปัจจุบันยังมีหลายคน มีสีกาอี๊ด เมียเสี่ย พ. พระอดิศักดิ์: และคุณวิชญา หรือนัส คนนี้เป็นเจ้าแม่ที่นั่นเลย และสีกา ส.ที่ทำบริษัทจิวเวอร์ หลายคนที่เดียว สยามธุรกิจ : แล้วกรณีแม่ชีจันทร์สถานะในวัดเป็นอย่างไร พระอดิศักดิ์ : จุดเริ่มต้นจริงๆ ต้องไปกล่าวย้อนถึงในสมัยโน้นตอนที่นายไชยบูรณ์ เป็นนิ สิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แกก็ไปอ่านวิปัสนาบันเทิงสารของแม่ชีวรมัย กบิลสินธ์ ซึ่งเขียนว่าวัด ปากน้ำมีแม่ชีปฏิบัติธรรมมะ และมีคุณวิเศษเกิดขึ้น และแกก็เขียนเป็นวิปัสนาบันเทิงสารซึ่งเราก็ ต้องเข้าใจว่า มันมีลักษณะเป็นนิยายอิงความจริงบ้าง เขาบอกว่ามีแม่ชีเหาะขึ้นไปบัดระเบิดบ้าง และอ้างถึงว่ามีแม่ชีไม่รู้อ้างถึงชื่อรึเปล่าไม่ทราบ อาจจะอ้างถึงแม่ชีจันทร์ขึ้นไปบัดระเบิด เสร็จ แล้วนายชัยบูรณ์จึงเกิดติดอกติดใจแบบเด็กหนุ่มยังเรียนหนังสืออยู่ ก็รีบเลยเพราะอยากจะเป็นผู้วิ เศษบ้าง ก็มาวัดปากน้ำ และถามหาแม่ชีจันทร์ ก็เจอแม่ชีคนหนึ่งซึ่งผอมหน้าตาก็เป็นแม่ชีบ้านนอก พูดจาไม่ค่อยชัดหนังสือก็อ่านไม่ออก ก็มีความรู้สึกว่าคนนี้บริสุทธิ์ดี ก็ถามหาแม่ชีจันทร์ที่เขาบอกว่า บัดระเบิดได้ ยายนี่ก็เลยสวมรอย ว่าฉันนี้คือแม่ชีจันทร์แล้วก็ไม่มีสอบประวัติใด แล้วก็กราบก้น โด่ง ในที่สุดก็ยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ สอนสมาธิ สอนต่างๆ และแกก็รับสมอ้างเป็นศิษย์เอกวัด หลวงพ่อปากน้ำ จริงแล้วแม่ชีจันมีจริงแต่ตายไปแล้วถ้าอยู่ป่านนี้ก็อายุ 100 กว่าแล้ว แม่ชีจันทร์ท่าน เก่งจริงๆ เป็นที่ยกยอ่ง แต่แม่ชีนี้ก็เก่งเหมือนกันคือ ตอแหล คือ อยากดัง ก็เลยร่วมมือกับนายชัย บูรณ์ นายเผด็จ เขียนนวนิยายปัดระเบิดปรมาณูไปลงที่ฮิโรชีม่า กับนางาซากิ อาตมาก็อยากจะ ถามว่าถ้ามีความสามารถทำได้ ไม่รู้หรือว่าระเบิดนั้นฆ่าคน ได้ แล้วเมื่อปัดไปลงที่นั้น มีคนตายเป็นแสนๆ คน แกไม่เกิดความสลดใจบ้างหรือ แทนที่จะเป็น เช่นนั้นกลับชื่นชมกันใหญ่มีความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่เหลือเกินที่ฉันสามารถปัดระเบิดไปลงที่นั่นคนตาย กันเกลื่อน คนที่มีคุณธรรมเนี่ยที่มีธรรมะอยู่ในใจควรจะสังเวชต่อบาปกรรมที่ตัวเองทำหรือไม่ แต่ถ้าทำไม่ได้แสดงว่า นี่คือนวนิยายโกหกตอแหล เพื่ออะไรเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ เพื่อ สร้างทรัพย์สมบัติ สร้างเงินสร้างทอง เกียรติยศให้กับตนเอง นี่คือความเท็จเป็นการหลอกลวง ชาวบ้าน สยามธุรกิจ : โดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจของเขาเป็นอย่างไรบ้าง พระอดิศักดิ์ : ธุรกิจของเขาเป็นธุรกิจสวมรอยชาวบ้าน ได้มาฟรี ๆ สยามธุรกิจ : แล้วส่วนที่ผันเงินของวัดไปทำธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง พระอดิศักดิ์ : เจ๊ง เจอวิบัติหมด เช่น น้ำมันอีสานหมดเป็นพัน ๆ ล้าน หรือที่เอาไปปั่นหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ ลูกศิษย์ของอาตมาเล่าให้ฟังว่า หมดไปประมาณ 2 หมื่นล้าน สยามธุรกิจ : จุดเริ่มการเล่นหุ้นพอจะลำดับความได้อย่างไร พระอดิศักดิ์ : เดิมที มีการเล่นหุ้นน้ำมันของแม่ชม้อย นายไชยบูลย์เป็นหัวคิว เชียร์ลูกน้องให้ เล่นด้วย เพื่อหวังรวย แต่ในสุดท้ายลูกศิษย์ก็ซวย เจ๊งไปตาม ๆ กัน นายไชยบูลย์จึงหลบหน้าไปพักหนึ่ง สยามธุรกิจ : หลบหน้าไปไหน พระอดิศักดิ์ : หลบหน้าไป ไม่รับผิดชอบ ไปเชียงใหม่ กบดานอยู่ในที่นั่น แต่ก็ไปปั้มเงินจากที่นั่น อีกจากเศรษฐีหน้าโง่ต่อไป เสร็จแล้วหลังจากนั้น ทราบว่า มีลูกศิษย์ผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เล่นหุ้น มี ครอบครัวแล้ว และประสบความสำเร็จมากในการเล่นหุ้น ก็เลยอยากจะได้กำไรด้วย ก็เลย เรียกลูกศิษย์ ให้นำเงินวัดไปเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ สยามธุรกิจ : พูดชัด ๆ อย่างนี้เลยใช่ไหมครับ พระอดิศักดิ์ : ใช่ ลูกศิษย์ก็เลยตกใจ ไม่รู้จะถอนตัวอย่างไรได้ ก็เลยบอกว่ามีลูกอยู่คนหนึ่งกำลัง โตเป็นสาว กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อ สามีก็อายุมากแล้ว อยากขอตัวไปดูแลลูกสามีก่อนสักปี สองปี เมื่อลูกโตแล้วจะรีบกลับมาช่วย พูดง่าย ๆ ก็ คือ ชิ่ง หลังจากนั้นจึงไม่กลับมาเลย เพราะ รู้ว่า เจ้าอาวาสมีเจตนาทุจริต สยามธุรกิจ : ทำไมลูกศิษย์ถึงรับไม่ได้กับข้อเสนอเพราะการเล่นหุ้นเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง พระอดิศักดิ์ : ใช่ แต่เป็นพระเล่นธุรกิจได้อย่างไร แกเอามาเล่าให้อาตมาฟัง เห็นว่า ไม่ถูก ต้อง แกก็เลยหนี หนีเสร็จในช่วงนั้น นายสอง ซึ่งเพิ่งจบธรรมศาสตร์ใหม่ ๆ ฐานะทางบ้าน ปานกลางไม่มีงานทำ ไปเรียนหมอนวดจากหมอนวดไทยคนหนี่ง เรียนเสร็จแล้วมารับใช้เจ้าอา วาส เพราะน้องชายบวชอยู่ที่นั่น มาบีบมานวดนายไชยบูลย์ นายไชยบูลย์ก็ชอบด้วยเห็นว่าคุยเก่ง เห็นว่า เด็กคนนี้มีแววดี ก็เลยอุปโลกน์นายส.เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ชี้ตัวโน้นขึ้นตัวนี้ลง ปั่นหุ้นจนกระทั่งติดอันดับเสร็จแล้วก็เอาเงินจากลูกศิษย์ ที่ไว้ใจเอามาเล่น แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินของวัด ชี้ตัวไหนตัวนั้นขึ้น ก็เลยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่ในที่สุดเวรกรรมตามทันนั้น หุ้นเจ๊งระเนระนาด นายส.เกือบเป็นบ้า นายไชยบูลย์ หมดตัวเป็นเงิน 2 หมื่นล้าน ก็เลยต้องเรี่ยไรต่อ สร้างโครงการสวรรค์วิมานในฝันต่อ แต่สร้างอะไรไม่ได้ตังค์รวดเร็วเท่ากับโกหกหลอกลวง สยามธุรกิจ : เสี่ยส.เป็นตัวแทนของชัยบูลย์ในการเล่นหุ้น พระอดิศักดิ์ : ใช่ สยามธุรกิจ : มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับเมียเสี่ยพ.หรือเปล่า พระอดิศักดิ์ : ช่วงนั้นสีกาอี๊ดชักไม่พอใจ ในเวลาเดียวกัน เสี่ยส.เริ่มเข้ามามีอิทธิพลเรื่องการ เงินการทอง ดึงความสำคัญของสีกาอี๊ดไป ในขณะเดียวกันเสี่ยส.ก็เข้ากันได้กับเมียเสี่ยพ.แล้วก็ มีการเอาเงินส่วนหนี่งของเสี่ยพ.มาปั่นหุ้นด้วย สยามธุรกิจ : เงินส่วนใหญ่กองอยู่ในธุรกิจ แล้วมีเงินสดสำรองอยู่มากไหม พระอดิศักดิ์ : ได้มาก็นำเงินไปหมุนซื้อที่จัดสรรต่อไป โครงการจัดสรรที่ดินมีจำนวนมหาศาลนับ ไม่ถ้วน หมุนอยู่ในที่ เมื่อเศรษฐกิจพัง เขาจึงหมดตัว จึงต้องเรี่ยไรไม่หมดไม่สิ้น พยา ยามสร้างสวรรค์วิมานต่าง ๆ บอกบุญอย่างบ้าระห่ำ สยามธุรกิจ : ที่ดินอย่างที่เป็นข่าวมีที่ไหนอีกบ้าง พระอดิศักดิ์ : เยอะมากแทบพูดได้ว่า แทบทุกจัดหวัด สยามธุรกิจ : มาถึงตอนนี้สรุปได้ว่า วัดพระธรรมกายไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเลย พระอดิศักดิ์ : เพี้ยน 100 เปอร์เซ็นต์ สยามธุรกิจ : เป็น 18 มงกุฎหลอกลวงมาตลอดเวลา พระอดิศักดิ์ : เป็นอย่างนั้น สยามธุรกิจ : ที่มีคนพูดว่า จะเป็นนิกายใหม่อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นประเด็นที่จะต้องมาวิ เคราะห์ พระอดิศักดิ์ : ไม่ใช่เป็นนิกายใหม่ เป็นการหลอกลวง สยามธุรกิจ : เนื่องจากทางวัดมีรายรับเยอะ มีการซื้อความสนับสนุนจากผู้มีอำนาจทั้ง จากฆราวาสและบรรพชิตบ้างไหม พระอดิศักดิ์ : ครั้งหนี่งเคยทะเลาะกับอาตมา เขาให้อาตมาเซ็นเช็คจ่ายเงินกี่แสนแล้วจำไม่ได้ ซื้อพระรูปหนึ่ง เพราะพระรูปนั้นต่อไปมีโอกาสเป็นพระผู้ใหญ่ โดยพูดว่าเราซื้อเอาไว้ใช้สักคนไม่ ได้เชียวหรือ อาตมาก็บอกว่า เงินนี้เขามาบริจาคสร้างวัด ถ้าเอาไปซื้อพระมันผิดวัตถุประสงค์ อาตมาก็ไม่ยอมเซ็นเช็คให้ เมื่ออาตมาไม่ยอม ก็รู้สึกโกรธแต่ไม่รู้จะทำยังไง เขาก็เลยหาเงิน ก้อนใหม่ที่ไม่ผ่านบัญชีมาให้ ซื้อพระองค์นั้น ความที่อาตมาไม่ยอม กลายเป็นที่เขม่นของพระองค์นั้น เมื่อเขาเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งขณะนี้พระองค์นี้มีตำแหน่งใหญ่จริง ๆ สยามธุรกิจ : พระไชยบูรณ์จ่ายเงินมากไหมสำหรับการซื้อตัวพระรูปนั้น พระอดิศักดิ์ : มากหรือไม่ต้องไปถามพระมโน พระเมตตาเพราะท่านอยู่ใกล้ชิดข้อมูล จ่ายเท่า ไหร่ จ่ายอะไรบ้าง สยามธุรกิจ : กรณีอย่างนี้เกิดขึ้นกับพระรูปเดียว พระอดิศักดิ์ : เท่าที่รู้มีหลายรูป สยามธุรกิจ เห็นบอกว่ามีการซื้อรถเบนซ์ให้พระบางรูป พระอดิศักดิ์ : ใช่ เบนซ์ 500 สยามธุรกิจ : รูปเดียวกันกับที่เอ่ยถึงเมื่อกี้ พระอดิศักดิ์ : คนละรูป ที่ให้เบนซ์ 500 รู้สึกว่าจะให้กันเป็นประจำ ใ ห้เพื่อซื้อยศ 2-3 คน ซี่ง เงินที่ใช้ซื้อยศเป็นเงินของชาวบ้านทั้งนั้น เดิมทีเราบอกว่า ไม่เอายศ ตอนนี้ต้องไล่ซื้อ สยามธุรกิจ : นอกจากได้ยศแล้วได้แบกอัพจากพระผู้ใหญ่ด้วย พระอดิศักดิ์ : ใช่ทุกอย่าง สยามธุรกิจ: มีผู้ที่เป็นทั้งพระ ทั้งสานุศิษย์เดิม ๆ ที่เห็นข้อเท็จจริงแล้วถอยออกมาบ้างไหม พระอดิศักดิ์ : มีอยู่เยอะ จำนวนมหาศาล แต่บุคคลเหล่านี้ไม่กล้าเปิดเผยตัว เพราะอิทธิพลเขา มาก ทั้งอิทธิพลทางฆราวาสและในวงศาสนามากมายมหาศาล แม้ความชั่วของเขามาก มายขนาดนี้ เขายังลอยนวลได้ สิ่งที่อยากพูด คือ การบิดเบือนหลักพระพุทธศาสนา คือ เขาจะเชิญชวนญาติโยมไปทำบุญใน วันอาทิตย์ทุกต้นเดือน อันนี้สำคัญที่สุด จุดนี้คือจุดหาเงิน คนเก็บหอมรอบริบเพื่อไปซื้อบุญมีเป็นจำ นวนมาก เพราะเขาโฆษณาว่า การทำบุญในวันอาทิตย์ต้นเดือนหนึ่งครั้ง ได้บุญกว่าการทำบุญ กับพระพุทธเจ้าจริง ๆ เสียอีกมากกว่าเป็นอสงไขยเท่า ไชยบูลย์ให้เหตุผลว่า ยายชีจันทร์สามารถเอาธรรมกายน้อมนำเอา อาหารที่ชาวบ้านไป ถวายมากลั่นเป็นอาหารทิพย์ เอากายมนุษย์ที่ละเอียดมาไว้ที่ศูนย์กลางของยายชี นี่เป็นคำพูด ของนายไชยบูลย์ จากนั้นก็กลั่นให้ละเอียดขึ้นพระนิพพาน ซี่งคำสอนอย่างนี้ชัดต่อหลักพระพุทธศานา นอกจากนี้แล้ว การกลั่นอาหารทิพย์เอาไปถวายพระพุทธเจ้านับ อสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนมี บุญนับไม่ถ้วน แม้เราตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอย่างมากเจอแค่พระพุทธเจ้าองค์เดียว แต่ด้วยความวิเศษของยายชีจันทร์ บวกด้วยความสามารถของนายไชยบูลย์ ทำให้เราทุกคนสา มารถเอากายขึ้นไปเที่ยวพระนิพพานได้ เหมือนอย่างจัมโบ้เจ็ต มีโอกาสน้อมนำอาหารทิพย์พระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าสวดมนต์อวยพร เจ็ดวันเจ็ดคืน บุญนี้ไหลหลั่งนับไม่ถ้วน คำสอนดังกล่าวนี้นับว่า อุตริมากเป็นการทำลายหลักการพระพุทธศาสนาอย่างยับเยิน เพราะหากทำตามคำสอนดังกล่าวแล้วเราไม่ต้องทำความดีอะไรอีกแล้ว เพราะเสียเงินไม่กี่บาท อาศัยชีจันทร์หลับตาหน่อยเดียวก็ได้บุญมหาศาล เป็นคำสอนวิปริต ตกลงคนไม่ต้องคิดถึงความดี อย่างอื่น ไม่ต้องทำภาวนาอะไรทั้งสิ้น แม้โจรยังสามารถไปนิพพานได้ เพราะขอให้ไปวันนั้นจะ ได้บุญมหาศาล ฉนั้นไม่จำเป็นต้องทำความดี แม้ทำความขชั่วยังไปสวรรค์ได้ นิพพานได้ รอวันนี้วัน เดียววันอาทิตย์ต้นเดือน อยากให้สื่อเขียนเรื่องถวายข้าวพระและการปัดระเบิด เพราะในวันอาทิตย์ที่ 27 นี้เขานัด ชุมนุมสาวกไปวันเกิดยายชีจันทร์ คนจะได้รู้ว่า ยายชีเป็นตัวปลอม แล้วจะได้รู้ว่า การปัดระเบิด เป็นบาปมหาศาล เพราะถ้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ตายไปตกนรกขุมอเวจีเป็นอย่างน้อยเพราะฆ่าคน เป็นแสน ๆ แล้วการหลอกลวงต้มตุ๋นโดยไปถวายพระพุทธเจ้าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้สอนให้คนทำดี สอนให้คนอ้อนวอนอย่างเดียว พุทธศานาสอนให้คนมัก น้อยสันโดษ ให้พอใจในสิ่งที่ควรมีควรได้ แต่นี่ไม่ใช่ ให้โลภบุญอย่างมหาศาล ทำให้มันสุด ๆ มีตัว ดูดบุญ ตัวอะไรมากมาย http://mblog.manager.co.th/hanzen/1-3-2542/ เรื่องย่อหนังสือ "แฟ้มคดีธรรมกาย"จาก http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2012/03/blog-post_06.html
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ พระอุปัชฌาย์ ธรรมชัยโย
กล่าวคือ ได้แก่ผู้คอยดูแลเอาใจใส่ คอยแนะนำพรำเตือนสัทธิวิหาริก (ลูกศิษย์) ของตน ซึ่งก็คือพระเถระผู้ทำหน้าที่เป็นประธานในการบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนา เรียกทั่วไปว่า พระอุปัชฌาย์ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า "Preceptor"
เรื่องย่อหนังสือ "แฟ้มคดีธรรมกาย "
ข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกาย และพระไชยบูลย์ สุทธิผล ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แต่ละข้อกล่าวหา ยัง ไม่เคยได้รับการดำเนินการให้เกิดความกระจ่าง ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีหน้าที่โดยตรงและจากวัดพระธรรมกาย คงปล่อยให้อึมครึมลี้ลับ เกิดความอึดอัดเอือมระอาแก่พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก.. คณะทำงานรวบ รวมข้อมูล-หลักฐานกรณีวัดพระธรรมกาย ได้ทำการศึกษา ตรวจสอบ รวบรวม วิเคราะห์ ค้นหา นับตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการศาสนาฯ บางครั้งต้องถึงกับเข้าไปฝังตัวในกลุ่มกัลยาณมิตรของวัด พระธรรมกาย เข้าไปศึกษาหาหลักฐานจากชมรมพุทธศาสตร์สากลในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น คณะทำงานฯ จำต้องตั้งปณิธานเป็นบรรทัดฐานไว้เสมอว่า การทำงานเกี่ยวกับความเชื่อ ความนับถือส่วนบุคคลเช่นนี้ “จะต้องทำงานประกอบด้วยความเมตตา รู้จักให้อภัย รู้จักการเสียสละ รอบคอบ และที่สำคัญ จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น” แต่จากการค้นหาข้อมูล ยิ่งสาวลึกเข้าไป ยิ่งพบความไม่ชอบมาพากลของวัดพระธรรมกายและบุคคลใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น พบเห็นการจัดตั้งเครือข่ายเหมือนองค์กรอาชญากรรมใหญ่ๆ มีการใช้กลวิธีเล่ห์เพทุบายเพื่อประทุษร้ายบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์วัดพระธรรมกายนานัปการ และขณะนี้เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้นกล่าวจาบจ้วงสถาบัน พระมหากษัตริย์ กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปแล้ว ดังนั้น คณะทำงานฯ จึงต้องหันกลับมาตั้งต้นใหม่ว่า "เราควรจะมีเมตตา ให้อภัยแก่คนที่ไม่รู้จักสำนึก” หรือไม่? ซึ่งในกรณีของวัดพระธรรมกายนี้ เราสรุปได้ชัดเจนว่า บุคลากรของวัดพระธรรมกายและผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนไร้สำนึก ผิดชอบชั่วดี ส่วนหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งวัดพระธรรมกายชอบยกขึ้นอ้าง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองนั้น คณะทำงานฯเห็นว่าเราจะเคารพศักดิ์ศรีและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของ ประชาชนผู้ที่ถูกวัดพระธรรมกายหลอกลวง มากกว่าการพิทักษ์สิทธิของวัดพระธรรมกายซึ่งเป็นตัวการทำความเดือดร้อน ให้แก่ประชาชน และทำความเสียหายให้แก่สถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นที่รักของเรา ณ วันนี้ คณะทำงานฯ จึงตัดสินใจนำเสนอเผยแพร่ข้อมูลหลักฐาน ปรากฏเป็นหนังสือ "แฟ้มคดีวัดพระธรรมกาย เล่มที่ 1” เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ดังมีหัวข้อและสรุปเนื้อหาย่อได้ดังนี้ 1. รายงานเสนอนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 1 ใน พ.ศ. 2532 หน่วยงานความมั่นคงและการข่าวของรัฐ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตรงต่อนายก รัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในหลายกรณี เช่น การทำธุรกิจในทางลับ การมรณภาพของพระชิตชัย มหาชิโต พฤติการณ์ส่วนตัวของพระไชยบูลย์ที่ไม่ชอบมาพากล การขอเข้าพบหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เพื่อขอให้ยุติข้อ เขียนในคอลัมน์ “ซอยสวนพลู” แต่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์มิให้เข้าพบ เป็นต้น คณะทำงานฯ ไม่ทราบเหตุผลว่า ข้อมูลที่ ประทับ ตราว่า “ลับมาก” อยู่ในข่ายที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามอำนาจ ตามความชอบธรรมแห่งกฎหมายและการปกครองรัฐ กลับปล่อยให้ปัญหาวัดพระธรรมกายลุกลามแผ่ขยายออกไปจนถึงปัจจุบัน 2. รายงานเสนอนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 2 ใน พ.ศ. 2535 หน่วยงานความมั่นคงและการข่าวของรัฐ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตรงต่อ นายก รัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งในปีนั้น ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมือง ทำให้ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง อำนาจรัฐคาบเกี่ยวระหว่าง รสช. กับอำนาจจากการเลือกตั้ง นายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกเฉพาะกิจครั้งที่สอง จึงไม่สามารถสั่งปฏิบัติการเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ อีกทั้งนายกฯ พลเอกสุจินดา คราประยูร ก็ประสบปัญหาทางการเมืองความไม่พอใจของประชาชน ทั้งระยะเวลาดำรงตำแหน่งเพียงเดือนกว่า จึงน่าเชื่อว่าคงไม่สามารถจัดการปัญหาวัดพระธรรมกายตามรายงานของหน่วยงาน ความมั่นคงได้ ก่อนหน้านี้ ในปี 2534 วัดพระธรรมกายถูกจัดเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และอยู่ในบัญชีดำ (Black List) ของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) แต่จากปัญหาความไม่ลงตัวในอำนาจของ รสช. จึงไม่อาจจัดการ ปัญหาดังกล่าวได้ ปล่อยให้วัดพระธรรมกายสร้างเครือข่ายองค์กรใหญ่โต มีกลุ่มผลประโยชน์เข้าไปสมรู้ ร่วมคิดจำนวนมากขึ้น กระทั่งแผ่ขยายอาณาจักรสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้าในปัจจุบัน 3. ผลประโยชน์และรายได้ของพระธัมมชโย มูลนิธิธรรมกาย มีนโยบายระดมทุนจากประชาชนมากมายหลายวิธีการ ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา สุจริตชนโดยทั่วไป ย่อม รู้เห็นว่า มีเงินหมุนเวียนในมูลนิธิแห่งนี้นับ 10,000 ล้านบาท แต่จากเอกสารงบดุลของมูลนิธิฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2540 ที่รายงานต่อทางการ มูลนิธิฯ มีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียง 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้น สำหรับงบดุลสิ้นสุดปี 2541 มูลนิธิฯ แห่งนี้ยังไม่รายงานต่อทางการแต่อย่างใด ทั้งที่เวลาผ่านเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2542 แล้ว ทางการเองก็ปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจสอบ ไม่จัดการกับปัญหาของมูลนิธิฯ ปล่อยให้การดำเนินการของมูลนิธิธรรมกายกระทำการท้าทายอำนาจรัฐ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา คณะทำงานฯ เชื่อว่า รายได้และผลประโยชน์ของพระธัมมชโย รวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทอย่าง แน่นอน ทรัพย์สินส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะปกปิด ส่วนเงินสดจะปรากฏอยู่ในบัญชีลับๆ ซึ่งทางวัดพระธรรมกายได้ มีหนังสือแจ้งไปยังสาขาของธนาคารที่ฝากเงินว่า ห้ามเปิดเผยบัญชีของพระธัมมชโยและบุคคลรอบข้างเด็ดขาด ถ้าเปิดเผยทางวัดฯ จะถอนเงินฝากทั้งหมดซึ่งก็สร้างความหวาดกลัวให้กับธนาคารผู้รับฝากเป็นอย่างมาก เพราะเกรงว่ายอดเงินก้อนมหึมาจะโยกย้ายไปฝากธนาคารอื่น