#เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์ นำออกมอบให้ท่านผู้ศรัทธาบริจาคเพื่อสืบทอดพระศาสนา













ภาพ วันที่ 27 พค. 2562 ที่จ.ปัตตานี
ข้อมูลที่
https://www.facebook.com/thaihistory/photos/a.631701976875908/2427328010646620/?type=3&theater

https://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2019/05/blog-post_98.html
"ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารพรานต้องทำได้ทุกอย่าง เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน ในฐานะข้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทหารพรานทุกคนพร้อมจะอุทิศชีวิตและปฏิบัติทุกอย่างเพื่อทำให้ผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานปรากฏสันติสุขอีกครั้ง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพ่อของแผ่นดิน” นี่คือความตั้งใจในการลงมาปฏิบัติภารกิจใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ของ พ.อ.คมกฤช รัตนฉายา






“เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า” หรือ “ เขี้ยวเสือกลวง” เป็นเขี้ยวของเสือโคร่ง แต่ถือว่าหาได้ยากมากที่เขี้ยวเสือโคร่งจะมีหากเสือตัวใดที่มีเขี้ยวโปร่งฟ้า แสดงว่าเสือตัวนั้นมีเทวดาให้ความคุ้มครองอยู่ จวบจนเมื่อเสือตัวนั้นได้ตายไป วิญญาณของเสือก็จะเกิดในอีกภพภูมิหนึ่ง ซึ่งมีฐานะเป็นวิญญาณเจ้าป่า คอยดูแลรักษาผืนป่าต่อไปนั่นเอง แต่ถ้าผู้ใดที่ครอบครองเขี้ยวเสือโปร่งฟ้า ก็จงตระหนักไว้ว่า ถ้าวันใดที่ตรงกับวันตายของเสือผู้เป็นเจ้าของเขี้ยว วันนั้นเขี้ยวเสือจะไม่แสดงฤทธิ์อำนาจใดๆ หากแต่เมื่อไหร่ที่วิบากกรรมของผู้ครอบครองมาถึง ย่อมไม่อาจฝืนชะตากรรมได้ เพราะไม่ว่าสิ่งใด ก็ไม่มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกฎแห่งกรรม

http://www.lucky4u.org/article/101/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87

ของมากบารมี อีกทั้งมีจำนวนน้อย เค้าจึงเลือกคนอยู่ด้วยเช่นกันครับ ใช่ว่ามีเงินแล้วจะสามารถครอบครองเสือของหลวงพ่อปานได้ ต้องอธิษฐานจิต และมีบุญสัมพันธ์กับหลวงพ่อท่านพอสมควรครับ เวลาแผ่เมตตาให้ครูบาอาจารย์ ก็ให้นึกถึงท่านเป็นเสมือนครูอาจารย์ บ่อยๆ ไม่นานก็คงได้พบเสือที่คู่บารมีได้แน่นอนครับ







เข้าชม
#เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์
#เซียนพระไม่มี
ศึกษาข้อมูลได้ที่
https://www.facebook.com/pg/thaihistory/photos/?tab=album&album_id=2436419853070769


#เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์
https://www.youtube.com/watch?v=Zbk-_3dMr5I&feature=youtu.be&fbclid=IwAR0A3JM1akUZJB-PJti6iQwd1TjipnAUMpc3h6roc4UEx0IKVSO1_5NkgX0
#แคล้วคลาดจากระเบิดที่ปัตตานีเพราะแขวนเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน
ข้อมูลที่
https://www.facebook.com/thaihistory/photos/a.631701976875908/2427328010646620/?type=3&theater

"สำหรับนักสะสมนิยมเครื่องรางของขลัง คงไม่มีใครไม่รู้จัก เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน พระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังซึ่งล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงเคารพศรัทธามาก"
เขี้ยวพยัคฆ์มหาอำนาจ หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส

ข้อมูลที่
https://www.sanook.com/men/1490/?fbclid=IwAR3T9cu3I6JDsylqwnYYjkzKpyPkyKp6mXdnrDSZoLTXpN_jPy2N2X6UFTw

ประวัติศาสตร์
#เขี้ยวพยัคฆ์มหาอำนาจ หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส

ส่วนหนึ่งของพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "เสด็จประพาสมณฑลปราจิณ" ที่ทรงกล่าวถึงเสือเขี้ยวแกะของหลวงพ่อปานไว้ว่า "คุณวิเศษที่คนเลื่อมใส คือให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากคือ เขี้ยวเสือแกะที่เป็นรูปเสือ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสกต้องใช้หมูมาล่อ ปลุกเสกเป่าเข้าไปเมื่อไรนั้นเสือจะกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้ ตัวพระครูเองเห็นจะได้ความลำบากเหน็ดเหนื่อยในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีก็หนีไปอยู่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ในการทำอะไรๆ ขาย เวลาแย่งชิงก็ขึ้นไปถึง 3 บาท ว่า 6 บาทก็มี ได้รูปเสือแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัธยาศัยเป็นคนแก่ใจดีมีกิริยาเรียบร้อย อายุ 70 แล้วยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต" จากพระราชนิพนธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าการเช่าบูชาเสือหลวงพ่อปานเป็นที่นิยมและมีราคาแพงมากในสมัยนั้น และเป็นที่นิยมมาเนิ่นนาน

หลวงพ่อปาน เกิดที่คลองนางหงษ์ ตำบลบางเหี้ย อำเภอบางบ่อ สมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. 2368 เป็นบุตรของนายปลื้ม และนางตาล โดยหลวงพ่อปานเป็นบุตรคนที่ 3 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คน ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) จวบจนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบท โดยมี ท่านเจ้าคุณศากยมุนี เป็นพระอุปัชณาย์ ท่านศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐานรวมถึงไสยศาสตร์ และได้รับการถ่ายทอดจากคณาจารย์หลายองค์จนเชี่ยวชาญ

หลังจากศึกษาในเรื่องกรรมฐานจนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงพ่อปานก็ได้กราบลาท่านเจ้าคุณพระศรีศากยมุนี เดินทางกลับมายังวัดบางเหี้ย อันเป็นบ้านเกิดในการกลับมาครั้งนี้ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อเรือน ได้ติดตามมาอยู่กับท่านด้วย ต่อมาหลวงพ่อปานและหลวงพ่อเรือนได้ดั้นด้นไปจนถึง "วัดอ่างศิลา" อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี และได้ฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของ " หลวงพ่อแตง " เจ้าอาวาสวัดอ่างศิลา โดยศึกษาด้านวิปัสสนาธุระไสยเวทย์มนต์ต่าง ๆ จนเชี่ยวชาญและสร้างชื่อเสียงให้หลวงพ่อปานเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะ "เขี้ยวเสือโคร่ง ซึ่งแกะเป็นรูปเสือนั่ง" เมื่อมีความเชี่ยวชาญแล้ว จึงได้อำลาพระอาจารย์ มาพำนักอยู่ที่วัดบ้านเกิดตนเอง และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส โดยมีหลวงพ่อเรือนเป็นรองเจ้าอาวาส ซึ่งทั้งสองรูป ได้ปกครองพระลูกวัด ทั้งด้านการศึกษาและการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการปฏิบัติท่านจะอบรมสั่งสอนการปฏิบัติกรรมฐาน ให้แก่พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนประชาชนพุทธบริษัทมิได้ขาด และตัวท่านเองก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนพระเณรเคารพยำเกรงท่านเป็นอันมาก

