ความมั่นคงของพระศาสนา ที่ต้องปกป้องและสืบทอด ? มหาเถระสมาคมไม่ทำหน้าที่ ?



อล่างฉ่าง !

เจ้าคณะอำเภอลำลูกกากระซิบพระคึกฤทธิ์
"มันก็ไอ้เรื่องเดิมที่ผมมาครั้งนั้นแหละ ไม่เลิกรา"
"เอาแค่คร่าวๆ ก็พอ นะ จะได้ทำเรื่องแจ้งเขาไป"


กดที่ภาพเพื่อชม
การสืบสวนสอบสวนของศาลสงฆ์จังหวัดปทุมธานี
นำโดยพระครูวิบูลวรคุณ เจ้าคณะอำเภอลำลูกกา



เอาข้อนี้ ข้อนี้ไม่ต้องก็ได้

รูปนี้รีบออกตัว
ถ้าผมไม่มาก็จะเสียการปกครอง
ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นยังไง ฮึฮึฮึ !

เรารู้กัน แต่มันพูดไม่ได้ !


 

คึกฤทธิ์ถึงกับยกมือท่วมหัว
ดีอกดีใจในความเมตตาและความหน่อมแน้มของคณะสงฆ์อำเภอลำลูกกา ยกศาลสงฆ์สัญจรไปถึงวัดนาป่าพงไม่พอ ยังเตี๊ยมบอกลู่ทางแก้ข้อหาให้เบ็ดเสร็จ "เอาพอคร่าวๆ จะได้รายงานไปให้เสร็จๆ" การสืบสวนสอบสวนก็เลยกลายเป็นพิธีเสริมดวงให้คึกฤทธิ์ไป แหมแบบนี้น่าจะได้รับตำแหน่งประธานศาลฎีกาในยุค คสช. นะครับ ท่านสมเด็จพระพุทธชินวงศ์และสมเด็จมหาสายชล จะมอบรางวัลเมื่อไหร่ จะได้ร่วมมุทิตาจิต


เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของศาลสงฆ์ ที่ท่านเจ้าคณะอำเภอลำลูกกา ยกโขยงไปขอสอบสวนพระคึกฤทธิ์ถึงในวัดนาป่าพง แถมยังเตี๊ยมกันเข้ารกเข้าพง จนฉาวโฉ่ไปทั่วโลก นี่แหละคือผลงานการแต่งตั้งพระสังฆาธิการของมหาเถรสมาคม ได้พระสังฆาธิการปกครองบ้านเมืองแบบนี้ไง พระพุทธศาสนาถึงได้เจริญกว่าใครในโลก ปลายปีนี้ พระครูรูปนี้น่าจะได้เป็นเจ้าคุณ เพราะทำงานเรียบร้อยดีมาก



ถ้างั้นขอถามท่านเจ้าคณะอำเภอลำลูกกาหน่อยว่า ที่ท่านว่า "เคยเดินทางไปสอบสวนพระคึกฤทธิ์มาครั้งหนึ่งแล้ว" นั้น สอบสวนเมื่อไหร่ ทำไมสังคมสงฆ์ไทยไม่รู้ อยากรู้ว่า ท่านใช้คำฟ้องของใครไปสอบสวนพระคึกฤทธิ์ ได้ผลอย่างไร และพระคึกฤทธิ์แก้ข้อกล่าวหาอย่างไร


ถามด้วยว่า แถลงการณ์รายงานการประชุม ของวัดหนองป่าพง ตามเอกสารข้างต้นนี้ ที่นำเสนอต่อมหาเถรสมาคม เมื่อปี พ.ศ.2553 เป็นเอกสารที่ใช้ในการสอบสวนด้วยไหม ถ้าใช้-ก็อยากจะถามว่า พระคึกฤทธิ์แก้ข้อกล่าวหาว่าอย่างไร และการที่ท่านบอกว่า "ก็ข้อกล่าวหาเดิมๆ" นั้น แสดงว่าท่านทำคดีนี้มาแล้ว แต่มาทำซ้ำ เพราะมีผู้ฟ้องซ้ำ
ถ้างั้นก็แสดงว่า ทางคณะสงฆ์อำเภอลำลูกกา ได้ทำการสอบสวนพระคึกฤทธิ์เสร็จสิ้นกระบวนความไปแล้ว แต่ไปอีกครั้งเพื่อสร้างภาพ แต่นั้นมิใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง ลงมติ "อเปหิ-ขับไล่" พระคึกฤทธิ์และคณะ ออกจากสังกัดหรือสาขา แต่ว่าทางคณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานีกลับรับเอามาเข้าสังกัดอย่างนั้นหรือ ?


อย่างไรก็ตาม ในการสอบสวนครั้งหลังนี้ พระคึกฤทธิ์ยังคงใช้ "วาทะ" เลี่ยงบาลี โดยแย้งสำนวนโจทย์ว่า "ถามเรื่องการรักษาพระวินัยเพียง 150 ข้อ แต่ความจริง สำนักวัดนาป่าพง รับพระวินัยมากมายกว่า 2,400 ข้อ แต่พระศาสดาทรงโปรดให้สวดเพียง 150 ข้อ เท่านั้น" นั่นก็เท่ากับว่า พระคึกฤทธิ์ยอมรับว่า "สวดพระปาติโมกข์เพียง 150 ข้อจริง"

"แต่เอามาในส่วนพุทธวจนะเท่านั้น"

ส่วนเรื่องพระไตรปิฎก พระคึกฤทธิ์อ้างว่า "มิได้ทำใหม่ เพียงแต่จัดระเบียบใหม่เท่านั้น ตั้งชื่อว่าพุทธวจนะปิฎก เรานำเอามาจากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ (บาลี) และฉบับหลวง (แปลไทย) โดยทำเล่มต่อเล่มตรงกัน จำนวน 33 เล่ม ประกอบด้วย พระวินัยปิฎก 8 เล่ม และสุตตันตปิฎก 25 เล่ม ซึ่งเราจะนำมาเฉพาะคำของพระศาสดา" หมายถึงว่า ตัดพระอภิธรรมปิฎกทิ้ง รวมทั้งพระสูตรและพระวินัยอื่นๆ ที่เห็นว่ามิใช่คำของพระศาสดาด้วย พระคึกฤทธิ์ย้ำด้วยว่า หากใครต้องการศึกษาถ้อยคำที่มิใช่ของพระศาสดา ก็สามารถจะไปหาอ่านได้จากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐและฉบับหลวง

ก็ชัดเจนแล้วว่า คึกฤทธิ์ตัดพระปาติโมกข์เหลือเพียง 150 ข้อ จริง และรวบรวมพระไตรปิฎกขึ้นใหม่ ในชื่อว่า "พุทธวจนะปิฎก" และมีเพียง 33 เล่ม โดยตัดพระอภิธรรมปิฎกทิ้งทั้งหมด รวมทั้งบางพระสูตร ซึ่งเห็นว่ามิใช่พุทธวจนะก็ถูกตัดออกด้วย
ที่มา : Youtube
16 สิงหาคม 2557

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