ด้วยเหตุผลข้อนี้ คณะทำงานฯ จึงตรวจสอบอีกครั้ง จึงพบว่า ปัจจุบันพระธัมมชโยน่าจะมีเงินสดหลายพันล้านบาท ใกล้เคียงกับเงินสดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4. การตัดต้นไม้มงคลของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง พระธัมมชโย กระทำการละเมิด กระทำการหมิ่น อาฆาตมาดร้าย ต่อพระบรมเดชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการสั่งตัดต้นไม้ที่ทรงปลูก โดย สมเด็จย่าฯ สมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ซึ่งเป็นการปลูกแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะพระธัมมชโยอาฆาตสถาบันฯ ว่าในกรณีขอพระราชทานสมณศักดิ์ไม่ได้ตามต้องการ เหตุการณ์ดังกล่าววัดพระธรรมกายชี้แจงว่า ผืนดินมีค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่า pH สูง ทำให้ไม่เติบโต ต้องโยกย้ายไปปลูกพื้นที่ใกล้เคียง และภาพที่เห็นในสื่อมวลชนเป็นต้น หมากพุ่มเตี้ย เป็นต้น คณะทำงานฯ ได้ทำการพิสูจน์ทราบ ด้วยการใช้ภาพถ่ายมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าวัดพระธรรมกายชี้แจงข้อความอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในภาพถ่าย จึงสรุปได้ว่า พระธัมมชโยได้กระทำ การอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จริง อีกทั้งมีเหตุผลที่รับทราบกันทั่วไป ได้แก่ พระธัมมชโยตั้งปณิธานว่าถ้าเป็นฆราวาสจะต้องเป็นพระจักรพรรดิ (Emperor) ถ้าออกบวชจะต้องเป็น “พระบรมพุทธเจ้า” สานุศิษย์วัดพระธรรมกายล้วนคิดว่าตัวเองเป็นสาขาของพระพุทธเจ้า หรือ Sub Buddha บรรลุธรรมชั้นสูงกว่าใครๆ ในประเทศไทย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงกล้าละเมิด จาบจ้วง สถาบันชั้นสูงของไทย ทั้งในศาสนจักรและอาณาจักรอย่างหน้าตาเฉย 5. กรณีการมรณภาพของพระชิตชัย มหาชิโต (วิญญูนันทกุล) ค่า นิยมในการอัดวิชชาธรรมกายบนดอยสุเทพ-ปุยอันเป็นวิธีการ “อปกติ” ของพระธัมมชโย ทำให้เกิดอาการเครียดแก่พระชิตชัย มหาชิโต เป็นอย่างมาก เพราะพระ ชิตชัย มหาชิโต ไม่นิยมการพูดเท็จ เป็นพระที่มีสัจจะสูง พระธัมมชโย ถามว่า เห็นพระธรรมกายไหม พระชิตชัยตอบว่า “ไม่เห็น” ตามความเป็นจริง จึงทำให้พระธัมมชโยโกรธขึ้งอย่างรุนแรงจนกระทำการอเปหิสั่งไม่ให้ใครคบหากับ พระชิตชัย ไม่ให้ออกสังฆสมาคม ทั้งที่พระชิตชัยมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ยิ่งเพิ่มความเครียดแก่พระชิตชัย จึงเป็นสาเหตุให้พระชิตชัยมรณภาพอย่างเป็นปริศนา การมรณภาพของพระชิตชัย แม้ทางการพิสูจน์จะทราบได้ว่าเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย ก็ล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากพฤติกรรมและวิธีการของพระธัมมชโยทั้งสิ้น พระธัมมชโยจึงน่าจะมีความผิดเป็นตัวการ กระทำการใดๆ อันจงใจหรือเจตนาให้บุคคลอื่นฆ่าตัวตาย ซึ่ง ปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาดำมืดอยู่เช่นเดิม ญาติพี่น้องตระกูลวิญญูนันทกุล ยิ่งมีความเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางอยู่จนปัจจุบัน 6. กรณีการถือครองที่ดินทั่วประเทศ การถือครองที่ดินของพระธัมมชโย ที่มักชี้แจงต่อสาธารณชนว่ามีผู้บริจาคนั้น เป็นความเท็จแทบทั้งสิ้น เพราะ ที่ดินที่พระธัมมชโยโอนให้วัดตามกำหนดเส้นตายของกรมการศาสนานั้น ข่าวในทางลับแจ้งว่าเป็นที่ดินที่ ดร.ประกอบ กีรจิตติ ถวายแทบทั้งสิ้น จึงเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ส่วนที่ดินอีกกว่า 1,400 ไร่นั้น เป็นการได้มาโดยการสั่งให้สานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดทำการกว้านซื้อไว้แล้วยกถวาย พระธัมมชโยในภายหลัง ในช่วงยื่นคำขาดที่ผ่านมา วัด พระธรรมกายและสานุศิษย์พยายามเปลี่ยนแปลง ปลอมแปลงเอกสารที่ดิน เพื่อให้ได้ข้อยุติว่า “เป็นการบริจาค” เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหายักยอกทรัพย์ เจ้า พนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ โดยกระทำการดังกล่าวที่บ้านของ “ดร.ประกอบ กีรจิตติ” ส.ส.เขต 10 กทม. พรรค ปชป. โดยการประสานงานหรือ ล็อบบี้ของ “พรรณพิพา วัชโรบล” อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 พญาไท พรรค ปชป. ผู้เป็นญาติของนางสาวลีลาวดี วัชโรบล อดีตนางเอกภาพยนตร์ สานุศิษย์ผู้คอยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับวัดพระธรรมกายเพื่อการระดมทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คณะ ทำงานฯ จึงได้เข้าทำการตรวจสอบการถือครองที่ดินในนามของพระไชยบูลย์ สุทธิผล ในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสอง วัชรศรีโรจน์, นางชนัสถ์นันท์ สุขุมพานิช, นางวรรณา อุดมผล, นายเพชร แก่นทรัพย์ ไป กว้านซื้อที่ดิน น.ส.1 ก. จากชาวบ้านในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ใกล้กับที่ดินของนายแพทย์ชัยยุทธ กรรรณสูต ซึ่งประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่ได้สิทธิการครอบครองจากการเข้าไปทำประโยชน์ใน ป่าสงวนไร้สภาพ หรือได้มาจากการจัดสรรที่ทำกินของรัฐ หลังจากนั้นก็ขอเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ก. สามารถจำหน่ายถ่ายโอนได้แล้ว กระทำการยกให้พระไชยบูลย์ ในภายหลัง และตีราคาต่ำกว่าราคาประเมินของทางการ อันเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีที่ดิน คณะทำงานฯ จึงสรุปว่า กรณีการถือครองที่ดิน พระธัมมชโยใช้เงินบริจาคของวัดให้สานุศิษย์ไปทำการกว้านซื้อที่ดิน แล้วยกถวายเป็นสมบัติของตนเองในภายหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของวัด ฉ้อโกงประชาชน 7. กรณีแหล่งผลิตพระมหาสิริราชธาตุ พระธัมมชโยพยายามปั้นเรื่องเท็จ โดยนำเอาเรื่องในชาดกมาผสมผสานกับ “สินค้า” ที่ออกมาจำหน่าย คือ พระมหาสิริราชธาตุ ที่ อ้างว่าพญานาครักษาไว้หลายร้อยล้านปี แต่จากการตรวจสอบของคณะทำงานฯ พบว่า วัตถุธาตุดังกล่าวนำเข้ามาจากประเทศพม่า และประเทศยุโรปตะวันออก ไม่ใช่วัตถุธาตุที่ทรงคุณค่าดังคำโฆษณาแต่อย่างใด คณะทำงานฯ ได้ส่งคนเข้าไปสอบถามพนักงานโรงงานของบริษัท D. Gems International จำกัด ของนางสงบ ปัญญาตรง สีกาอีกคนหนึ่งของพระธัมมชโย ปรากฏว่าเป็นโรงงานผลิตพระมหาสิริราชธาตุเถื่อน ใช้แรงงานต่างด้าวหนีเข้าเมือง ไม่มีสวัสดิการใดๆ แก่คนงานตามกฎหมายคุ้มครองและสวัสดิการแรงงาน เรื่อง นี้จึงสรุปได้ว่า วัดพระธรรมกายโดยมีผู้นำบุญเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกระทำการหลอกลวงประชาชนทำให้ เสียทรัพย์ จนหลายครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เกิดความเดือดร้อนไปหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ดังปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ 8. กรณีความสัมพันธ์กับสตรีเพศ เกือบจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว สำหรับพระ สงฆ์ชื่อดังที่จะต้องมีสันถวไมตรีทางกามรสกับสตรีเพศ เช่น พระยันตระ อมโรภิกขุ, พระภาวนาพุทโธ, นายจันทร์ อาจหาญ หรือหลวงตาจันทร์ วัดป่าชัยรังสี เป็นต้น แต่กรณีของพระธัมมชโย เป็นการเกี่ยวพันกับสตรีถึง 7 คน สตรีผู้ที่พระธัมมชโยให้ความอภิรมย์มากที่สุด ได้แก่ 1.นาง เพียงนิล ศิริเกษม ม่ายลูกสอง อดีตภรรยาน้อยของนายสุวิทย์ มหาแถลง เพื่อนของนายสอง วัชรศรีโรจน์ ซึ่งปัจจุบันปรากฏข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” และอีกหลายฉบับ จน กระทั่งเสี่ยสุวิทย์ มหาแถลง เสียชีวิตอย่างปริศนาภายในห้องทำงาน ท่ามกลางความเสียใจของ “นางอาภรณ์ มหาแถลง” ภรรยาหลวง ปัจจุบันนางเพียงนิลได้ยกลูกสาวให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระธัมมชโย บางกระแสกล่าวว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวมีอาการของโรคประจำตัวคล้ายกับพระธัมมชโย น่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีสตรีผู้ใกล้ชิด ที่พระธัมมชโยมีความสนิทสนมอย่างมากอีก 4 คน ได้แก่ 2.นางจิรวัฒน์ (อี๊ด), 3.นางสงบ ปัญญาตรง, 4.นางสาววิชญา ไตรวิเชียร และคนสุดท้ายที่ฮือฮาโจษขานกันมากที่สุด เพราะสามีของเธอบุกเข้าไปประจานพระธัมมชโยถึงในวัดพระธรรมกายท่ามกลางสานุศิษย์ชั้นนำ สีกาคนล่าสุดนี้ชื่อว่า 5.นางแก้วตา หรือทยา หรือติ๋ม เรื่องการปะทะคารมระหว่างสามีของเธอกับพระธัมมชโย เป็นที่โจษขานกันในวัดสนุกปากจนทุกวันนี้ 9. คำให้การของพยานบุคคล อดีตแขนข้างขวาของพระธัมมชโย กลุ่ม ผู้นำบุญ ที่มีบทบาทในการหาเงินทุนให้พระธัมมชโยมากที่สุด จนพระธัมมชโยยกย่องให้ “เป็นสาขาหนึ่งของพระบรมพุทธเจ้า” หรือ “Sub Buddha" ให้ คำให้การชัดเจนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการชักชวนคนทำบุญ การตามตื๊อคนให้ทำบุญมากที่สุด วิธีการหา “เหยื่อ” เพื่อพาไปตบทรัพย์บนดอยสุเทพ-ปุยในพิธีการอัดวิชชาธรรมกาย คำให้การดังกล่าว ให้ความกระจ่างถึงวิธีการ “ตบทรัพย์” ของวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยชัดเจนที่สุด อีกท่านหนึ่งที่เปิดหน้าชน และยืนหยัดสู้กับ มหาเถรฯ และสำนักพุทธฯ ได้อย่างเด็ดเดี่ยว และน่าชื่นชม คือ พระมหานรินทร์ นรินฺโท วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา ที่ได้เรียบเรียงเรื่องราว ของธัมมชโย+ธรรมกาย กับมหาเถรฯ และ สำนักพุทธฯ ไว้ได้อย่างหมดเปลือก ขออนุญาตคัดลอกข้อความของท่าน จากเวบไซท์ alittlebuddha.com มาเพื่อ แบ่งปันในเวบไซท์ oknation.net นี้อีกหนึ่งก็อปปี้ พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง บางคนก็ว่าผู้เขียนมีปัญหากับพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชัยญาติ จึงได้เขียนโจมตีท่านอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งขอเรียนว่าเป็นการคาดเดาเอาเอง แต่ความจริงแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา ผู้เขียนมีความเคารพนับถือพระพรหมโมลีมาก ในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยวัดสามพระยา ซึ่งผู้เขียนก็เคยเรียนกับท่านสมัยยังเรียนประโยค ป.ธ.8 ก็นับถือเป็นครูบาอาจารย์เรื่อยมา เคยมองท่านเป็นโมเดลหรือแบบอย่างของการเป็นพระนักศึกษาด้วยซ้ำ เพราะท่านจบทั้งเปรียญ 9 และปริญญาเอก แถมได้เป็นศาสตราจารย์อีกด้วย เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเกิดกรณีธรรมกายขึ้นในปี พ.ศ.2541 นั้น พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม สมัยนั้นยังเป็นพระธรรมโมลี ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าคณะภาค 1 แทนพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา ซึ่งถูกปลดออกไป ซึ่งการที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์โยกพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม จากเจ้าคณะภาค 15 มากินตำแหน่งรักษาการเจ้าคณะภาค 1 ก็เพื่อให้มาดำเนินคดีหรือที่เรียกว่านิคคหกรรมพระธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย ในข้อหาทำพระธรรมวินัยให้วิปริต สอนว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" วันที่ 16 เดือนกันยายน พ.ศ.2541 พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการนิคคหกรรมพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ตัดสิน "ยกฟ้อง" วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2543 มหาเถรสมาคมโดยการเสนอของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้มีคำสั่ง "ปลด" พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ด้วยข้อหาไม่ปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคมที่ให้ฆราวาสสามารถฟ้องพระสงฆ์ได้ โดยพระพรหมโมลี (วิลาศ) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานศาลสงฆ์ในภาค 1 ในสมัยนั้น ไม่ยอมรับฟ้อง จึงต้องโดนปลด เมื่อปลดพระพรหมโมลี (วิลาศ) แล้ว เจ้าคณะใหญ่หนกลางก็แต่งตั้งให้ พระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 ขึ้นรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 เพื่อให้ดำเนินการนิคหกรรมกับพระธัมมชโย แต่ปรากฏว่าพระเทพสุธีขอลาออก สุดท้ายสมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้โยกพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชัยญาติ ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 ให้มารักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แทน ดังกล่าว แรกนั้นพระธรรมโมลีก็ดูดี วันที่ 22 กันยายน 2543 ท่านได้เปิดศาลสงฆ์ที่วัดสามพระยา รับฟ้องพระธัมมชโยรวม 3 ข้อหาด้วยกัน คือ 1. บิดเบือนลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า 2. อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน และ 3. ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน ตอนนั้นผู้เขียนก็เชียร์ หลวงพ่อพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) รักษาการเจ้าคณะภาค 1 ว่าจะเป็นเปาบุ้นจิ้นแห่งยุคสมัย สามารถดำเนินการนิคหกรรมพระธัมมชโยให้ลุล่วงสมกับความมุ่งหวังของมหาเถรสมาคมและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ถึงกับเขียนเชียร์ลงในหนังสือจุลสารพระธรรมทูตของวัดไทยลาสเวกัส พ.ศ.2542 แต่ปรากฏว่าหลังจากรับฟ้องในวันที่ 22 ก.ย. 43 แล้ว ศาลสงฆ์ของพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) ก็ปิดประตูลงกลอนนอนเงียบเชียบ ไม่ยอมเปิดทำการสอบสวนไต่สวนทวนหลักฐานพยานใดๆ ทั้งสิ้น ทิ้งเวลาให้ผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี มีแต่ข่าวคั่นเวลาว่าทางศาลสงฆ์รอให้ทางบ้านเมือง "ชี้มูล" ความผิดของพระธัมมชโยก่อน จึงจะค่อยนำเอาการชี้มูลนั้นมาเป็นหลักฐานในการลงโทษพระธัมมชโยตามพระธรรมวินัย หมายถึงว่าถ้าศาลอาญาไม่ตัดสิน ศาลสงฆ์ก็ตัดสินไม่ได้ ถามว่าเกี่ยวอะไรกันด้วย ก็ตอบไม่ได้ว่าเกี่ยวกันยังไง แต่พระธรรมโมลีจะให้เกี่ยวก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ต่อมาในปี พ.ศ.2544 ขณะคดีธรรมกายยังคาราคาซังกันอยู่นั้น ปรากฏว่า สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้เสนอแต่งตั้งให้ พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม รักษาการเจ้าคณะภาค 1 ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ขณะเดียวกันก็โยก พระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 ไปเป็นเจ้าคณะภาค 14 ส่วนตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 นั้นให้พระเทพปริยัติมุนี (ปัจจุบันคือพระธรรมปริยัติเวที) (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม ป.ธ.9) วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม รองเจ้าคณะภาค 15 ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ตรงนี้ผู้คนเข้าใจว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์วัดชนะท่านตั้งให้พระธรรมโมลีเป็นเจ้าคณะภาค 1 เพื่อจะได้มีอำนาจในการทำงานอย่างเต็มตัว ก็เลยต้องดูละครบทต่อไป แถมยังเข้าใจว่าเรื่องธรรมกายคงใกล้จบเต็มแก่แล้ว 11 มกราคม พ.ศ.2544 พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดยานนาวาและอดีตเจ้าคณะภาค 1 ได้มรณภาพกะทันหันที่เมืองทวาย ประเทศสหภาพพม่า ส่งผลให้สมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะที่ "พระพรหมโมลี" ว่างลง อีก 4 ปีถัดมา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเลื่อนสมณศักดิ์พระสงฆ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในบรรดาพระราชาคณะ 90 รูป ที่ได้รับการสถาปนา แต่งตั้ง และเลื่อนสมณศักดิ์ในปีนั้น ปรากฏว่า พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 1 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดสถาปนาขึ้นดำรงสมณศักดิ์ชั้นหิรัณยบัฏ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนาม "พระพรหมโมลี" อย่างบังเอิญยิ่ง ! บังเอิญว่าเป็น "พระพรหมโมลี" สมณศักดิ์เก่าของ "พระพรหมโมลี" (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวา อดีตเจ้าคณะภาค 1 นั่นเอง วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญาได้ออกนั่งบัลลังก์ อนุญาตให้อัยการสูงสุด "ถอนฟ้อง" ต่อพระธัมมชโย ในข้อหายักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย โดยอัยการอ้างว่าพระธัมมชโยได้นำเงินที่ยักยอกไปคืนให้แก่วัดพระธรรมกายหมด แล้ว เรื่องพระธรรมวินัยนั้นมีผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาจำนวน 3 ท่าน ได้รับรองการสอนของพระธัมมชโยว่าตรงตามพระไตรปิฎกทุกประการ สามท่านที่ว่านั้นคือ 1.อธิบดีกรมการศาสนา 2.ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ 3.