#การทุจริตทั่วแผ่นดินใครต้องรับกรรม? รัฐบาลชุดนี้ต้องรับผิดชอบ? อดีตรัฐมนตรีต้องถูกตรวจสอบ?



ประวัติความเป็นมา  มหาชนร่วมกำจัดการทุจริตในแผ่นดินพระราชา?
https://m.facebook.com/DemocratPartyTH/posts/10154304023861791:0

#อ่านแล้วแชร์ช่วยชาติได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมอบป้ายสัญลักษณ์เบี้ยยังชีพ 500 บาทให้แก่ตัวแทนผู้สูงอายุจาก 5 ภาค
        “อภิสิทธิ์” เปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 52 พร้อมปล่อยเงินเบี้ยยังชีพ 500 บาท สู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เผยเห็นชอบขยายวงเงินกู้ยืมกองทุนผู้สูงอายุจาก 1.5 หมื่นบาท เป็น 3 หมื่นบาท ไม่มีดอกเบี้ย พร้อมสร้างความมั่นคงด้านรายได้ด้วยระบบการออมระยะยาว หนุนกองทุนสวัสดิการระดับชุมชน ผุดไอเดียให้ ศธ.เสริมหลักสูตรให้นักเรียนมีโอกาสสัมผัส ใกล้ชิดคนแก่ในชุมชน สร้างความตระหนักเรื่องการเอาใจใส่ ความกตัญญู แก่เยาวชน “อิสสระ” ย้ำไม่เกินสิ้นเดือนเม.ย.นี้เงินเข้าสู่กระเป๋าทุกคน 
       
       วันนี้ (9 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2552 โดยนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมทั้งมอบเกียรติบัตรและรางวัลผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2552 แก่ ศาสตราจารย์ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา ทั้งนี้ยังมีการมอบสัญลักษณ์เบี้ยยังชีพให้แก่ตัวแทนผู้สูงอายุ 5 ภาค และมอบสัญลักษณ์เงินสนับสนุนโครงการและทุนกู้ยืมประกอบอาชีพ จากกองทุนผู้สูงอายุ 

มอบประกาศนียบัตรผู้สูงอายุแห่งชาติปี 52 ให้แก่ ศาสตราจาย์ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา
        โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวในระหว่างปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายรัฐบาล กับการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และกองทุนผุ้สูงอายุ” ว่า แนวโน้มของผู้สูงอายุในอนาคตจะเพิ่มขึ้น ทั้งจากสัดส่วนความก้าวหน้าในเทคโนโลยี ระบบบริการสาธารณสุข และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประชากรโดยรวม ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเตรียมการรับมือในการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุในอนาคต ซึ่งจากการประมาณการของสำนักงานสถิติแห่งชาติจะพบด้วยว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว คิดเป็นร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจึงมุ่งเน้นในนโยบายในการขยายสิทธิของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น โดยขยายโอกาสให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือน ๆละ 500 บาทอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม หลังจากมีการให้จดทะเบียนแจ้งชื่อรับสิทธิมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งจะเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุได้ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป
                       â€œà¸­à¸ à¸´à¸ªà¸´à¸—ธิ์” กดปุ่มจ่ายเบี้ยยังชีพ ลั่นขยายเงินกู้คนแก่เป็น 3 หมื่น พม.เผยไม่เกินสิ้น เม.ย.ได้เงินทุกคน
       นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้เห็นชอบให้มีการขยายเพดานวงเงินกู้ยืมจากกองทุนผู้สูงอายุซึ่งจากเดิมได้รายละไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 30,000 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์การพิจารณาให้กู้ยืม เพื่อให้ผู้สูงอายุนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ และสร้างรายได้ในระยะยาว
       
 
“อภิสิทธิ์” กดปุ่มจ่ายเบี้ยยังชีพ ลั่นขยายเงินกู้คนแก่เป็น 3 หมื่น พม.เผยไม่เกินสิ้น เม.ย.ได้เงินทุกคน
น้ำตาแห่งความปลื้มปีตีหลังได้รับเบี้ยยังชีพ
        สำหรับนโยบายรัฐบาลระยะต่อไปนั้น จะเน้นในเรื่องของการสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้มีระบบการออมระยะยาวที่รัฐบาลต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจ่ายเงินสมทบ จนถึงการสนับสนุนกองทุนสวัสดิการระดับชุมชน
       
       นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องผู้สูงอายุในการทำงานทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ในระบบการศึกษา ซึ่งอาจมอบให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักสูตร ในการเรียนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้สูงอายุภายในชุมชน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ตรงในการเอาใจใส่ ช่วยเหลือเกื้อกูลและรู้จักความกตัญญูกตเวทีแก่ผู้สูงอายุ พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ อสม.ภายในชุมชนเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพให้แก่ผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่ด้วย
       
       นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กล่าวว่า ยอดผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพทั้งหมดล่าสุดอยู่ที่ 3,572,722 คน โดยขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมเงินไว้พร้อมมอบเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มาลงทะเบียนไว้ทุกคนแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับขั้นตอนการทำงานขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ตนทราบว่าในบางจุดได้มีการแจ้งให้ผู้สูงอายุไปรับเงินได้แล้ว แต่บางแห่งก็ยังไม่สามารถมอบได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนการจัดการเอกสาร ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ผู้สูงอายุไปรับเงินในวันที่ 30 เม.ย.นี้จะแน่นอนที่สุด ทั้งนี้สำหรับผู้สูงอายุที่พลาดการลงทะเบียนในปีนี้ และผู้ที่จะมีอายุครบ 60 ปีในปีหน้า ก็จะประกาศให้มาลงทะเบียนช่วงสิ้นปีงบประมาณนี้ โดยจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง 
“อภิสิทธิ์” กดปุ่มจ่ายเบี้ยยังชีพ ลั่นขยายเงินกู้คนแก่เป็น 3 หมื่น พม.เผยไม่เกินสิ้น เม.ย.ได้เงินทุกคน
        นางอนงค์ เสือมีทรัพย์ ตัวแทนจาก กทม.กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีทั้งน้ำตาว่า ตนมีลูกหลาน แต่ลูกหลานไม่ดูแล นอกจากตนเองจะพิการแล้วยังต้องดูแลหลานที่ส่งมาให้ดูแลอีก ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ให้การช่วยเหลือ เช่นเดียวกับผู้แทนผู้สูงอายุทั้ง 4 คน 

