ภัยต่อความมั่นคงของชาติในประวัติศาสตร์ไทย?
แปลกใจ...พฤติกรรมคน"ธรรมกาย"
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เงินจำนวนมหาศาลของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ถูกยักย้ายถ่ายโอนเข้าบัญชี “ธัมมชโย” วัดพระธะรมกาย พระลูกวัด ตลอดจนฆราวาสบางคนที่เกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกายอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นเป็นคดีความต่อกัน ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และอาจเลยไปไกลถึงขั้นมีการ “ฟอกเงิน”
แต่ถึงกระนั้น ทั้งพระทั้งฆราวาสของวัดนี้ ก็หาได้สะดุ้งสะเทือนอย่างใดไม่
1) ในความเป็นจริง วัดเป็นสถานที่จรรโลงศีลธรรม เมื่อทราบว่า เงินที่มีผู้นำมาถวายเป็นเงินที่ยักยอกหรือได้มาโดยไม่สุจริต วัดก็ควรจะสะดุ้งสะเทือน ควรแสดงออกซึ่งความมีศีลธรรมในทันทีด้วยการคืนเงินบริจาคนั้นเสีย โดยไม่มีข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่ ดูเหมือนวัดพระธรรมกายจะเฉยเมยมาก ไม่เร่งรีบคืนเงิน รอจนกลายเป็นคดี และจะต่อสู้คดีด้วย
2) ธัมมชโยและพระลูกวัดอื่นก็เช่นเดียวกัน ความเป็นพระ คือ เป็นผู้ทรงศีล ย่อมไม่สนับสนุนการลักทรัพย์ ซึ่งผิดหลักศีล 5 และย่อมจะไม่มุสา คือกะล่อน หลอกลวง อันที่จริงไม่จำเป็นต้องแก้ตัวเลย ว่าคนเขาเอาเงินมาถวาย จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเอาเงินมาจากไหน เมื่อเขามีศรัทธานำมาถวาย ก็ต้องรับไว้ เพราะคนที่นำไปถวายคือ อดีตไวยาวัจกรของวัด ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกัน จนไม่กล้าถามไถ่ และเงินที่นำไปบริจาคก็ไม่ใช่บาทสองบาท แต่เป็นหลักสิบล้าน ร้อยล้าน ควรหรือไม่ที่จะถามว่า นำเงินมาจากไหน หรือต่อให้ไม่เคยถามกันมาก่อน เพราะไม่มีความสงสัย แต่บัดนี้เมื่อปรากฏข้อมูลชัดเจนแล้วว่า เงินที่นำมาถวาย เป็นเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นเงินที่ยักยอกมา มีเจ้าทรัพย์ที่กำลังได้รับทุกขเวทนา คือ ไม่มีเงินใช้ เป็นเงินที่อุตสาหะเก็บออมมาทั้งชีวิต หลายคนอยู่ต่างจังหวัด เบิกถอนเงินออมก้อนนี้ออกมาใช้ก้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่กำลังขาดเงิน กำลังเป็นทุกข์ พระที่เป็นพระแท้ พระที่ไม่โลภในลาภสักการะ จะต้องเห็นใจ กุลีกุจอคืนให้ในทันที
3) ถามว่าเงินที่นำมาคืน ต้องเงินก้อนเดียว ธนบัตรใบเดียวกับที่รับไปหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าเปล่า เงินก็คือเงิน คุณรับไปเป็นมูลค่าเท่าไหร่ ก็คืนกลับมาด้วยมูลค่าเท่านั้น จะใช้เงินก้อนใดที่วัดพระธรรมกายมีก็ได้ แล้วถามว่าวัดนี้เป็นวัดจนๆ ลำบาก ต๊อกต๋อย เป็นวัดยาจกเข็ญใจใช่หรือเปล่า ก็ไม่ใช่อีก มั่งคั่ง ตั้งบริษัท ตั้งมูลนิธิ เอาเงินไปลงทุน ไปทำธุรกิจสารพัด จนเกินความเป็นวัดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เมื่อเงินมี แต่ไม่คืน เจตนาก็ชัดว่าอยากได้ของของคนอื่น ในทางธรรม ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระ ในทางโลก ก็ถือว่ามีคดีทั้งอาญาและแพ่ง ที่จะต้องจัดการ