เจ้าคณะภาค 1 รวมทั้งเวลานั้นบ้านเมืองกำลังต้องการความสมานฉันท์ปรองดอง อัยการเห็นว่าถ้าดำเนินคดีกับพระธัมมชโยต่อไปให้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม ก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกในศาสนจักรและคนไทยทั้งชาติ ปรากฏว่าศาลสงฆ์ของพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม เมื่อได้ฟังคำสั่งศาลอาญาแล้ว ก็รีบปิดคดีตามศาลอาญาไป จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ยอมวินิจฉัยว่าคดีธรรมกายนั้น "ผิด" หรือ "ถูก" แต่ที่แน่ๆ ทั้งตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 และสมณศักดิ์รองสมเด็จ "พระพรหมโมลี" ของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา ถูกผ่องถ่ายมาเป็นของพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม ทั้งสองอย่าง อย่างแยบยล อดีตนั้นคือ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ปัจจุบันนี้คือ พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสมโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม สง่างามในนามศิลปิน ในทางธรรมไม่รู้ว่าเขามีศัพท์เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าอย่างไร แต่ถ้าเป็นในทางโลกแล้ว เขาเรียกว่า "ปล้น" ครับ คำถามที่เกิดขึ้นต่อจากนี้จึงมิใช่เรื่องว่าธรรมกายผิดหรือถูกอีกต่อไป แต่เป็นคำถามในทางจริยธรรมและจริยาพระสังฆาธิการ เนื่องเพราะเมื่อพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) ไม่ยอมปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคมที่ให้ฆราวาสสามารถฟ้องพระภิกษุได้นั้น ท่านโดนปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แล้วจึงให้พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ขึ้นมาเป็นแทน เพื่อให้ทำการรับฟ้องพระธัมมชโย ซึ่งพระธรรมโมลีก็ทำจริงๆ คือรับฟ้องเท่านั้น นอกนั้นไม่ยอมทำอะไรเลย เก็บใส่ลิ้นชักพร้อมกับล็อกกุญแจ แต่จะว่าไม่ทำก็ไม่ได้ คือหน้าที่ในศาลสงฆ์นั้นท่านไม่ยอมทำ แต่เรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือหน้าที่คือ การขอเป็นเจ้าคณะภาค 1 ก็ดี การขอเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระพรหมโมลีก็ดี ท่านรีบทำและได้ก่อนคดีธรรมกายจะสิ้นสุดด้วยซ้ำ หนำซ้ำท่านพระพรหมโมลี ในฐานะเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งเป็นประธานศาลสงฆ์ในคดีวัดพระธรรมกาย กลับไปเป็นพยานให้แก่ศาลอาญาว่าพระธัมมชโยมิได้สอนผิดหลักพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกเสียอีก พระพรหมโมลีเป็นประธานศาลสงฆ์ไปช่วยเป็นพยานในศาลอาญาให้พระธัมมชโยพ้นมลทิน แล้วก็เอาคำสั่งศาลอาญามาปิดศาลสงฆ์ นับเป็นพฤติกรรมอำพรางระดับโลก แต่ถามว่า มลทินที่เกิดขึ้นกับพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) อดีตเจ้าคณะภาค 1 วัดยานนาวา นั้นเล่า จะอธิบายต่อสังคมไทยอย่างไร ? คำถามนี้มิใช่ถามเฉพาะพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เท่านั้น แต่ยังถามวิญญาณของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) วัดชนะสงคราม ได้อีกด้วยว่า เหตุใด เมื่อพระพรหมโมลี (วิลาศ) วัดยานนาวา ไม่ยอมรับฟ้องพระธัมมชโย สมเด็จพระมหาธีราจารย์จึงกระเหี้ยนกระหือรือรีบปลดพระพรหมโมลี (วิลาศ) ออกจากตำแหน่งแบบที่เรียกว่าฟ้าผ่า แต่พอพระพรหมโมลี (สมศักดิ์) ลูกศิษย์ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้เป็นประธานศาลสงฆ์แทน กลับไปช่วยพระธัมมชโยให้พ้นข้อหาเสียอีก ทำไมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ไม่ยอมปลดพระพรหมโมลีวัดพิชัยญาติออกจากตำแหน่งเหมือนปลดพระพรหมโมลีวัดยานนาวาเล่า ทำไมยังอุ้มชูไว้ หรือว่าถ้าเป็นพระวัดอื่นนั้นทำอะไรก็ผิด แต่ถ้าเป็นพระวัดชนะสงครามแล้วไม่ผิด (พระพรหมโมลี-สมศักดิ์ เคยสังกัดวัดชนะสงคราม ก่อนจะย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ) แล้วไหนล่ะ ใครว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม นั้นท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ปกครองคณะสงฆ์โดยเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง หรือว่าคณะสงฆ์ไทยจะหาพระดีไม่มีเสียแล้ว ผลงานของพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ต้นปี พ.ศ.2548 ท่านได้ทำการช็อควงการพระกรรมฐาน โดยการเชิญ แม่ชีธนพร ชัยประคอง (นางมาลินี ชัยปกรณ์) ซึ่งอ้างว่าสามารถเห็นกรรมเก่าของบุคคลได้เหมือนมีตาทิพย์ ให้มาเป็นหัวหน้าในการแสดงธรรมและปฏิบัติธรรมในสำนักวัดพิชยญาติการาม ปรากฏว่ามีคนศรัทธาไปหาแม่ชีวันละ 700-800 คน ภายหลังแม่ชีได้เปลี่ยนทั้งชื่อทั้งนามสกุลเป็น ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม ซึ่งตอนนั้น ผู้เขียนก็เขียนเตือนท่านแล้วว่าอย่าทำ อย่าอยากเป็น "พระดีที่เสียแล้ว" ของสังคมสงฆ์ไทยไปอีกรูปหนึ่งเลย แต่ท่านคงไม่ได้อ่านบทความกระจอกๆ ของผู้เขียนหรอก แล้วจู่ๆ ปลายเดือนเมษายน พ.ศ.2554 (ปีนี้) ก็มีข่าวดัง เมื่อมีคนนำเอาเทปวีดิโอการสอนแก้กรรมของแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม วัดพิชัยญาติ ไปอัพโหลดขึ้นในเว็บไซต์ยูทู๊ป ฉายให้เห็นการแสดงธรรมเพื่อแก้กรรมของแม่ชีทศพรที่แนะนำหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาชีวิต โดยแม่ชีได้บอกว่า สตรีนางนั้นเคยมีอคติต่อคนแก่ จะแก้กรรมได้ก็ต้อง "นอนกับผู้ชายอายุอ่อนกว่า 2 ครั้ง หรือ 2 ที" พอวิธีแก้กรรมนี้แพร่กระจายไป ก็ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางในสาธารณชนในทำนองว่าขัดต่อหลักพระธรรมคำสอนในบวรพระพุทธศาสนาว่าด้วยการแก้กรรม ร้อนถึง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องเดินทางไปยังวัดพิชัยญาติ ขอเข้าพบพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ เพื่อขอสอบสวนแม่ชีทศพร ต่อกรณีที่สอนไปเช่นนั้น ปรากฏว่าแม่ชียอมรับว่าสอนผิด และขอโทษ ส่วนพระพรหมโมลีก็อ้อมแอ้มออกตัวว่า "เคยเตือนแม่ชีแล้ว" ทำได้แค่นั้น ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นพระวิปัสสนาจารย์ เป็นศาสตราจารย์สอนมหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นหัวหน้าพระธรรมทูต สารพัดจะเป็น ถามว่าจำเป็นอย่างไรต้องเอาแม่ชีมานำหน้าสอนในเรื่องวิปัสสนาและอวดอุตริมนุสธรรม ไม่อายครูบาอาจารย์ที่สอนสั่งมาหรือ ? ในวันที่ 21 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา พระพรหมโมลี ดวงพุ่งสูงสุด ได้รับการแต่งตั้งจากมหาเถรสมาคมให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปกครองคณะสงฆ์ภาคกลางจำนวน 6 ภาค 23 จังหวัด ได้แก่ ภาค 1. กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ภาค 2. พระนครศรีอยุธยา อ่างทองสระบุรี ภาค 3. ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี ภาค 13. ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ภาค 14. นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี สมุทรสาคร ภาค 15. ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ แต่หลังจากนั้นอีกเพียง 1 เดือน วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2554 พระพรหมโมลี ได้เสนอชื่อ พระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) อายุ 45 พรรษา 25 พระราชาคณะชั้นสามัญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 1 ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แทนตนเอง ท่ามกลางเสียงครหาดังกระหึ่มทั่วโลก พฤติกรรมของพระพรหมโมลีที่ผู้เขียนได้ลำดับมานี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีสถิติบันทึกไว้อย่างชัดเจน เป็นอาจิณกรรมหรือพฤติกรรมซ้ำซาก มิใช่เรื่องที่ผู้เขียนกุขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีต่อท่านพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) แต่อย่างใด ถามตัวพระพรหมโมลีเลยก็ได้ ว่าที่กระผมเขียนมาทั้งหมดนี้จริงไหม หรือเรื่องไหนไม่จริง หลวงพ่อลองตอบมาสิ เอาพยานหลักฐานมาหักล้างกัน จะได้พิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนว่ากระผมโกหก บางคนบอกว่า ท่านต้องเป็นพระดีสิ ไม่งั้นจะได้เลื่อนเป็นรองสมเด็จฯ และเจ้าคณะใหญ่หนกลางด้วยหรือ เรื่องนี้ผู้เขียนไม่เถียง แต่ขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าความดีมี 2 อย่าง คือ 1.ความดีส่วนตัว เช่นเป็นคนดี ไม่เคยทำผิดกฎหมาย ไม่เคยต้องคดีความ เป็นพลเมืองดี หรือศาสนิกชนที่ดี เป็นต้น 2.ความดีส่วนรวม เป็นคนดีประเภทที่ 1 และมีตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ สามารถให้คุณให้โทษแก่คนอื่นๆ ได้ ท่านใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางซื่อสัตย์สุจริต จึงถือว่าเป็นคนดีตามความหมายนี้ แต่ถ้าทำตรงกันข้ามก็กลายเป็นคนเลว รวมความว่า คนดีมี 2 ประเภท คนเลวก็มี 2 ประเภทด้วย อย่าเหมารวมว่าถ้าเป็นคนดีประเภทที่ 1 แล้ว ก็ต้องเป็นคนดีประเภทที่ 2 ด้วย เพราะเป็นคนละส่วนกัน กลับกัน คนดีประเภทที่ 1 อาจจะเป็นคนเลวประเภทที่ 2 ก็ได้ ตรงนี้ต้องอ่านช้าๆ และเรียงความเข้าใจให้กระจ่าง เช่น นักการเมืองที่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นั้น ก็ต้องเป็นคนดี ไม่เคยต้องคดีความติดคุกติดตะรางหรือทุจริตใดๆ มาก่อน และมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่พอได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้ว ปรากฏว่าหลายคนใช้อำนาจหน้าที่นั้นไปในทางฉ้อฉลทุจริต โกงบ้านโกงเมือง รวมทั้งโกงอำนาจอีกด้วย การแต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรมนั้นถือว่าเป็นการทุจริตประเภทหนึ่งแน่นอน คำว่าไม่เป็นธรรมนั้นผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบาย เพราะว่าผู้ที่อ่านคอลัมน์นี้เป็นปัญญาชน มิใช่พาลชนคนโง่ ความดีประเภทที่หนึ่งนั้นเป็นความดีเฉพาะตน คนดีหรือไม่ดีประเภทนี้มีผลต่อสังคมในวงแคบ แต่คนดีประเภทที่สองคือคนที่มีตำแหน่งนั้น มีผลกระทบสังคมในวงกว้าง คนดีประเภทที่สองจึงต้องระมัดระวังยิ่งกว่าประเภทที่หนึ่ง ต้องคอยตักเตือนห้ามปรามมิให้กระทำความผิด ความทุจริตในหน้าที่การงาน อันให้คุณและให้โทษแก่ประเทศชาติศาสนาและสาธารณชนได้ เมื่อประมวลประวัติและพฤติกรรมของพระพรหมโมลีดังนำเสนอมานี้แล้ว ก็ขอตั้งเป็นคำถามต่อพระพรหมโมลีว่า เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ท่านกระทำไปเช่นนั้น พระพรหมโมลีอาจมิได้มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความเสื่อมเสียทั้งต่อตัวท่านเอง ต่อวัดพิชยญาติการาม และต่อคณะสงฆ์ไทย กลับกันอาจจะหลงระเริงภาคอกภูมิใจไปกับยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่การงานอันสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะเป็นสมเด็จในปลายปีนี้แล้ว วันๆ ฟังแต่คำว่า "พระเดชพระคุณฯ" จากพวกพระสอพลอ ไม่อิ่มทิพย์ก็น้องๆ ในอดีต สมเด็จพระสังฆราชก็เคยถูกปลด สมเด็จพระราชาคณะที่เคยถูกจับสึกก็มี รองสมเด็จฯยิ่งไม่ต้องพูดถึง พระราชาคณะหลายรูปที่มียศตำแหน่งสูงกว่าหลวงพ่อ แต่ปัจจุบันยังแป๊กอยู่ที่เดิม ก็มีมากมายหลายรูป หลวงพ่อก็รู้และเห็น หลวงพ่อเป็นถึงรองสมเด็จฯ และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเวลานี้ ถือว่าสูงสุดยอดแล้วในบรรดาพระสงฆ์ไทย แค่คิดก็เนรมิตอะไรก็ได้ดังใจจง เพียงแค่ใช้อำนาจหน้าที่ให้เป็นธรรมเท่านั้น ชื่อเสียงเกียรติคุณก็ล้นฟ้าแล้ว ถามว่ายังอยากจะได้อะไรอีกในโลกนี้ หลวงพ่ออาจจะเสียใจว่าลูกศิษย์ที่เคยสอนหนังสือมามันด่าครูบาอาจารย์ แต่กระผม-กระผมรู้สึกเสียใจมากกว่านั้น ที่เห็นครูบาอาจารย์เสียผู้เสียคน จึงทนไม่ได้ และที่เสียใจยิ่งก็คือว่า เมื่อมีผู้ทักท้วงว่าสิ่งที่หลวงพ่อกระทำไปนั้นไม่ถูกต้อง น่าที่หลวงพ่อจะรับฟังและรีบแก้ไขให้ทันท่วงที แต่หลวงพ่อกลับไม่ยอมฟัง หนำซ้ำยังดันทุรังเดินหน้าแบบว่ากูคิดถูกทำถูกแล้ว หลวงพ่ออาจจะคิดว่ามันไม่เสีย มันดีเสียอีก มีมหานรินทร์เท่านั้นมันขวางโลก เห็นผิดเป็นชอบ มันยังเด็ก ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารการปกครอง มันจึงไม่รู้ว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่จะต้องทำอย่างไร แถมมันนึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียนไป ไม่เข้าใจถ่องแท้ ก็สุดแต่หลวงพ่อจะคิด แต่สำหรับกระผมแล้ว ผมฟังเสียงชาวบ้าน ฟังเสียงพระเสียงเณรนอกวัดชนะสงครามและวัดพิชัยญาติ และมองหลวงพ่อในฐานะครูบาอาจารย์ที่พวกกระผมซึ่งเคยศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยในระดับเปรียญเอก คือ ป.ธ.7-8-9 พวกเราต่างก็มุ่งหวังว่าครูบาอาจารย์จะเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่มีใครมาตำหนิดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะครูเสียก็เสียถึงนักเรียน เหมือนเจ้าอาวาสเสียก็เสียถึงพระลูกวัด เหมือนพ่อเสียก็เสียถึงลูก หลวงพ่อทำงานเสียหายในวันนี้ มีผลไปถึงโรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยวัดสามพระยา หมายถึงว่าเสียหายไปจนถึงพระเณรเปรียญ 7-8-9- ทั่วประเทศไทย จะให้ตอบแก่สังคมได้อย่างไรว่าพวกเราจบมาจากไหน แล้วครูบาอาจารย์สอนอะไร ยิ่งเป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ต้องไปสอนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จะสอนใครได้ว่าให้ใช้หลักธรรมนั้นๆ ในพระไตรปิฎก เพราะตัวอาจารย์ใหญ่ของยูยังใช้แม่ชีแสกนกรรมอยู่ที่วัดพิชัยญาติอยู่ทุกวี่วัน แถมยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อีกด้วย พระพุทธศาสนาและวงการพระธรรมทูต ถูกท้าทาย เพราะพฤติกรรมของหลวงพ่อในจุดนี้ คำถามย้อนกลับไปถึงวันที่หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งต้องดำรงตำแหน่งประธานศาลสงฆ์ในคดีธรรมกายอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งคดีธรรมกายนั้นปัญหาใหญ่ก็คือ "ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต" สอนว่าพระนิพพานเป็นอัตตา วันนั้น หลวงพ่อเป็นประธานศาลสงฆ์ มีหน้าที่วินิจฉัยให้ตรงตามหลักการในพระไตรปิฎก แต่วันนี้ หลวงพ่อกลับมีปัญหาว่าด้วยการเอาแม่ชีมาสอนว่า "สามารถแสกนกรรมและแก้กรรมได้" นี่ถามว่าเป็นหลักธรรมคำสอนที่ต้องตามพระไตรปิฎกตรงไหน มันก็ไม่ต่างไปจากรณีธรรมกายที่สอนว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" เช่นกัน ต่างก็แต่ว่า ผู้ที่ทำพระธรรมวินัยให้วิปริตไปในวันนี้ กลับเป็น "พระพรหมโมลี" อดีตประธานศาลสงฆ์ แบบว่าเป็นเสียเอง ! เท่าที่ประมวลมาทั้งหมดนี้ ก็เหลือจะรับประทานแล้วล่ะครับ กระผม-พระมหานรินทร์ นรินฺโท ในฐานะที่จบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นตั้งคำถามต่อพรหมโมลีวัดพิชัยญาติ เพื่อปกป้องสถาบันการศึกษาภาษาบาลีของคณะสงฆ์ไทยเอาไว้ เพราะพระพุทธศาสนามิใช่สมบัติของพระพรหมโมลีเพียงคนเดียว แต่เป็นสมบัติของชาวพุทธชาวไทยทั้งชาติ ขอกราบเรียนว่า พฤติกรรมทั้งปวงนี้ชี้ว่า พระพรหมโมลี หมดความชอบธรรม ในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางและกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว นิมนต์ลาออกเสียเถิดครับ อย่าอยู่ให้เป็นที่เสียหายแก่พระศาสนาอีกต่อไปเลย ด้วยความเคารพอย่างสูง พระมหานรินทร์ นรินฺโท วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา 29 พฤษภาคม 2554 09:00 P.M. Pacific Time. The Vision of Phramaha Narin 117.html ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ในราชทินนามที่ พระศรีสุทธิพงศ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชปริยัติโมลี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพปริยัติโมลี ศรีปาพจนานุสิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมโมลี ศรีปริยัตโยดม วิกรมธรรมธารี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏ ในราชทินนามที่ พระพรหมโมลี ศรีสังฆโสภณ วิมลสีลาจารนิวิฐ พิพิธคัมภีร์ปริวรรตธารี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ในราชทินนามที่ สมเด็จ พระพุทธชินวงศ์ พรหมวิหารธำรงวราธิมุต วิสุทธิศีลาจารนิวิฐ ภาวนากิจสุวิธาน ไพศาลหิตานุหิตดิลกตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2554
ตอบคำถามนายพนม ศรศิลป์
เรื่อง การเสนอข่าวงานตักบาตรพระล้านรูป
กราบนมัสการขอบคุณที่ให้คำแนะนำ เรื่องไปร่วมงานตักบาตร
ถ้าจะเมตตาขยาย อธิบายเหตุผลเพิ่มเติมว่าไม่เหมาะสมที่จะไป
ร่วมงาน จะกราบขอบพระคุณมากครับ
นายพนม ศรศิลป์รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 28 มีนาคม 2555
เป็นอีเมล์สดๆ ร้อนๆ ที่ได้รับจากประเทศไทยในวันนี้ หลังจาก อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ได้เกาะติดและนำเสนอข่าวสารว่าด้วยงานตักบาตรพระล้านรูปของวัดพระธรรมกาย ซึ่งท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ทั้งที่รักและที่ชังก็คงจะผ่านตามาโดยลำดับ
สำหรับมีเมล์ที่ผู้เขียนต้องนำมาเป็นกระทู้ของข้อเขียนในวันนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของอีเมล์หรือเจ้าของคำถามข้างต้นนั้นมิใช่แฟนเว็บทั่วไป หากแต่ท่านมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึง "รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ชื่อของท่านก็คือ นายพนม ศรศิลป์ ปัจจุบันเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อันดับที่ 2 รองจากนายอำนาจ บัวศิริ เท่านั้น คาดหมายกันว่า นายพนม ศรศิลป์ น่าจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต่อจากนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เหตุผลนั้นก็ง่าย แค่ว่า นายอำนาจ บัวศิริ เกิดปีเดียวกับนายนพรัตน์ จึงต้องเกษียนอายุราชการพร้อมกันในปีหน้า (2556) ส่วนนายพนมนั้นถ้าไม่เกิดอุปสรรคร้ายแรงก็คาดว่าน่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็น ผอ.สำนักพุทธฯ คนต่อไป
ในวันนี้ นายพนม ศรศิลป์ ได้มีคำถามถึง อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ดังมีรายละเอียดที่นำเสนอข้างต้นแล้ว ผู้เขียน ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการเว็บไซต์แห่งนี้ จึงต้องหยิบปากกามาตอบคำถามท่านรอง ผอ. เพราะถ้าไม่ตอบ ก็แสดงว่าเราไม่แน่จริง ทำงานชุ่ยๆ ไม่มีข้อมูลอะไรแล้วก็เขียนวิพากษ์วิจารณ์ผู้หลักผู้ใหญ่ให้เสียหายโดยไร้เหตุผล ซึ่งเราก็มีตำแหน่งเป็นถึงพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ถ้าไม่ตอบคำถามให้กระจ่างก็แสดงว่าเสียภูมิพระธรรมทูตหมด ดังนั้น จึงต้อง "ขอตอบ" รอง ผอ. ดังต่อไปนี้
ตามที่ท่านรอง ผอ. พนม ศรศิลป์ ถามมานั้น ก่อนอื่นก็ต้องขอถามกลับไปว่า ท่านถามมาในฐานะอะไร คือว่า ถามในฐานะส่วนตัวที่เกิดความอยากรู้อยากเห็น (หลังจากอ่านข่าว) หรือว่าถามในนามของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะว่าทางอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ได้นำเสนอข่าวพาดพิงถึงนายพนม ศรศิลป์ ซึ่งไปร่วมงานตักบาตรพระล้านรูป เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งจุดจัดงานนั้นคือ บริเวณถนนเยาวราช ถึงถนนเจริญกรุง
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ในงานวันนั้น มีท่านรองนายกรัฐมนตรี คือ คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ เดินทางมาเป็นประธานในพิธี ซึ่งเมื่อตรวจสอบดูแล้ว ในวันที่ 18 มีนาคม 2555 ซึ่งมีการตักบาตรที่บริเวณถนนราชปรารภ ประตูน้ำ วันนั้น มีท่านนายกรัฐมนตรี คือคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเป็นประธานในพิธี และในวันที่ 17 มีนาคม 2555 มีพิธีตักบาตรที่บริเวณทางเข้าลานจอดรถ BTS ที่แยกสะพานควาย วันนั้น นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เดินทางไปร่วมงาน
ที่เกริ่นนำมาดังนี้ ก็เพื่อที่จะบอกว่า การที่ นายพนม ศรศิลป์ ไปร่วมงานตักบาตรล้านรูปที่เยาวราช ในวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น ถือว่าไปในฐานะตัวแทนของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพราะวันนั้นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปร่วมงานตักบาตรที่ไหนเลย มีแต่ส่งรองนายกรัฐมนตรี (ยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ไปเป็นประธานแทนที่เยาวราช ดังนั้น เมื่อผู้ใหญ่ที่สุดในงานก็คือรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี กรณีของนายพนม ศรศิลป์ ที่ไปแทน ผอ.สำนักพุทธฯ (นายนพรัตน์) ก็จึงถือว่าไปในนามสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ดังนั้น คำถามที่นายพนมถาม "อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ" มานั้น จึงถือว่า "ถามในนามสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" มิใช่ในฐานะรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแต่อย่างใด
นี่คือประเด็นที่อยากจะถามกลับ ?