นายวิฑูรย์ นามบุตร  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า นโยบายเร่งด่วนของกระทรวงจะมาจากนโยบายของรัฐบาล ที่จะทำภายใน 1 ปี คือเรื่องผู้สูงอายุ เพราะเรื่องนี้จะเป็นสวัสดิการให้กับประชาชนทุกคนที่จะได้รับสิทธินี้ ในประเทศที่เจริญแล้วทุกประเทศเขาก็จะทำในเรื่องสวัสดิการ แต่ที่ประเทศเรายังทำไม่ได้และยังไม่สำเร็จเพราะขาดความพร้อมและเงิน
แต่ขณะนี้ในส่วนของผู้สูงอายุ เราจะต้องมอบเงินให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปให้ได้ทุกคนในรูปของเบี้ยยังชีพ ตรงนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี เพราะว่าให้เงินผู้สูงอายุไปเดือนละ 500 บาท
ล่าสุด  ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา  มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในเชิงนโยบายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหลักประกันด้านรายได้ยามชราภาพ การสร้างระบบเพื่อสนับสนุนการดูแลระยะยาว
แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันกลับมีความคิดจะรีบขยายฐานเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเจตนารมย์ของระบบเบี้ยยังชีพมุ่งช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้สูงอายุที่ยากไร้ด้อยโอกาสเท่านั้น
ปัจจุบันรัฐบาลโดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้คัดเลือกผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพโดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมของประชาคมในรูปของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โดยคุณสมบัติพื้นฐานของผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพนั้น
ประการแรกจะต้องมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประการที่สองต้องมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ หรือถูกทอดทิ้ง หรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู หรือไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้
ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า หรือผู้ที่มีปัญหาซ้ำซ้อน หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารยากต่อการเข้าถึงบริการของรัฐจะเป็นผู้ได้รับการพิจารณาก่อน
ปัจจุบันจะจ่ายเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท/คน โดยมีระเบียบเอื้อว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพทางการคลังสามารถเพิ่มจำนวนเงินได้ แต่รวมแล้วไม่เกิน 1,000 บาท/เดือน/คน หรืออาจเพิ่มจำนวนผู้ได้รับเบี้ยยังชีพโดยใช้งบประมาณของตนเองได้ด้วย
หากพิจารณานสถิติผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (เฉพาะส่วนงบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) จะพบว่าในปีงบประมาณ 2550 มีจำนวนผู้สูงอายุทั่วประเทศรับเบี้ยยังชีพสูงถึง 1,755,266 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีงบประมาณ 2548 และ 2549 ที่ มีจำนวน 527,083 และ 1,073,190 คน ตามลำดับ
อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุในทะเบียนราษฎร์ทั่วประเทศ จะพบว่าสัดส่วนผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพมีมากถึงร้อยละ 31.6 หรือเกือบ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุทั่วประเทศกำลังรับเบี้ยยังชีพ
หากพิจารณารายภูมิภาค ในปีงบประมาณ 2550 มีผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพในภาคเหนือ 355,154 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 863,794 คน ภาคกลาง 348,589 คน และภาคใต้ 187,729 คน เมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดในแต่ละภูมิภาค สัดส่วนของผู้รับเบี้ยยังชีพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมากถึงร้อยละ 45.0 เท่ากับว่าผู้สูงอายุเกือบครึ่งหนึ่งในภาครับเบี้ยยังชีพ ขณะที่ภาคอื่นๆ สูงไม่ถึงร้อยละ 30 และหากพิจารณารายจังหวัดจะพบว่า จำนวนของผู้รับเงินสงเคราะห์รายจังหวัดก็เพิ่มขึ้นอย่างถ้วนหน้าทุกจังหวัด ส่วนในระดับประเทศ อัตราการเพิ่มจำนวนผู้รับเบี้ยยังชีพเฉลี่ยต่อปีระหว่างปีงบประมาณ 2548-2550 สูงถึงร้อยละ 116.5 หลายจังหวัดมีอัตราการเพิ่มของผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศมาก เช่น ภูเก็ต ชลบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา
ทั้งๆ ที่เคยมีการประมาณการโดยทีดีอาร์ไอ โดยใช้ข้อมูลการสำรวจสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติว่า ในปี 2549 มีจำนวนผู้สูงอายุในครัวเรือนยากจนประมาณ 1.2 ล้านคน
คำถามสำคัญจึงมีว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุยากไร้หรือด้อยโอกาสเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้จริงหรือ?
จากงานวิจัยของดร.วรเวศม์ ชี้ว่า  ปัญหาของระบบเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุมีหลายจุดตั้งแต่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับที่กำหนดไว้ในระเบียบ ไปจนถึงกระบวนการคัดเลือก
ประเด็นคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับ ดังที่ระบุไว้ข้างต้น นับว่ามีความหมายกว้างมากจนเอื้อให้มีการตีความเข้าข้างตนเอง อีกทั้งคำว่า "หรือ" ก็ทำให้ผู้สูงอายุที่ไม่ใช่ผู้ด้อยโอกาสที่แท้จริงมารับเบี้ยยังชีพ ตัวอย่างเช่น "รายได?ไม?เพียงพอแก?การยังชีพ" นั้นรวมกรณีที่รับบำนาญทุกเดือนหรือขาดรายได้ที่เป็นตัวเงินแต่มีอสังหาริมทรัพย์ด้วยหรือไม่ หรือกรณีคุณสมบัติ "ถูกทอดทิ้ง" นั้นรวมกรณีที่ลูกๆ ออกไปทำงานต่างถิ่น ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุโดยตรง แต่ส่งเงินมาให้ใช้หรือไม่
ประเด็นกระบวนการคัดเลือกผู้สูงอายุขององค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) โดยระเบียบแล้วกำหนดให้ อปท.ใช้กลไกประชาคมในการคัดเลือก แต่ปรากฎว่าในการปฏิบัติจริง แม้จะอิงระเบียบเดียวกัน แต่รูปแบบของการคัดเลือกก็มีความเข้มงวดแตกต่างกันมาก มีทั้ง อปท.ที่ให้เบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุทุกคนโดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติของแต่ละคน บางพื้นที่ให้ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ โดยกระจายอำนาจให้ชุมชนเป็นผู้คัดเลือก บางพื้นที่เข้มงวดมากให้ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ แต่จะมีคณะกรรมการระดับหมู่บ้านและระดับท้องถิ่นเป็นผู้กลั่นกรองอีกครั้งหนึ่ง
วิธีการเรียงลำดับผู้สูงอายุผู้มีสิทธิในบัญชีรายชื่อ บ้างก็ดูความลำบาก บ้างก็ใช้อายุเป็นหลัก บ้างใช้ความคิดเห็นของประชาคมตัดสิน การตีความคำว่าประชาคมก็มีความแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ เช่น บางพื้นที่ให้ตัวแทนแต่ละครัวเรือนมา บางพื้นที่ไม่ได้จำกัดจำนวนสมาชิกของแต่ละครัวเรือน
ความแตกต่างของการตีความระเบียบหรือการคัดเลือกที่แตกต่างกันระหว่างพื้นที่นอกจากทำให้การคัดเลือกไม่ตรงเป้าแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาว่าผู้สูงอายุที่ยากไร้เหมือนกัน ได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ด้วย
ท่ามกลางกระบวนการคัดเลือกผู้สูงอายุที่สมควรได้รับเบี้ยยังชีพในปัจจุบันที่มีความอ่อนแอ แนวคิดการขยายฐานเบี้ยยังชีพไปสู่ผู้สูงอายุทุกคนเป็นแนวคิดที่ไม่เหมาะสม การให้เบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุทุกคนหมายถึงการละเลยต่อการช่วยเหลือผู้สูงอายุยากไร้อย่างแท้จริง งบประมาณผูกพันจำนวนมหาศาล รวมถึงอาจมีผลลดแรงจูงใจให้คนที่จะกลายเป็นผู้สูงอายุในอนาคตไม่เห็นความสำคัญของการออม
รัฐบาลจึงควรเร่งแก้ไขกฎกติกาต่างๆ ที่ใช้ในการคัดเลือกผู้สูงอายุที่สมควรได้รับเบี้ยยังชีพ เพื่อให้เบี้ยยังชีพได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ยากไร้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดคุณสมบัติให้เข้มงวดและเป็นรูปธรรมมากขึ้นเพื่อลดอคติที่จะเกิดจากการตีความเข้าข้างตนเอง ผู้ที่มีสิทธิรับบำนาญอยู่แล้ว (เช่น บำเหน็จบำนาญของข้าราชการ กองทุนประกันสังคม เป็นต้น) ไม่ควรได้รับสิทธิ
กระบวนการคัดเลือกผู้สูงอายุที่สมควรได้รับเบี้ยยังชีพควรจะใช้การประชาคมในระดับหมู่บ้านควบคู่ไปกับการกลั่นกรองซ้ำโดยคณะกรรมการ อย่างน้อยก็เพื่อให้นิยามของคำว่า "ยากไร้" ไม่แตกต่างกันมากแม้ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน อันจะนำไปสู่ความยุติธรรมทั้งในแนวตั้ง (ผู้ยากไร้ควรได้รับ) และในแนวนอน (ผู้มียากไร้เหมือนกัน แม้อยู่ในพื้นที่ต่างกัน ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน) ควรจะมีการสร้างระบบตรวจสอบคุณสมบัติของผู้รับเบี้ยยังชีพโดยหน่วยงานที่ใหญ่กว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อการจัดสรรงบประมาณอย่างตรงเป้าหมายและเป็นการส่งเสริมการสร้างวินัยทางการคลังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปพร้อมกันด้วย.

ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปเมื่อ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับ “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุ (ฉบับที่...) พ.ศ...” ถือเป็นอีกหนึ่งกฎหมายที่มีความสำคัญ เพราะหากพิจารณาจากสถานการณ์ประชากรของประเทศ โดยเฉพาะประชากรสูงวัยนั้น ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 16% หรือ 11 ล้านคนของประชากรทั้งหมด และคาดว่าภายในปี 2564 สัดส่วนของประชากรกลุ่มดังกล่าวจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด หรือเพิ่มขึ้นปีละ 1% นั่นเอง
ตรงนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยเพื่อให้ได้รับสวัสดิการที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันด้วย โดยที่ผ่านมาส่งผ่านความช่วยเหลือด้วยมาตรการให้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ที่อยู่ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการรัฐ ด้วยหวังว่าจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยจากข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการคลัง ระบุว่า ในแต่ละปีรัฐบาลได้ใส่เงินอุดหนุนเป็นเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุปีละกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก
ดังนั้นเมื่อข้อมูลประชากรในระยะต่อไประบุว่า จำนวนประชากรผู้สูงอายุจะมีเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ และลดภาระของงบประมาณที่จะใช้ในส่วนนี้ เพื่อจัดสรรไปใช้ในส่วนอื่นๆ อย่างทั่วถึง ดังนั้นกฎหมายฉบับดังกล่าวจึงได้มีการระบุเพิ่มเติมถึงแหล่งที่มาของ “กองทุนผู้สูงอายุ” และการนำเงินกองทุนผู้สูงอายุไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นการรองรับมาตรการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ
ปัจจุบันรัฐบาลได้จ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ ประมาณ 8 ล้านราย โดยในจำนวนนี้พบว่าเป็นผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนในโครงการเพื่อรับสวัสดิการรัฐ จำนวน 3.6 ล้านราย ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รัฐบาลต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ
สำหรับแหล่งที่มาของเงิน “กองทุนผู้สูงอายุ” จะมาจาก 2 ส่วนเป็นสำคัญ ได้แก่ 1.เงินบำรุงกองทุนฯ จากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต ในอัตรา 2% ของภาษีที่เก็บจากสินค้าสุราและยาสูบ สูงสุดไม่เกิน 4 พันล้านบาทต่อปี และ 2.เงินจากโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งได้กำหนดวันเริ่มโครงการ คือ วันที่ 1 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป
ในส่วนของโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุนั้น กระทรวงการคลังประเมินว่า เมื่อหักลบจำนวนผู้สูงอายุที่อยู่ในโครงการสวัสดิการรัฐ จำนวน 3.6 ล้านราย ออกจากผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพทั้งสิ้น 8 ล้านรายแล้ว จะเหลือผู้สูงอายุที่สามารถบริจาคเงินได้ประมาณ 4 ล้านราย และในส่วนนี้เองคาดว่าจะมี “ผู้ใจบุญ” ร่วมบริจาคเงินให้โครงการดังกล่าวทั้งสิ้น 1 ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 8 พันล้านบาท ในส่วนนี้เมื่อรวมกับเงินจากภาษีสรรพสามิต จำนวน 4 พันล้านบาท จะทำให้กองทุนมีเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะเพียงพอในการจัดสรรดูแลผู้สูงอายุในกลุ่มเป้าหมายต่อไป
ไม่เพียงเท่านี้! ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุน จะได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ แล้วยังจะได้รับสิทธิในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 เท่าของเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมารัฐบาลเองก็ได้มีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางในการหารายได้ให้กับผู้สูงอายุ เช่น ให้สิทธิในการหักลดหย่อนภาษีกับผู้ประกอบการที่มีการจ้างผู้สูงอายุเข้าทำงาน และอาจจะมีโครงการในการฝึกอบรมทักษะอาชีพให้กับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถมีงานทำในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ถือเป็นการต่อยอดการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง.
ติดตามข่าวสารด้านความมั่นคงของชาติได้ที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง