ผลกรรม เหตุภัยพิบัติในชาติไทย ที่ต้องศึกษาด้วยหลักธรรมกาลามสูตร
อยุธยา วิกฤตหนักสุด
สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ
ตัวอย่าง
1.อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
2.อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
3.อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
4.อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
5.อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
6.อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
7.อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
8.อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
9.อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
10.อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
น้ำท่วมอยุธยา
ในส่วนอุตสาหกรรมสหรัตนคร อ.นครหลวง ถูกน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ทำให้โรงงานทั้ง 46 บริษัทต้องปิดกิจการ พนักงานทั้งชายหญิงกว่า 1 หมื่นคนต้องรีบออกจากโรงงานและที่พักออกมาทางเรือด้วยความยากลำบาก เนื่องจากระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก และยังเหลืออีกกว่า 300 คนที่ออกไม่ได้ บางรายต้องอดอาหารและน้ำดื่มมาแล้ว 2 วัน หน่วยกู้ภัยอยุธยารวมใจ เจ้าหน้าที่ทหารบก จ.สระบุรี ได้นำเรือเข้าไปช่วยเหลือ
ในช่วงบ่าย ถนนโรจนะซึ่งเป็นถนนสายหลักเข้า-ออกตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา พบว่า ช่วงขาออกตั้งแต่วงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้ม ต.ไผ่ลิง ไปจนถึงแยกวัดพระญาติฯ ถนนช่องคู่ขนานน้ำท่วมสูงประมาณ 80 ซม. รถไม่สามารถวิ่งได้ จนเข้าท่วมในช่องทางด่วน ส่งผลให้การจราจรติดขัดยาวกว่า 5 กิโลเมตร และยังพบว่าบ้านเรือนในชุมชนการเคหะฯ ที่อยู่ริมถนนโรจนะขาออกถูกน้ำท่วมสูง 1.50 เมตร น้ำยังไหลบ่าเข้าท่วมชุมชนเจ้าพ่อจุ้ย ม.5 ต.ไผ่ลิง มีบ้านเรือนถูกน้ำท่วมไปกว่า 1,000 หลังคาเรือน แรงดันของน้ำทำให้มีบ้านเรือนที่สร้างพนังคอนกรีตกั้นน้ำเอาไว้ระเบิดพัง เสียหายไป 3 หลัง
ขณะที่ชาวบ้านเกิดความเครียดทนไม่ไหวเกือบร้อยคนต่างรวมตัวกันเดินลุยน้ำที่ท่วมถึงหน้าอกพร้อมจอบเสียมออกมาเรียกร้องให้เทศบาลเมืองอโยธยาเปิดคันกั้นน้ำที่ริมถนนหน้าวัดพระญาติฯ ช่วยกันใช้จอบเสียมมือเปล่าพังคันดิน กว้างกว่า 60 ซม.จนน้ำไหลข้ามฝั่งไปท่วมถนนอีกด้านหนึ่ง
ต่อมา นายทวีศักดิ์ เมธีดล รองนายกเทศมนตรีเมืองอโยธยา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้เข้าเจรจากระทั่งมีปากเสียงกันจนเกือบจะมีการลงไม้ลงมือ แต่สถานการณ์คลี่คลายไปได้เมื่อทางเทศบาลยอมผ่อนคลายให้มีการเปิดทางน้ำได้
ช่วงค่ำ น้ำจากเจ้าพระยาและป่าสักไหลทะลักพังคันดินด้านวัดหันตราและบ้านเกาะ น้ำทะลักเข้าท่วมที่ทำการเทศบาลเมืองอโยธยา ตลาดน้ำอโยธยาที่มีชื่อเสียงจมบาดาล ขยายวงกว้างท่วมชุมชนวัดพระญาติการาม ชุมชนวัดกะสังข์ หมู่บ้านเคหะชุมชน ถนนสายโรจนะฝั่งขาออก-บริเวณวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้มสูง 50 ซม. การจราจรใช้ได้ช่วงทางเดียว และได้ทะลักเข้าท่วมเรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยาบางส่วนเสียหายแสนล้าน
อัพเดตสถานการณ์น้ำท่วม 6 ตุลาคม 54
14.05 น. บขส. : ประกาศหยุดเดินรถไปสายเหนือ ทุกเส้นทาง เนื่องจาก น้ำได้เอ่อล้นเข้าถนนสายเอเชียช่วงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณหน้าเรือนจำ จ.อยุธยา และหน้าโรงพยาบาลบางปะหัน หลักกิโลเมตรที่ 36-37 รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ทั้งขาขึ้นและขาล่อง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
13.45 น. ปภ.: คาดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลจะเข้าท่วมนครสวรรค์ในอีก 7 วันข้างหน้า พร้อมเตรียมแผนรับมืออพยพประชาชนใน 3 ชั่วโมง
13.00 น. ปิดถนนสายเอเชีย : สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 รายงานข่าวว่า กรมทางหลวงได้ปิดเส้นทางสายเอเชียบริเวณต่างระดับบางปะอินแล้ว เนื่องจากน้ำหลาก 2 จุด โดยให้รถทั้งหมดที่จะวิ่งขึ้นเหนือ ให้เข้าที่บางบัวทอง ออกสุพรรณ และเข้าสายเอเชียที่ชัยนาท
12.16 น. กทม. : หมู่บ้านบัวขาว เขตมีนบุรี ฝนตกหนักเมื่อคืนนี้ ทำให้ระดับน้ำในคลองที่ผ่านหมู่บ้านล้นขึ้นมาบนถนนสูงกว่า 1 เมตร ทำให้ชาวบ้านไม่สามรถออกไปไหนได้ ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจากกทม.
