ประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาวัดป่าประสิทธิ์ธรรมมาราม ธรรมยุตสายหลวงตามหาบัว บวร ในความหมายของในหลวง สามารถช่วยคนได้ทั้งประเทศ
รูปซ้ายมือ พระอาจารย์ชำนาญ เป็นผู้ดูแล เนื้อที่วัด 100 ไร่ โทรสอบถามได้ที่ 0897292765
รูปข้าพเจ้า นาย สมเกียรติ กาญจนชาติ ตามหลวงตา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2537 วัดป่าบ้านตาด
โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 0846514822
ครองแผ่นดินโดยธรรม (บวร ในความหมายของในหลวง สามารถช่วยคนได้ทั้งประเทศ)
http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2016/10/blog-post_26.htmlเรื่องหาทุนโครงการพัฒนาวัดป่าประสิทธิ์ธรรมมาราม
เรียนท่านผู้มีจิตศรัทธาในองค์หลวงตามหาบัว
สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑.ข้อมูลภาพโครงการพัฒนาวัดป่าประสิทธิ์ธรรมมาราม
เป็นชื่อที่ขอตั้งวัดสร้างวัดในขณะนี้
ที่ตั้งบ้านเด่นเวียงชัย ต.แม่ข่า
อ.ฝาง จ. เชียงใหม่
๒.ภาพพระเครื่องและข้อมูลที่นำออกหาทุนในโครงการ
เนื่องด้วยข้าพเจ้า นาย สมเกียรติ กาญจนชาติ
อดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณา ติดตาม ตรวจสอบ ส่งเสริมกิจการศาสนา คุณธรรม
จริยธรรม ศิลปวัฒนธรรม
และกฎหมาย วุฒิสภา
บ้านเลขที่ ๔๔๘/๙๘
อาคารทรัพย์แก้วทาวเวอร์ ถนนประชาอุทิศ ห้วยขวาง กรุงเทพ ๑๐๓๑๐
ได้ดำเนินโครงการต่างๆที่เป็นประโยชน์ แก่
สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดมา
ซึ่งจำเป็นต้องระดมทุนหางบประมาณในการดำเนินโครงการเพื่อพระศาสนา จึงได้นำ
พระเครื่องที่ได้อนุรักษ์ไว้ตามภาพออกหาทุนโดยมอบให้ท่านผู้มีศรัทธาบริจาคทุน
ในการพัฒนาวัด และดำเนินโครงการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอกราบเรียนท่านผู้มีจิตศรัทธา ในการร่วมสร้างบุญบารมี
มอบทุนในโครงการเพื่อสืบทอดพระศาสนา ยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ
และพระศาสนาตลอดไป
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นาย สมเกียรติ กาญจนชาติ
เจ้าของพระเครื่องชุดประวัติศาสตร์
โทร 084-6514822
#เหตุที่ไม่ศรัทธาเซียนพระไทย?
#หลักการและเหตุผล
บทที่1.
https://www.web-pra.com/forum/topic/show/81580/page/1
บทที่2.
http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=2332
ข้อมูลภาพโครงการพัฒนาวัดป่าประสิทธิ์ธรรมมาราม เป็นชื่อที่ขอตั้งวัดสร้างวัด
ในขณะนี้ ที่ตั้งบ้านเด่นเวียงชัย ต.แม่ข่า อ.ฝาง จ. เชียงใหม่
ในขณะนี้ ที่ตั้งบ้านเด่นเวียงชัย ต.แม่ข่า อ.ฝาง จ. เชียงใหม่
ภาพพระเครื่องและข้อมูลที่นำออกหาทุนในโครงการ
พิเศษสิ่งมงคลในปีใหม่ที่จะมาถึงลดพิเศษสำหรับผู้มีศรัทธา
เข้าชมและศึกษาข้อมูลก่อนศรัทธาได้ตาม link ครับ
สมเด็จวัดระฆัง รุ่นแรก
ประวัติศาสตร์ #เหรียญที่มีพุทธคุณสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย นำออกหาทุนเพื่อพระศาสนา
วัตถุมงคลที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ออกหาทุนเพื่อช่วยพระศาสนา ๒๕๖๐
หมายเหตุ ปัจจัยการนำพระเครื่องชุดในประวัติศาสตร์ ออกหาทุนโดยขอมอบรายได้ครึ่งหนึ่งถวายให้
พระอาจารย์ชำนาญ เพื่อทำโครงการของวัดป่าประสิทธิ์ธรรมมาราม
ท่านผู้ร่วมบริจาคสามารถมอบปัจจัยได้โดยตรง
ส่วนหนึ่งนำไปดำเนินโครงการด้านความมั่นคงพระศาสนา
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
#หลักการและเหตุผล
บทที่1.
