ประวัติศาสตร์ จารึกพฤติกรรมการล้มล้างพระธรรมวินัย ภัยต่อความมั่นคงพระศาสนา ?


                   
ประจักษ์แจ้งข้อมูล พฤติกรรมของมหาเถรสมาคมในการล้มล้างพระธรรมวินัยที่
http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2013/06/blog-post_961.html

วิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงสถาบันพระศาสนา ข้อมูลที่ https://docs.google.com/file/d/0B_nOh0gPsWNSUkVWRG9aQ3pkbmc/edit


3 ปี ธุดงค์ธรรมชัย
บุญคุณที่ต้องตอบแทนของธัมมชโย

จากการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ได้ร่วมกันแถลงข่าว การมอบรางวัลผู้นำพุทธโลก (World Buddhist Outstanding Leader Award) ให้แก่บุคคลและองค์กรต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติคุณ ต่อคุณูปการที่ได้บำเพ็ญในบวรพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จะมีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ที่พุทธมณฑล โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จะเดินทางมาเป็นประธานมอบ
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ก็เกิดข้อสงสัยต่อสาธารณชนว่า รางวัลนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร รวมทั้งมีกำหนดกฎเกณฑ์ในการมอบอย่างไร หรือมีใครบ้างที่เป็นคณะกรรมการคัดสรรผู้มีคุณสมบัติดีเด่นในทางพระพุทธศาสนา และลงมติว่า"สมควรได้รับรางวัลระดับโลก" ที่ว่านี้
โดยเริ่มต้นนั้น ทางผู้แถลงข่าวได้อ้างถึงองค์กร 2 องค์กร ได้แก่
1. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
2. องค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ใช้นามย่อว่า (ย.พ.ส.ล.)
โดยทาง ย.พ.ส.ล. มี นพ.พรชัย พิญญพงษ์ ประธานองค์การฯ มาร่วมงานแถลงข่าว ส่วนทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีนายอำนาจ บัวศิริรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นตัวแทนของ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพุทธฯ เพื่อร่วมแถลงข่าวด้วย
สำหรับบุคคลที่ได้รับการประกาศนาม เพื่อเข้ารับรางวัลนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 178 รางวัล โดยแบ่งออกเป็นในประเทศไทยและต่างประเทศ มีทั้งพระภิกษุฝ่ายเถรวาทและมหายาน แม่ชี องค์กรการกุศล บุคคลที่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา แยกออกเป็นส่วนบุคคล ดารา นักร้อง นักแสดง รวมทั้งสื่อสารมวลชน ซึ่งยังแยกออกเป็นประเภทบุคคลและองค์กรอีกด้วย
ในการแถลงข่าวนั้น ทางผู้ดำเนินการได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลสำคัญเพียงไม่กี่ชื่อ ถึงกระนั้นก็สร้างความสนใจให้แก่สาธารณชนได้ไม่น้อย อาทิ ท่านติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นพระมหายาน และมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ท่านธัมมชโย หรือพระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นพระที่มีบารมีมากมาย และมีเรื่องราวพิลึกพิลั่นให้ผู้คนเล่าขานไม่จบสิ้น รวมทั้ง นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพุทธฯ ก็มีชื่อเป็นผู้ได้รับรางวัลในการแถลงข่าวด้วย