12.14 น. ปทุมธานี : คันกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา พังทลาย บ้านเรือนถูกน้ำท่วมกว่า 30 หลัง
09.46 น. นครสวรรค์ : น้ำได้บ่าทะลักเข้าท่วมชุมชนวัดไทร โดยที่ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัว แนวป้องกันน้ำถูกน้ำเซาะพังตอนตี 2 วันนี้ ไม่มีใครขนของได้ทัน นายกเทศมนตรีนครนครสวรรค์นำเจ้าหน้าที่เทศบาลเข้าไปซ่อมพนังกั้นน้ำแล้ว
09.43 น. กทม. : บริเวณถนนแจ้งวัฒนะยังมีน้ำท่วมขัง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ให้เลี่ยงใช้เส้นทางถนนวิภาวดีรังสิต แต่ให้ใช้ทางด่วนโทลล์เวย์ และถนนกําแพงเพชร 6 (โลคัลโรด) หรือเลี่ยงไปใช้ถนนพหลโยธิน
09.35 น.ลำพูน : อำเภอบ้านโฮ่ง เขตเทศบาลตำบลบ้านโฮ่ง ระดับน้ำยังทรงตัว และเป็นน้ำท่วมที่หนักที่สุดในรอบ 20 ปี
- ถนนสายหลัก สายลำพูน-ลี้ (ทางหลวงหมายเลข 106) ช่วงระหว่างบ้านดอยก้อม ไป บ้านโฮ่ง และสะพานบ้านดงฤาษี รถทุกชนิด ไม่สามารถสัญจรไปมาได้
09.33 น. อยุธยา : น้ำทะลักเข้าท่วมบริเวณเรือนจำจังหวัดและเรือนจำกลางจังหวัดสูง2ม. จนท.เตรียมอพยพนักโทษ5,000คนไปพื้นที่ปลอดภัย
09.23 น. อุตุเผยอิทธิพลนาลแกหลายภาคฝนยังตกหนักเตือนระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้
ในหลวง ทรงห่วงน้ำท่วม ทอดพระเนตร ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมทุกวัน รับสั่งทุกครั้ง "ต้องไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน"
นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงราษฎรที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตอนนี้กำลังเอ่อล้นตลิ่ง และปริ่มคันกั้นน้ำ ท่านทรงสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา และทรงทอดพระเนตรระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาทุกวัน ทางคณะผู้บริหารจากโรงพยาบาลศิริราช จะต้องรวบรวมรายงานสภาพอากาศและระดับน้ำจากที่ต่าง ๆ ทุกวัน เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานสถานการณ์ทั่วไป โดยทรงสอบถามว่า คันกั้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณโรงพยาบาลศิริราช แข็งแรงและเพียงพอหรือไม่ และทรงรับสั่งทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่เข้าเฝ้าฯ ว่า "ต้องไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน"
นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงราษฎรที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตอนนี้กำลังเอ่อล้นตลิ่ง และปริ่มคันกั้นน้ำ ท่านทรงสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา และทรงทอดพระเนตรระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาทุกวัน ทางคณะผู้บริหารจากโรงพยาบาลศิริราช จะต้องรวบรวมรายงานสภาพอากาศและระดับน้ำจากที่ต่าง ๆ ทุกวัน เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานสถานการณ์ทั่วไป โดยทรงสอบถามว่า คันกั้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณโรงพยาบาลศิริราช แข็งแรงและเพียงพอหรือไม่ และทรงรับสั่งทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่เข้าเฝ้าฯ ว่า "ต้องไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน"
นพ.ธีรวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ทางโรงพยาบาลศิริราช ได้มีโครงการตามแนวพระราชดำริ เรื่องการระบายน้ำคือ ถ้าหากมีน้ำล้นเข้ามาในบริเวณโรงพยาบาล ก็จะสูบทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาทันที ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีปัญหาน้ำทะลักเข้ามาในโรงพยาบาลแต่อย่างใด
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายสัญญา ชีนิมิตร ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า พื้นที่ใน กทม. ยังคงปกติ แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่นอกคันกั้นน้ำทั้ง 27 ชุมชน ซึ่งในช่วงที่กระแสน้ำหลากลงมา หนุนให้น้ำสูง แต่จะลดลงไปเองใน 2 - 3 ชั่วโมง
น้ำท่วมอยุธยาวิกฤตหนัก
น้ำท่วมอยุธยาวิกฤตหนัก โรงพยาบาลบางปะหันสุดวุ่น อพยพผู้ป่วยด่วน ขณะที่โบราณสถานวัดไชยวัฒนารามโดนด้วย เร่งสูบน้ำออก ด้านพ่อเมืองอยุธยายืนยันยังไม่อพยพประชาชน แค่ให้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์เต็มที่
ผู้ว่าฯ อยุธยา ยันยังไม่อพยพประชาชน แค่ให้เตรียมพร้อม
นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยันจ.พระนครศรีอยุธยา ยังไม่วิกฤติถึงขั้นต้องอพยพประชาชน เพียงแต่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ปกครองทุกอำเภอให้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วม และขณะนี้ได้ตั้งศูนย์รอรับเพื่อช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว ซึ่งหากประชาชนในบ้านไหนที่ไม่สามารถอยู่ในบ้านตัวเองได้ ให้ออกมาอยู่ในศูนย์ฯ รองรับดังกล่าวได้
เร่งกู้วัดไชยวัฒนาราม น้ำทะลักท่วมสูง
ผู้ว่าฯ พระนครศรีอยุธยา เผยแผนกู้โบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม หลังถูกน้ำท่วม โดยวางแนวกระสอบทรายกั้นกำแพงที่พังทลาย ก่อนสูบน้ำออก
นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า น้ำที่ทะลักเข้าท่วมโปราณสถาน วัดไชยวัฒนาราม ในขณะนี้ ได้วางแผนในเบื้องต้นกับ นายสุพจน์ พรหมมาโนช สำนักงานศิลปากรที่ 3 จ.พระนครศรีอยุธยา แนวทางกู้โบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม โดย วางแนวกระสอบทรายซ่อมกำแพงที่พังทลาย แล้วใช้เครื่องสูบน้ำออก แต่อย่างไรก็ตาม ต้องช่วยเหลือชาวบ้านที่อยู่รอบโบราณสถานก่อน เนื่องจากกระแสน้ำเจ้าพระยาที่พังทะลักเข้าวัดไชยวัฒนาราม ได้ไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนกว่าร้อยหลังคาเรือน จึงเร่งสร้างแนวคันดินกั้นน้ำบนสายถนนชุมชนก่อนจึงค่อยกู้โบราณสถานวัดไชย วัฒนาราม
อัพเดตสถานการณ์น้ำท่วม 5 ตุลาคม 54
16.35 น. ฉะเชิงเทรา : ผลจากการระบายน้ำจากกรุงเทพมหานคร และจากคลอง 13 ส่งผลให้ เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และมีน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งคลอง รวม 10 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฉะเชิงเทรา อ.แปลงยาว อ.บางน้ำเปรี้ยว อ.บางคล้า อ.คลองเขื่อน อ.พนมสารคาม อ.ราชสาส์น อ.ท่าตะเกียบ อ.สนามชัยเขต และ อ.บ้านโพธิ์ ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนแล้วกว่า 17,000 ครัวเรือน
16.24 น. อยุธยา : น้ำจากแม่น้ำน้อย แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี ไหลเข้าท่วมหลายพื้นที่ของ จ.อยุธยา ทั้ง 16 อำเภอโดยมีถึง 14 อำเภอ ที่โดนน้ำท่วมอย่างหนัก อีกทั้งคันกั้นน้ำของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนครทนแรงน้ำไม่ไหวได้พังลงเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ทำให้น้ำเข้าท่วมโรงงานในนิคมกว่า 46 แห่ง โดยเบื้องต้นประเมินว่ามูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
15.45 น. อ่างทอง : ที่ ต.ชัยฤทธิ์ , ต.ตรีณรงค์ , ต.จระเข้ร้อง และ ต.ชัยภูมิ อ.ไชโย ขณะนี้น้ำตลบหลังมาจาก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี และ อ.บ้านแพรก จ.อยุธยา บ่าท่วมเต็มพื้นที่ฝั่งตะวันออก ของ อ.ไชโย เกินขีดที่จะเสริมคันป้องกันเพราะระดับน้ำท่วมทันทีกว่า 2 เมตร
ประกาศเตือนภัย พายุนาลแก ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 05 ตุลาคม 2554
เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (5 ต.ค.) พายุโซนร้อน “นาลแก” บริเวณอ่าวตังเกี๋ย ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม หรือที่ ละติจูด 18.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันนี้ และจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในระยะต่อไป
อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกชุกและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้ ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย
อัพเดตสถานการณ์น้ำท่วม 4 ตุลาคม 54
17.30 น. ศอส. : เตือน วันนี้ (4 ต.ค.) จะมีฝนตกค่อนข้างหนักมากกระจายในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ตอนบนขอเตือนให้เฝ้าระวังดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ระนอง และพังงา ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยหมั่นสังเกตสัญญาณความผิดปกติทางธรรมชาติ หากสถานการณ์วิกฤต จะได้อพยพหนีภัยได้อย่างทันท่วงที
17.25 น. ลำปาง : นายอำเภอเถิน จ.ลำปาง สั่งห้ามรถบรรทุก และรถทุกชนิดที่มีน้ำหนักมาก สัญจรและข้ามสะพาน สะพานห้วยแม่แหน ถนนพหลโยธินหลักกิโลเมตร ที่ 640-641เขตติดต่อ อ.สบปราบ-อ.เถิน หลังพบว่าคอสะพานอาจจะมีการทรุดตัวจากน้ำท่วมและพังลงมา
17.15 น. ประกาศอุตุฯ เตือนภัยพายุนาลแก ฉ. 5ร่องมรสุมจากพายุโซนร้อนนาลแก ที่คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ พาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรง พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยลักษณะเช่นนี้ ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีฝนตกชุก และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักในระยะ 1 – 2 วันนี้
16.35 น. อยุธยา : ผู้ว่าฯ ประกาศให้ประชาชนใน 16 อำเภอ เร่งเก็บของขึ้นที่สูง พร้อมเตรียมอพยพภายใน 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะ อ.พระนครศรีอยุธยา นครหลวง มหาราช บ้านแพรก บางปะอิน และ อ.อุทัย หลังไม่สามารถรับมือกับกระแสน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นได้
กรรมที่เกิดขึ้น ควรใช้หลักกาลามสูตร และค้นหาความจริงด้วยตนเอง
ข่าวประวัติศาสตร์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ.วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) พระนครศรีอยุธยา (๔๑๙ ปีที่ถูกปกปิดความจริง)
โดยสมเกียรติ เบาะแสเมื่อ 2 มกราคม 2011 เวลา 11:36 น.
ประวัติและความสำคัญ พระราชพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระเอกาทศรถทรงโปรดให้สร้างวัดขึ้นเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระเชษฐาของพระองค์โดยกล่าวชื่อวัดไว้ในพระราชพงศาวดารว่า ?วัดวรเชษฐ์? บ้าง ?วัดวรเชษฐาราม? บ้าง แต่มีวัดร้างในเขตพระนครศรีอยุธยาที่เรียกชื่อทำนองเดียวกันจำนวน ๒ แห่ง แห่งแรกตั้งอยู่ในกำแพงเมืองซึ่งในแผนที่พระนครศรีอยุธยาของพระยาโบราณราชธานินทร์ พ.ศ. ๒๔๖๙ ระบุชื่อว่า ?วัดวรเชษฐาราม? ยังเป็นชื่อเรียกในปัจจุบัน แห่งที่สองตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทิศตะวันตกซึ่งในแผนที่พระนครศรีอยุธยาของ ดร. สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ระบุชื่อว่า ?วัดประเชด? แต่หลักฐานในคำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่า กองทัพของพม่าทัพหนึ่งที่ยกเข้ามา ล้อมกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ตั้งอยู่ที่ ?วัดวรเชษฐ์? ดังนั้น ต่อไปนี้จะใช้คำว่า ?วัดวรเชษฐาราม? เมื่อกล่าวถึงวัดที่ตั้งอยู่ในเมือง และใช้คำว่า ?วัดวรเชษฐ์? เมื่อกล่าวถึงวัดที่ตั้งอยู่นอกเมือง พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวเนื้อความตรงกัน เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถทรงราชาภิเษก ขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๘ ?ทรงสร้างวัดวรเชษฐารามวิหารอันรจนา พระพุทธปฏิมามหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สำเร็จกุฎีสถานปราการสมด้วยอรัญวาสี แล้วก็สร้างพระไตรปิฏกธรรมจบบริบูรณ์ทั้งพระบาลีและอรรถกถาฎีกาคันถีวิวรณ์ทั้งปวง จึงแต่งหอพระสัทธรรมเสร็จก็นิมนต์พระสงฆ์อรัญวาสีผู้ทรงศีลาธิคุณอันวิเศษมาอยู่ครองพระวรเชษฐารามนั้นแล้ว ก็แต่งขุนหมื่นข้าหลวงไว้สำหรับอารามนั้น แล้วจำหน่ายพระราชทรัพย์ไว้ให้แต่งจตุปัจจัยไทยทานถวายแก่พระสงฆ์เป็นนิจกาล แล้วให้แต่งฉทานศาลา แล้วประทานพระราชทรัพย์ ให้แต่งโภชนาหารจังหันถวายแก่ภิกษุสงฆ์เป็นนิตยภัตรมิได้ขาด? การก่อสร้างตามนัยแห่งพงศาวดารดังกล่าวมาเป็นการก่อสร้างก่อนที่จะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ส่วนคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถได้ครองราชสมบัติแล้ว จึงให้ทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระเชษฐาธิราช แล้วทรงสร้างวัดอุทิศพระราชกุศลถวายพระเชษฐาธิราชวัดหนึ่ง พระราชทานนามว่า วัดวรเชษฐ์ และคำให้การขุนหลวงหาวัดให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไปว่าสมเด็จพระเอกาทศรถ สร้างวัดไว้ที่ถวายพระเพลิงพระนเรศวรแล้วจึงสมมุตินามเรียกว่า วัดสบสวรรค์ พระองค์จึงสร้างวัดไว้ที่สวนฉลองพระองค์พระเชษฐา
ศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์ที่
ถ้าไม่เผยความจริงประวัติศาสตร์ อยุธยา คงจมหายแน่นอน
บันทึกประวัติศาสตร์ พิธีบวงสรวง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ.วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) พระนครศรีอยุธยา (ความมั่นคงของชาติ)
โดยสมเกียรติ เบาะแสเมื่อ 21 มกราคม 2011 เวลา 16:02 น.
วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ เวลา ๙.๓๓ น. พระปรางค์ที่บรรจุพระบรมอัฐิ สมเด็จพระ นเรศวร วันยุทธหัตถี คนไทยคงไม่ลืมพระองค์ ได้มีบุคคลสำคัญมามากในการร่วมพิธี ประธานในพิธี หม่อมหลวง รัชฎาราศี ชยางกูร สำนักราชเลขา และ จากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ท่าน พ.อ.พีระศักดิ์ จันทร์เด่นแสง และข้าราชการตลอดจนประชาชน ผู้ที่มีศรัทธาในการมาร่วมพิธีบวงสรวง เพื่อถวายแด่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ได้มีเหตุการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในพิธีบวงสรวงนี้ คือเจ้าอาวาสและพระลูกวัดวรเชษฐ์ ได้ทำการก่อกวนในพิธีโดยทำการเปิดเครื่องเสียงขับไล่ หลวงพ่อสิงห์ทนและประชาชน ในขณะทำพิธี ข้าพเจ้า สมเกียรติ กาญจนชาติ ผู้ที่ได้ทำเรื่องร้องเรียนพฤติกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดอยุธยา ให้ท่านเจ้าคณะภาค๒ พระธรรมโกศาจารย์ พิจารณาและช่วยยุติปัญหาต่างๆในด้าน พระธรรมวินัย ของพระในจังหว้ดและพระเจ้าอาวาสวัดวรเชษฐ์นี้ ข้าพเจ้าและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตาม หม่อมหลวง รัชฎาราศี ชยางกูร ได้เข้าไปขอร้องให้ปิดเครื่องเสียงพระรูปนี้ก็ไม่ย่อมปิด แม้แต่ หม่อมหลวง รัชฎาราศี ชยางกูร ได้เข้าไปขอก็ไม่มีความเมตตาเห็นใจประชาชนที่มาร่วมพิธี ข้าพเจ้าได้โทรแจ้งท่าน พระอาจารย์อาทิตย์ เลขาท่านเจ้าคุณประยูร เพื่อให้ได้รับทราบพฤติกรรมการก่อก่วนที่เกิดขึ้นในพิธีบวงสรวง
ดั้งนั้นข้าพเจ้า จึงโทรประสานเพื่อน พตท.สันตสิริ ศุนย์วิทยุปทุมวัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อวิทยุแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.อยุธยา มาเพื่อทราบเหตุการและช่วยเจรจา ชึ่งท่าน พตท.สมหมาย โสภาเจริญ และ ดาบ สมบัติ ผึ้งทอง ได้รีบมายังสถานที่เกิดเหตุและเจรจาอยู่นาน ไม่สามารถทำให้พระรูปนี้ปิดเครื่องเสียงได้ จึงต้องร้องขอให้ ท่านเจ้าคณะตำบล มาเจรจาจึงปิดเครื่องเสียงลงได้ ต้องขอชมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.อยุธยา และ ศูนย์วิทยุปทุมวัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ประสานปฎิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเติมที่ นับว่าเป็นแบบอย่างที่น่าชื่นชมครับ
จึงสรุปอย่างประจักษ์แจ้งและมีประจักษ์พยาน ว่า สถานที่แห่งนี้มีความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นที่ บรรจุพระบรมศพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมีขบวนการที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ต้องการให้เปิดเผยประวัติศาสตร์ที่สำคัญต่อชาวไทยทั่งชาติ
ขอให้ประชาชนที่อยู่ในเหตุการนี้ทุกท่านช่วยต่อสู้เพื่อความถูกต้องและช่วยรักษาพระศาสนาให้ยั่งยื่นตลอดไป
ขอให้มหาเถรสมาคม โดย เจ้าคณะภาค ๒ รีบตรวจสอบและแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อร้กษาธรรมวินัย ของ พระพุทธเจ้า
บันทึก ประวัติศาสตร์ชาติไทย
หนังสือวาระสุดท้ายและสิ่งที่เป็นอมตะ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (กรรมที่ทำกับพระมหากษัตริย์)
(กรรมที่ทำกับพระศาสนา)
บันทึกโดย สมเกียรติ กาญจนชาติ ข้อมูลเพิ่มเติมที่
ข้อมูลจากผู้ศรัทธา
ข้าพเจ้าคือบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในสิ่งที่ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นและศรัทธา พร้อมกับความจงรักภักดีนี้ได้นำทางให้ข้าพเจ้าเดินทางมายัง จ. พระนครศรีอยุธยา เพื่อที่จะได้มา ร่วมสวดมนต์และทำบุญกับพระอาจารย์ ดร. สินห์ทน นราสโถ พระที่ประจำอยู่ที่วัดวรเชษฐนอกเกาะ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนเรศวร มหาราช บรรจุอยู่ในองค์พระปรางค์เมื่อข้าพเจ้าได้ร่วมสวดมนต์กับพระอาจารย์แล้วข้าพเจ้าพร้อมเพื่อน ๆ ก้ได้เดินเข้าไปในโบราณสถานเพื่อที่จะเข้าไปสักการะต่ออัฐิของพระนเรศวรมหาราช ขณะที่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ กำลังจุดธูปอธิษฐานจิตต่อพระอัฐิของพระนเรศวรอยู่นั้น ก็ได้เห็นพระภิกษุวงฆ์รูปหนึ่ง รูปร่าง ผอม สูงพอประมาณ จ้องมองข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ อยู่ และหลังจากที่พวกข้าพเจ้าได้หันไปมองพระภิกษุรูปนั้น ก็ได้ถามข้าพเจ้ากับเพื่อน ๆ ว่า “พวกโยมเรียนจบปริญญา กันหรือเปล่า” ข้าพเจ้าก็ได้ตอบกลับไปว่า ทุกคนเรียนจบปริญญากันทุกคนค่ะ พระภิกษุรูปนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “ถ้าเรียนจบปริญญา แล้วทำไม ถึงโง่ ถึงได้งมงาย และถูกหลอกง่าย ๆ ละ” ข้าพเจ้าก็ได้ย้อนถามว่า งมงายและถูกหลอกเรื่องอะไรคะ พระรูปนั้น ก็ตอบว่า “ก็เรื่องอัฐิพระนเรศวรนะซิสถานที่แห่งนี้นะไม่มีหรอก” ข้าพเจ้าจึงสวนคำพูดออกไปว่า “ท่านต่างหากที่โง่ ไม่ใช่พวกข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็มีสมองที่รู้ว่าสิ่งใดคือเรื่องจริงสิ่งใดคือเรื่องโกหก และก็มีหลักฐานที่ยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้ มีพระอัฐิของ พระนเรศวรอยู่จริงพร้อมทั้งมีการโต้เถียงกับพระภิกษุ รูปนั้นอยุ่นาน จนกระทั้งพระรูปนั้นแสดงอาการไม่พอใจ ซึ่งเป็นกิริยาที่พระภิกษุสงฆ์ไม่ควรจะกระทำ คือใช่คำพูดที่รุนแรง และมีอารมณ์โกรธพร้อมทั้งเดินมาจดทะเบียนรถของเพื่อน ๆ ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ารู้มาว่าพระรูปนี้ คือ พระสถิตย์ อาภากโร หรือพระตุ๋ย ซึ่งเป็นพระที่เจ้าคณะตำบล ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดวรเชษฐ์ นอกเกาะ และข้าพเจ้าอยากทราบว่า ตำแหน่งที่พระรูปนี้ ได้รับมานั้นมันไม่เหมาะสมเลย ข้าพเจ้าเลยไม่ทราบว่าเจ้าคณะที่แต่งตั้งพระรูปนี้มาเป็นเจ้าอาวาส ใช้กฎเกณฑ์อะไรตัดสิน และก็ไม่ทราบว่าพระภิกษุสงฆ์ที่มีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ เหมาะแล้วหรือกับตำแหน่งเจ้าอาวาส และขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่าญาติโยมที่ไปกราบพระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ นั้น ทุกคนมีสมอง มีความรู้ มีสติปัญญา รู้ว่าพระรูปไหนที่ควรเคารพ และพระรูปไหนไม่ควรเคารพ ข้าพเจ้าหวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับข้าพเจ้าคงจะเป็นข้อคิดให้กับทุกท่านได้ทราบว่าพระภิกษุสงฆ์รูปนั้น ควรจะครองตัวอยู่ในผ้าเหลืองต่อไปหรือไม่
ข้อมูลล่าสุด พญ.สดใส เวชชาชีวะ คุณแม่ของท่านนายกได้เดินทางไปกราบไหว้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ถูกผู้ห่มผ้าเหลืองออกมาพูดจาไม่สมควร แม้กับท่านที่เป็นคุณแม่ท่านนายก
ข้อมูลประวัติศาสตร์ จาก ตามรอยสมเด็จพระพนรัต พระสังฆราชอรัญวาสี (มหาเถรคันฉ่อง) พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชบันทึกโดย พระพีระ จิตตวีโร สำนักสงฆ์วัดป่าแก้ว บ้านป่าโหล ผาใต้ ๖.ท่าตอน อ. แม่อาย เชียงใหม่ ขออนุโมทนาการได้รับอนุญาตการคัดลอกเพื่อการเผยแพร่จาก จากคุณ ปาเมล่า ว่องวานิช )เพื่อเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณ สมเด็จพระอริยวงศาญาณ ปริยัติวราสังฆราชาธิปดี ศรีสมณุตมาปรินายก ติปิฎธรจารย์สฤษดิ์ ขัตติยสารสุนทร มหาคณฤศรอุตรวาม คณะสังฆรารามคามวาสี ขออนุญาตคัดลอกบทบันทึกเกี่ยวกับที่มาของภาพสมเด็จพระพนรัต พระสังฆราชอรัญวาสี (มหาเถระคันฉ่อง) พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระพีระ จิตตวีโร สำนักสงฆ์วัดป่าแก้ว บ้านป่าโหล ผาใต้ ต. ท่าตอน อ.แม่อาย เชียงใหม่ เพื่อคุณ ๆ จะได้รู้จักพระมหาเถระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประชาชนคนไทย นับแต่เวลาที่ได้กอบกู้เอกราชฟื้นฟูประเทศจากการตกเป็นเมืองขึ้น ซึ่งเราชาวไทยต่างทราบกันดีว่าเป็นพระปรีชาสามารถของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ได้กระทำการในครั้งนั้น จนกระทั้งเราเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้ แต่ยังมีอีกหลายท่านที่มิได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งดี อาจมองผ่านประวัติศาสตร์ในส่วนที่มีความสำคัญผูกพันระหว่าง ความเป็นความตายในพระชนม์ชีพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยมีพระเถระชาวรามัญรูปหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงให้ความเคารพบูชาอย่างสูงสุด ดังความคัดลอกเหตุการร์อันเกี่ยวเนื่องในบางตอนของประวัติศาสตร์ชาติไทยมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๖ พระเจ้ากรุงอังวะเป็นกบฏ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมืองพร้อมกับเกลี่ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหมายเมืองให้เข้มแข็งเมืองด้วย คราวนั้นพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย เมื่อนั้นสมเด้จพระมหาธรรมราชาทรงโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม พุทธศักราช ๒๑๒๖ แต่ยกทัพไปไม่ทันกำหนด ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงคลางแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าร่วมด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมทัพรักษาเมืองหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาให้ต้อนรับและหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติ และพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่องผู้เป็นอาจารย์ของตน เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก พุทธสักราช ๒๑๒๗ ทรงพักทัพอยู่ใกล้วัดของพระมหาเถรคันฉ่อง จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเยี่ยมพระอาจารย์ซึ่งคุ้ยเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องจึงได้กราบทูลถึงเรื่องการคิดปองร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม และเหล่าทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาประชุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) และประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่าด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในกรอบสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีธรรมประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา พระองค์ชักชวนพระมหาเถรคันฉ่อง พระยาเกียรติ พระยาราม พร้อมครอบครัวและบริวารมายังกรุงศีรอยุธยาด้วย พระองค์ทรงขอพระราชทานความดีความชอบต่อพระมหาธรรมราชา พระมหาธรรมราชาทรงแต่งตั้งพระมหาเถรคันฉ่อง เป็นสมเด็จพระพนรัตในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ส่วนชาวมอญที่ติดตามมาทรงโปรดให้อยู่ ณ ตำบลบ้านหลังวัดนก (ปัจจุบันเป็นวัดร้างตั้งอยู่ทาทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดมหาธาตุ) ส่วนพระยาเกียรติ พระยาราม มีตำแหน่งยศได้พระราชทานพานทอง ให้ตั้งบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้น และวัดขุนแสน ใกล้วังจันทร์ฯ ของสมเด็จพระนเรศวร ในครั้งแผ่นดินพระนเรศวรก่อนที่จะทรงสถาปนาสมเด็จพระพนรัตนั้น ก็มีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อนแล้ว แต่ด้วยทรงปรารถนาจะถวายความเคารพอย่างสูงสุดในองค์สมเด็จพระพนรัต (พระอาจารย์) จึงได้ทรงสถาปนาพระองค์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชอีกพระองค์หนึ่ง ให้ทางเป็นผู้ปกครองสงฆ์ทางฝ่ายเหนือทั้งหมด ส่วนพระสังฆราชเดิมนั้นทรงให้ปกครองสงฆ์ทางฝ่ายใต้ ซึ่งตำแหน่งนี้สถาปนาให้อยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุตามพระราชประเพณี แต่สมเด็จพระพนรัตประสงค์ที่จะประทับ ณ วัดเจ้าพระยาไท ต่อมาเรียกชื่อว่าวัดวัดป่าแก้ว เนื่องจากพระองค์เป็นพระอรัญวาสี (วัดป่า) มีความชอบในการอยู่อย่างสงบนอกเมืองครั้งถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะ รวม ๒๕ รูปเข้าไปเฝ้า ถามข่าวถึงการเสด็จพระราชสงครามตามประเพณี สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ฟังทุกประการ สมเด็จพระพนรัตได้ฟังแล้วจึงถวายพระนามว่า พระองค์มีชัยแก่ข้าศึก แต่เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องรับราชทัณฑ์ สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า นายทัพนายกองเหล่านี้กลัวข้าศึกมากกว่ากลัวพระองค์ และให้แต่พระองค์สองคนพี่น้อง ฝ่าเข้าไปท่ามกลางศึก จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ต่อเมื่อมีชัยกลับมาจึงได้เห็นหน้าพวกเหล่านี้ นี่หากว่าพระองค์ยังไม่ถึงที่ตาย หาไม่แผ่นดินก็จะเป็นของชาวหงสาวดีไปเสียแล้วเหตุนี้พระองค์จึงได้ลงโทษตามอาญาศึก สมเด็จพระพนรัตจึงถวายพระพรว่า เมื่อพิเคราะห์ดูข้าราชบริพารเหล่านี้ ที่จะไม่กลัวพระองค์ท่านนั้นห้ามได้ เหตุทั้งนี้เห็นจะเผอิญเป็นเพื่อจะให้พระเกียรติแก่พระองค์เป็นอัศจรรย์ เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าเมื่อพระพุทธองค์เสด็จเหนืออปราชิตบัลลังก์ใต้ควงไม้มหาโพธิ์ครั้งนั้น เทพเจ้าก็มาเฝ้าพร้อมกันหมื่นจักรวาล พระยาวัสวดีมารยกพลเสนามาผจญ ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทพเจ้าเป็นบริวาร มีชัยแก่พระยามารก็หาสู้เป็นอัศจรรย์ไม่ เผอิญให้หมู่เทพเจ้าทั้งปวงปราศนาการหนีไปสิ้น เหลือแต่พระองค์เดียวสามารถผจญให้เหล่ามารปราชัยไปได้ จึงได้พระนามว่า พระพิชิตมาร โมฬีศรีสรรเพชญตาญาณเป็นมหาอัศจรรย์บันดาลไปทั่วอนันตโลกธาตุ ก็เหมือนทั้งสองพระองค์ครั้งนี้ ถ้าเสด็จพร้อมด้วยโยธาหาญมาก และมีชัยชนะแก่พระมหาอุปราชา ก็จะหาสู้เป็นอัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศให้ปรากฎแก่นานาประเทศไม่ อันเหตุที่เป็นทังนี้ เพื่อเทพเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์จักสำแดงพระเกียรติยศเป็นแน่แท้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงฟังแล้วก็ทรงพระปิติโสมนัส ตรัสว่า อันพระคุณเจ้ากล่าวมานี้เห็นควรหนักหนา สมเด็จพระพนรัตจึงไดถวายพระพรว่า ข้าราชบริพารซึ่งต้องโทษเหล่านี้ก็ผิดหนักหนาอยู่แล้ว แต่ทว่าได้ทำคุณงามความดีมา แต่ครั้งสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชเจ้า และสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ตลอดมาจนถึงพระองค์ดุจพุทธบริษัทสมเด็จพระบรมครู จึงขอพระราชทานอภัยโทษต่อข้าราชบริพารเหล่านี้ไว้สักครั้งหนึ่ง จะได้ทำคุณงามความดีฉลองพระเดชพระคุณท่านสืบไป สมเด็จพระนเรศวรฯ จึงมีรับสั่งว่าเมื่อสมเด็จพระพนรัตขอแล้ว พระองค์ก็จะถวายให้ แต่ทว่าจะต้องไปตัเมืองตะนาวศรี เมืองทวายแก้ตัวก่อน สมเด็จพระพนรัตถวายพระพรว่า การจะใช้ไปตีบ้านตีเมืองนั้น สุดแต่พระองค์จะสงเคราะห์ มิใช่กิจของสมณะ แล้วก็ถวายพระพรลากลับไปจากประวัติศาสตร์ที่เผยแพร่ชัดเจนมายาวนานนี้ น่าจะเป็นข้อจดจำในสำนึกของเราชาวไทยทั้งหลาย ในพระคุณของสมเด็จพระพนรัตผู้เป็นที่เคารพเทิดทูน แห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรฯ ผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงของชาวไทย สมควรที่เราชาวไทยทุกหมู่เหล่าจะได้ระลึกเทิดทูนบูชากราบไหว้ในพระคุณของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงกระทำให้เราเป็นไทยมาตราบเท่าทุกวันนี้หากสมเด็จพระพนรัตไม่ทราบยับยั้งแผนการของพระยาเกียรติ พระยาราม เราชาวไทยคงไม่มีองค์พระนเรศวร ผู้ทรงปรีชาสามารถมากอบกู้ชาติบ้านเมือง ให้เป็นปึกแผ่นตราบเท่าทุกวันนี้หากสมเด็จพระพนรัตไม่ทรงบิณฑบาตร ขอชีวิตเหล่าทหารในการทำศึกสงครามยุทธหัตถี ก็จะทำให้ไพร่พลขาดกำลังใจ และขาดคนดีที่จะมาช่วยชาติบ้านเมืองได้อีกมากมาย ซึ่งในกาลนี้ขอให้ทุกคนหันกลับมามองดูว่า แม้อาญาเมืองยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ด้วยเดชแห่งบุญสังฆบารมี อันสมเด็จพระพนรัตได้แสดงถวายแด่สมเด็จพระนเรศวรฯ ยังทรงพิจารณา โดยไม่ทรงถือเอาภัยอันพระองค์ได้รับนั้น มาเป็นใหญ่เหนือพระศาสนา และคำเตือนของพระมหาเถระผูประเสริฐ จึงยังทำให้แผ่นดินสงบร่มเย็นสืบมา แสดงให้เห็นถึงพระคุณธรรมอันมีในใจเป็นชาตินักรบอย่างแท้จริงขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า จีงขอให้เราชาวไทยทุกคนในแผ่นดินจงมีสติ อย่าเห็นแก่ลาภยศ อำนาจ วาสนา จนลืมตัวและขาดการยกย่องในผู้ปฏิบัติหนักแน่นในศีลในธรรม ถ้าเรายกเอาองค์พระนเรศวรมหาราชเจ้าที่ได้ทรงกระทำเป็นแบบอย่าง ชาติไทยจักวัฒนาถาวรสืบไป
จากหนังสือบางส่วนของหลวงปู่โง่น กล่าวว่า สมเด็จพระพนรัต นั่นคือ สมเด็จโต พรหมรังสี
http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2011/08/blog-post_22.html
ข้อมูล สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เกี่ยวกับ สถานที่บรรจุพระบรมอัฐิ ณ.วัดวรเชษฐ์ นอกเกาะ จ.พระนครศรีอยุธยา ศึกษาข้อมูลที่ https://plus.google.com/u/0/photos/110980182224205386788/albums/5373703617797629761
อธิบาย ขยายความ กฎแห่งกรรม คือ ธรรมชาติยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดทุกอย่างต้องคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด มันเป็นการประกอบกันขึ้นตามเหตุปัจจัย ณ ชั่วขณะหนึ่ง ธรรมชาติไม่เคยลำเอียง ยุติธรรมที่สุด ทำไว้อย่างไร ก็ส่งคืนให้อย่างนั้น จึงยังต้องส่งให้เวียนเกิด เวียนตาย เวียนมาใช้ความเป็นตัวเรา สืบทอดทุกชาติไป พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ทรงสั่งสอน ทรงชี้ทางสว่างให้กับเวไนยสัตว์ มีแค่เรื่องของทุกข์ กับการดับทุกข์แค่นี้ ให้หลุดพ้นจากอุปทานขันธ์ห้า ละการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนแค่นี้
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม นายสมหวัง ถุงสุวรรณ ประธานชมรมผู้บริหารงานนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ว่า ระดับน้ำในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินมีความสูงประมาณ 1.80 เมตร เสมอกับระดับน้ำด้านหน้าถนน ซึ่งขณะนี้ท่วมครบทั้งพื้นที่เต็ม 100% แล้ว และคงจะไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องปล่อยให้น้ำแห้งไปเอง พร้อมกันนั้นยังได้ล้นออกมาท่วมชุมชนภายนอกเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ตอบลบขณะเดียวกันน้ำก็ได้ไหลทะลักเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมแฟคทอรี่แลนด์เรียบร้อยแล้วเช่นกันระดับน้ำสูง 1.5 เมตร ทำให้นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาน้ำเข้าท่วมหมดทุกแห่ง รวม 5 แห่ง หลังจากก่อนหน้าน้ำไหลเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค โดยทั้ง 5 นิคมอุตสาหกรรมใช้เงินทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท และมีแรงงานกว่า 2 แสนคน
พ่อขุนรามคำแหง คือรัชกาลที่ 5
ตอบลบสมเด็จพระพนรัตน์คือ สมเด็จโต
ใช่ไหมคะ น่าสนใจมากๆๆ เอาอีกๆ
แล้ววิบากกรรมที่ประเทศไทยน้ำท่วมคืออะไรคะ
กรรมที่เป็นธรรมาชาติอย่างหนี่ง แต่ละบุคคลต้องศึกษาให้ประแจ้งด้วยตนเองครับ ลองอ่านบทความใน blog ศึกษาไปก็จะทราบครับ
ตอบลบมีหนังสือฉบับเต็มให้หาอ่านได้ไหมครับ
ตอบลบเข้าศึกษาข้อมูลที่ https://plus.google.com/u/0/photos/110980182224205386788/albums/5373703617797629761
ลบ