และที่ถามกลับก็ไม่มีอะไร เพียงแค่อยากจะทราบให้แน่ใจว่า "ถามในนามสำนักพุทธฯ หรือถามในนามส่วนตัว" จะได้ตอบคำถามให้ครอบคลุม
ต่อไปก็จะเข้าสู่คำถามของนายพนม ศรศิลป์ ที่ถามว่า "ถ้าจะเมตตาขยายอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมว่าไม่สมควรไปร่วมงาน (ตักบาตรพระล้านรูป) ได้ ก็จะเป็นพระคุณ"
ขอสรุปประเด็นเป็นเบื้องต้นก่อน ดังนี้
1. โครงการตักบาตรพระล้านรูปเป็นของใคร และคำว่า "คณะสงฆ์" ที่ใช้อ้างในการจัดงานนั้น หมายถึงอะไร
2. เหตุใดไม่มีการเสนอโครงการผ่านมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ ขณะที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์กรปกครองประเทศ กลับมีชื่อเป็นภาคีในการจัดงานครั้งนี้
3. เหตุใดจึงนำเอาพระพุทธรูปของวัดพระธรรมกายมาตั้งเป็นประธานในพิธี
4. เหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงไปเป็นประธานจัดงาน ทั้งยังสวมชุดอุบาสิกาของวัดพระธรรมกาย ขณะที่งานพุทธชยันตีของมหาเถรสมาคม (โดยรัฐบาลเห็นชอบให้จัดที่วัดสระเกศ) กลับมีเพียงแค่รัฐมนตรีประจำสำนักนายก (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ไปร่วมงาน
5. เหตุใดทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเลขามหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง กลับมีชื่อเป็นภาคีในการจัดงานร่วมกับวัดพระธรรมกาย โดยที่ไม่ยอมนำเสนอโครงการนี้ให้มหาเถรสมาคมรับทราบ
6. เหตุใด พระธรรมกิตติวงศ์ ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม และปัจจุบันก็ไม่ได้มีตำแหน่งในทางการปกครองคณะสงฆ์ (ยกเว้นตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม) จึงได้รับการอาราธนาให้ไปเป็นประธานในจุดสำคัญที่สุดของงานตักบาตร จุดที่ว่านั้นคือบริเวณประตูน้ำ
7. เหตุไฉนในเว็บไซต์ของรัฐบาลก็ดี ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี ซึ่งเป็นภาคีในการจัดงานครั้งนี้ กลับไม่มีข้อมูลของการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงการ วิธีการ การประชาสัมพันธ์ และรวมทั้งข้อมูลข่าวสารด้านอื่น เช่น ภาพ วีดิโอ เป็นต้น แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้มีอยู่ในเว็บไซต์ของวัดพระธรรมกายเพียงแห่งเดียว
8. งานตักบาตรพระล้านรูป เพื่อช่วยเหลือพระสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นโครงการช่วยชาติ ซึ่งรัฐบาลไทยถึงกับต้องรับเป็นภาคี (หุ้นส่วน) ในการจัดงาน ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นโตโผในการจัดด้วยซ้ำไป เพราะรัฐบาลมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อปัญหาในสามจังหวัดชายแดนใต้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับพระหรือโยมก็ตาม ดังนั้น เมื่อจะจัดงานเพื่อชาติแล้ว เหตุใดรัฐบาลไทยไม่ขอความร่วมมือจากมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ แต่กลับไปร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย นั่นหมายถึงว่า รัฐบาลมองว่ามหาเถรสมาคมไม่มีความสามารถในการจัดงานดังกล่าวใช่หรือไม่
9. จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้พระตั้ง 1,000,000 รูป ระดมกำลังออกบิณฑบาตเพื่อเลี้ยงพระในสี่จังหวัดชายแดนใต้ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 อาทิตย์ และคุ้มหรือไม่กับการใช้รถขนอาหารจากกรุงเทพฯลงไปส่งทุกวัดในสี่จังหวัดชายแดนใต้
เอาแค่ 9 ข้อก็คงพอนะ ทีนี้ก็จะขออธิบายขยายความให้ท่านรอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติฟัง ดังต่อไปนี้
ข้อที่ 1 : โครงการตักบาตรพระล้านรูปเป็นของใคร และคำว่า "คณะสงฆ์ไทย" ที่ใช้อ้างในการจัดงานนั้น หมายถึงอะไร
คำว่า "คณะสงฆ์" ตามความหมายในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 มาตรา 5 ทวิ. ให้ความหมายไว้ว่า "คณะสงฆ์" หมายความว่า บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร "คณะสงฆ์อื่น" หมายความว่า บรรดาบรรพชิตจีนนิกาย หรืออนัมนิกาย
นั่นคือความหมายของคำว่า "คณะสงฆ์" หรือคณะสงฆ์ไทยที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งก็คือพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2503 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) และรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะได้รับการลงพระปรมาภิไธยโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของชาติ
ทีนี้ว่า ในโครงการตักบาตรพระ 1,000,000 รูป นี้นั้น กลับมีข้อความระบุผู้ร่วมงานว่า ได้แก่
แต่เมื่อตรวจดู "มติมหาเถรสมาคม" ย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2554-2555 กลับไม่ปรากฏว่ามีโครงการตักบาตรพระหนึ่งล้านรูปผ่านการพิจารณาของมหาเถรสมาคมเลย จึงแปลกใจว่า คำว่า "คณะสงฆ์" ที่ถูกอ้างอิงไว้ในโครงการนี้ หมายถึงอะไร ในฐานะที่นายพนม ศรศิลป์ เป็นถึงรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คงจะมีความสามารถให้ความหมายได้กระมัง ว่าถ้านอกจากคณะสงฆ์ไทยภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคมแล้ว มีพระสงฆ์องค์ไหนบ้างที่ได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้อ้างหรือใช้ชื่อของตัวเองว่า "คณะสงฆ์" ถ้าหากว่าไม่ถนัด จะไปกราบเรียนขอคำอธิบายจากพระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9) ซึ่งท่านเป็นราชบัณฑิต คิดว่าคงจะสามารถให้ความกระจ่างได้เช่นกัน เพราะท่านเป็นประธานในงานนี้ด้วย
แต่ตามความเข้าใจของผู้เขียนแล้ว เมื่อพิจารณาตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 นี้แล้ว ก็ไม่เห็นจะมีคณะสงฆ์อื่นใดที่สามารถใช้ชื่อว่า "คณะสงฆ์" ได้ นอกจากคณะสงฆ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม นอกจากนั้นแล้ว กฎหมายไทยยังอนุญาตให้มีได้อีกแค่ 2 คณะสงฆ์ ได้แก่ คณะบรรพชิตจีน และอนัมนิกาย (ญวน)
ดังนั้น การใช้ชื่อว่า "คณะสงฆ์" ไปเป็นหุ้นส่วนในงานนี้ โดยที่มหาเถรสมาคมไม่ได้รับทราบ ก็จึงอยากจะถามว่า มันหมายความว่าอย่างไร ในเมืองไทยนี้ยังมี "คณะสงฆ์อื่น" นอกจากที่กล่าวมานี้อีกหรือหรือถ้าหากจะให้ความหมายว่า ก็หมายถึงพระไทยโดยทั่วไปที่มิใช่มหาเถรสมาคม เพราะมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ มิใช่พระสงฆ์ทั่วไป เหมือนรัฐบาลไทยที่เป็นคณะรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศ จึงมิใช่ประชาชนคนไทยโดยทั่วไป ดังนั้น การใช้ชื่อว่า "คณะสงฆ์" จึงมิได้เกี่ยวข้องกับมหาเถรสมาคม ถ้าอ้างแบบนี้ก็ถือว่าเป็น "ศรีธนญชัย" ในทางการศาสนา เป็นพวกลิ้นสองแฉก เลียได้ถึงใบหู ตวัดพลิกแพลงตลบแตลงเข้าข้างตัวเองอย่างไม่ละอายแก่ใจ แม้ว่าจะทำโครงการบุญการกุศลก็ตาม แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรง ก็ไม่ต่างไปจากการปล้นประชาชนโดยใช้ศาสนาบังหน้า
ข้อที่ 2 : เหตุใดไม่มีการเสนอโครงการผ่านมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ ขณะที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์กรปกครองประเทศ กลับมีชื่อเป็นภาคีในการจัดงานครั้งนี้
ข้อนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 อีกนั่นแหละว่า เมื่อว่าโดยภาระหน้าที่ที่ต้องบริหารดูแลประเทศชาติพระศาสนาแล้ว รัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทยโดยมหาเถรสมาคม ก็มีภารกิจร่วมกัน ดังนั้น ถ้าว่าโดยมารยาทหรือประเพณีอันดีงามแล้ว องค์กรต้องทำงานร่วมกับองค์กร รัฐบาลต้องทำงานกับรัฐบาล มิใช่รัฐบาลไปทำงานร่วมกับเอกชน
ว่าโดยสถานะของ "วัดพระธรรมกาย" ก็คือ วัดในสังกัดของมหาเถรสมาคม ซึ่งถ้าหากทางรัฐบาลคิดจะจัดงานเพื่อชาติ ก็ควรจะขอความร่วมมือจากมหาเถรสมาคม แต่ถ้าเห็นว่ามีวัดใดที่มีบุคคลากรที่เหมาะสมกับงาน หรือทางรัฐบาลเห็นว่าอยากจะเชิญไปร่วมงานด้วย ก็ง่ายๆ แค่เพิ่มรายชื่อเข้าไป เพื่อขอความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม เมื่อมีมติมหาเถรสมาคมรองรับแล้ว ก็ถือว่าถูกต้องชอบธรรมตามระเบียบประเพณีที่ปฏิบัติ ไม่เกิดข้อกังขาครหาใดๆ แต่ในครั้งนี้หากระทำเช่นนี้ไม่ คือมีการข้ามหัว ไม่ยอมแจ้งแก่มหาเถรสมาคม แต่ขณะเดียวกันก็มีการอ้างชื่อ "คณะสงฆ์" ไปใช้ แถมยังมีการ "ดึงตัว" กรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปไปเป็นผู้ร่วมงานอย่างไม่เป็นทางการ งานตักบาตรพระล้านรูปที่อ้างว่า "เป็นอภิมหาโครงการระดับชาติ" จึงกระดำกระด่าง กลายเป็นโครงการลับๆ ล่อๆ หรือโครงการอีแอบ ไม่โปร่งใส่ในเจตนาของการกระทำ จึงจำเป็นที่ เรา-อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อรัฐบาลไทยและวัดพระธรรมกาย รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ว่าความจริงมันคืออะไร
คือถ้ามีการแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการว่า บัดนี้ ทางรัฐบาลไทยก็ดี ทางวัดพระธรรมกายก็ดี ได้ขออนุมัติจากทางมหาเถรสมาคม เพื่อจัดโครงการตักบาตรพระล้านรูป เพื่อนำเอาจตุปัจจัยไปช่วยเหลือพระไทยใน 4 จังหวัดภาคใต้ และทางมหาเถรสมาคมก็รับทราบแล้ว แค่นี้ ทางเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ คือจริงๆ แล้วอยากจะช่วยชาติใจจะขาด แต่เมื่อเห็นการกระทำที่ลับๆ ล่อๆ ก็เกิดข้อกังขา แบบว่าไม่โปร่งใส จึงตั้งคำถาม แต่กลับไม่มีคนตอบ หนำซ้ำยังดันทุรังทำเหมือนไม่สนใจใคร เพราะเชื่อมั่นว่า "ถ้าอ้างว่าทำเพื่อชาติ" เสียอย่างเดียวแล้ว ก็ถือว่าเป็นความชอบธรรมทั้งสิ้น อย่านับแต่พระกระจอกๆ เพียงรูปสองรูปเลย ต่อให้ราชสำนักก็คงไม่กล้าจะออกมาถาม
ถามว่า จะใช้วิธีการเช่นนี้ในการทำงานเพื่อประเทศชาติและศาสนากันอย่างนั้นหรือ ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการนี้ไม่ได้นำเสนอมหาเถรสมาคม แต่กลับมีกรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูป ทั้งทำตัวเป็นโฆษกประชาสัมพันธ์งาน ทั้งเดินทางไปร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า ก็แสดงว่า "วัดพระธรรมกายไม่ได้ยอมรับมหาเถรสมาคม เป็นแต่มหาเถรสมาคมไปยอมรับวัดพระธรรมกายเอง" ใครใหญ่กว่าใคร ก็ดูได้จากภาพของงานที่ปรากฏออกมา แต่จะเถียงผู้เขียนก็ได้นะว่าเข้าใจผิด ขอนิมนต์ทุกรูปที่ไปร่วมงานนั่นแหละ อีเมล์มาชี้แจงหน่อย จะได้ออกแถลงการณ์ขออภัยอย่างเป็นทางการ
ข้อที่ 3 : เหตุใดจึงนำเอาพระพุทธรูปของวัดพระธรรมกายมาตั้งเป็นประธานในพิธี
วัดพระธรรมกายนั้น ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ส่วนสถานที่จัดพิธีตักบาตรพระล้านรูปนั้น จัดภายในกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น แต่ในงานกลับปรากฏว่ามีการนำเอาพระประธานศิลปะแบบวัดพระธรรมกาย คือนั่งรัดอก มาตั้งเป็นประธานในงานทุกจุดในกรุงเทพมหานคร จึงอยากจะถามว่า มันความคิดของใคร และใครอนุญาตให้ใช้พระพุทธรูปปางนี้ในพิธีนี้ ถ้าหากว่าวัดพระธรรมกายจัดการเอง ก็แสดงว่างานนี้เป็นงานของวัดพระธรรมกาย แต่ถ้ารัฐบาลจัด หรือมีภาคีสมาชิกร่วมกันจัด ก็อยากจะทราบว่ามีการประชุมและลงมติเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างไร และทำไมจึงนำเอาพระพุทธรูปปางนี้มาจากปทุมธานี ทั้งๆ ที่วัดในกรุงเทพมหานครก็มีนับร้อยๆ วัด พระพุทธรูปก็มีถมเถ แค่ไม่ถึง 10 องค์ ถามว่ารัฐบาลก็ดี คณะสงฆ์ก็ดี ไม่มีปัญญาหาพระพุทธรูปอย่างนั้นหรือ
ตรงนี้แหละที่แสดงถึงธาตุแท้ของโครงการที่ว่า ว่ามีเจตนาหรือวัตถุประสงค์อย่างไร ผู้เขียนให้คำนิยามได้เพียงว่า "ใช้ศาสนาบังหน้า เพื่อรุกคืบเข้ายึดกรุงเทพมหานครอันเป็นเมืองหลวง โดยใช้สัญลักษณ์ของธรรมกาย"
เรื่องรุกคืบทางสัญลักษณ์นี้ในยุคปัจจุบันถือว่ามีความหมายมาก มันเป็นโลโก เป็นแบรนด์ ซึ่งถือว่ามีราคาสูงมาก ถึงขนาดสงวนลิขสิทธิ์ป้องกันคนอื่นนำไปใช้ การนำเอาพระพุทธรูปแบบธรรมกายมาใช้ในงานซึ่งรัฐบาลร่วมจัดนั้น จึงถือว่าเป็นการฉวยโอกาสอย่างหน้าด้านที่สุด ซึ่งเมื่อมองถึงการทำงานของวัดพระธรรมกายในวันนี้แล้ว น่าที่เราจะภาคภูมิใจในความเจริญก้าวหน้า แต่ต้องเศร้าใจเมื่อพบว่า "บุคคลากรและทรัพย์สินอื่นใดที่วัดพระธรรมกายได้มานั้น มาจากการปล้นชิงจากชาวพุทธกันเอง" ดูไปก็ไม่ต่างไปจากกองทัพพม่าเขามาตีกรุงศรีอยุธยาแล้วขนเอาทองไปสร้างพระเจดีย์ทอง เป็นการสร้างผลงานบนการทำลายชาวพุทธด้วยกัน เพียงแต่ต่างลัทธินิกายเท่านั้น
ถ้าแน่จริงก็ออกไปสู้กับศัตรูข้างนอกสิ จะหันมาปล้นพวกเดียวกันทำไม ?