ระหว่างรัชกาลที่ ๕ เสด็จมาประทับอยู่ประตูน้ำบางเหี้ยเป็นเวลา ๓ วัน พระองค์ได้รับสั่งให้นิมนต์หลวงพ่อปานเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถามในเรื่องต่างๆ ขณะที่หลวงพ่อปานเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวนั้น ท่านได้ให้เด็กชายป๊อดถือพานใส่เขี้ยวเสือที่แกะเป็นรูปเสือไปด้วย เมื่อไปถึงที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ หลวงพ่อปานได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กชายป๊อดที่ถือติดตามท่านไป แต่เด็กชายป๊อดบอกว่า "เสือไม่มีแล้ว" เพราะมันกระโดดน้ำไปในระหว่างทางจนหมดแล้ว หลวงพ่อปานจึงให้นำเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นหมูแล้วเสียบกับไม้แกว่งล่อเอาเสือขึ้นมาจากน้ำ หน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ซึ่งประทับทอดพระเนตรอยู่ตลอด จนพระองค์ถึงกับตรัสว่า "พอแล้วหลวงตา" หลังจากนั้นหลวงพ่อได้ถวายเขี้ยวเสือแกะนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงพิจารณาชั่วครู่ จึงตรัสถามชื่อพระเถระรูปร่างสูงใหญ่ ผู้ปลุกเสกเขี้ยวเสือหลวงพ่อปานทูลว่าท่านชื่อ ปาน ( ติสฺสโร ) เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งกับพระปานว่า
"ได้ยินชื่อเสียงและกิตติคุณมานาน เพิ่งเห็นตัววันนี้" แล้วรับสั่งถามว่า "ที่แจกเครื่องรางเป็นรูปเสือมีความหมายว่าอย่างไร"
หลวงพ่อปานทูลตอบว่า "ได้ไปรุกขมูลธุดงค์ในป่า พบเสือใหญ่หลายครั้ง ได้สังเกตดูเห็นว่า "เสือ" เป็นสัตว์ปราดเปรียวฉลาด ว่องไว เฉียบขาด มีตบะและอำนาจ สามารถที่จะใช้ตาสะกดสัตว์อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ คนทั่วไปเรียกผู้ร้ายใจฉกรรจ์ว่า "ไอ้เสือ" ก็คือเอาความเก่งกาจของเสือมานั้นเอง การที่ทำเครื่องรางรูปเสือ มิใช่สนันให้คนกลายเป็น "ไอ้เสือ" เพียงแต่ต้องการเอาลักษณะของเสือจริงในป่าที่ปราดเปรียว ว่องไว เฉลียวฉลาด เฉียบขาดมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพอพระทัยในคำตอบของพระปานยิ่งนัก (ด้วยท่านมิได้โอ้อวดว่า เครื่องรางของท่านดีเด่น แต่ประการใด) ทรงพระราชทานผ้าไตรและผ้ากราบ ภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ"

ตั้งแต่นั้นมา เสือของหลวงพ่อปานจึงยิ่งเป็นที่เลื่องลือกันในสมัยนั้นมาก เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงสนพระทัยในเขี้ยวเสือของหลวงพ่อปาน จึงทำให้พสกนิกรทั่วไปต่างพูดถึงเรื่องความสนพระทัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ที่มีต่อเขี้ยวเสือของหลวงพ่อปาน ซึ่งทำให้เขี้ยวเสือของหลวงพ่อปานเป็นที่ต้องการและเสาะแสวงหาของบุคคลทั่วไป ตั้งแต่ชนชั้นสูงในพระราชสำนักจนถึงชาวบ้านทั่วไป ที่อยากจะมีไว้ครอบครองซักตัว และเมื่อมาถึงปัจจุบันจึงเป็นของอันล้ำค่าหาได้ยากมากในปัจจุบัน เพราะท่านสร้างจากเขี้ยวเสือจริง และสร้างไว้น้อยมาก เมื่อใครได้ไปก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมี จึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก

สำหรับเขี้ยวเสือของหลวงพ่อปาน ท่านแกะมาจากเขี้ยวเสือโคร่ง เป็นรูปเสือนั่งชันเข่ามีทั้งหุบปาก และอ้าปาก เท่าที่ทราบท่านใช้ช่างแกะอยู่ 5 คน คือ ช่างฟัก ช่างชม ช่างนิล ช่างมาก และช่างมา จึงมีรูปร่างไม่เหมือนกัน เสือเขี้ยวแกะ มักมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีตากลม ขาหน้าทั้งสองใหญ่ และเล็บจิกลงบนพื้น จุดสำคัญให้ดูรอยจาร โดยท่านจะจาร ตัวอุ มีทั้งหางตั้งขึ้นและลงที่ขาหน้า และลงอักขระคล้ายเลข ๓ หรือ เลข ๗ ตรงสีข้าง ส่วนใต้ฐานท่านจะจาร "ยันต์กอหญ้า" (นะขมวด) ถ้าเสือตัวใหญ่ท่านจะลง ยันต์กอหญ้า 2 ตัวตรงข้ามกัน และลงตัว ฤ ฤา พร้อมกับ ตัวอุณาโลม บางตัวมีรอยขีด 2 เส้นขนาดกันดูให้ดีจะเห็นเป็นเส้นลึกและคมชัด จนมีคำกล่าวในการดูเสือเขี้ยวแกะของหลวงพ่อปานว่า "เสือเขี้ยวโปร่งฟ้า (เขี้ยวกลวง) ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า หน้าเหมือนแมว หูเหมือนหนู" ซึ่งมีทั้งแบบเขี้ยวซีกและเต็มเขี้ยว เสือยุคแรกของท่านเป็นเสือเขี้ยวซีก ให้คุณด้าน มหาอำนาจ ส่วนเสือตัวเล็กๆ ที่แกะจากปลายเขี้ยวเรียกว่า เสือสาลิกา ซึ่งนิยมเลี้ยงไว้ในตลับสีผึ้งทาปาก

หลักวิธีพิจารณา

การพิจารณาเขี้ยวเสือหลวงพ่อปานให้ดูความแห้งความเป็นธรรมชาติของเขี้ยวเสือ ต้องพิจาณาเขี้ยวเสือที่มีวรรณะเหลืองใส มีรอยหดเหี่ยวที่เรียกว่า "เสือขึ้นขน" โดยจะเห็นเป็นเสี้ยนเล็กๆ และอาจมีรอยแตกอ้า หากผ่านการใช้งานมาแล้วสีของเขี้ยวจะยิ่งเข้ม สำหรับของปลอมมักจะเอาเขี้ยวหมี เขี้ยวหมูป่า หรือกระดูกสัตว์มาเคี่ยวด้วยน้ำมันงา ซึ่งเขี้ยวจะมีการอมน้ำมันอยู่มาก บางครั้งพวกหัวหมอพอเคี่ยวน้ำมันเสร็จก็จะเอามาต้มเพื่อไล่น้ำมันออกทำให้ผิวมีความด้าน ดังนั้นของแท้ต้องดูที่ "เขี้ยวมีความแห้ง วรรณะเหลืองใส ผิวเป็นมันวาวไม่ด้าน และไม่อมน้ำมัน"

เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานมีพุทธคุณครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางเมตตา แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี แต่ที่เด่นที่สุดคือมหาอำนาจ ใครที่สนใจอยากบูชาไว้ครอบครอง โทร ปรึกษา สมเกียรติ กาญจนชาติ 0846514822 (เพื่อหาทุนทำโครงการสามจังหวัดชายแดนใต้)
#ข้อมูลการฟอกเงินในวงการพระเครื่องไทยและสร้างมูลค่าเกินจริงในประเทศไทย ภัยต่อความมั่นคงของชาติ
http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2018/01/blog-post_31.html

#แขวนพระสมเด็จเป็นคนดีไม่ตายโหง? (เลิกเช่าพระจากเซียนที่ฟอกเงิน)
http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2018/12/blog-post_12.html

ศรัทธาโทรสอบถามได้ที่ 0846514822 สมเกียรติ กาญจนชาติ (เจ้าของ)



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