ขออภัยนะครับ คิดเสียว่าอ่านกันเล่นเพลินๆก็แล้วกัน "กระเทาะทางเซียน(พระ)" ทำไมถึงต้องมากระเทาะ ท่านๆทั้งหลายที่เป็นพ่อค้าพระเครื่อง หรือที่ทำมาหารับประทานเกี่ยวกับวงการพระเครื่องทั้งที่เป็นอาชีพหลักโดยตรง หรือ กึ่งอาชีพแบบเป็นอาชีพเสริม ทั้งท่านที่ประสบความสำเร็จค้าขายจนร่ำรวยเงินทอง และท่านที่ยังไม่รวยแต่กำลังจะรวย หรือท่านที่ยังจนอยู่เหมือนเดิม คงจะได้รู้ ได้เห็นมาบ้างแล้วนะครับ ว่า ทำไม พวกเซียนพระเครื่องรุ่นใหญ่ๆ แถวหน้า หรือ รุ่น ดาวรุ่งพุ่งแรง ถึงได้ร่ำรวย ระดับขั้นมหาเศรษฐี มีเงินและทรัพย์สินรวมกันเป็นสิบๆล้าน หรือ ร้อยๆล้าน
แต่บางท่านที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ยังไม่รู้ใช่ไหมครับ ว่าทำไมเขาถึงได้ร่ำรวยเงินทองหรือมีทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น ก็ตามหลักของการค้าขายนะแหละครับ "ซื้อถูก ขายแพง" แต่...ถ้าเป็นการค้าขายแบบธรรมดาๆทั่วๆไปก็คงจะไม่มีใครพูดถึงหรอก ใช่ไหมครับ แต่เป็นการ "ซื้อถูกขายแพง" ที่กดขี่ ผู้ขายมากเกินขนาด ชนิดที่อาจจะเรียกได้ว่าขาดศีลธรรมไปเลยในบางคน และก็เชื่อว่าสมาชิกบางท่านก็อาจได้รับประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว
พระเครื่องยอดนิยม หรือพระเครื่องดังๆ ราคากลางของตลาดซื้อขาย สมมติว่าราคาอยู่ที่ หลักหมื่นปลายถึงแสนกลาง ถ้านำไปขายในสนามใหญ่ เช่นท่าพระจันทร์ หรือพันธ์ทิพย์ ราคาจะถูกกดจนต่ำสุดๆ ยิ่งผู้ที่นำไปขายให้บรรดาเซียนพระที่รับซื้อ เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่รู้จักกับใครในสนามพระเลย "หมู มาแล้ว" พระราคา หลักหมื่นปลายถึงแสนปลาย จะอยู่ที่เท่าไรทราบไหมครับ มันกดจนเหลือ หลักพัน อย่างเก่งถ้าสวยจัดๆ หรือพอดีมีใบสั่ง "หมื่นเดียว" กับเศษค่ารถอีกไม่กี่ร้อย
ผมเคยเห็นเขาซื้อขายพระสมเด็จ เห็นจะๆ คาตาเลย เมื่อหลายปีก่อน ผมไปนั่งคุยกับพวกเพื่อนๆในแผงพระที่ท่าพระจันทร์ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริงนะครับ ไม่ใช่แต่งขึ้นมา มีลุงคนหนึ่งนำพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ มาขายให้กับเซียนใหญ่ระดับแถวหน้าสายพระสมเด็จ ซึ่งแผงพระก็อยู่ติดๆกับแผงที่ผมนั่งคุยอยู่กับพวกเพื่อนๆ จึงได้รู้ได้เห็น พระองค์นั้นเท่าที่ดู สวย แท้ดูง่าย ฟังได้ว่า ลุงแกกำลังร้อนเงิน ต้องเอาเงินไปเสียค่าเทอมให้หลาน จึงเอาพระมาขาย
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ สภาพสวย ดูง่าย ในปีนั้น ราคากลางก็ประมาณแสนกลางๆ ถึงปลาย แต่ถ้าอยู่ในมือเซียนก็ต้องล้านขึ้น ลุงเจ้าของพระแกก็บอกกับเซียนคนนั้นว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง รุ่นหนึ่ง ซึ่งก็เข้าใจว่าแกคงไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่องของพระและราคาซื้อขายเท่าไรนัก เซียนใหญ่คนนั้นส่องพระพิจารณาพลิกหน้า พลิกหลัง ซักพัก แล้วบอกลุงเจ้าของพระว่า "ไม่ใช่พระสมเด็จวัดระฆัง หรอกลุง เป็นพระสมเด็จบางขุนพรหม 09 ราคาไม่กี่พันบาท ถ้าลุงจะขาย ผมให้ 7,000 บาท " โอ...แม่เจ้า...พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แต่ มึงแหกตาเจ้าของพระอย่างหน้าด้านๆ ทั้งที่คนก็มุงดูอยู่ (ท่าพระจันทร์ ในสมัยนั้น ถ้ามีการซือขายพระกัน ก็จะมีพวกแผงค้าพระระดับเล็กๆ เข้ามาร่วมดู ร่วมเชียร์ หรือร่วมกันติ เพื่อกดราคาพระให้ต่ำลง เพื่อจะได้รับเศษเงินส่วนแบ่ง ที่เรียกกันว่า "ค่าผี")