และถ้าวันนี้ เราไม่ท้วงติงกันไว้ พวกหน้าด้าน พวกเก้อยาก ก็จะฉวยโอกาสต่อไปไม่สิ้นสุด เพราะอ้างได้ว่า ก็ทำมากี่ครั้งแล้ว ไม่เห็นมีใครว่า แสดงว่าเราทำถูกต้องแล้ว ฯลฯ
ข้อที่ 4 : เหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงไปเป็นประธานจัดงาน ทั้งยังสวมชุดอุบาสิกาของวัดพระธรรมกาย ขณะที่งานพุทธชยันตีของมหาเถรสมาคม (โดยรัฐบาลเห็นชอบให้จัดที่วัดสระเกศ) กลับมีเพียงแค่รัฐมนตรีประจำสำนักนายก (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ไปร่วมงาน
นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบระหว่างงานของคณะสงฆ์ ซึ่งทางรัฐบาลได้เห็นชอบให้จัดงานมาฆบูชาพุทธชยันตีที่วัดสระเกศ ในวันที่ 5 มีนาคม 2555 โดยข่าวระบุภาคีที่จัดงานไว้ว่า "มหาเถรสมาคม สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และวัดสระเกศ" ในงานวันนี้ มีเพียงนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนา ไปเป็นประธาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำโดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ (นายพนม ศรศิลป์ ก็ไปด้วย) ส่วนคณะสงฆ์นั้นก็มีเพียงพระวัดสระเกศ เด่นที่สุดก็คือพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) โดยนิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ มาให้โอวาทเปิดงานเพียงไม่กี่นาทีก็จบข่าว จากนั้นก็มีการเปิดป้ายงานมาฆบูชาพุทธชยันตี ไม่มีแม้แต่พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม พอตกวันที่ 7 ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา ก็มีคนกลุ่มเดิม คือนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) พร้อมด้วยพระสงฆ์วัดสระเกศ เพิ่มเติมอีกรูปโดยพระพรหมสุธี (เสนาะ) ก็สู้ออกงานประพรมน้ำมนต์ด้วย
ทีนี้ก็จะเปรียบเทียบกับงานตักบาตรพระล้านรูปของธรรมกาย ซึ่งข่าวระบุว่า มีคณะรัฐมนตรี นำโดยนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า ดังนี้
จะเห็นได้ว่า บรรดาคณะรัฐมนตรี นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างเดินทางไปเป็นประธานในงานนี้ต่างกรรมต่างวาระโดยพร้อมเพรียงกัน
ไฮไลต์ของงานนั้นอยู่ที่ประตูน้ำ-ราชประสงค์ ซึ่งจัดในวันที่ 18 มีนาคม 2555 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส ส่วนประธานฝ่ายสงฆ์นั้นคือ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงทุนสวมชุดอุบาสิกาของวัดพระธรรมกายด้วย
ทีนี้ เมื่อเทียบกับการจัดงานของมหาเถรสมาคมที่วัดสระเกศ ก็มีเพียงนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไปร่วมงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักพุทธฯ เท่านั้น ความจริงแล้วจะว่าไปเฉพาะกลุ่มสำนักพุทธฯ ก็คงว่าได้ เพราะนายนิวัฒน์ธำรงนั้นได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักพุทธฯอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับว่า "รัฐบาลไม่ได้ให้ความร่วมมือในโครงการของคณะสงฆ์เลย" ขนาดว่างานมาฆบูชาพุทธชยันตีนั้นจัดที่วัดสระเกศ ซึ่งมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร) ซึ่งเป็นถึงประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พำนักอยู่แท้ๆ แต่คณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ
ก็คิดง่ายๆ เพียงแค่ว่า ถ้าจะอ้างว่า บังเอิญวันที่ 7 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมานั้น นายกรัฐมนตรีไม่ว่าง เพราะติดภารกิจต้องเดินทางไปราชการที่ต่างประเทศ (เยือนประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 6-9 มีนาคม 2555) ก็ไม่ว่ากัน แต่ถามว่า รองนายกรัฐมนตรีมีตั้งหลายพระหน่อ ทำไมไม่เห็นมีใครไปร่วมงานเลย คณะรัฐมนตรีอีกตั้ง 30 กว่าคน คนพวกนี้หายหัวไปไหนหมด ไม่มีใครว่างเลยหรือ พอวันงานของธรรมกายกลับว่างกันทั้งรัฐบาลจะว่าเป็นโรคอุปาทานหมู่ก็ใช่ที่ เห็นมีก็แต่โรคเดียวเท่านั้น คือ "ป่วยการเมือง"
เรื่องสวมชุดอุบาสิกาธรรมกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เรื่องนี้ความจริงก็ไม่น่าจะเป็นประเด็น เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จุดนี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการประกาศสัญลักษณ์ความเป็นสาวิกาประจำวัดพระธรรมกาย ซึ่งยังโยงไปถึงว่า ใครคือโต้โผใหญ่ในการจัดงานตักบาตรล้านรูปครั้งนี้
ถ้าเรามองโดยทั่วไป ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ไปร่วมงานอย่างเป็นพิธีการ ไม่ว่าจะเป็นงานรัฐพิธีหรืออะไรก็ตามแต่ การแต่งกายก็ต้องให้เหมาะสมกับงาน การไปร่วมงานตักบาตรล้านรูปในเช้าวันที่ 18 มีนาคม นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ สวมชุดขาว ก็ถือว่าถูกต้อง แต่มันผิดสังเกตตรงที่ว่า "ทำไมต้องเป็นชุดธรรมกาย"
นี่มิใช่การอคติต่อธรรมกายอย่างจงใจ แต่เพราะภาพมันฟ้อง จึงต้องตั้งข้อสงสัยว่า
1. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีชุดขาวใส่ไปออกงานหรืออย่างไร ถึงได้ไปขอชุดขาวจากวัดพระธรรมกายมาใส่ไปในงานนั้น
2. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตื่นสาย ไม่ทันแต่งตัว จึงเดินทางไปร่วมงานแบบฉุกละหุก เจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกายจึงได้จัดชุดให้สวมแบบฉุกเฉิน
3. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสาวิกาประจำวัดพระธรรมกายมาแต่เดิม หมายถึงว่าได้ชุดอุบาสิกาของวัดพระธรรมกายมาตั้งแต่ก่อนจัดงานตักบาตรล้านรูปแล้ว
แต่ถึงกระนั้น การสวมชุดอุบาสิกาของวัดพระธรรมกายในครั้งนี้ ก็เท่ากับประกาศให้ประชาชนคนไทยทราบ 2 ประการ คือ
1. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสาวิกาประจำวัดพระธรรมกาย
2. วัดพระธรรมกาย คือผู้จัดการงานตักบาตรล้านรูป
เมื่อรวมสองข้อนี้เข้าด้วยกันแล้ว จึงเห็นภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สวมชุดอุบาสิกาของธรรมกาย เดินทางไปร่วมงานตักบาตรล้านรูปของวัดพระธรรมกาย โดยใช้โครงการช่วยเหลือพระสงฆ์ใน 4 จังหวัดภาคใต้เป็นตัวนำ
ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมก็คือว่า มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 1/2555 ลงวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2555 มหาเถรสมาคมได้ลงมติให้จัดงานฉลองพุทธชยันตีในช่วงเทศกาลวิสาขบูชา ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน พ.ศ.2555 โดยได้เชิญให้นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานจัดงาน เพราะเห็นว่างานนี้เป็นงานใหญ่ในรอบ 2600 ปี แต่กลับปรากฏว่า ทางนายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ได้ปฏิเสธที่จะเป็นประธาน โดยได้แจ้งให้แก่มหาเถรสมาคมทราบ พร้อมกับแนะนำให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับหน้าที่ประธานแทน
ข้อนี้มิได้ถามนายพนม ศรศิลป์ แต่ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม ควรแยกให้มีระยะห่างซักเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ข้อที่ 5 : เหตุใดทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเลขามหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง กลับมีชื่อเป็นภาคีในการจัดงานร่วมกับวัดพระธรรมกาย โดยที่ไม่ยอมนำเสนอโครงการนี้ให้มหาเถรสมาคมรับทราบ
นายพนม ศรศิลป์ (รวมทั้งนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ทุกคนด้วย) ขอให้อ่านให้ดี คือว่า อำนาจของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 หมวดที่ 2 มาตราที่ 13 มีข้อความว่า "ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม" ความหมายคงไม่ต้องแปล เพราะงานเลขาฯ ไม่ว่าจะเป็นเลขานุการหรือเลขาธิการ ก็ต้องสนองงานเจ้านายอยู่ดี ทีนี้ว่า เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีฐานะเป็น "เลขาธิการ" ของมหาเถรสมาคม ก็หมายถึงว่า ต้องรอรับคำสั่งจากมหาเถรสมาคมแล้วปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการ แต่กลับปรากฏว่า มีชื่อของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปเป็นภาคีร่วมกับมหาเถรสมาคมในการจัดงานพุทธชยันตีด้วย ก็ถามว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ที่เลขาไปมีชื่อร่วมงานกับประธาน นี่ก็เป็นข้อที่น่าสังเกตว่า เลขาธิการมหาเถรสมาคมทำนอกอำนาจหน้าที่ หรือไม่ก็สำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรพิเศษ ทั้งสนองงานคณะสงฆ์และเป็นองค์กรอิสระที่อยากจะไปร่วมงานกับใครก็ได้ ไม่ว่ากับมหาเถรสมาคมหรือองค์กรอื่นใด
"ไปเป็นกรรมการจัดงานร่วมกับมหาเถรสมาคม" ก็ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดแล้ว แต่การมีชื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นกรรมการจัดงานตักบาตรพระ 1,000,000 รูป ร่วมกับวัดพระธรรมกาย ก็ยิ่งเป็นเรื่องพิลึกกึกกือเข้าไปใหญ่ เพราะเหตุผล 2 ประการ ได้แก่
1. วัดพระธรรมกาย ว่าโดยสถานะเป็นวัดในสังกัดมหาเถรสมาคม แต่มิได้จัดงานในนามของมหาเถรสมาคม แต่ไปจอยกับรัฐบาลไทย
2. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม กลับไม่ยอมร่วมงานกับมหาเถรสมาคม โน่นโผล่ไปร่วมงานกับรัฐบาลหรือกับวัดพระธรรมกาย ในข้อสองนี้ถ้ามหาเถรสมาคมเห็นชอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปเป็นกรรมการร่วม (หรือมหาเถรสมาคมร่วมงานกับสำนักพุทธฯ) ก็ต้องเป็นเรื่องแปลกแน่แท้ เพราะบอกแล้วไงว่า องค์กรลูกร่วมงานกับองค์กรแม่ และองค์กรลูกไม่ร่วมงานกับองค์กรแม่ แต่ไปร่วมงานกับองค์กรอื่น โดยที่องค์กรแม่มิได้ไปร่วมแต่อย่างใด
มองมุมไหนก็พิลึกกึกกือทั้งสิ้น !
ถามว่า มีเหตุผลจำเพาะอะไรหรือ ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อได้รับเชิญให้ไปร่วมงานตักบาตรล้านรูปของวัดพระธรรมกาย จึงไม่ยอมเอาเรื่องเข้าสู่มหาเถรสมาคมเพื่อรับทราบ ก่อนที่จะตอบรับไปเป็นกรรมการจัดงาน ถ้าสำนักพุทธฯตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบ
และถามว่า เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ "ฉีกบทบาท" ยกระดับตัวเองขึ้นเป็น 1.ผู้ร่วมงานกับทางมหาเถรสมาคม 2.ผู้ร่วมงานกับองค์กรอื่นที่มิใช่มหาเถรสมาคม ก็แล้วอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ล่ะ ยังมีศักดิ์และสิทธิ์อีกหรือ
อย่างไรก็ตาม ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2549 ได้ระบุอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไว้ดังนี้ (ที่ยกมาอ้างข้างต้นนั้นมาจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535)
1. ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชการพระพุทธศาสนา รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
2. รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการ และการบริหารการปกครองคณะสงฆ์
3. เสนอแนวทางการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา
4. ส่งเสริม ดูแล รักษา และทำนุบำรุงศาสนสถานและศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา
5. ดูแล รักษา และจัดการวัดร้างและศาสนสมบัติกลาง
6. พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา
7. ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม
8. ปฏิบัติการอันใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี มอบหมาย
ถ้าจะวิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาตามกฎกระทรวงนี้ก็เห็นจะเป็นว่า สำนักพุทธฯถูกแยกภารกิจออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนหนึ่งให้เป็นสำนักงานเลขาธิการของมหาเถรสมาคม (ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535) และให้สนองงานนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และถ้าพิศดูให้ดีอีก กฎกระทรวงข้างต้นนี้จะมีอำนาจมากกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วยซ้ำไป เพราะกำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติครอบคลุมหรือมากกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535 ด้วยซ้ำไป ถ้าจะเปรียบไปแล้วก็คือว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ใหญ่กว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535 ดังนั้น ถ้าจะใช้เพียงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535 มาตีความอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ย่อมจะผิดพลาดได้
สรุปตามกฎกระทรวงฉบับนี้ก็คือว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีเจ้านาย 2 เจ้า คือ 1.มหาเถรสมาคม และ 2.รัฐบาล
ทีนี้ กรณีที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยปรกติก็ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม วันผิดปรกติก็มีชื่อเป็นกรรมการร่วมงานมหาเถรสมาคม และวันพิเศษก็โผล่มีชื่อเป็นกรรมการร่วมงานกับรัฐบาลไทย (สำนักนายกรัฐมนตรี) ถ้าจะตอบตามกฎกระทรวงก็ต้องบอกว่า "เป็นการสนองงานตามที่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และกฎกระทรวง พ.ศ.2549 ได้ให้อำนาจหน้าที่แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ"
ดังนั้น จะว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาผิดฝาผิดตัวก็ว่าไม่ได้ เพียงแต่ไม่ทราบว่า ระหว่าง 2 เจ้านาย คือมหาเถรสมาคมกับรัฐบาลไทยนั้น ใครใหญ่กว่าใคร หรือสำนักพุทธฯให้ความสำคัญแก่เจ้านายคนไหนมากกว่า
เรื่องบทบาทของสำนักพุทธฯเราจะข้ามไปก่อน แต่จะขอไปพูดถึงว่า ถ้ารัฐบาลไทยกับคณะสงฆ์ไทย (ซึ่งปกครองโดยมหาเถรสมาคม) มีความสัมพันธ์เป็นอันดี การสนองงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแม้ว่าจะต้องรับหน้าที่ทั้งสองทาง ก็ย่อมจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าหากว่ารัฐบาลไทยกับคณะสงฆ์ไทย (ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม) ไม่ถูกต้องร่องรอยกัน ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ซึ่งมาจากการปฏิวัติ และถูกกำกับโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งตราหน้า "สมเด็จพระพุฒาจารย์" ว่า ได้รับการแต่งตั้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หมายถึงว่ามิได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงไม่ถูกต้องชอบธรรม ถึงกับมีความพยายามปลดสมเด็จเกี่ยวมาแล้ว
ถามว่า ถ้าสถานการณ์เป็นดังที่ว่านี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ต้องสนองงานทั้ง 2 ทาง จะทำไฉน ไม่กลายเป็นนกสองหัวหรือ ?
แม้แต่การฉีกตัวไปร่วมงานตักบาตรพระล้านรูปของวัดพระธรรมกายในครั้งนี้ ทางสำนักพุทธฯก็อาจจะอ้างว่า"เป็นการสนองงานนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ตามที่กฎหมายกำหนดไว้" แต่สำหรับภาพที่ออกมา ปรากฏว่ามหาเถรสมาคมไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่เป็นงานพระงานเจ้าแท้ๆ แบบนี้ก็ดูผิดฝาผิดตัวเช่นกัน
ดังนั้น ที่นายพนม ศรศิลป์ ถามว่า "ผมไปร่วมงานนั้นผิดตรงไหน" ผู้เขียนก็ขอตอบว่า "ว่าตามกฎหมายนั้นไม่ผิดหรอก" แต่มัน "ผิดฝาผิดตัว" ดังกล่าวมาแล้ว
เพราะอย่าลืมว่า เรื่องอำนาจหน้าที่ก็เรื่องหนึ่ง เรื่องภาพลักษณ์ที่ปรากฏก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องต้องกันก็ได้ ดังบทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แบบว่าสร้างความสับสนให้แก่พระสงฆ์องค์เณร แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะว่ากฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ เมื่อไม่ผิดกฎหมายซะอย่าง ถึงจะวิปริตผิดประเวณีอย่างไรก็คงไม่มีใครสนใจแล้วล่ะ ไม่แน่นะ ต่อไปถ้านายกรัฐมนตรีนับถือศาสนาอื่นที่มิใช่พระพุทธศาสนา เราก็อาจจะได้เห็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปเป็นกรรมการร่วมงานกับองค์กรทางศาสนาอื่นด้วยก็ได้ เพราะอย่าลืมว่า กฎหมายบังคับให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องสนองงานนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีด้วย แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดว่า "นายกรัฐมนตรีต้องเป็นพุทธศาสนิกชนเท่านั้น"เมื่อวันนี้ สำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศจับมือกับวัดพระธรรมกายจัดพิธีตักบาตรพระล้านรูป โดยไม่มีมหาเถรสมาคมไปร่วม แต่ได้สั่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีอีกตำแหน่งเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม ให้ไปร่วมงานด้วย ต่อไปถ้าสำนักนายกรัฐมนตรีจะสั่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปร่วมงานสันติอโศกบ้าง ศาสนาคริสต์บ้าง ศาสนาอิสลามบ้าง ก็ถามว่า "ทำไมจะสั่งไม่ได้" แต่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ คงไม่คิดให้ปวดหัวไปไกลปานนั้น เพราะปีหน้าแกก็จะเกษียนอายุราชการแล้ว ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคมก็คงไม่คิดอะไรเช่นกัน สมเด็จพระราชาคณะแต่ละรูปแต่ละองค์วันๆ ก็ง่วนอยู่กับหมอกับยาและบรรดาศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น ก่อนตายก็ห่วงแต่พระใกล้ชิดว่าจะได้เป็นสมเด็จฯ เป็นกรรมการมหาเถร เป็นเจ้าคณะ หรือเจ้าคุณ กับเขาหรือเปล่ามิฉะนั้นก็ตายตาไม่หลับ
ข้อที่ 6 : เหตุใด พระธรรมกิตติวงศ์ ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม และปัจจุบันก็ไม่ได้มีตำแหน่งในทางการปกครองคณะสงฆ์ (ยกเว้นตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม) จึงได้รับการอาราธนาให้ไปเป็นประธานในจุดสำคัญที่สุดของงานตักบาตร จุดที่ว่านั้นคือบริเวณประตูน้ำ
ข้อนี้ต้องขอออกตัวก่อนว่า "ผู้เขียนมิได้มีอคติกับหลวงพ่อพระธรรมกิตติวงศ์เป็นการส่วนตัว" เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ทั้งสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ พระธรรมกิตติวงศ์ และพระพรหมดิลก ล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือผู้เขียนมาแล้วทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงเคารพนับถือทุกรูปทุกองค์ แต่ถ้าท่านเหล่านี้ทำหน้าที่เพียงเป็นครูสอนหนังสือ ก็คงจะอยู่ในฐานะปูชนียบุคคลที่ลูกศิษย์ลูกหาจากทั่วประเทศให้ความเคารพนับถือโดยไม่ตะขิดตะขวางใจ แต่ทุกท่านล้วนมีตำแหน่งทางการปกครองในคณะสงฆ์ระดับสูงถึงเจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค และกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นบทบาทในทางการเมืองเรื่องอำนาจ จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะการกระทำของท่านมีผลต่อพระศาสนาในวงกว้าง พูดง่ายๆ ว่า ถ้าท่านมิใช่นักการเมือง (ในผ้าเหลือง) ผู้เขียนก็จะไม่เปลืองน้ำหมึกเขียนถึง หรือถึงเขียนถึงก็คงเป็นไปในทางเคารพบูชาอย่างเดียว แต่เมื่อท่านเลือกที่จะอยู่ในเกมแห่งอำนาจ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกตรวจสอบพฤติกรรมรวมทั้งผลงาน ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถูกวิจารณ์มาก บางรูปบางองค์ถึงกับได้ฉายา "เสียคนตอนแก่" ด้วยซ้ำไป
ดังนั้น ที่ผู้เขียน-เขียนถึงพระธรรมกิตติวงศ์ก็ดี ครูบาอาจารย์รูปอื่นก็ดี ก็เป็นบทบาทและหน้าที่ต่อสาธารณชน มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวส่วนตัวของท่านเหล่านั้นเลย
ว่าโดยฐานะ พระธรรมกิตติวงศ์นั้น เคยดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมและตำแหน่งเจ้าคณะภาค 16 ก่อนจะถูกปลดโดยคำสั่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งว่ากันว่าสาเหตุแห่งการปลดนั้นมี 2 ชนวน คือ
1.บัญชีเลื่อนสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2535
2.กรณีธรรมกาย พ.ศ.2542
ทั้งสองกรณีนั้นไว้ว่างๆ ผู้เขียนจะเขียนวิเคราะห์ให้ฟัง รับรองว่าไม่เข้าใครออกใครแน่ แต่จะเข้าทางใครนั้นก็ช่วยไม่ได้
ทีนี้ว่า เมื่อพระธรรมกิตติวงศ์เป็นพระนอกทำเนียบคณะสงฆ์ว่าด้วยความเป็นพระสังฆาธิการระดับสูง แต่จะว่าพระธรรมกิตติวงศ์ไม่ใช่สังฆาธิการก็ไม่ได้อีก เพราะตำแหน่งเจ้าอาวาส "วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร" นั้นก็เป็นพระสังฆาธิการโดยตำแหน่งอยู่แล้ว แถมยังเป็นถึงพระอารามหลวงชั้นเอก ซึ่งเคยเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 3 อีกด้วย ดังนั้น คำว่า "นอกทำเนียบพระสังฆาธิการระดับสูง" ในที่นี้ จึงหมายถึงตำแหน่ง "เจ้าคณะภาคและกรรมการมหาเถรสมาคม" เท่านั้น
ว่าโดยธรรมเนียมนิยมแล้ว งานของรัฐหรือที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐ โดยมีองค์กรของรัฐเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดงาน ประธานของงานนั้นต้องทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์หรือไม่ก็องคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือข้าราชการ มาเป็นประธานของงาน ถ้าเป็นงานของคณะสงฆ์ ก็จะนิยมนิมนต์สมเด็จพระสังฆราช หรือสมเด็จพระราชาคณะ กรรมการมหาเถรสมาคม หรือเจ้าคณะพระสังฆาธิการระดับสูง เช่นเจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เป็นต้น มาเป็นประธานของงาน
แต่สำหรับงานตักบาตรพระหนึ่งล้านรูปที่สำนักนายกรัฐมนตรีมีส่วนร่วมจัดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าทางสำนักนายกรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีด้วยตนเอง แต่ในทางคณะสงฆ์นั้น กลับไม่ปรากฏว่ามีการนิมนต์คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือกรรมการมหาเถรสมาคม หรือพระสังฆาธิการระดับสูงรูปใดๆ ไปเป็นประธานของงานเลย กลับปรากฏชื่อของ"พระธรรมกิตติวงศ์" มานั่งเป็นประธานแทน
ก็เลยงงว่า นี่มันงานที่จัดอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการกันแน่ แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีก็เห็นว่าต้องเป็นทางการ แต่สำหรับการมาของพระธรรมกิตติวงศ์นั้นเห็นเป็นทางการไปไม่ได้ เพราะพระธรรมกิตติวงศ์มิใช่คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชหรือพระสังฆาธิการระดับสูง
ถามว่า ถ้ามิใช่คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือมิใช่พระสังฆาธิการระดับสูง (เช่นเจ้าคณะภาค) จะสามารถไปเป็นประธานงานของรัฐหรือของคณะสงฆ์ที่จัดอย่างเป็นทางการได้หรือไม่
คำตอบก็คือ โดยปรกติแล้วเขาจะไม่เชิญ หรือถึงเชิญ ผู้ถูกเชิญก็จะไม่กล้ารับ เพราะผิดธรรมเนียม
แต่วันนี้มีประเพณีใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทย คือนายกรัฐมนตรีในนามของสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานในพิธีที่มีพระธรรมกิตติวงศ์ซึ่งอยู่นอกวงมหาเถรสมาคมเป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ถามอีกว่า ตำแหน่งราชบัณฑิตของพระธรรมกิตติวงศ์ เพียงพอสำหรับการเป็นประธานงานนี้หรือไม่
ก่อนตอบก็ต้องถามอีกว่า "ราชบัณฑิต" นั้นเป็นอะไร
คำว่า "ราชบัณฑิต" ท่านให้ความหมายว่า คือนักปราชญ์หลวง เป็นสมาชิกของราชบัณฑิตยสภา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เงินเดือนไม่มี มีแต่เงินตอบแทนเป็นรายเดือน
ดังนั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว ตำแหน่งราชบัณฑิตก็คงจะพอๆ กับตำแหน่งศาสตราจารย์ ซึ่งมิใช่อธิการบดี ทีนี้เมื่อเทียบกับตำแหน่งพระสังฆาธิการระดับสูง เช่น เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค กรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว พระธรรมกิตติวงศ์จึงถือได้ว่า "เป็นพระราชาคณะนอกทำเนียบผู้บริหาร"
ส่วนเรื่องที่ว่า พระธรรมกิตติวงศ์สามารถรับนิมนต์เป็นประธานงานตักบาตรพระได้หรือไม่นั้น ได้หรือไม่ได้ก็รู้กันอยู่แล้ว เรื่องได้-ไม่ได้จึงมิใช่ประเด็น ประเด็นก็คือว่า "เหมาะสมหรือไม่" นั่นต่างหาก ส่วนเหตุผลในการตัดสินใจไปนั้นคงไม่มีใครไปซักไซ้ไล่เรียงเอากับท่านพระธรรมกิตติวงศ์ เพราะคนระดับราชบัณฑิตนั้นไปบอกท่านก็เท่ากับ "สอนสังฆราช"
ตรงนี้มีคำถามสำคัญว่า วัตถุประสงค์อันใดในการนิมนต์ให้พระธรรมกิตติวงศ์ไปเป็นประธานงานตักบาตร 1,000,000 รูป ของวัดพระธรรมกาย ?