โครงการธุดงค์ธรรมชัย ปีที่ 1 เดือนมกราคม พ.ศ.2555


สำนักพุทธฯประกาศตัวร่วมงานธรรมกาย



ต่อมา อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ได้บัญชีรายชื่อของผู้ที่ได้รับการเลือกสรรให้เข้ารับรางวัลมาทั้งหมด จำนวน 178 ท่านด้วยกัน และเมื่อสำรวจดูแล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่า
1. มีพระภิกษุวัดพระธรรมกาย และญาติธรรม รวมทั้งบุคคลผู้เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและต่างประเทศ มีชื่อเข้ารับรางวัลอย่างมากมาย ไม่น้อยกว่า 40-50 ชื่อ หรือบางทีอาจจะถึง 100 ชื่อด้วยซ้ำไป
2. องค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกนั้น มีชื่อปรากฏเป็น "ภาคี"ของวัดพระธรรมกาย ในการจัดกิจกรรมของวัดนี้อย่างต่อเนื่องมาหลายปี
3. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นภาคีในการจัดพิธีมอบรางวัลในครั้งนี้ ก็มีชื่อเป็น "ภาคี" ของวัดพระธรรมกายมาหลายงาน แม้ว่าโดยกฎหมายแล้ว สำนักพุทธฯจะมีฐานะเป็น "เลขาธิการ" ของมหาเถรสมาคม ก็ตาม
4. มีหน่วยงานอื่นเข้ามาแทรกเป็นยาดำในบัญชีผู้ที่ได้รับรางวัล อีก 3 หน่วยงาน นั่นคือ
4.1 ชมรมพุทธศาสตร์สากล ในความอุปถัมภ์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ
4.2 ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
4.3 สหพันธ์รวมใจไทยทั้งชาติ
ซึ่งข้อที่ 4.1 และ 4.3 นั้น เป็นหน่วยงานที่เนื่องกับวัดพระธรรมกาย เพราะวัดปากน้ำเป็นบ่อเกิดของวิชชาธรรมกาย โดยหลวงพ่อสด ทั้งพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็ได้รับการอุปสมบทที่วัดปากน้ำ ก่อนจะออกไปตั้งวัดพระธรรมกายที่จังหวัดปทุมธานี ส่วนสหพันธ์รวมใจไทยทั้งชาตินั้นก็เป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยบุคคลากรของวัดพระธรรมกาย โดยการตั้งชื่อให้หลากหลาย ทำนองแยกบริษัทลูกออกไปให้เยอะเท่าที่จะทำได้ เมื่อตั้งได้แล้วก็เอาชื่อมาใช้เป็นองค์กรสนับสนุน หรือร่วมมือ ในการทำงานของวัดพระธรรมกาย ซึ่งก็ยังมีอีกหลายองค์กรที่มิได้รับเลือกให้เข้ารับรางวัลทีว่านี้ แต่ในปีต่อไป ถ้ายังมีการมอบรางวัลอีก ก็ต้องได้เห็นองค์กรเหล่านั้นผลัดกันเข้ามารับรางวัลอย่างทั่วหน้า ดังนั้น องค์กรเหล่านี้เราจะตัดทิ้งไป เพราะมองยังไงก็"ธรรมกาย" อยู่วันยังค่ำ
โดยสรุป ณ เบื้องต้น เท่าที่เห็น ก็กล่าวได้เลยว่า รางวัลผู้นำพุทธโลก ที่ก่อตั้งในครั้งนี้ เป็นรางวัลของ "วัดพระธรรมกาย-เพื่อชาวธรรมกาย" อย่างแท้จริง ส่วนสำนักพุทธฯ หรือองค์กรอื่นใด ล้วนแต่เป็น "ภาคี" คือผู้เข้าร่วมงานกับวัดพระธรรมกายเท่านั้น ดังงานอื่นๆ ในอดีตที่วัดพระธรรมกายจัด อาทิเช่น งานตักบาตพระแสนรูป งานเดินธุดงค์ธรรมชัย เป็นต้น ซึ่งแต่ละงานนั้นมีการอ้างเอาองค์กรมากมายมาเป็นภาคี แต่พอถึงเวลาจัดงาน ทุกอย่างกลายเป็นของธรรมกายหมด แม้แต่ผลงานก็ถูกธรรมกายฮุบไปสิ้น หน่วยงานอื่นๆ เหมือนแขกมาร่วมงานหรือไม้ประดับ กินอิ่มแล้วก็กลับ เท่านั้นเอง
ที่เรากล่าวเช่นนี้ เพราะเห็นว่า มีพระภิกษุ องค์กร และญาติธรรม ของวัดพระธรรมกาย ทั้งภายในและต่างประเทศ มีชื่อเข้ารับรางวัลนี้อย่างมากมาย แน่นอนว่าต้องผิดสังเกต โดยจะนำเสนอต่อไปนี้





ธุดงค์ธรรมชัย ได้รับรางวัล
"เดินบนกลีบดอกไม้ยาวที่สุดในโลก"



จาก..เดินบนกลีบดอกไม้ยาวที่สุดในโลก
ถึง..รางวัลผู้นำพุทธโลก
การล่ารางวัลจนหลุดโลกของธรรมกาย

ก็คงไม่ผิดนักที่จะเท้าความกันอย่างนี้ เพราะเมื่อมีการจัดกิจกรรมเดินธุดงค์ขึ้นมาในต้นปี 2555 นั้น ทางธรรมกายถือว่าประสบผลสำเร็จ คือมีแต่คนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่มีใครขัดขวางจนล้มเหลว ส่งผลให้วัดพระธรรมกายจัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 2-3 ฯลฯ และยังขยายเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ออกไปอีกเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีรางวัลตอบแทนบุญคุณผู้มีอุปการคุณ ทางธรรมกายจึงคิดสร้างรางวัล "ผู้นำพุทธโลก" ใบนี้ขึ้นมา แต่เพื่อให้มันเนียน ก็ไม่กล้าออกหน้าเอง แต่ได้ชงลูกให้แก่องค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เป็นตัวเดินเกม และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นฐานปฏิบัติการ โดยจะมีการมอบรางวัลให้ที่พุทธมณฑล อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในปัจจุบัน ส่วนองค์กรอื่นๆ หรือบุคคลเด่นดังอื่นใดที่ได้รับรางวัลด้วยนั้น ก็เป็นเพียง "ตัวหลอก" เพื่อให้งานนี้กลมกลืนแบบที่เรียกว่า "ตบตา" ได้เนียน เพราะเห็นออกข่าวมาหลายวันแล้ว สังคมไทย (โดยสื่อมวลชนทุกแขนง) ทำได้แค่ "อื้อหือ-ฮือฮา" เสนอข่าวออกไปไม่กี่เวลาก็เงียบ แต่จะมีใครสนใจเข้าไปดูเนื้อในของโครงการนี้อย่างละเอียดนั้นแทบหามีไม่


นพ.พรชัย พิญญพงษ์
ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (ย.พ.ส.ล.)

ที่กล่าวว่า รางวัลผู้นำพุทธโลกเป็นของธรรมกายนั้น ก็ด้วยเหตุผลว่า ตัวนพ.พรชัย พิญญพงษ์ ประธาน ย.พ.ส.ล.นั้น ก็หาใช่คนอื่นไกลไหนไม่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ก็คืออุบาสกของวัดพระธรรมกาย ที่เรียกว่า กัลยาณมิตร เป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมของวัดพระธรรมกายอย่างแข็งขัน ทำให้มองได้ว่า องค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ก็คือองค์กรลูก ของวัดพระธรรมกายอีกแห่งหนึ่งนั่นเอง
ดังนั้น ถึงจะไม่ออกชื่อ "ธรรมกาย" ว่าเป็นโต้โผในการจัดงานครั้งนี้ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้จัด รวมทั้งผู้ที่เข้ารับรางวัลแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นมีแต่"ธรรมกาย" และ "ธรรมกาย" เป็นหลัก จริงหรือไม่ก็ขอให้ดูกันต่อไป

เราเริ่มกันที่ "ผู้มอบรางวัล"


สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้รับการอาราธนาไปเป็นองค์ประทานรางวัล "ผู้นำพุทธโลก" ให้แก่ผู้ได้รับการคัดสรร ณ พุทธมณฑล ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557
แม้จะมองด้วยใจที่มีอคติ คือเคารพนับถือหลวงพ่อใหญ่วัดปากน้ำ ว่าเป็นผู้มีเมตตาธรรมต่อพระสงฆ์สามเณรทั่วไป ไม่จำเพาะว่าจะสังกัดวัดปากน้ำหรืออยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์หนเหนือของท่านเท่านั้น คือเชื่อว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่เหนือเรื่องส่วนตัวเหล่านี้แล้ว แต่สถานภาพ "พ่อ-ลูก" ผูกพันระหว่างหลวงพ่อวัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายยังไงก็ตัดกันไม่ขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "โครงการธุดงค์ธรรมชัย ปีที่ 1" นั้น มีจุดหมายเพื่อ "นำเอารูปหล่อหลวงพ่อสด ทองคำ หนักถึง 1 ตัน ไปถวายไว้ในพระเจดีย์วัดปากน้ำ"จึงจะจบโครงการ ดังนั้น เมื่อบุคคลที่เข้ารับรางวัลผู้นำพุทธโลกมากมายหลายท่าน ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับโครงการของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ โครงการธุดงค์ธรรมชัย ก็ทำให้ไม่สามารถจะตัดหลวงพ่อใหญ่วัดปากน้ำออกไปเสียจากประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง นี่ขนาดว่าเอนเอียง ไม่มองหลวงพ่อว่าเป็นผู้หนุนธรรมกายแล้วนา ดังนั้น จึงมีคำถามตามมาว่า เหตุใดจึงเจาะจงนิมนต์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ไปเป็นประธานมอบรางวัลนี้ จริงอยู่ ถึงแม้ว่าหลวงพ่อใหญ่วัดปากน้ำ จะมีความเหมาะสม และสมควรอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้มอบรางวัลอันสูงสุดในทางพระศาสนาในประเทศไทย ใครได้รับก็ต้องถือเป็นเกียรติประวัติที่ควรภาคภูมิใจไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่กระนั้น สายสัมพันธ์ระหว่าง "วัดปากน้ำ" กับ "วัดพระธรรมกาย" ก็ไม่สามารถจะมองให้เห็นเป็นอื่นใดไปได้ นอกจากจะเป็นรางวัล "โดยธรรมกาย-เพื่อธรรมกาย"เพราะวัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายคือวัดเดียวกันโดยพฤตินัย หลวงพ่อใหญ่เคยกล่าวยืนยันเอาไว้แล้ว