ลูงเจ้าของพระแกมาคนเดียว ร้อนเงิน ไม่รู้เรื่องพระเท่าไร ก็จำต้องเสียของรักไปในราคาที่เรียกกันตามภาษาเซียนมวยว่า "ถูกคว้าคอ ตีเข่า" โดนเข้าอย่างจั๋งหนับเลย ผมไม่ได้อิจฉา แต่รู้สึกสมเพชในตัวเซียนใหญ่คนนั้น ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว ว่า...ทำไมไม่มีศีลธรรมประจำใจกันบ้างเลย คดโกง หลอกลวง ผู้ที่มีปัญญาด้อยกว่า เอารัดเอาเปรียบกันเกินขนาดไป อย่างน้อยให้ราคาลุงเจ้าของพระแกไปซักหมื่นปลายๆหรือซักแสนนึงก็ยังมีกำไรบานเบอะ นี่ซื้อพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่สภาพสวยไปในราคาหลักพัน มันน่าทุเรศไหม เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นถึงความโลภโมโทสันของบรรดาบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเซียนใหญ่ แต่จิตใจเหี้ยมโหด ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง โดยไม่ละอายต่อบาปเลย
เส้นทางนี้ก็เชื่อได้ว่า ก่อนที่ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นเซียนใหญ่ ระดับแถวหน้า ที่ร่ำรวย มีเงินทองนับสิบ นับร้อยล้านบาทไทย เคยใช้มาแล้วแทบทั้งสิ้น เผยให้เห็นจิตใจอันสกปรกโสมม ละโมบ พระแท้ๆอยู่ในมือคนอื่น ถ้าเอาขายหรือเอามาให้มันดู ถ้ามันซื้อไม่ได้ หรือ ไม่ซื้อเพราะไม่มีใบสั่ง มันตีเก๊ ทันที แต่ถ้าจะซื้อ มันจะซื้อในราคาที่ต่ำสุดๆ พอใจจะขายก็ขาย ไม่พอใจก็เอากลับไป แต่ถ้าพระเก๊ระดับฝีมืออยู่ในมือมัน จะเป็น พระแท้ทันที เพราะเครดิต และชื่อเสียง จะเป็นตัวค้ำประกันให้ขายพระองค์นั้นได้ และได้ราคาดีเสียด้วย ดังตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งเมื่อเร็วนี้ ซึ่งอาจจะมีคนได้ข่าวมาแล้ว ถึงระดับเซียนใหญ่หัวแถว ขายพระกรุเก๊แบบฝีมือดี ให้กับผู้ใหญ่ระดับนักการเมืองภาคตะวันตกไปในราคาหลักล้านแต่ปรากฏในภายหลังว่าเป็นพระเก๊ ก็มีการคืนพระกัน ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปแห่กับเซียนคนอื่น คนที่ซื้อพระไปเชื่อแต่เครดิตของเซียนใหญ่ที่ขายพระให้ ก็คงเก็บแต่พระเก๊เข้าไปเต็มรัง ดังนั้นความร่ำรวยของบุคคลเหล่านี้มีที่มาจากอะไร ก็คงจะพอทราบกันบ้างแล้วนะครับ
กระทู้นี้ก็ไม่ได้โจมตีใครหรืออิจฉาใคร เพียงแต่กระเทาะให้เห็นถึงความสกปรกของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเซียนใหญ่ ว่าร่ำรวยมาได้อย่างไร ค้าขายพระอย่างเดียวมีเงิน เป็น 10 เป็น 100 ล้านได้อย่างไร คนทำมาหากินแบบธรรมดาๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน กว่าจะได้รถคันหนึ่ง บ้านหลังหนึ่ง ผ่อนกันตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ทำมาหากินอะไรก็โดนหักแต่ภาษีเข้ารัฐ แต่เซียนเหล่านี้ขายพระองค์หนึ่งราคา 5ล้าน 10 ล้าน บางองค์ 40-50 ล้าน ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ไม่เคยเผื่อแผ่อะไรให้แก่สังคมเลย ........เหนื่อยใจ จริงๆ กับบุคคลเหล่านี้....จบ ละครับ...เดี๋ยวโดนว่าอีก ว่าเขียนยาวไป....
ขอขอบคุณข้อมูลhttps://www.web-pra.com/forum/topic/show/81580/page/1
บทที่2.
(เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้ แต่เซียนไม่อยากอ่าน)
วันนี้เรามามองเซียนพระเครื่ องกันดีกว่า แต่ขอออกตัวก่อนนะครับว่า เซียนที่ดีก็มีครับแต่น้ อยมากๆเฉลี่ยร้อยละไม่เกิน 10 คนครับ
บทความนี้เขียนขึ้นจากการที่ รู้เห็ นการกระทำของคนในวงการพระทั้งที่ เป็นที่ยอมรับและไม่ยอมรับของสั งคมเป็นระยะมาหลายสิบปี ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้เพื่ อนนักนิยมพระทั้งหลาย รู้จักการวางตัวและการคบหากั บเซียนเล็กเซียนใหญ่ทั้งหลายให้ ถูกต้องและอย่าได้ถลาลึก จะได้รอดจากปากเหยี่ยว ปากกา หรือสมควรเรียก เสือ สิงห์ กระทิง แรด จะถูกต้องกว่า....
1.ความเป็นเขี้ยวลากดิน
ความเป็นเขี้ยวลากดินนี้ ในวงการพระก็เป็นเรื่องแปลก ไม่มีใครสอนหรือเปิดอบรมแต่มั นเป็นขึ้นมาเองโดยสิ่งแวดล้อม เรียกตามแนวศิลป์อาจจะเรียกว่า สืบทอดกันมาโดยจิตวิญญาณ 55 อันนี้มองเป็นเป็นรูปธรรมได้ ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เช่น เวลาท่านนำพระแท้ๆไปแห่ขาย( ขอให้เป็นพระที่วงการเล่นหากัน เอาเป็นว่าพอนิยมกันนะครับ) จะได้คำวิพากวิจารณ์และการตีสี หน้าของเซียนเวลาส่องพระ ไม่รู้ท่านพวกนี้ทำไมต้องทำสี หน้าเครียดเหมือนเวลาญาติสนิทตั วเองป่วยไม่ทราบ พร้อมกับถามว่า “ตีไว้เท่าไร” (อันนี้คือเรียกว่ากฎหัวขาด ห้ามให้ราคาก่อนเผื่ อคนเอาพระมาขายเป็นเอ๋อ) พอเราบอกไปจะได้ยินคำพูดต่อคือ “ลดได้เยอะมั้ย” พร้อมคำวิพากวิจารณ์แบบเรียกว่า เจ้าของพระได้ยินแล้วอยากจะขว้ างพระตัวเองทิ้งตอนนั้นเสียให้ รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย เมื่อพูดคุยถึงจุดสุดท้ายราคาที่ ได้คือ ราคำที่ต่ำกว่าราคาขายท้องตลาด หาร 2 หาร 3 นู่น..........
2.มาดเหลือแดรกกก....มากับเล่ห์ เพทุบาย..
อันนี้ก้อต่อเนื่องจากข้อแรก คือเวลาเจอพระก้ำกึ่งหรือพระที่ ดูยาก หรือพระที่ มีการสร้างคล้ายกันหลายสำนักแต่ ตีไม่ออกว่าที่ไหน จะมีการกวักหรือโทรเรียก(อันนี้ ตัวผมเรียกว่า เซียนรับเชิญ) เซียนสายตรงเป็นท่อมา ฮาๆๆๆๆ คราวนี้เรารอสักแป๊ป ก็จะเห็นเซียนที่ถูกเชิญมา ทั้งท่าเดิน ที่บางคนก็เดินถ่างขา ดูเหมือนคนเป็นซิฟิลิส(โรคคนแก่ รุ่นเก๋า)ยังไงยังงั้น พร้อมสีหน้าเครียดอีกเหมือนกัน( คราวนี้ตีสีหน้าเหมือนรู้ว่าเมี ยมีชู้) พวกนี้ดูดีๆก็น่าสงสารเหมือนกั นนะครับ รูปร่างหน้าตาส่วนใหญ่มักผิ ดระเบียบส่วนใหญ่หน้าตาน่ากลั วทั้งนั้น ชะลอยจะเหมือนคนโบราณว่า บุญทำกรรมแต่งเมื่อทำชั่ วมากๆหน้าตาก็จะเริ่มเปลี่ ยนไปในด้านมืด ภาษาอังกฤษเรียกDark Side 55(มองดูไม่น่ าคบแววตาจะระแวดระวังตัว แต่ก็คอยมองหาเหยื่อเช่นกัน(ก็ กลัวงาบโดนกระดูกติดC-4) ดีอยู่อย่างพวกนี้ส่วนใหญ่ได้ เมียหน้าตาดี อิอิ..แล้วก็เหมือนเดิมครับ.. คำพูดคำวิจารณ์ไม่ต่างกับเซี ยนท่านแรกแต่ที่มาแปลก คือคำตัดสิน ผมเคยนำกริ่ง หม้อน้ำมนต์โต เจ้าคุณศรี(สนธุ์) วัดสุทัศน์ไปปล่อยที่ท่าพระจั นทร์ อ้ายเซียนรับเชิญ กลับตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมซะฉิบ! ซึ่งราคาค่านิยมต่างกันริบ แต่มันคงเป็นสันดานที่เห็นแก่ ได้ที่ขาดซึ่งความสำนึก ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ดีนะครับที่ไม่ได้ขายไป แต่นำมาลงหนังสือขายได้เงิ นหลายหมื่นพวกท่าพระจันทร์ตอนนั้ นตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมให้สี่ห้าพัน...
3.บุญคุณไม่ตอบแทน.....แต่ ถ้าม รึ งแร้นแค้นกรู..ไม่คบ
เมื่อสมัยก่อน ประมาณปี2536-2540 ผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พอมีเงินหมุนสบาย และชอบเช่าพระเก็บไว้ เช่น สาย ล.พ.พรหม, สาย วัดปากน้ำ, ล.ป.โต๊ะจนสนิทกับเซียนสายตรงท่ านหนึ่งเพราะเช่าพระเขาเป็นเงิ นหลายๆแสน ในสาย ล.พ.พรหม ซึ่งตอนนั้นพระ ล.พ.พรหม ราคาไม่แพงมากเรียกว่าซื้อง่ ายขายคล่อง มีพระ ล.พ.พรหม เป็นจำนวนมาก เมื่อตอนเซียนท่านนั้นจะซื้อบ้ าน แต่ยังขาดสภาพคล่อง ได้เอ่ยปากขอยืมเงิน200,000.- เดือนกว่าจะให้คืน ผมหยิบเช็คเซ็นต์ให้ทันที โดยไม่คิดดอกเบี้ยและบอก มีเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ประมาณเดือนกว่าก็ได้คืนครั บ ก็นับว่าเครดิตเซียนท่านนี้ใช้ ได้ทีเดียว จนมาถึงเมื่อพิษเศรษฐกิจ ปี2540 เกิด นักธุรกิจล้มระเนระนาด ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รั บผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เดือดร้อนมากที่สุด ได้นำพระ ล.พ.พรหม ที่มีเป็นกล่องๆไปขายให้เซียนท่ านนั้นเพื่อนำไปจ่ายค่าวัสดุก่ อสร้างและค่าแรงงาน แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยากตีราคาให้คุณ..(ชื่อผม) ..เลย ฝากที่ร้านขายให้ดีกว่านะ” อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะถ้ าเขาตีราคาให้ก็คงต่ำกว่าท้ องตลาดเป็นครึ่งๆจึงไม่กล้าตี ให้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเอ่ ยปาก ขอยืมเงิน แค่ 3000บาท แต่คำตอบที่ได้คือ การปฏิเสธ อันนี้ขอเตือนเป็นข้อคิดนะครั บว่า เซียนท่านนั้นคงเห็นผมตกอับ แล้ว ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนก็เลยไม่กล้ าให้ยืม ชะลอยจะคิดว่าแต่ก่อน กรูยืมมึงเป็นแสน มรึงมีให้ แต่ตอนนี้ มรึงกับมายืมกรูแค่สามพัน 55 เรื่องไรกรูจะให้ ยังมีอีกคนครับเคยกู้เงินผมๆก็ คิดดอกร้อยละ3 โดยไม่มีสัญญาหรือสิ่งค้ำประกั นใดๆทั้งสิ้น ไปเป็นเงินหลายหมื่น ไม่มีต้นให้ก็ส่งแต่ดอกมาครับ เรียกว่าไม่มีกำหนดส่งต้น คนนี้หลายเดือนครับกว่าจะได้ต้ นคืนแต่ก็ได้ครบครับไม่มีปั ญหาใดๆ แต่ในยามที่ผมเดือดร้อนและเซี ยนท่านนี้มีเงินทองมากมาย เฉพาะพระในตู้ที่มีทั้งเลี่ ยมทองและตลับทองคิดแค่ทองคำอย่ างเดียวก็น่าจะหลักหลายแสนขึ้ นครับ วันนั้นผมถือพระชินราชอินโดจี นไปห้าองค์ มูลค่าตามท้องตลาดน่าจะสองถึ งสามหมื่นขึ้น ผมยื่นให้เขาพร้อมพูดว่า “เราขอยืมเงิน12,000 เราวางพระห้าองค์นี้ไว้ เป็นประกันให้ คิดดอกเท่าไรคิดไป” แต่คำตอบที่ได้คือ “สมัยนี้ใครจะเอาเงินมารั บจำนำพระ เงินจม เอาไว้ซื้อพระไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่ขายไปเลย” นี่คือสันดานของเซียนที่เห็นแต่ ผลประโยชน์ที่ยามเรามีเงิน กับไม่มีเงิน ความสัมพันธ์ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ยังดีครับเมื่อคราวนั้นยังมี คุณ อุ๊ กรุงสยาม เมื่อคราวที่ เปิดสำนักงานอยู่ข้างวัดราชนั ดดา แล้วตอนนั้นมีนิตยสารกรุงสยาม กับนิตยสารในเครือ หัวใหม่ชื่อ “ราคา&พระเครื่อง” ออกมาวางแผง..ได้ลงพิมพ์ว่ารั บจำนำพระ โดยคิดดอกร้อยละ5 ซึ่งผมถือว่าไม่แพงเลยถ้าไปเที ยบกับการที่เราจะเอาไปขายแล้ วโดนกดราคา และบางครั้งมันก็ไม่ใช่ราคาเพี ยงอย่างเดียว ผมว่านักนิยมพระทุกคน จะต้องมีพระที่ตัวเองรักอยู่ ไม่องค์หนึ่งก็หลายๆองค์ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้ เงิน การจำนำพระไว้กับร้านที่เชื่อถื อได้ เพื่อเอาเงินมาแก้ขัด ก็ยังเป็นทางออกที่ดี ซึ่งตอนนั้นผมจำนำพระชุดนี้เป็ นปีครับ ส่งดอกครั้งละเดือนบ้าง ถ้าไม่มีก็ขอส่งดอกครึ่งเดือนบ้ างทางร้านก็ไม่ว่าอะไร โดยโทรบอกเสมียนผู้หญิง(น่าตาน่ ารักดี โทษทีที่จำชื่อเธอไม่ได้แล้ว) ว่าโอนดอกเบี้ยมาให้แล้วนะ เรียกว่าความคิดที่จะยึดพระลู กค้าไว้ไม่มีแน่นอน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มตอนหลั งผมขายพระชุดนี้ให้เพื่อนได้เงิ นมาหลายหมื่น ถ้าตอนนั้นขายให้เซียนไปคงได้ ไม่เท่าไร ผมไม่รู้ว่า เดี่ยวนี้ ทางคุณ อุ๊ ยังให้บริการด้านนี้อยู่อี กไหมเพราะมันผ่านมาหลายๆปีแล้ว แต่ถ้ามีผมว่าช่วงนี้ก็เป็ นโอกาสดีนะครับ
4.ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร
อันนี้เหมือนนักการเมืองน้ำเน่ าปัจจุบันเป๊ะ....คนพวกนี้ พอผลประโยชน์ร่วมกันก็กินเที่ ยวด้วยกัน แต่พอผลประโยชน์ขัดกันก็โจมตีกั นเอง เรื่องนี้ทุกท่านน่าจะเคยเจอ ถ้าสนิทกับตู้ไหน จนพอไว้เนื้อเชื่อใจก็จะได้ฟั งเรื่องเล่าเค้ามหากาพย์ ไม่รู้จบ โจมตีกันไปมา
5.องค์เดียวกัน 15 นาที เปลี่ยนเป็น รุ่นอื่น
เคยเดินเล่นในบางลำพูงามวงค์ วาน(ชื่อเมื่อก่อน)เผอิญเดินผ่ าน ตู้หนึ่ง (มีชื่อเสียงในสายเครื่ องรางพอสมควร) เห็นมีคนเอากะลาแกะ รูปราหูมาปล่อย ผมปาดตามองเห็นพระเลี่ยมพลาสติ กอยู่ โดยจับขอบชิ้นกลางเป็นสีเหลือง ก็มองไว้ แต่ดูไม่เป็นหรอกครับ ได้ยินเสียงเซียนต่อรองกับผู้ นำมาปล่อยว่าราคามันแรงไป แค่ ล.พ.ปิ่น ยุคต้น..ตอนนั้นผมยืนหันหลังให้ เขาเพราะแกล้งทำเป็นส่ องพระจากแผงขาจรอยู่ ซึ่งวันนั้นมีตลาดนัด ก็ฟังไป จนเขาตกลงราคาซื้อขายกันแค่ 800 บาท ในใจตอนนั้นผมก็อยากได้พระราหู มาใช้เสริมดวงอยู่เหมือนกัน คิดว่า ซื้อต่อคงไม่แพงมากแต่จะเข้ าไปซื้อตอนนั้นเลยก็น่าเกลียด เลยแกล้งเดินไปที่อื่น รอบๆนั้น อีก 15 นาที เดินกลับมา ผมมายืนหน้าตู้ แล้วถามว่า “พี่ครับ ราหู องค์นี้ ของ ที่ไหนครับ” “องค์นี้กะลาแกะ ล.พ.น้อย ครับ”เซียนท่านนั้นตอบเล่ นมาผมตัวชาไปเลย แต่ก็ยังรวบรวมสติท่ ามกลางความตกตะลึง ถามกลับออกไปว่า“เท่าไรครับ”“ 22,000 ครับ” ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืนเลยครับ ผมจำพระได้ครับ เลี่ยมกรอบพลาสติคจับขอบชั้ นกลางเป็นสีเหลืองและในตู้มี องค์เดียวที่เลี่ยมแบบนี้ ไฉนจาก ล.พ.ปิ่น ผ่านไปไม่ถึง15นาที มันเป็น ล.พ.น้อย ได้ไง(วะ)แล้วราคานี่...อ่ะ มันพุ่งทะลุเพดานห้ างไปชนโลกพระจันทร์จนต้องหาช่ างมาซ่อมหลังคาห้างขนาดนั้นเชี ยวหรือ 800 เป็น 22000.-โอว์......อาร์....อูว์. .......
6.เพื่อนช่วยเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ไง (พระของเพื่อนข้า ใคร! อย่าแตะ)
เมื่อหลายปีก่อน เซียนสายตรงเป็นท่อท่านหนึ่ง( ความจริงโดน2ถ้าไม่มีใครมานั้ งมากกว่านี้) มีนิวาศสถานอยู่บนห้างๆนึง โดนพระสาย ท้องถิ่นตัวเอง(ถ้าบอกว่าเป็ นพระกรุไหน จะรู้กันทั้งห้างเลย) ซึ่งเป็นหระหลักจัดอยู่ในความนิ ยมอันดับต้นๆ คราวนั้นโดนของยอดฝีมื อปาดจนคอแทบขาด กว่าจะรู้เพราะคนที่นำมาปล่อย เอามาบ่อยอีกครั้งเลยชักเอะใจ เพราะซื้อขายกันครั้งแรกก็หลั กหลายล้านไปแล้ว พอมารู้ก็ไม่รู้ทำไง เพราะพระที่ซื้อมาก็ปล่อยให้ลู กค้าไปหลายองค์แล้ว คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่ งานประกวดนี่ซี...เมื่อมี การนำพระกรุนี้(ซึ่งสุดท้ายคื อพระเก๊นำมาส่งประกวด)กรรมการที่ รับพระสายนี้ ท่านหนึ่งรู้ว่าพระองค์นี้ ซื้อมาจากที่ไหน(ก็ข่าวดั งขนาดนั้น)จึงถามท่านประธานผู้ จัดว่าจะทำไง สิ่งที่ได้ยินคือ “อ้าย.....มันโดนมา ช่วยรับหน่อยแล้วกัน”5555 น้ำใจช่างเป็นเลิศประเสริฐศรีดี แท้ทีเดียวเชียวนะมรึง......( กรณีนี้มีหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ครับ จนเป็นเรื่องธรรมดาของกรรมการรั บพระไปแล้ว)
7.ขึ้นทำเนียบ จับตาย!!!
เรื่องนี้แยบยลนิดหน่อย เพราะเกิดจากกลุ่มเซียนกลุ่มหนึ่ ง จริงๆก็มีหลายกลุ่มแหละ เมื่อมีชื่อเสียง ก็ต้องทำหนังสือพระ(ที่เป็ นปกแข็งหรือปกอ่อนแบบเฉพาะกิจ ไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์หรื อรายเดือน)ขึ้นมา อันถือว่า ขึ้นทำเนียบเซียนใหญ่ เพราะมีหนังสือปกแข็งในนามของตั วเองขึ้นมา เช่น เฉพาะกิจ ล.พ......... เฉพาะกิจ พระกริ่ง...... อะไรทำนองนี้ คราวนี้ได้การครับ กลุ่มตัวเองบางคนเห็นแก่ ผลประโยชน์ โดยไม่เห็นแก่ความเดือดร้ อนของชาวบ้าน ก็นำพระเก๊ยัดเข้ามาผสมโลง อาร์......คราวนี้พระเก๊ก็ แทบเป็นพระแท้ไปโดยปริ ยายเพราะได้ลงหนังสือมีหลั กฐานอ้างอิง แถม จัดทำโดยเซียนพระชื่อดังด้วย คนได้ซื้อพระไปก็อดที่จะภูมิ ใจไม่ได้ที่พระที่ตัวเองซื้ อมาได้ลงอยู่ในหนังสือ....แต่ คนขายก็ยิ้มอยู่ในใจเช่นกัน 555
8.งานบุญไม่อาราธนาศีล
พวกนี้งานบุญที่ไหน จะเลี่ยงอาราธนาศีลในข้อ 4 เป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้เพราะอะไร (ท่านผู้อ่านไปคิดดูเอาเอง) เวลาไปร่วมงานบุญ พอพระสงฆ์ท่านท่องมาถึงข้อที่ 4นี้ พวกนี้จะเงียบกริบ ไม่ยอมรับศีล (ไม่เชื่อลองสังเกตดู)
9.พระที่เซียนซื้อบางครั้งก็ไม่ แท้เสมอไป(รู้ว่าเขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก)
เพราะบางทีเซียนใหญ่ก็ซื้ อพระเก๊ไป ทั้งๆที่รู้ว่าเก๊(ในราคาที่ไม่ ถูกนะครับ) เพราะพระนั้นเป็นพระที่ ทำออกมาดีเรียกว่า เล่นได้ อันนี้ไม่เรียกว่าโดนนะครับ แต่ต้องเรียกว่า เต็มใจมากกว่า ผมเคยถามทำไมถึงซื้อ แล้วได้คำตอบที่ดูดีว่า “เอาไว้ดู เป็นตัวอย่าง” แถมยังซื้อแพงซะด้วยยกตัวอย่าง เช่น พระกรุๆหนึ่งของแท้ซื้อขายกั นองค์ละหลายแสน แต่พอเจอพระฝีมือที่มี คนนำมาจะยิง ก็ออกตัวล้อฟรีไว้ก่อนเลยครับ “ขอไปเล่นน่า เท่านี้ได้ไหม” บางทีงงครับราคาของเก๊ เซียนซื้อเป็นหมื่น(บางที หลายหมื่นด้วยซ้ำ) เสี่ย เน๊กไท ทั้งหลายที่ชอบซื้อกับเซียนหย่ ายก็พึงสังวรไว้บ้างนะครับ
10.เซียนก็อยู่รูได้เช่นกัน (เมื่อเซียนกลายเป็นผีและผี กลายเป็นสาง นี่คือสุดยอดแห่งเซียน)
เกือบ10ปีแล้วเห็นจะได้มั้ง เซียนริมน้ำชื่อดังท่านหนึ่ง มีฝีมือในการเล่นพระสายเกจิ ลึกๆ แต่ดวงดาวลิขิตให้มาต้องติ ดการพนัน เป็นหนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