คำตอบก็คือว่า น่าจะเป็นการหาเวทีให้พระธรรมกิตติวงศ์ได้กลับมามีบทบาทในทางคณะสงฆ์ แม้ว่าทางมหาเถรสมาคมจะไม่ยินดีต้อนรับ ถึงกับขับไล่ให้พ้นตำแหน่งและกีดกันไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจมานานถึง 15 ปีนี่แล้ว แต่บทบาทในทางสังคมสงฆ์ด้านอื่น ซึ่งวัดพระธรรมกายโดยท่านธัมมชโยได้ปูพื้นรับรองเอาไว้อย่างแน่นหนาและยิ่ง ใหญ่ระดับโลก และพระธรรมกิตติวงศ์นั้นต้องมรสุมชีวิตเพราะกรณีธรรมกาย ทั้งยังยอมทุ่มเทจิตใจให้แก่วัดพระธรรมกายอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา เมื่อวัดค่าความจริงใจที่พระธรรมกิตติวงศ์มีให้แก่วัดพระธรรมกายในวันต้อง มรสุมเช่นกันแล้ว ถึงวันนี้ วันที่วัดพระธรรมกายล้มแล้วลุกขึ้นยืนได้ ก็ย่อมไม่ลืมที่จะยื่นมือไปดึงพระธรรมกิตติวงศ์ให้พ้นจากหล่มด้วย ถ้ามองมุมนี้ก็ต้องขอแสดงความนับถือว่า ท่านธัมมชโยนั้นใช้ได้ทีเดียว เพราะไม่ทิ้งเพื่อนในยามยาก
ที่ว่าวัดพระธรรมกายล้มแล้วลุกได้นั้น เพราะเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา พระราชภาวนาวิสุทธิ์(ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น "พระเทพมหาญาณมุนี วิ." นั่นแหละคือหลักฐานการล้มแล้วลุกของวัดพระธรรมกาย
ส่วนพระธรรมกิตติวงศ์นั้น นับตั้งแต่ พ.ศ.2535 เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้ มีแต่ข่าว "ว่าจะๆ" จะได้เป็นพระพรหม จะได้เลื่อนเป็นรองสมเด็จฯ แต่จนแล้วจนเล่า รอจนรุ่นน้องถึงรุ่นลูกศิษย์ปลายแถว ไปยืนอยู่หน้าแถวหมดแล้ว พระธรรมกิตติวงศ์ก็ยังคงเป็น "พระธรรมกิตติวงศ์" อยู่เช่นเดิม
"ถึงเวลาเปิดหน้าเล่น"
ต้องบอกอย่างนี้ จากปี พ.ศ.2535 ถึงปีนี้ ปี พ.ศ.2555 20 ปีเต็มๆ กับตำแหน่งเดิมๆ ของพระธรรมกิตติวงศ์ ขณะที่รุ่นน้องแซงขึ้นชั้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะไปหมดแล้ว รุ่นลูกศิษย์พาสชั้นขึ้นเป็นรองสมเด็จฯ แถมมีตำแหน่งใหญ่บะเริ่มเทิ่ม อย่างพระราชปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ) วัดชนะสงคราม เจ้าคณะภาค 1 นั้น เป็นรุ่นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ เพิ่งได้เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมานี่เอง (พ.ศ.2550) วันนี้มีสมณศักดิ์แค่ชั้นราช กลับกระโดดขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 1 หน้าตาเฉย นักกายกรรมเห็นแล้วยังเสียวแทนเลย
อย่างเช่น สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการามนั้น เมื่อปี พ.ศ.2535 ยังมียศเป็นเพียง "พระราชปริยัติโมลี" ขณะที่พระเทพปริยัติโมลี (ทองดี สุรเตโช) ขยับขึ้นเป็น "พระธรรมกิตติวงศ์" ภาษานักกรีฑาก็ต้องบอกว่า "ทิ้งห่างไปถึงสองช่วงตัว"
ปีเดียวกัน พระราชสุมนต์มุนี (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ.9) วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เลื่อนยศเป็นพระเทพกวี ปัจจุบันได้เป็น สมเด็จพระวันรัต ไปแล้ว แถมยังจ่อคิวเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไปอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้ว ในปี 2535 นั้น
พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร ป.ธ.3) วัดยานนาวา สมัยนั้นอยู่วัดจักรวรรดิราชาวาส ยังเป็นแค่พระเทพประสิทธิมนต์ ปัจจุบันเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร ป.ธ.6) วัดสระเกศ ยังเป็นแค่ พระราชสิทธิมงคล ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะภาค 12 และกรรมการมหาเถรสมาคม
พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ.9) วัดปากน้ำ ยังเป็นแค่ พระเทพสุธี ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะภาค 7 และกรรมการมหาเถรสมาคม
พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) วัดราชบพิธ ยังเป็นแค่ พระราชปฏิภาณโกศล ปัจจุบันเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) วัดสัมพันธวงศ์ ยังเป็นแค่ พระราชธรรมาภรณ์ ปัจจุบันเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.9) วัดปากน้ำ ยังเป็นแค่ พระราชพุทธญาณวงศ์ ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะภาค 5
พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) วัดสระเกศ ยังเป็นแค่ พระสุวรรณเจติยาภิบาล พระราชาคณะชั้นสามัญ ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะภาค 10
หรือแม้แต่ พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา เวลานั้นก็ยังเป็นแค่ "พระศรีปริยัติบดี"ปัจจุบันเป็นถึงรองสมเด็จ เป็นเจ้าคณะภาค 14 และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีสมณศักดิ์ "ต่ำกว่า" พระธรรมกิตติวงศ์ทั้งสิ้น ถ้าไม่สะดุดเรื่องธรรมกายแล้ว รับรองว่าพระธรรมกิตติวงศ์ต้องได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะไปก่อนสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชัยญาติ อย่างแน่นอน หรือบางทีอาจจะแซงหน้า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี ป.ธ.9) วัดสุทัศนเทพวราราม ด้วยซ้ำไป
แต่โบราณว่า "วาสนานั้นแข่งกันไม่ได้" ฉันใด เส้นทางชีวิตของพระธรรมกิตติวงศ์ก็ฉันนั้น
เมื่อพระธรรมกิตติวงศ์ถูกปลดจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมไปนั้น ตอนนั้นพระธรรมกิตติวงศ์ก็คงคิดว่า"ผู้มีอำนาจ" คงจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตำแหน่ง "เจ้าคณะภาค 16" ก็ถูกกระชากออกจากวัดราชโอรสารามอีก ใครเป็นคนลงมือหรือลงลายเซ็นปลด พระธรรมกิตติวงศ์คงจำได้
นับจากนั้นพระธรรมกิตติวงศ์ก็ไม่มีตำแหน่งในทางการปกครองของคณะสงฆ์ นอกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชโอรสารามพระอารามหลวงเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถคว้าเอาตำแหน่ง "ราชบัณฑิต" มาประดับบารมีได้ แต่ก็มิใช่สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง เพราะพระธรรมกิตติวงศ์ต้องการตำแหน่งทางคณะสงฆ์ ต้องการยศทางสงฆ์ มิใช่ต้องการยศภายนอกเช่นราชบัณฑิต แต่การได้ราชบัณฑิตมาก็ถือเสียว่า "ดีกว่าไม่ได้" เหมือนเป็นรางวัลปลอบใจนางงามตกรอบ ถามว่าถ้าให้แลกระหว่างการเป็นสมเด็จพระราชาคณะกับราชบัณฑิต พระธรรมกิตติวงศ์จะเลือกอย่างไหน ?
เปรียบเทียบกับพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา หลังจากพระธรรมกิตติวงศ์ถูกปลดได้ไม่นาน พระพรหมดิลกก็ถูก "ย้าย" ออกจากตำแหน่ง "รองเจ้าคณะภาค 1" สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) วัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ยังเมตตาให้ไปเป็น "เจ้าคณะภาค 14" ซึ่งยังทำให้มีที่ยืนอยู่ในวงพระสังฆาธิการระดับสูงได้ ทำให้พระพรหมดิลกสามารถใช้ตำแหน่งและหน้าที่ "ไต่เต้า" ขึ้นสู่จุดสูงเกือบสุดในวันนี้ คือเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ และไม่แน่นัก อาจจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งในอนาคต ถ้าหากว่าโอกาสเปิด
การถูกปลดออกจากตำแหน่ง "เจ้าคณะภาค 16" นี่แหละ คือการ "ประหารชีวิต" พระธรรมกิตติวงศ์อย่างแท้จริง เป็นการกระทำที่ต้องถือว่าอำมหิต ปลิดชีวิตกันทางการเมือง นักการเมืองพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค ยังถูกเว้นวรรคแค่ 5 ปี แต่นี่พระธรรมกิตติวงศ์ แค่เห็นต่างกรณีธรรมกาย ซึ่งเป็นเรื่อง "ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" ล้วนๆ แต่กลับถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเรื่องสมณศักดิ์ "ตลอดชีวิต" ใครเป็นพระธรรมกิตติวงศ์ก็คงเห็นใจว่า เล่นกันแรงไป ไม่มีการอภัยโทษกันเลยหรือ
ดูแต่พระธัมมชโยสิ โดนคดีท่วมศาล พอการเมืองเปลี่ยน มาถึงมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถปลดชนักออกจากหลังได้ และหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ก้าวขึ้นเป็น "พระเทพญาณมหามุนี" อย่างสง่าผ่าเผย เพราะไม่ยอมเข้าวังไปรับพัด ต้องให้สำนักพระราชวังนำไปประเคนให้ถึงวัดพระธรรมกาย
ก็ดังที่บอกแล้วว่า เมื่อโดนปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 16 ไปนั้น พระธรรมกิตติวงศ์กลายเป็นคนรากลอย หรือมีแต่รากฝอยไม่มีรากแก้ว ไม่มีฐานอำนาจทางคณะสงฆ์หนุนส่งให้ขึ้นสู่ยศและตำแหน่งที่สูงขึ้น แรกนั้นพระธรรมกิตติวงศ์ก็คิดว่า "เป็นการกระทำของฝ่ายธรรมยุตแต่ข้างเดียว" แต่พอนานไป แม้ว่าทางฝ่ายมหานิกายจะเข้าครองอำนาจในมหาเถรสมาคม โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร) วัดสระเกศ ได้ขึ้นเป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มาตั้งแต่ต้นปี 2547 ถึงปัจจุบันก็ร่วมๆ 9 ปีเข้าไปแล้ว บัญชีสมณศักดิ์ผ่านการประกาศไปถึง 11 บัญชี ไม่ปรากฏว่ามีรายชื่อของพระธรรมกิตติวงศ์ได้เลื่อนยศกับเขาเลย อย่าง พระราชธรรมเวที (โกเมศ เขมธมฺโม ป.ธ.9) วัดราชโอรสาราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงของพระธรรมกิตติวงศ์เอง ยังได้เลื่อนสมณศักดิ์ในปี พ.ศ.2542 หมายถึงว่า มหาเถรสมาคมยอมให้เลื่อนสมณศักดิ์แก่พระลูกวัด ขณะที่เจ้าอาวาสกลับไม่ได้เลื่อน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ตรงนี้แหละที่พระธรรมกิตติวงศ์รู้ซึ้งว่า "ในมหานิกายเองก็มีตัวการกีดกันท่านอยู่" เผลอๆ จะมากกว่าทางฝ่ายธรรมยุตด้วยซ้ำไป เพราะถ้าพระธรรมกิตติวงศ์ได้เลื่อนชั้น ก็มิได้ไปเบียดเบียนตำแหน่งของทางธรรมยุต หากแต่จะต้องเป็นโควต้าทางฝ่ายมหานิกายเท่านั้น เพราะท่านเป็นพระมหานิกาย นี่ไงที่ว่าผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร
เมื่อเอาดีทางมหาเถรสมาคมไม่ได้ (เพราะหนทางถูกปิด) พระธรรมกิตติวงศ์จึงหันไปเอาดีทางงานวิชาการ จนกระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิต ในปี พ.ศ.2539 พร้อมๆ กับการเทียวไล้เทียวขื่อเข้าวัดพระธรรมกาย จนกลายเป็นพระอุปัชฌาย์หลักของวัดพระธรรมกายไปแล้ว
แต่การไปวัดพระธรรมกายของพระธรรมกิตติวงศ์นั้น แม้ว่าจะส่งเสริมให้งานของวัดพระธรรมกายรุดหน้า แต่ก็เป็นผลงานของท่านธัมมชโยแต่ผู้เดียว ในฐานะเจ้าของผู้ก่อตั้งวัดตัวจริง ถ้าจะพิจารณาผลงานของวัดพระธรรมกายเพื่อเลื่อนยศให้แก่พระธรรมกิตติวงศ์ก็คงเป็นไปไม่ได้ เหมือนๆ กับเขานิมนต์ท่านไปร่วมงาน รับสังฆทานแล้วก็กลับ จะนับเป็นผลงานของตัวเองโดยตรงนั้นไม่ได้ ก็สรุปว่า การไปงานวัดพระธรรมกายก็ไม่ได้ช่วยให้มีผลงานในทางคณะสงฆ์เช่นกัน มันเป็นอะไรที่เรียกว่า ทำก็เท่านั้น ไม่ทำก็เท่านั้น
จุดเปลี่ยนของพระธรรมกิตติวงศ์
ถ้าศึกษาดูพฤติกรรมของพระธรรมกิตติวงศ์ให้ตลอด นับตั้งแต่ถูกปลดออกจากกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา ก็จะพบว่า ระยะแรกนั้น พระธรรมกิตติวงศ์ยังคง "เกรงใจ" ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยให้ความเคารพเมตตามาก่อน ไม่ว่าจะเป็น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระพุทธมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม และสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ พระธรรมกิตติวงศ์จึงก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรม พยายามอ่อนน้อมถ่อมตน โดยหวังว่าผู้ใหญ่จะเมตตาให้อภัยและให้โอกาส
แต่รอจนแล้วจนเล่า แบบว่าสมณศักดิ์ว่าง หรือในบัญชีเลื่อนสมณศักดิ์ประจำปี รวมทั้งบัญชีพิเศษอีก 2 บัญชีในรอบ 10 ปี ไม่เคยมีชื่อของพระธรรมกิตติวงศ์ติดโผกับเขาเลย หนำซ้ำ พระราชาคณะรุ่นน้องยังแซงหน้า พระเด็กๆ รุ่นลูกศิษย์ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงกันโครมๆ แบบว่าว่างปุ๊ปตั้งปั๊ป ตั้งข้ามยศ ตั้งข้ามห้วย ตั้งข้ามหัว ตั้งทั้งกลางวันกลางคืน ตั้งลูกตั้งหลานว่านเครือ ทำยังกะตำแหน่งทางการคณะสงฆ์เป็นทายาททางสายเลือดเหมือนราชวงศ์ เป็นเรื่องที่อย่าว่าแต่พระธรรมกิตติวงศ์เห็นแล้วจะหัวร่อเลย แม้แต่พระสงฆ์องค์เณรทั่วไปก็ร้องยี้กันทั้งประเทศ เว้นแต่พวกที่ได้รับแต่งตั้งก็ปลื้มอกปลื้มใจในอำนาจวาสนาที่ได้มาโดยการประจบสอพลอ แล้วพระพวกนี้นะหรือที่จะมาปกครองบ้านปกครองเมือง เป็นเรื่องที่พระธรรมกิตติวงศ์คงยอมไม่ได้ ที่ว่ายอมไม่ได้นั้นหมายถึงว่า ยอมรอเพื่อจะต่อคิวพระเด็กๆ อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว เป็นไงเป็นกัน มันเกินเรื่องความอยากได้ใคร่เป็นไปเสียแล้ว วันนี้ถึงพระธรรมกิตติวงศ์จะได้เลื่อนเป็นรองสมเด็จฯ ก็คงไม่ได้ทำให้ดีใจอะไรเลย
ถ้าลองเปรียบเทียบฝีมือหรือภูมิปัญญาบารมี ระหว่างพระธรรมกิตติวงศ์กับครูบาอาจารย์ที่สอนอยู่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยที่วัดสามพระยา ก็พอจะทราบว่า นอกจากพระธรรมวโรดมซึ่งเป็นรุ่นพี่แล้ว พระธรรมกิตติวงศ์สูงส่งกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9 Ph.D) วัดพิชัยญาติ ซึ่งสมัยนั้นยังสอนประโยค 7-8 ขณะที่พระธรรมกิตติวงศ์สอนชั้น ป.ธ.8-9 ไม่ว่าจะเป็นพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9 Ph.D.) วัดสามพระยา ซึ่งสมัยนั้นยังสอนประโยค ป.ธ.7 เท่านั้น ในทางยศทางศักดิ์นั้นอาจจะพอวัดชั้นกันได้ แต่สำหรับบารมีหรือเพาเวอร์ส่วนตัวแล้ว ทุกรูปที่เอ่ยนามมานี้ เจอพระธรรมกิตติวงศ์แล้วเป็นต้องหลีกทางให้
ดังนี้ เมื่อพระเถระเหล่านี้เข้าครองอำนาจในคณะสงฆ์ยุคปัจจุบัน พระธรรมกิตติวงศ์ซึ่งรู้มือกันอยู่จึงเห็นว่า "สู้ตัวเองไม่ได้" เมื่อตัวเองเหนือชั้นกว่า แต่ต้องมายอมอยู่ภายใต้การปกครองของพระเถระเหล่านั้น ถามว่าพระธรรมกิตติวงศ์ยอมรับได้หรือ โดยเฉพาะการขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจอันสูงสุดในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย 2 รูปนี้ ได้แก่
1.พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9 Ph.D.) วัดพิชยญาติการาม (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์) พระพรหมโมลีนั้น พ.ศ.2535 มีสมณศักดิ์เป็น "พระราชปริยัติโมลี" ขณะที่พระธรรมกิตติวงศ์นั้นเป็นชั้นธรรม สูงกว่าพระพรหมโมลีไป 1 ชั้น ครั้นเกิดกรณีธรรมกายในปี พ.ศ.2542 พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา ถูกปลดจากเจ้าคณะภาค 1 และผู้มีอำนาจในสมัยนั้น (สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง) ได้โยกพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9 Ph.D.) วัดพิชยญาติการาม ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แล้วย้ายพระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9 Ph.D.) วัดสามพระยา จากรองเจ้าคณะภาค 1 ไปเป็นเจ้าคณะภาค 14 และจากนั้นอีกไม่นาน พระธรรมกิตติวงศ์ก็โดนปลดจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะภาค 16
ต่อมา เมื่อพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ได้เป็นประธานศาลสงฆ์นิคหกรรมพระธัมมชโย แต่ก็ไม่สามารถหาความผิดในทางพระธรรมวินัยได้อย่างตรงๆ ต้องรอให้ศาลอาญาพิจารณาคดีก่อน และเมื่อศาลอาญาได้อนุญาตให้ "ถอนฟ้อง" ตามคำร้องของอัยการ ในปี 2549 ส่งผลให้พระธัมมชโยพ้นมลทิน เพราะศาลสงฆ์ได้ใช้การพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมมาเป็นตัวนำคดี ว่าเมื่อศาลอาญาพิจารณาไม่ฟ้อง ก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดคดี
ทีนี้ว่า ถ้าว่าพระธัมมชโยไม่ผิด แล้วพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) อดีตเจ้าคณะภาค 1 และอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม (มติมหาเถรสมาคม 10 กุมภาพันธ์ 2543) นั้นเล่า กรณีพระธรรมกิตติวงศ์ที่ถูกปลดจากกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะภาค 16 อีกเล่า ทั้งสองกรณีนี้จะทำอย่างไร หมายถึงว่าจะคืนความชอบธรรมให้อย่างไร
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9 Ph.D) วัดยานนาวา นั้น มรณภาพลงไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2544 จึงไม่มีโอกาสได้เรียกร้องความยุติธรรม
แต่สำหรับ "พระธรรมกิตติวงศ์" นั้นยังไม่ตาย ยังหายใจสบาย และยิ้มได้เต็มหน้า
ทีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ซึ่งเป็นประธานศาลสงฆ์ โดยได้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 มาจากข้อหาว่าไม่ยอมปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคมของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวา แต่พอพระธรรมโมลีได้เป็นประธานศาลสงฆ์จริง ก็ทำอะไรธัมมชโยไม่ได้อีก หนำซ้ำยังปล่อยให้ธัมมชโยลอยนวล ทั้งๆ ที่ศาลอาญาก็พิพากษาแล้วว่า "ธัมมชโยได้นำเอาปัจจัยที่ได้รับบริจาคไปร่วมพันล้านจริง แต่ได้คืนให้แก่วัดพระธรรมกายหมดแล้ว" ปรากฏต่อมาว่า หลังจากศาลสงฆ์ของพระธรรมโมลีได้ยกฟ้องตามศาลอาญาไปแล้ว ก็ไม่มีการคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ถูกกระทำในคดีธรรมกายแต่อย่างใด หมายถึงว่าตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งได้มาโดยการปลดเจ้าคณะองค์เก่าออกไปนั้น ยังไม่มีการคืน หนำซ้ำพระธรรมโมลียังได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น "พระพรหมโมลี" อันเป็นตำแหน่งเดิมของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวาอีกต่างหาก
ต่อมา เมื่อตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางว่างลง พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางแทน แถมยังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมานี้อีก
ขณะที่พระธรรมกิตติวงศ์ซึ่งโดนมรสุมกรณีธรรมกายนั้น ไม่เคยได้รับอะไรกลับคืนมาเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านสมณศักดิ์หรือตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ระดับภาคที่ถูกปลด
ทำไม ในคดีเดียวกัน คนทำงานก็เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
2. พระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุทฺโฒ ป.ธ.9) อายุ 45 พรรษา 25 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม รองเจ้าคณะภาค 1 (ปัจจุบันคือพระราชปริยัติเวที)
หลังจากพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางแล้ว ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ก็ว่างลง ตอนนั้นถ้ามีการตั้งให้พระธรรมกิตติวงศ์ ขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 1 ก็คิดว่าพระธรรมกิตติวงศ์คงจะพอใจ เพราะเจ้าคณะภาค 1 นั้นใหญ่ที่สุดในบรรดาเจ้าคณะภาคทุกภาคในประเทศไทย และเพราะพระธรรมกิตติวงศ์นั้นเป็นพระผู้ใหญ่ระดับสมเด็จพระราชาคณะ จะให้ของขวัญชิ้นเล็กๆ ก็คงไม่เหมาะสมกับฐานันดรศักดิ์
แต่เมื่อพระพรหมโมลีตัดสินใจตั้ง พระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม รองเจ้าคณะภาค 1 ขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 1 แทน สายใยในใจพระธรรมกิตติวงศ์ก็ขาดผึงเพราะเมื่อเอาเด็กระดับมหาสายชลมาปกครองภาคหนึ่งได้ ก็ไม่ต้องไปมองภาคอะไรในประเทศไทยอีกแล้ว ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 อันเอกอุ กลายเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ปล่อยให้พระเด็กๆ เล่นกันจนมอมแมมไปทั้งมหาเถรสมาคม เวลานี้อย่านับแต่เจ้าคณะภาค 16 เลย แม้แต่เจ้าคณะภาค 1 ก็ไม่มีค่าในสายตาของพระธรรมกิตติวงศ์ เพราะลงให้เด็กๆ ขึ้นนั่งเก้าอี้ใหญ่ระดับนี้แล้ว ผู้ใหญ่อย่างพระธรรมกิตติวงศ์จะไปนับทับนั่งซ้อนมันก็ไม่สมศักดิ์ ยกเว้นแต่พระที่ไม่มีศักดิ์ศรีเท่านั้นจึงยินดีนั่ง
เมื่อพระโสภณปริยัติเวที หลานชายสุดที่รักของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้พาสชั้นขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 1 อันเอกอุที่สุดในบรรดา 18 ภาคนั้น มันส่งผลกระทบไปถึง "มหาเถรสมาคม" ให้ดูต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาของปัญญาชน ว่ามหาเถรสมาคมหมดปัญญาหาคนดีมีฝีมือกว่ามหาสายชลแล้วหรือ ถึงได้อุ้มเอา "เด็กเมื่อวานซืน" มาทำงานระดับประเทศ ดูในเว็บไซต์ของเจ้าคณะภาค 1 สิ ระดมกองงานเลขานุการ ขนข้าวสารอาหารแห้งไปช่วยเหลือวัดที่ถูกน้ำท่วมในภาค 1 เจ้าคณะภาคต้องออกแรงไปแบกข้าวสารเอง ตัวเองเป็นผู้บริหารระดับสูง แต่ลงไปใช้แรงงานเป็นจับกัง ก็คงพอๆ กับสำนวนไทยที่ว่า "คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง" เป็นเรื่องที่หัวร่อไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็เป็นไปแล้ว
คำถามจึงมีว่า "ความดีความชอบอะไร ที่ส่งให้พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และได้รับการเสนอจากมหาเถรสมาคมให้เข้ารับการสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า "ความผิดร้ายแรงอะไร ทำให้พระธรรมกิตติวงศ์ถูกปลด และถูกดองไว้นานถึง 20 กว่าปี โดยไม่มีโอกาสเลื่อนสมณศักดิ์หรือแม้แต่กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม คือเจ้าคณะภาค 16" คำถามเหล่านี้คงจะมีคนคิดกันหลายคน โดยเฉพาะพระธรรมกิตติวงศ์คงจะคิดมากว่าใคร
"แล้วจะมีอะไรให้เกรงใจอีก ในเมื่อทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเกรงใจใครอยู่แล้ว" พระธรรมกิตติวงศ์คงคิดเช่นนี้ นี่แหละคือจุดเปลี่ยนของพระธรรมกิตติวงศ์ ก่อนจะยอมรับนิมนต์ไปเป็นประธานงานตักบาตรล้านรูปของธรรมกายเมื่อวานนี้
นี่ไงที่ท่านธัมมชโยก็คงเห็นหัวอกของพระธรรมกิตติวงศ์อย่างลึกซึ้ง จึงเมื่อมีโครงการตักบาตรพระหนึ่งล้านรูป ในบรรดาพระมหาเถระที่ได้รับการนิมนต์ให้ไปเป็นประธานตามจุดต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 25 มีนาคม นั้น ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พระพรหมดิลก พระวิสุทธิวงศาจารย์ และพระธรรมกิตติวงศ์ปรากฏว่าชื่อของ "พระธรรมกิตติวงศ์" ได้รับการวางไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุดของงาน คือได้เป็นประธาน ณ ประตูน้ำ-ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา ซึ่งความสำคัญที่ว่านี้มีจุดบ่งชี้ คือนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางไปเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในจุดนี้ ขณะที่จุดอื่นๆ นั้นได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนอื่นๆ กระจายกันไป แม้แต่ในวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา พิธีตักบาตรที่เยาวราช ขนาดว่ามีการนิมนต์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศ์ รวมทั้งมีรองสมเด็จพระราชาคณะตั้งหลายรูปไปนั่งหัตถบาตรร่วมพิธี แต่กลับปรากฏว่านายกรัฐมนตรีไม่ยอมไป ได้มอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีไปเป็นประธานแทน นั่นแสดงว่าธรรมกายให้ค่าแก่พระธรรมกิตติวงศ์มากกว่าสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รวมทั้งกรรมการมหาเถรอีกหลายรูป แต่พระธรรมกิตติเมธีจะรู้หรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ เพราะเห็นยิ้มย่องออกหน้าเวลารับประเคนไทยธรรมจากรองนายกรัฐมนตรี
และนี่คือเหตุผลที่ว่า ในบรรดาพระมหาเถระที่ไปเป็นประธานงานตักบาตรล้านรูปของวัดพระธรรมกายนั้น พระธรรมกิตติวงศ์ เป็นบุคคลสำคัญสูงสุด สูงกว่าสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สูงกว่ากรรมการมหาเถรสมาคมรูปอื่นๆมันเป็นรางวัลแห่งความจงรักภักดีในธรรมกายขั้นสูงสุดเท่าที่ธัมมชโยจะมอบให้
แต่ถามว่า พระธรรมกิตติวงศ์รู้หรือไม่ ว่าถูกจัดให้อยู่หัวแถวของงานนี้ งานที่ต้องคิดบัญชีกันอีกยาว ?
คำตอบก็คือว่า คนระดับราชบัณฑิต ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะรูปหนึ่งในวงการสงฆ์ไทย โดยเฉพาะสายบาลีนั้น ยอมรับพระธรรมกิตติวงศ์ว่าแต่งฉันท์บาลีได้ดีเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ขนาดว่าตอนที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมอยู่ งานแต่งฉันท์ของมหาเถรสมาคมต้องมอบหมายให้พระธรรมกิตติวงศ์แต่งทุกครั้ง ด้วยเกียรติคุณดังว่ามานี้ ถ้าไม่รู้ก็คงไม่ใช่พระธรรมกิตติวงศ์
ดังนั้น เมื่อพระธรรมกิตติวงศ์รู้ตัวและตัดสินใจไปเป็นพระเอกของงานตักบาตรล้านรูปที่ราชประสงค์ ก็แสดงว่าเป็นความประสงค์ของพระธรรมกิตติวงศ์ที่อยากจะ "เปิดหน้าเล่น" กับใครบางคนในมหาเถรสมาคม เพราะเรื่องใหญ่ระดับประเทศแบบนี้ ตบมือข้างเดียวรับรองว่าไม่ดัง หมายถึงว่า ถ้าพระธรรมกิตติวงศ์ไม่สมัครใจแล้ว ถึงท่านธัมมชโยจะเข็นอย่างไรก็คงยากจะสำเร็จ
พระธรรมกิตติวงศ์คงมองออกแล้วว่า ด้วยวัย 66 ปี ยังเดินมาได้แค่นี้ (ในวงการคณะสงฆ์เรื่องสมณศักดิ์) นอกจากจะถูกไล่ออกแล้วยังถูกปิดทางเข้ามานานนับ 20 ปี มันเป็นอะไรที่สายเสียแล้วที่จะกลับไปเดินบนเส้นทางเดิน ทางที่ถูกรุ่นน้องและรุ่นลูกศิษย์แซงหน้าไปหมดแล้ว ขืนกลับไปก็คงเสียคน แต่กรุงเทพมหานครนั้นใช่ว่ากว้างใหญ่ ไปงานวัดไหนก็เจอคนกันเองทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามือที่ยกมือไหว้ทุกครั้งนั้น จิตใจของเขาไหว้เราด้วยหรือเปล่า เพราะสังคมสงฆ์ไทยก็สวมหน้ากากใส่กันทุกวัน ดังนั้น เมื่อไปทางนี้ไม่ได้ และมีทางใหม่ให้เดิน คือทางที่ธรรมกายปูไว้ให้อย่างสวยหรู มีหรือพระธรรมกิตติวงศ์จะไม่เดิน เพราะพระธรรมกิตติวงศ์ในวันนี้ไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว !
นั่นอาจจะเป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่เพิ่มน้ำหนักการตัดสินใจให้แก่พระธรรมกิตติวงศ์ ก่อนรับเชิญเป็นประธานงานตักบาตรพระสงฆ์ 1,000,000 รูป เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนขอให้ฉายาว่า "ถึงเวลาเปิดหน้าเล่นแล้ว"
ถามว่า เปิดหน้าเล่นเช่นนี้ พระธรรมกิตติวงศ์จะได้อะไร ?
คำตอบก็คือ ได้ความสะใจไงครับ !
ได้โชว์เพาเวอร์ให้ผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมได้เห็น ว่าคนที่ชื่อ พระธรรมกิตติวงศ์ นั้น ยังมีทางไปอีกเยอะ ยังใหญ่ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เวทีมหาเถรสมาคมก็ตาม ในโลกใบนี้ยังมีเวทีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งราชบัณฑิตที่พระธรรมกิตติวงศ์ได้รับแต่งตั้งเป็นรูปที่ 2 ในประวัติศาสตร์ (รูปแรกคือพระพิมลธรรม-ชอบ อนุจารี วัดราษฎร์บำรุง ชลบุรี) รวมทั้งตำแหน่ง "ประธานของวัดพระธรรมกาย" ในงานตักบาตรล้านรูปดังกล่าว และหลังจากโชว์เพื่อความสะใจหลังจากนี้แล้ว สัมพันธภาพระหว่างผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมกับพระธรรมกิตติวงศ์ก็คงจะเป็นไปในทำนอง "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" อีกแล้ว เพราะเหยียบกันจนแบนติดดิน พระธรรมกิตติวงศ์โดนเหยียบจนแบนเรื่องสมณศักดิ์และตำแหน่งทางการปกครอง ผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมก็โดนพระธรรมกิตติวงศ์ "เหยียบหน้า" ภาษานักมวยเรียกว่า "บาทาลูบพักตร์" ด้วยการสร้างอำนาจนอกระบบขึ้นมาคาน แบบว่าไม่สามารถนั่งหัวแถวในพระบรมมหาราชวังได้ก็ไม่เป็นไร ธรรมกายยังสามารถ "ปิดถนนกลางกรุงเทพมหานคร" เปิดเวทีใหพระธรรมกิตติวงศ์ขึ้นนั่งเป็นประธาน ท่ามกลางพระสงฆ์สามเณรนับหมื่นๆ รูป ประชาชนอีกเรือนแสน แถมด้วยกรรมการมหาเถรสมาคมอีกมากมายหลายรูป มานั่งประดับบารมีให้แก่พระธรรมกิตติวงศ์ ขนาดสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ก็ยัง "นั่งต่ำ" กว่าพระธรรมกิตติวงศ์ นี่ยังโชคดีนะที่สมเด็จพระราชาคณะในฝ่ายมหานิกายไม่ไป ไม่งั้นพระธรรมกิตติวงศ์คงได้ภาพฮาชุดใหญ่ไปนอนดูเล่น
ก็คิดดูสิ เริ่มตักบาตรมาตั้งแต่วันที่ 10-11 มีนาคม 2555 หมายถึงว่าถ้าจะเปิดงานก็ต้องเป็นวันที่ 10 ซึ่งน่าจะเชิญนายกรัฐมนตรีไปในวันนั้น แต่ปรากฏว่าทางผู้จัดการได้เชิญ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.กระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร มาเป็นประธานแทน ส่วนประธานฝ่ายสงฆ์นั้นได้แก่ พระวิสุทธิวงศาจารย์(วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ.9) วัดปากน้ำ เจ้าคณะภาค 7 และกรรมการมหาเถรสมาคม ตกวันที่ 11 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของงาน นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่โผล่ ถัดมาอีกเสาร์หนึ่ง คือวันที่ 17 มี.ค. ทางรัฐบาลได้ส่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม มาเป็นประธาน ขณะที่ทางผู้จัดการใหญ่ได้จัดเอา "พระพรหมดิลก"(เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะภาค 14 และกรรมการมหาเถรสมาคม ลงแทน ตกวันอาทิตย์ ที่ 18 มี.ค. 2555 จึงถือว่าเป็นวันเปิดงานอย่างเป็นทางการ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตื่นนอนแต่เช้ายิ่งกว่าตอนหาเสียงเลือกตั้ง แต่งชุดขาว มีแถบพาดไหล่ทั้งยาวลงไป ได้เดินทางไปยังบริเวณมณฑลพิธีที่ประตูน้ำ-ราชประสงค์ เพื่อตักบาตรทำบุญ โดยไม่ลืมชวนน้องเอมพิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวสุดรักของพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปทำบุญด้วย
สำหรับประธานฝ่ายสงฆ์นั้น ท่านผู้จัดการใหญ่ได้คัดชื่อของ "พระธรรมกิตติวงศ์" ลงไปนั่งอยู่ท่ามกลางพระสงฆ์นับหมื่นๆ รูป และพุทธศาสนิกชนอีกนับแสนคน เหมือนดาวล้อมเดือน สป็อตไลต์นับพันดวง กล้องทีวี กล้องถ่ายรูป แย่งกันบันทึกภาพของพระธรรมกิตติวงศ์วูบวาบเหมือนซูเปอร์สตาร์ เกิดมาจนอายุขึ้นเลขสี่ก็ยังไม่เคยเห็นพิธีอะไรจะยิ่งใหญ่เท่านี้
วัน-เวลา และสถานที่ อันเป็นอภิมหามงคลฤกษ์นี้ ถามว่าพระเจ้าองค์ไหนเสกสรร ถ้าหากมิใช่ผู้จัดการมือทองที่ชื่อ "พระเทพญาณมหามุนี" เป็นมืออภิมหามิตรที่บรรจงป้อนลูกให้พระธรรมกิตติวงศ์เพียงแค่แตะตามน้ำเบาๆ ก็สไลด์เข้าโกลอย่างสวยงาม ขนาดว่านายทวารทิ้งตัวลงขวางพร้อมกับเอื้อมมือไปจนสุดตัวก็ยังยากจะไขว่คว้า ต้องปล่อยให้ลูกบอลวิ่งเข้ามุมซ้ายไปอย่างยากจะลอกเลียน ใช่แล้ว มันเป็นศิลปะเฉพาะตัว ต้องอัจฉริยะระดับ "พระธรรมกิตติวงศ์+พระเทพญาณมหามุนี" เท่านั้น ที่กล้าเล่นเช่นนี้ได้ นอกนั้นแล้วอย่าคิดเล่นเลย หลังหักเปล่าๆ
และนี่ก็คือ ของขวัญอันสูงสุดที่ท่านธัมมชโยมอบให้แก่พระธรรมกิตติวงศ์ ในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์
สรุปว่า ถ้าจะว่าพระธรรมกิตติวงศ์เล่นแรง แบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม พระธรรมกิตติวงศ์ก็คงตอกกลับบ้างว่า "ตะทีพวกท่านทำกับผมล่ะ มันไม่แรงหรือ มีใครในประเทศไทยเจอทำแบบผมบ้าง"
หนังเรื่องยาวเรื่อง "ยศช้างขุนนางพระ" ตอน "12 สิงหาคม 2535" ยังคงเป็นเรื่องยาวอีกต่อไป และต่อไป
หรือจะเป็นดังคำกล่าวที่ว่า "หลังเสือนั้น ขึ้นแล้ว ลงยาก..."
ข้อที่ 7 : เหตุไฉนในเว็บไซต์ของรัฐบาลก็ดี ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี ซึ่งเป็นภาคีในการจัดงานครั้งนี้ กลับไม่มีข้อมูลของการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงการ วิธีการ การประชาสัมพันธ์ และรวมทั้งข้อมูลข่าวสารด้านอื่น เช่น ภาพ วีดิโอ เป็นต้น แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้มีอยู่ในเว็บไซต์ของวัดพระธรรมกายเพียงแห่งเดียว
จริงๆ แล้วก็คงไม่อยากเขียนมาก เพราะมิใช่เรื่องสำคัญ มันยังเป็นรองบทบาทอื่นๆ ของตัวละครที่แสดงออก เพียงแต่ว่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์งานตักบาตรล้านรูปนั้น ถ้าสำนักนายกรัฐมนตรีก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ได้ ได้ร่วมกันเป็นภาคีกับวัดพระธรรมกาย ก็น่าจะมีการโปรโมทโฆษณาในเว็บไซต์ของรัฐบาลและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอย่างทั่วถึง แต่กลับมีเพียงเว็บไซต์ของวัดพระธรรมกายเพียงแห่งเดียวที่เสนอข่าว แบบนี้ก็แสดงว่า การจัดงานใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการล็อบบี้ของธรรมกายแต่เพียงผู้เดียว ส่วนภาคีอื่นๆ นั้นเพียงแต่ให้ชื่อไปโฆษณาว่ามีส่วนร่วม แค่นี้ธรรมกายก็พอใจแล้ว เพราะต้องการเพียงแค่ชื่อเท่านั้นจริงๆ มิได้ต้องการให้เข้ามาก้าวก่ายในงานเลย ไม่ว่าส่วนไหน แม้แต่เรื่องชุดอุบาสิกาของนายกรัฐมนตรีก็เป็นเกมอันคลาสสิกของธรรมกาย ใครถลำตัวเข้าไปไกลถึงปานนั้นจะบอกว่า "หนูไม่รู้" ก็คงเสียคน ดังนั้นสู้นิ่งไว้ไม่ดีกว่าหรือ
ข้อที่ 8 : งานตักบาตรพระล้านรูป เพื่อช่วยเหลือพระสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นโครงการช่วยชาติ ซึ่งรัฐบาลไทยถึงกับต้องรับเป็นภาคี (หุ้นส่วน) ในการจัดงาน ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นโต้โผในการจัดด้วยซ้ำไป เพราะรัฐบาลมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อปัญหาในสามจังหวัดชายแดนใต้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับพระหรือโยมก็ตาม ดังนั้น เมื่อจะจัดงานเพื่อชาติแล้ว เหตุใดรัฐบาลไทยไม่ขอความร่วมมือจากมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ แต่กลับไปร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย นั่นหมายถึงว่า รัฐบาลมองว่ามหาเถรสมาคมไม่มีความสามารถในการจัดงานดังกล่าวใช่หรือไม่
เรื่องนี้ก็ดังที่เห็น คือว่า ถ้าหากรัฐบาลไทยคิดจะเข้าเป็นหุ้นส่วนจัดงานกับวัดพระธรรมกายในการช่วยเหลือพระในสี่จังหวัดชายแดนใต้ ทำไมจึงมองข้ามมหาเถรสมาคมไป รัฐบาลอาจไม่ได้มองว่ามหาเถรสมาคมไม่มีความสามารถ หากแต่ว่าโครงการนี้ริเริ่มโดยธรรมกาย ทำกันมานานหลายปีจนช่ำชองแล้ว เมื่อธรรมกายมาขอความร่วมมือ ทางรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งข่าวว่าพักหลังนี้ศรัทธาในธรรมกายอย่างหัวปักหัวปำ ก็จึงยินดีรับเป็นหุ้นส่วน ทั้งนี้ ในฤดูกาลเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีข่าวหนาหูว่า ทางหลวงพ่อธัมมชโยได้มอบนโยบายการศาสนาให้แก่บรรดาสาวกว่า "ขอให้ทุ่มเทช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยอย่างสุดความสามารถ" ผลสุดท้ายพรรคเพื่อไทยก็ชนะและได้เป็นรัฐบาล งานตักบาตรพระล้านรูปจึงอาจจะเป็นการแสดงออกซึ่งปฏิการคุณที่ "ธัมมชโย" มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นได้
ไม่เท่านั้นนะ ถ้อยคำที่ว่า "มีหลวงพ่อองค์หนึ่งทำนายว่า ไม่ต้องรีบกลับเมืองไทย ขอให้อยู่เมืองนอกไปก่อน และไปอยู่เมืองนอกนั้นอาจจะหาทางค้าขายร่ำรวยกว่าอยู่เมืองไทยด้วย" นี่เป็นคำอ้างของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อสาวกทางการเมือง ส่วนหลวงพ่อเจ้าของคำพูดเหล่านี้ มีคนกระซิบผู้เขียนให้ทราบว่า คือท่าน... นั่นเอง นอกจากจะพยากรณ์กรรมทางดาวธรรมแม่นเหมือนตาเห็นแล้ว ยังดูดวงได้เด็ดขาดอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ผลของงานที่ออกมาในรูปนี้ คือมีชื่อธรรมกายเป็นเจ้าของโครงการ นั่นก็เท่ากับฟ้องไปในตัวว่า "มหาเถรสมาคมลอยแพพระสงฆ์ไทยในสี่จังหวัดชายแดนใต้ คือไม่ดูไม่แล และถ้าไม่ได้ธรรมกายช่วยแล้ว ก็เห็นว่าวัดจะร้างทั้งสี่จังหวัด"
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว ภาระหน้าที่ในการดูแลพระสงฆ์ในสี่จังหวัดชายแดนใต้นั้นก็มีผู้รับผิดชอบอยู่ นับตั้งแต่มหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เจ้าคณะภาค ลงไปจนถึงเจ้าคณะจังหวัด รวมทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมหาเถรสมาคมได้ลงมติให้จัดตั้งกองทุน "วัดช่วยวัด" ขึ้น แล้วให้หักเงินนิตยภัตของพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ปีละ 1 เดือน นำเข้าบัญชีที่ว่านี้ เพื่อนำไปช่วยเหลือพระสงฆ์ในสี่จังหวัดชายแดนใต้ดังกล่าว รวมทั้งงบประมาณด้านอื่นที่ผันจากรัฐบาลสู่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนามิได้นิ่งเฉย ทำงานหนักมาโดยตลอด แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ สู้วัดพระธรรมกายไม่ได้ เพราะเขาเก่งการตลาดมากกว่า แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า กรรมการมหาเถรสมาคมนับตั้งแต่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ลงมา กลับไปนั่งรับบาตรในโครงการนี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา นั่นก็เท่ากับยอมรับไปในตัวว่า "มหาเถรสมาคมทำงานล้มเหลว เลี้ยงพระสี่จังหวัดชายแดนใต้ไม่ไหว จึงต้องขอความช่วยเหลือจากวัดพระธรรมกาย"ใช่ไม่ใช่ก็เชิญไปถามบรรดากรรมการมหาเถรสมาคมที่ไปร่วมงานเอาเอง
ข้อที่ 9 : จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้พระตั้ง 1,000,000 รูป ระดมกำลังออกบิณฑบาตเพื่อเลี้ยงพระในสี่จังหวัดชายแดนใต้ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 อาทิตย์ และคุ้มหรือไม่กับการใช้รถขนอาหารจากกรุงเทพฯลงไปส่งทุกวัดในสี่จังหวัดชายแดนใต้
ยกตัวอย่างที่อ้างว่า เปิดโครงการบิณฑบาตแก่พระ 1 ล้านรูป นำเอาข้าวสารอาหารแห้งไปช่วยเหลือพระสงฆ์ใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ จำนวนทั้งสิ้น 266 วัด ซึ่งจำนวนพระสงฆ์นั้นคาดว่าน่าจะไม่เกิน 1,000 รูป เพราะมีหลายวัดที่ร้าง เพราะพระสงฆ์หนีภัย ต้องหาพระอาสาสมัครลงไปจำพรรษา
ทีนี้ว่า พระภิกษุสามเณรแค่ 1,000 รูป ถามว่ารัฐบาลและคณะสงฆ์ไทยดูแลไม่ไหวหรืออย่างไร จึงได้ปล่อยให้ธรรมกายเข้าช่วยเหลือ จนกลายเป็นว่า "ธรรมกายคือตัวหลัก" ในการช่วยเหลือพระสงฆ์ไทยในภาคใต้ไปแล้ว
ในอีกทางหนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของธรรมกาย ก็มองให้เห็นว่า เวอร์เกินไปเพราะ
1. การประโคมข่าวตักบาตรพระสงฆ์ 1,000,000 รูป จัดกิจกรรมต่อเนื่องภายในเวลาแค่ 2 อาทิตย์ ทำเหมือนกับว่าเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงในสี่จังหวัดชายแดนใต้ ถ้าไม่ได้พระเป็นแสนเป็นล้านรูปไปช่วยแล้วจะยากเกินเยียวยา ถามว่าจริงหรือไม่ ทางมหาเถรสมาคมก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี เคยมีการวิเคราะห์หรือเปล่าว่า โครงการของวัดพระธรรมกายนั้นเว่อร์เกินจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมทั้งรัฐบาล ก็ดูแลพระในสี่จังหวัดเหล่านั้น แบบว่าขาดเหลือสิ่งใดก็ขอให้บอก เพียงแต่ไม่โฆษณาเหมือนธรรมกายเท่านั้น
2.อาหารบิณฑบาตที่ได้จากโครงการตักบาตรล้านรูปนั้นมีจำนวนมหาศาล ประมาณว่าเป็นร้อยตัน ถามว่า ข้าวของทั้งหมดถ้านำไปให้แก่พระสงฆ์ในสี่จังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 266 วัดเหล่านั้น มันไม่เยอะเกินไปหรือ และถ้าพิจารณาลงไปอีก แม้ว่าจะเป็นอาหารแห้ง แต่ก็ต้องมีอายุ อย่างมากก็ไม่เกิน 1 ปี อาหารจำนวนมหาศาลเหล่านั้นจะฉันหมดอย่างไรภายใน 1 ปี และที่สำคัญก็คือว่า การใช้รถบรรทุกขนอาหารจากกรุงเทพฯ ไปส่งถึงทุกวัดในสี่จังหวัดชายแดนใต้นั้นคุ้มค่าหรือไม่ เพราะน้ำมันแพง ระหว่างค่าขนส่งกับมูลค่าสิ่งของที่ส่ง อย่างไหนแพงกว่ากัน มันไม่เป็นโครงการขี่ช้างจับตั๊กแตนหรือ หรือว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝงมากกว่านั้น
นี่จึงเป็นการเปิดหน้ากากของธรรมกายว่า "ใช้โครงการตักบาตรล้านรูปบังหน้า" เพื่อประชาสัมพันธ์วัดพระธรรมกายในเชิงรุกเข้ายึดกรุงเทพมหานครอันเป็นเมืองหลวงของประเทศ ทางหนึ่งก็ประกาศว่า "ตักบาตรช่วยชาติศาสนาช่วยภาคใต้" ทางหนึ่งก็หมกเม็ดโดยการนำเอาพระพุทธรูปแบบธรรมกายมาเป็นประธาน จุดคุ้มค่าจึงอยู่ที่ธรรมกายได้สร้างสัญลักษณ์ใหม่กลางกรุงเทพมหานคร ดังปรากฏแก่สายตาทุกท่านแล้ว
มารยาทเป็นเรื่องสำคัญในการบริหารการปกครองบ้านเมือง
อย่าลืมด้วยว่า มหาเถรสมาคมนั้น เป็นองค์กรปกครองรวบอำนาจสูงสุดไว้ทั้ง 3 หลัก ได้แก่
1. เป็นรัฐบาลปกครองคณะสงฆ์ทั้งประเทศ
2. เป็นสภาออกกฎหมายของคณะสงฆ์ มติหรือคำสั่งของมหาเถรสมาคมมีศักดิ์และสิทธิ์เสมอกับกฎหมาย
3. เป็นศาลยุติธรรมสำหรับคณะสงฆ์ แม้จะไม่ยุติธรรมสำหรับบางฝ่าย แต่อำนาจด้านนี้ก็อยู่ในมือมหาเถรสมาคม
ที่ผู้เขียนนำเสนอมาทั้งหมดนั้น ก็ขมวดใจความได้แต่เพียงเรื่องของ "กติกาและมารยาท" ในการบริหารปกครองบ้านเมือง เป็นเรื่องที่พึงสังวรระวัง เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าลืมว่า พระธรรมกิตติวงศ์ถูกมรสุมอย่างแรงในชีวิต ถูกปลิดชีพจากวงอำนาจในคณะสงฆ์ก็เพราะเรื่องของมารยาท เพราะ
1. ท่านเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม แต่ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ในบัญชีพิเศษ ที่มิได้ผ่านมหาเถรสมาคม แม้ว่าจะเป็นพระบรมราชโองการ อันเป็นอำนาจสูงสุด แต่สำหรับพระธรรมกิตติวงศ์ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ถือว่าผิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง
2. ท่านเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม แต่เห็นต่างจากมติมหาเถรสมาคมเรื่องธรรมกาย และอีกหลายเรื่อง ก็ถือว่าเป็นการทำผิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรงเช่นกัน
ถ้าเอาตัวบทกฎหมายมาจับ ก็รับรองว่าทำอะไรพระธรรมกิตติวงศ์ไม่ได้ แต่ถ้าใช้จริยาพระสังฆาธิการมาจับ พระธรรมกิตติวงศ์ก็คงเอวังดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งท่าน ผอ. ท่านรอง ผอ. ที่ไปร่วมงานตักบาตรพระล้านรูป และถูกพาดพิงถึงใน อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม นั้น ขอบอกให้ทุกท่านทราบว่า ขนาด สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ยังถือเป็น "พระรอง" ของเรื่อง กรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะพระสังฆาธิการที่ไปร่วมงาน เปรียบได้แค่ "พระอันดับ" แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ พวกท่านดูไปแล้วก็แค่ "หางเครื่อง" ที่เขียนถึงเพราะเห็นว่าเต้นสวย เท่านั้นเองดอก จะบอกให้
ทั้งสิ้นทั้งปวงนี้ คือคำตอบต่อคำถามของ นายพนม ศรศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าอยากทราบเหตุผลกลไกเกี่ยวกับการลงข่าวในทำนองว่า "เราไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว"ซึ่งผู้ที่อ่านข่าวอย่างผิวเผินก็คงจะคิดเห็นเช่นนั้น แต่สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วก็คงจะทราบดีว่า นอกจากจะไม่แอนตี้แล้ว ทางเรายังอยากจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของประเทศชาติศาสนา หากแต่ว่า การทำงานร่วมกันนั้น ต้องมีกฎ กติกา และมารยาท แบบว่าโปร่งใส มิใช่ทำลับๆ ล่อๆ แบบที่วัดพระธรรมกายเคยทำและกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน
เราจึงเพียงตั้งคำถามไปถึง "รัฐบาลและมหาเถรสมาคม" เท่านั้น ส่วน "วัดพระธรรมกาย" นั้นไม่กล้าถาม เพราะว่าวัดเป็นนิติบุคคล สามารถจะทำกิจกรรมใดๆ ก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ยิ่งโครงการช่วยชาติด้วยแล้ว ใครบ้างจะกล้าคัดค้าน ทำดีเพื่อชาติ ใครบังอาจคัดค้านก็เสียคน
แต่ในการทำงานเพื่อประเทศชาติศาสนานั้น ท่านสอนว่า "ทำงานเพื่อศาสนา อย่าแสวงหาอามิส" คืออย่าหวังได้ประโยชน์จากการกระทำ จงทำความดีให้เหมือนการปิดทองหลังพระ แต่พฤติกรรมของวัดพระธรรมกายกลับตรงกันข้าม มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์จนเว่อร์ ดังกล่าวมาหมดแล้ว
ส่วนเมื่ออ่านข้อความเหล่านี้แล้ว นายพนม ศรศิลป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทุกคน จะเข้าใจอย่างไร สมควรหรือไม่สมควรไปร่วมงาน "ตักบาตรพระล้านรูปของวัดพระธรรมกาย" ก็ไปคิดกันเอาเอง ว่าแต่ว่าจะถามทำไม ในเมื่อก็ไปแล้ว คำถามที่ว่า "ควรไปหรือไม่" นั้น คนมีสติเขาต้องถามกันก่อนไป มิใช่ไปแล้วจึงค่อยถาม ถามแบบนี้เรียกว่าถามแก้เกี้ยว อยากจะเลี้ยวกลับให้สวยๆ แต่กระนั้นก็ตาม ถึงถามและได้คำตอบแล้ว ถามว่าจะได้อะไรในการถาม ในเมื่อทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว ประวัติศาสตร์ของทุกท่านถูกบันทึกไว้หมดแล้ว
ทาง เรา-อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ได้นำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยมีอคติกับใคร ไม่ว่าจะเป็นมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือแม้แต่วัดพระธรรมกาย หรือถ้าจะว่าเรามีอคติก็ขอตอบว่า "เรามีทั้งคติและอคติ" มิใช่มีแต่อคติอย่างเดียว
เพียงแต่ตั้งข้อสงสัยในเหตุปัจจัยที่เห็นและเป็นไป
ดี-เราก็สนับสนุน แย่หรือเสียหาย-เราก็ตำหนิ ตามพระบาลีที่ว่า นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ แปลว่า ข่มบุคคลที่ควรข่ม ยกย่องบุคคลที่ควรยกย่อง
และเราแน่ใจว่า ได้ทำหน้าที่ของเราอย่างตรงไปตรงมา นับตั้งแต่เริ่มทำงานในสหรัฐอเมริกามา จากปี พ.ศ.2542 ถึงปัจจุบันวันนี้ก็เป็นเวลา 13 ปีแล้ว
ขอเจริญพรยุติการตอบคำถามไว้แต่เพียงเท่านี้
พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
28 มีนาคม 2555
09:00 P.M. Pacific Time.
ปี 2542 หลวงพ่อ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ซึ่งตอนนั้นมีสมณศักดิ์เป็น พระธรรมปิฎก มีความห่วงใย บ้านเมือง และคณะสงฆ์ จึงได้ทำหนังสือชี้แจง ในชื่อ "กรณีธรรมกาย" เพื่ออธิบายให้ผู้คน กระทั่งหมู่สงฆ์ ได้เข้าใจว่า สิ่งที่ถูกต้องคืออะไร โดยเฉพาะ คำว่า นิพพาน ที่ธัมมชโย สอนว่า นิพพาน เป็น อััตตา ทำความเข้าใจเรื่อง พระไตรปิฎก ทำความเข้าใจเรื่อง ข้อแตกต่าง ระหว่าง คำว่าปรัชญา และ ศาสนา และอื่นๆ ซึ่งต้องอธิบาย ด้วยความเหนื่อยยาก และยืดยาว เนื่องจาก ธัมมชโย และ ธรรมกาย นำไปบิดเบือนไว้เยอะมาก จนผู้คนบางส่วน หลงเชื่อไป จำนวนมากแล้ว จนทำให้ ธัมมชโย และสมุน เกิดโมโห โกรธา ขึ้นมา จึงหันมาโจมตี พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ข้อความในเวบไซท์ ลานธรรม บันทึกเรื่องราวเอาไว้ ดังนี้... ขณะที่ชาวพุทธทั้งหลายกำลังตื่นตัวระวังภัยจากภายนอกนั้น กลับนิ่งเฉยกับภัยที่กำลังเกิดขึ้นภายในทั้ง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อพุทธศาสนาอย่างมาก เพราะนอกจากจะสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์แล้ว ยังเป็นผลร้ายต่อความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมทางพุทธศาสนา ยิ่งกว่านั้น มีชาวพุทธเป็นอันมากกลับร่วมมือในการก่อภัยดังกล่าว จะเพราะเห็นแก่ลาภสักการะหรือเพราะหลงเชื่อคำปลุกปั่นยุยงก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงกรณีธรรมกาย หรือปัญหาอลัชชี หากกำลังพูดถึงการใส่ร้ายทำลายพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) อย่างเป็นขบวนการ ด้วยการเผยแพร่หนังสือ เอกสาร เทป และออกบรรยายปั้นแต่งเรื่องเท็จไปทั่วประเทศ ทั้ง ๆที่หนังสือและเอกสารดังกล่าว (ซึ่งเขียนโดยผู้ใช้ชื่อว่าดร.เบญจ์ บาระกุล) เป็นสิ่งพิมพ์ผิดกฎหมาย มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาอีกทั้งมีคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้ามมิให้ขายหรือจำหน่ายจ่ายแจกมาแต่ปี ๒๕๔๒ แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้ก็ยังมีการวางขายและเผยแพร่หนังสือดังกล่าวอย่างเปิด เผย ที่น่าเสียใจก็คือ สถานที่ที่แจกหนังสือผิดกฎหมายเหล่านี้หาใช่ที่ใดไม่ หากได้แก่ตามวัดต่าง ๆ เวลามีการประชุมพระสังฆาธิการ โดยผู้จัดบางครั้งเป็นถึงกับเจ้าคณะภาคหรือเจ้าคณะจังหวัด ยิ่งกว่านั้นเจ้าคณะพระสังฆาธิการดังกล่าว ยังให้ความสนับสนุนขบวนการดังกล่าวอย่างชัดเจน ด้วยการนิมนต์พระบางรูปหรือนายทหารบางคน ซึ่งอ้างตนว่าอยู่ใน"ชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ"มาบรรยายใส่ร้ายพระธรรมปิฎก ว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อพระพุทธศาสนาบ้าง เป็นคอมมิวนิสต์บ้าง รับแผนจากฝ่ายคริสต์บ้าง เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตว่าขบวนการโจมตีใส่ร้ายดังกล่าวก่อตัวขึ้นไม่นาน หลังจากที่พระธรรมปิฎกได้ออกหนังสือเรื่อง กรณีธรรมกาย เพื่อชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักธรรมสำคัญในทางพุทธ ศาสนา ซึ่งถูกทำให้วิปริตผิดเพี้ยนไปเพราะคำสอนของวัดพระธรรมกาย แม้หนังสือดังกล่าวจะออกมาได้ ๒ ปีแล้ว และพระธรรมปิฎกก็ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้อีก แต่ขบวนการโจมตีใส่ร้ายท่านก็ยังไม่ยอมยุติ ทั้งยังแพร่ขยายออกไป โดยนับวันจะมีพระเณรหลงเชื่อเรื่องเท็จดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าพระผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนเห็นชอบด้วย แน่นอนว่าขบวนการดังกล่าวต้องมีเงินทุนมหาศาล จำเพาะหนังสือ เอกสาร และเทปที่แจกอย่างไม่ยั้งมือ ชนิดเทน้ำเทท่าตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา คาดว่ามีมูลค่าไม่น้อยกว่า ๓๐ ล้านบาท ยังไม่นับค่าใช้จ่ายสำหรับ "วิทยากร" และ "ค่าน้ำค่าไฟ" สำหรับเจ้าอาวาส และเจ้าคณะพระสังฆาธิการที่ให้ความร่วมมือกับแผนการดังกล่าว คำถามก็คือ แผนการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? และใครอยู่เบื้องหลังขบวนการดังกล่าว? วิญญูชนย่อมทราบดีว่าพระธรรมปิฎกนั้นเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระศาสนามาโดย ตลอด ท่านมีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งกว่าผู้ใดในเวลานี้ ที่สามารถชักนำให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่หันมาสนใจพุทธศาสนา และนำหลักธรรมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ชีวิตและสังคม ขณะเดียวกันก็ทำให้คนทั่วไปเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระ ศาสนา ไม่เฉพาะหลักธรรมคำสอนเท่านั้น หากรวมไปถึงระเบียบแบบแผนทางพุทธศาสนา อาทิ วินัยและประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ หนังสือพุทธธรรมของท่านนั้น ถือได้ว่าวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่สำคัญในยุครัตนโกสินทร์ และอาจย้อนไปถึงยุคสุโขทัยนับแต่ไตรภูมิพระร่วงเลยก็ว่าได้ แต่แล้วหนังสือเล่มนี้ของท่านกลับถูกขบวนการโสณทุจริตดังกล่าวโจมตีบิดเบือน หาว่าปลอมปนคำสอนนอกพุทธศาสนา และทั้ง ๆ ที่พระธรรมปิฎกเป็นพระมหาเถระเพียงไม่กี่รูปเวลานี้ ที่ชี้ให้สังคมสมัยใหม่เห็นคุณค่าของสถาบันสงฆ์ และช่วยกันดูแลเอาใจใส่สถาบันนี้ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา แต่แล้วพระสงฆ์เป็นอันมากกลับร่วมกันโจมตีทำร้ายท่าน ด้วยหลงเชื่อคำยุยงว่าท่านเป็นอันตรายต่อสถาบันสงฆ์ การทำลายพระธรรมปิฎกก็คือการทำลายประทีปของพุทธศาสนาไทยในเวลานี้ รวมทั้งเป็นการปิดกั้นโอกาสของชาวพุทธรุ่นหลัง ที่จะบังเกิดปัญญาจากการได้ศึกษาผลงานของท่าน จึงเท่ากับเป็นการตัดรอนอนาคตของเขาเหล่านั้นโดยตรง อ ีกทั้งยังทำให้คณะสงฆ์อ่อนแอลงไปอีกทั้งในทางสติปัญญา และความสามัคคี ผลร้ายจึงตกอยู่กับพุทธศาสนาในที่สุด ด้วยเหตุนี้ขบวนการโจมตีใส่ร้ายพระธรรมปิฎกจึงเป็นภัยร้ายแรงต่อพุทธศาสนา เป็นภัยที่กำลังเกิดขึ้น ณ แก่นแกนของแวดวงพุทธศาสนาไทยในเวลานี้ ภัยใกล้ตัวอย่างนี้ใช่ไหมที่เรากำลังปล่อยปละละเลยกัน ชาวพุทธทั้งหลายควรหันมาใส่ใจกับภัยภายในดังกล่าวเสียที อย่างน้อยที่สุดพระสงฆ์ และประชาชนทั้งหลายไม่ควรตกเป็นเครื่องมือให้แก่ขบวนการโสณทุจริตดังกล่าว ไม่ว่าจะโดยการเผยแพร่หนังสือผิดกฎหมายหรือหลงเชื่อคำปลุกปั่นยุยง ควรชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ผู้ที่เข้าใจผิด และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับบุคคลที่เผยแพร่ หรือวางขายหนังสือผิดกฎหมายเหล่านั้น ขณะเดียวกันมหาเถรสมาคมก็ไม่ควรนิ่งเฉยควรตักเตือนหรือดำเนินการ กับเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั้งหลาย ที่ร่วมมือในการเผยแพร่หนังสือผิดกฎหมาย และสนับสนุนการกระทำอันเป็นภัยต่อพระศาสนา ทางด้านกองบัญชาการทหารสูงสุด ก็ไม่ควรปล่อยให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ใช้ชื่อกองทัพในการทำเรื่องทุจริตดัง กล่าว และที่สำคัญก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรปล่อยให้บุคคลเหล่านี้ทำการเย้ย กฎหมายอีกต่อไป โดยเฉพาะพ.ต.ต.สมาน ผาติประจักษ์ สว. งาน ๖ กก.๒ ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อปีที่แล้วว่า "ตนจะต้องตรวจยึดหนังสือที่เขียนโดยดร.เบญจ์ ซึ่งถือว่าการเข้าข่ายทำลายพุทธศาสนา ทำลายพระธรรมปิฎก ซึ่งมีทั้งหมด ๔ หมื่นกว่าเล่ม และจัดการเผาทิ้งทันที ขอให้เชื่อมั่น ตราบใดที่ตนเองยังรับตำแหน่งหน้าที่นี้อยู่ หนังสือพวกนี้จะต้องหมดไป" คัดมาจากวารสาร ธรรมานุรักษ์ จากคุณ : คัดมาฝาก [ 26 ก.ย. 2544 / 13:11:26 น. ] http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003471.htm มิจฉาทิฏฐิ และความโลภ ของคน เพียงไม่กี่คน ทำให้พระพุทธองค์ และพระไตรปิฎก ต้องแปดเปื้อน ทำให้หมู่สงฆ์้ ต้องแตกแยก ทำให้ผู้คน ต้องงมงาย ขอบคุณ ภาพ และข้อมูล จากอินเตอร์เนต |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