4) แต่เมื่อคดีเดินหน้า โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหนังสือนิมนต์มาให้ข้อมูล กลับซื้อเวลาด้วยการขอเลื่อน อ้างเหตุผลต่างๆ นานา เช่น อาพาธ หรือติดธุระสำคัญ ฯลฯ ซึ่งมันเป็นเทคนิคการซื้อเวลาของคนในทางโลก ที่ไม่สุจริตใจ แต่น่าแปลก ที่พระ ซึ่งควรจะเป็นแบบอย่างในทางธรรม นำหลักธรรมมาปรับปรุงโลก กลับทำตัวโลกย์ๆ ลวกๆ เลวๆ ลบๆ ล่อๆ เสียเอง
5) ซึ่งก็แปลกที่สุด ที่ศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกาย ไม่ได้แสดงออกซึ่งความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ หรือลังเลสงสัยในพฤติกรรมที่ “ไม่เป็นพระ ไม่เป็นวัด” เหล่านี้เลย แทนที่จะตั้งคำถาม หรือจี้ให้พระให้วัดแสดงออกซึ่งความสุจริต ด้วยการเร่งคืนเงินให้แก่ผู้เดือดร้อน ตกทุกข์ได้ยาก กลับหวงแหน “ทรัพย์ที่ไม่ควรจะได้” เอาไว้ หากฆราวาสเป็นอย่างนี้ แล้วพระจะดีได้อย่างไร
6) นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายที่ลุ่มหลงศรัทธาของฝ่ายธรรมกาย อยู่ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในกรมการศาสนา ในมหาเถรสมาคม และในองค์กรตรวจสอบอื่นๆ อีกมาก แม้กระทั่งมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของฝ่ายสงฆ์ เช่นนี้แล้ว เราจะจรรโลง แก่นธรรมอันดีงามของพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์และเป็นหลักที่ถูกต้องแก่สังคมได้อย่างไร จะมีคนช่วยตรวจสอบพฤติกรรมนอกรีตนอกรอยในหลักการของพระพุทธศาสนาที่ดีงามอยู่แล้วโดยเนื้อแท้ได้อย่างไร ครั้นหน่วยงานใดจะเข้าไปตรวจสอบ ชำระ เพื่อให้พระศาสนายังคงความถูกต้อง ไม่เบี่ยงเบน ก็กลับถูกรุมล้อม กดดัน ข่มขู่ ต่อรอง ถึงกับจะเอาพระเอาเจ้ามาชุมนุมกัน ถามว่า พระพุทะศาสนาในบ้านเราจะไปทางไหน จะถูกกาฝากครอบขึ้น ขึ้นแข่ง สูงใหญ่ จนคนมองพระพุทธศาสนาผิดไป บ้างก็เสื่อมศรัทธา บ้างหันหลังให้ บ้างกลายเป็นเหยื่อถูกรูดทรัพย์ตบทรัพย์
7) ขณะเดียวกัน เครือข่ายพระธรรมกาย ยังเที่ยวเปิดเพจต่างๆ ในเฟซบุ๊ค เพื่อขยายเครือข่าย เพิ่มสาวกในลัทธิหรือตอบโต้โจมตีคนที่เรียกร้องการตรวจสอบ เช่น เพจ “ตื่นเถิดชาวพุทธ” หรือแม้แต่เพจของ “พระนพดล สิริวังโส” ก็มักไปลอกคำคมของคนอื่นเขามาเผยแพร่ โดยไม่อ้างอิง ซึ่งก็ถือเป็นความไม่สุจริตอย่างหนึ่ง การใช้สื่อ ใช้การตลาด ใช้การประชาสัมพันธ์อย่างไม่สุจริตเช่นนี้ ก็นับปเนอีกปัญหาหนึ่งที่คุกคามล่อลวงผู้คนในสังคมให้ติดตาม ก่อนจะโน้มเข้าสู่กิจกรรมต่างๆ ของวัดพระธรรมกาย
ดังนั้น จึงขอเรียกร้องความสุจริต จากพระ จากวัด จากศิษย์ หากพวกท่านมีความสุจริตที่แท้จริง ก็หยุดขัดขวางกระบวนการยุติธรรม กระบบวนการตรวจสอบ ทั้งฝ่ายโลกฝ่ายสงฆ์ได้แล้ว ให้ความร่วมมืออย่างดี ปเดเผย และกระตือรือล้น
แทนการอมเงิน อมพะนำ และใช้เครือข่ายเข้าคุกคามผู้ตรวจสอบและสังคม อย่างที่เป็นอยู่
ส่วนศิษย์ธรรมกายทั้งหลาย ควรตื่นลืมตาตั้งแต่ธัมมชโยเล่าว่า แม่ชีปัดลูกระเบิดได้ เล็งญาณเห็นสตีฟจ๊อฟ เป็นตัวแทนถวายข้าวพระพุทธเจ้า ฯลฯ ได้แล้ว
อะไรทำให้ท่าน “งมงาย” โดยไม่ถอนตัว ไม่ใช่ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอยู่เช่นนี้?!?!?
นสพ.แนวหน้า
www.facebook.com/thaihistory
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