ต่อไปก็มาถึง "ผู้รับมอบรางวัล"


นัมเบอร์วันของงานนี้ ต้องยกให้แก่
พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้มีบารมีเหนือกว่าพระสงฆ์ไทยทั้งประเทศในปัจจุบัน
ที่กล้ากล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่า ขนาดว่า กรรมการมหาเถรสมาคม นับตั้งแต่สมเด็จพระราชาคณะ ลงไปจนถึงพระเณรหัวขี้กลาก ต่างก็ต้องยกย่อง "หลวงพ่อธัมมชโย" ว่าเป็นผู้มีอำนาจวาสนาบารมี "ไม่มีใครในประเทศไทยจะเทียมได้" หรือต่อให้เอาพระสงฆ์ไทยทั้งโลกมาเทียบก็สู้ไม่ได้อีก เพราะในปัจจุบัน วัดพระธรรมกายมีสาขาในต่างประเทศมากว่าวัดใดๆ ในหล้า แม้แต่วัดปากน้ำเองก็ยังมีน้อยกว่า นี่คือเรื่องจริง ดังนั้น นัมเบอร์วันของรางวัลนี้ จึงโฟกัสไปที่ หลวงพ่อธัมมชโย ว่านี่คือตัวจริงเสียงจริง แต่ว่าท่านคงไม่มีเวลาไปรับรางวัลนี้หรอก ขนาดพัดยศ "พระเทพญาณมหามุนี" ที่พระสงฆ์ไทยต่างขวนขวายเข้าวังไปรับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านธัมมชโยก็ยัง"ไม่ว่าง" จะไปรับ อ้างว่า "ป่วยคืนเดียว" พอตกรุ่งขึ้นก็สลัดไข้เดินปร๋อ จัดมณฑลพิธีรับพัดในสภาธรรมกายสากลอย่างอลังการงานสร้าง กระชุ่มกระชวย ไม่เหลือเชื้อไข้ให้เห็นแม้แต่ขี้มูก สงสัยท่านมียาสั่งหรือยาวิเศษ จึงหายไวเหมือนเป็นไข้การเมืองงั้นแหละ
พระเทพญาณมหามุนี มีชื่ออยู่ในอันดับที่ 22 ของผู้รับรางวัล อันนี้ท่านจัดตามลำดับของ "สมณศักดิ์" แต่ถ้าจะจัดกันตามความสำคัญจริงๆ แล้ว ชื่อของท่านธัมมชโยต้อง "น้มเบอร์วัน" ฟันธง !

นัมเบอร์ 2 ไม่ต้องดูไกล หลวงพ่อทัตตชีโว เดินตามหลังท่านธัมมชโยมาติดๆ
ก็เป็นอันรู้กันมานานกาเลแล้วว่า หลวงพ่อธัมมชโยนั้น ท่านชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบงานสังคม นอกจากการพูดคุยมีความสุขอยู่กับเด็กๆ โรงเรียนอนุบาลในฝันเท่านั้น ดังนั้น งานหลวงงานราษฎร์ประดามี จึงโอนไปไว้ที่ "หลวงพ่อทัตตชีโว" หมดทั้งวัด ต้องเดินสายทั้งในและต่างประเทศ วัดพระธรรมกายนั้นมิใช่แค่วัดใหญ่และใหญ่เท่านั้น หากแต่เป็นระดับที่ต้องเรียกว่า "อาณาจักร" หากขาดหลวงพ่อทัตตชีโวไปคน ก็รับรองว่ามาไม่ถึงวันนี้แน่นอน ดังนั้น ถ้าจะพูดถึงความกว้างขวางแล้ว ในประเทศไทยเรานี้ to be number #1 ก็ต้องยกให้แก่ พระราชภาวนาจารย์ (เผด็จ ทตฺตชีโว) แต่ถึงกระนั้น การที่มีชื่อหลวงพ่อทัตตชีโวรับรางวัลผู้นำพุทธโลกร่วมกับหลวงพ่อธัมมชโยด้วย ก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องประหลาด เพราะรองเจ้าอาวาสไปรับรางวัลระดับเดียวกับเจ้าอาวาส
จึงไม่ทราบสมการหรือหลักการของการมอบรางวัลนี้ว่า ใช้ตรรกะอะไร ?
หรือว่ารางวัลที่ว่านี้เป็น "รางวัลฟุตบอลโลก" ที่เล่นกันเป็นทีม ได้เท่ากันทุกคน แม้แต่กองเชียร์ ?


นัมเบอร์ 3
ก็ยังหนีไม่พ้นอาณาจักรธรรมกาย ได้แก่ ดร.พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
หน้าตาหล่อเหลา คมเข้ม พูดจาออกทางวิชาการ เดินขึ้นมายืนแป้น "อันดับสาม" ในอาณาจักรธรรมกาย แทนอดีตพระเมตตานันโท ซึ่งวอล์คเอาท์ออกจากอาณาจักรไป ตามภาษิตจีนที่ว่า "ถ้าเตี่ยไม่ตาย เสี่ยก็ไม่โต"
พระมหาสมชายนั้น รู้สึกว่าจะเอาดีทางเป็นดาราหน้าจอ คือออกทีวีทางดาวธรรมเป็นว่าเล่น จะว่าเป็น "ดารา" ของค่ายธรรมกายก็คงว่าได้ แม้ว่าจะมีพระหนุ่มเณรน้อยอื่นๆ ผลัดกันออกฉากก็ตาม แต่บทบาทดารารุ่นใหญ่ก็ยังถูกพระมหาสมชายยึดครองแบบไร้คู่แข่ง แต่การทำงานของท่านสมชายนั้นอะไรก็คงไม่หนักหรือเครียดเท่ากับ "การรักษาระยะห่างกับเจ้านาย" เพราะอย่าลืมภาษิตไทยที่ว่า "ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" นั้นแรงแค่ไหน แค่คำแนะนำให้รักษาครอบครัวของญาติโยมเอาไว้ไม่ให้ล่ม แลกกับการได้ปัจจัยมาสร้างวัดอย่างอลังการ เหมือนการกินเกษรดอกไม้ของแมลงผึ้ง แค่นี้ ก็ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างท่านธัมมชโยกับเมตตานันโทขาดผึง ถึงกับ "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ"กันไปเลย อีกรูปหนึ่งก็คือ พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ.9 รูปแรก และอาจารย์ใหญ่บาลีองค์แรกของวัดพระธรรมกาย ก็หายไปกับสายลม เห็นมีชื่อสังกัด "วัดโพธิญาณ ลาสเวกัส" มีพระมหาไมย์ คุณากโร เป็นเจ้าอาวาส แต่ก็ไม่เห็นตัวและไม่มีบทบาทอะไร พระมหาสุวิทย์จึงเป็น "เมตตานันโท-2" ที่ต้องออกจากวัดพระธรรมกาย ทั้งๆ ที่มาก่อนพระมหาสมชายด้วยซ้ำไป ดังนั้นก็ใจเย็นๆ นะท่านสมชายนะ อย่าล้ำหน้าเป็นอันขาด ไม่งั้นจะหัวขาด



นัมเบอร์ 4 พระธรรมกิตติวงศ์ ราชบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ปรึกษาวัดพระธรรมกาย และพระอุปัชฌาย์ของเหล่าธรรมทายาท
ก็คงไม่ต้องอารัมภบทมากสำหรับชื่อนี้ พระธรรมกิตติวงศ์นั้นถ้าเป็นนักมวยก็ต้องเรียกว่า "ครบเครื่อง" คือได้ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ความคิดเป็นเลิศ แถมใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย รักใครรักจริง ด้วยอุปนิสัยดังว่ามานี้ ทำให้ท่านต้องถูกดองไว้ ไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์มานานกว่า 20 ปี ปีหน้า ถ้าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้เป็นสังฆราช พระธรรมกิตติวงศ์ก็อาจจะผงาดอีกครั้ง ตามตำรา "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" และ "เกิดเป็นชายอย่าหมิ่นชาย"
ระหว่างที่พระธุดงค์ธรรมชัยกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ากรุง ในต้นเดือนเมษายน 2555 ที่ผ่านมานั้น กระแสสังคมก็สับสนปนเป บ้างว่าเป็นการเดินธุดงค์ที่วิปริตผิดพระธรรมวินัย บ้างก็ว่าเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เห็นแล้วก็เป็นงงว่าใช่หรือไม่ พระธุดงค์ทำไมไม่เข้าป่า มาทำอะไรในเมือง บ้างก็ปลื้มใจน้ำตาไหลพราก ฯลฯ สุดท้าย พระธรรมกิตติวงศ์ ก็อาสาเป็นแม่ทัพหน้า ขึ้นเวทีที่สนามกีฬาเทพหัสดิน ในตอนหัวค่ำวันที่ 6 เมษายน 2555 เพื่อนำขบวนพระธุดงค์ฝ่ากระแสชาวกรุงมุ่งไปให้ถึงวัดปากน้ำตามเป้าหมายและกำหนดการไม่งั้นพังกันทั้งขบวน  ส่วนท่านอธิบายว่าอย่างไรนั้น ผู้เขียนก็บรรยายไปหมดแล้ว พระธรรมกิตติวงศ์ลงจากเวทีไปในคืนนั้น ทิ้งถ้อยคำเอาไว้ในประวัติศาสตร์ จะดี จะชั่ว จะขาว หรือจะกระดำกระด่างอย่างไรก็ตามแต่ แต่ถ้ามองในมุมของคนทำงานแล้ว ก็ย่อมเห็นว่า "พระธรรมกิตติวงศ์ได้ทุ่มสุดตัวแล้ว ทำดีที่สุดแล้ว เพื่อธรรมกาย"
ใครจะมองเห็นความเสียสละในภาวะวิกฤตของ "พระธรรมกิตติวงศ์" ที่มีให้แก่ธรรมกายในชั่วโมงนั้นบ้าง ?
วีรกรรมของพระธรรมกิตติวงศ์ในคืนนั้น เทียบได้กับการ "คาบดาบพาดพะองปีนหน้าค่าย" ของสมเด็จพระนเรศวรโน่นเชียว เพราะเสี่ยงตายถวายชีวิต เป็นความสามารถพิเศษที่ห้ามลอกเลียนเป็นอันขาด น่าประหลาดว่า พระธรรมกิตติวงศ์ยังคงอยู่ในสังคมสงฆ์ไทยได้อย่างเป็นปรกติ ถ้าเป็น "มหานรินทร์"พูดแบบนั้นบ้าง คงโดนกระทืบจมธรณีไปแล้ว
วันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า "ธัมมชโยก็จริงใจไม่แพ้กัน" เพราะมิได้ทิ้งเพื่อนเมื่อถึงคราวกิน ในงานตักบาตรพระล้านรูปที่ปิดกรุงเทพมหานครในเดือนมีนาคม 2555 นั้น มีเวทียักษ์ตั้ง 6 แห่ง แต่พระธรรมกิตติวงศ์ได้รับตำแหน่ง "สูงสุด"ที่ประตูน้ำ-ราชประสงค์ สูงกว่าสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ที่ได้เยาวราชไป มาวันนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ก็ยังมีชื่อเป็นผู้เข้ารับรางวัลผู้นำพุทธโลก ถึงจะไม่รู้ว่าโลกไหน แต่ก็เชื่อใจได้ว่า "ธัมมชโยไม่ทิ้งเพื่อน" ฟังแล้วก็ชื่นใจ จัดอีกซักกี่งานผู้คนก็ล้นขบวน เพราะท่านธัมมชโยนั้น พูดจริง ทำจริง และจ่ายจริง  ขอเพียงจริงใจ ไม่จิงโจ้ ไม่งั้นไม่โตมาจนป่านนี้หรอกจะบอกให้


 

นัมเบอร์ 5 พระพรหมเวที (สนิท ชวนปญฺโญ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ผู้มีบารมีรูปใหม่ในวงการสงฆ์ไทย
ความจริงจะให้อยู่นัมเบอร์ 4 แล้ว แต่สายสัมพันธ์อันแนบแน่นระดับ "ตายแทนกันได้" ระหว่างท่านธัมมชโยกับพระธรรมกิตติวงศ์มากั้นไว้ ส่งผลให้พระพรหมเวทีต้องมาอยู่ในอันดับนี้ อันดับที่เรียกว่า "ก้าวกระโดด" เพราะมิใช่จะได้กันง่ายๆ ถ้ามิใช่ "เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก" อันใหญ่บะเริ่มเทิ่ม จนท่านธัมมชโยต้องเกรงใจ
ถามว่า ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกนั้นสำคัญไฉน ? ก็ต้องตอบว่า สำคัญสูงสุดในประเทศไทยเลยเชียวล่ะ เพราะคุมอำนาจการปกครองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยไว้ได้ทั้งหมด นับจำนวนประชากรแล้วมากกว่าทุกภาค ดังนั้น หลวงพ่อใหญ่วัดไตรมิตรจึงมีฐานคะแนนสูงสุดในบรรดาคณะสงฆ์ไทยสมัยปัจจุบัน
มองโดยภาพรวม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ เป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ทำให้สายธรรมกายเข้าไปสร้างงานเผยแผ่ได้ง่าย เพราะเป็นสายเดียวกัน ส่วนสายใต้นั้นก็มีหลวงพ่อสงัด (พระพรหมจริยาจารย์) วัดกะพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นสายวัดปากน้ำ คุมอำนาจอีก ก็ทำให้ธรรมกายลงไปสร้างงานทางใต้ได้ง่าย เหลือเพียง 2 ภาค คือภาคกลางกับภาคตะวันออก (อีสาน)
ภาคกลางนั้น เดิมเป็นฐานอำนาจของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม ซึ่งไม่เอากับธรรมกาย ส่งผลให้ฐานภาคกลางของวัดพระธรรมกายค่อนข้างแคบ ท่านธัมมชโยโดนคดีเท่ากับถูกดองมาสิบกว่าปี ถ้าสมเด็จวัดชนะยังไม่เสีย ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยจะโตได้หรือเปล่า ถึงปัจจุบัน ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางผ่องถ่ายให้แก่ "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" วัดพิชัยญาติ ซึ่งก็ต้องรักษาอุดมการณ์ครูบาอาจารย์เอาไว้ ไม่งั้นเสียคน แถมตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ก็ยกให้แก่ "มหาสายชล" ซึ่งเป็น "หลาน" ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เรียกว่ากันไว้สองชั้น แต่ความจริงก็คือชั้นเดียวนั่นแหละ เพราะคนที่คุมอำนาจตัวจริงก็คือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ส่วนมหาสายชลนั้นมองยังไงก็ไม่ต่างไปจาก "นอมินี-ร่างทรง" ของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เพราะจะทำอะไรก็ไม่กล้า กล้าอย่างเดียวคือ "เอาตำแหน่ง" แบบนี้เขาไม่เรียกว่ากล้า แต่เรียกว่า "หน้าด้าน" มากกว่า


กล่าวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน ก่อนหน้านั้น "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)" วัดสระเกศ ครองอำนาจอยู่ ซึ่งสมเด็จเกี่ยวนั้นมีบารมีเหนือกว่าสมเด็จวัดชนะกับสมเด็จวัดปากน้ำ เพราะว่าอายุอ่อนกว่าเพื่อน แต่มีอำนาจมากกว่าผู้อาวุโสทั้งสองรูป แน่ไม่แน่ก็ดูเอาเถิด ทีนี้ว่า ขนาดสองสมเด็จยังเกรงบารมีของสมเด็จวัดสระเกศ แล้วธัมมชโยจะไม่เกรงใจได้อย่างไร ฐานเสียงทางภาคอีสานของธรรมกายในยุคก่อนจึงค่อนข้างแคบ แม้ว่าจะได้พระเณรอีสานมาปั้นเป็นบัณฑิตนับร้อยๆ รูปก็ตาม


ครั้นสมเด็จเกี่ยวเสียไปเมื่อปีกลาย อำนาจตกมาอยู่กับ พระพรหมเวที วัดไตรมิตร ส่งผลให้เส้นทางไปอีสานของธรรมกาย "โล่งโจ้ง" ขึ้นมาในทันที นึกภาพในมุมกลับ ถ้าสมเด็จเกี่ยวยังไม่เสีย รางวัลผู้นำพุทธโลกก็อาจจะไปกองอยู่ที่กุฏิเจ้าคุณเสนาะทีละ 5 ใบก็เป็นได้ แต่เวลานี้ไม่มีสมเด็จเกี่ยวแล้ว แม้แต่รางวัลปลอบใจก็ไม่มีให้แก่พระวัดสระเกศแม้แต่ใบเดียว เป็นอนิจจังของสังขาร ว่าถ้าเอาแต่อำนาจ ไม่มีความชอบธรรม และไม่สร้างงานหรือผลงานในเมื่อมีโอกาส ครั้นโอกาสหลุดลอยไปก็กล่าวได้แต่เพียงว่า "เสียดาย"
ที่ยกมาทั้งนี้ เพราะมีข้อเปรียบเทียบว่า ทางวัดสระเกศได้ประกาศเชิดชูเกียรติคุณ "เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์-เกี่ยว อุปเสโณ" อดีตเจ้าอาวาส ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เป็นผู้บุกเบิกกิจการพระธรรมทูตสายต่างประเทศ แทบจะเรียกว่ามีบทบาทดีเด่นไม่แพ้ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช" วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทางโน้นก็อ้างว่า "มีบทบาทสำคัญในด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ" เช่นกัน มันชิงดีชิงเด่นกันอยู่อย่างนี้ และในปัจจุบันนี้ พระพรหมสุธี หรือท่านเจ้าคุณเสนาะ ก็ยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศอยู่อีกด้วย คือบรรดาพระสงฆ์ไทยที่จะไปเป็นพระธรรมทูตในต่างประเทศ ต้องผ่านการอนุมัติของท่านเจ้าคุณเสนาะ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (ถ้าจะไป) หมายถึงว่า เจ้าคุณเสนาะเป็นผู้บังคับบัญชาในสายต่างประเทศของมหานิกายในทุกระดับ แต่กลับปรากฏว่า ไม่มีการมอบรางวัลระดับโลกให้เจ้าคุณเสนาะแม้แต่ครึ่งใบ ทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร ? ผู้เขียนไม่ขอตอบ เพราะอยากให้ท่านธัมมชโยกับท่านเจ้าคุณเสนาะร่วมกันหาคำตอบเองจะเหมาะสมกว่า


วันธรรมชัย (22 กันยายน 2556)   ท่านธัมมชโย ได้กราบอาราธนานิมนต์ พระเดชพระคุณพระพรหมเวที ไปรับการฉลองตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก" ที่สภาธรรมกายสากล แม้ว่าวัดพระธรรมกายจะอยู่ใน "หนกลาง"ก็ตาม มิได้เกี่ยวข้องดองญาติกับหนตะวันออกเลย แต่ก็มีความปีติยินดีที่หลวงพ่อใหญ่วัดไตรมิตรได้เป็นใหญ่เป็นโต สายสัมพันธ์ระหว่างวัดพระธรรมกายกับวัดไตรมิตรวันนี้ ต่อให้เอาเลื่อยไฟฟ้ามาตัดก็ไม่มีทางขาด และคอยดูต่อไปนะ อีกไม่เกิน 10 ปีต่อนี้ไป สาขาวัดพระธรรมกายสายอีสานจะผุดเป็นดอกเห็ด ทั้งนี้เพราะมีเชื้อเห็ดอยู่แล้ว เป็นพระเณรลูกหลานเหลนของชาวอีสานที่นำมาเลี้ยงเป็นธรรมทายาท จบเปรียญและปริญญาสูงๆ กำลังจะตั้งทัพกลับไปยึดภาคอีสานให้เป็นดินแดนธรรมกาย ส่วนหนองหาน-สกลนครนั้น เรื่องจิ๊บจ๊อย ได้ยินเสียงใครแถวๆ คลองสามคำรามว่า "จะเอาเมื่อไหร่ก็ได้"
อ้อ รางวัลนั้น ถ้าเป็นคนโนเนม ไม่เคยมีผลงานหรือไม่มีตำแหน่งแห่งหน เขาก็จะต้องทดสอบใช้งานจนปรากฏผลงานอย่างชัดเจน ถึงค่อยให้รางวัล แต่สำหรับผู้หลักมักใหญ่ มีอำนาจวาสนายศถาบรรดาศักดิ์แล้ว ท่านว่า คนระดับนี้ต้องปูนบำเหน็จก่อนจึงจะได้ใจท่าน ดังนั้น การที่ท่านธัมมชโยเล่นบทอ้อน นิมนต์ "พระพรหมเวที" ไปฉลองตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก" ถึงในสภาธรรมกายสากล ก็นับเนื่องในข้อท้ายนั้นเอง ส่วนรางวัลผู้นำพุทธโลกนั้นถือว่าเป็นการให้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่า ตราบใดที่ยังเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก บำเหน็จจากธรรมกายก็คงส่งไปถวายวัดไตรมิตรไม่ขาดสาย และต้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะปลาตัวใหญ่ก็ต้องกินเหยื่อชิ้นใหญ่ หลวงพ่อสดทองคำหนัก 1 ต้น ที่ขบวนพระธุดงค์ธรรมชัยนำไปถวายวัดปากน้ำนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
รางวัลผู้นำพุทธโลก ที่มอบให้แก่ "พระพรหมเวที" ในวันนี้ ตอบได้คำเดียวว่า"มิใช่รางวัลเชิดชูผลงาน" หากแต่เป็น "รางวัลซื้อใจ" เพราะพระพรหมเวทีเป็นผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ ถึงจะยังไม่ปรากฏผลงานก็ไม่เป็นไร เอารางวัลไปก่อน ส่วนผลงานนั้น ตราบใดที่ยังอยู่ในอำนาจ ก็สร้างไม่ยากหรอกครับ เชื่อครูไม่ใหญ่เถิด มันเหมือนคนมีเครดิตน่ะ ถึงไม่มีเงินสด แต่จะซื้ออะไรก็ไม่ใช่ปัญหา  ดูให้ไกลต่อไปสิว่า ปีหน้าพระพรหมเวทีก็จะได้เป็น "สมเด็จ" แล้ว เครดิตนับพันล้านระดับนี้ จะชี้นิ้วเอาทั้งร้านก็ยังได้ !



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