สามโลก?

สามโลกคืออะไร

             ในหลายๆศาสนาต่างกล่าวอ้างถึง สามโลก ตรีโลก ไตรโลก ฯลฯ กันทั้งสิ้น แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายของคำว่า สามโลก รวมถึงรายละเอียดของทั้งสามโลกได้อย่างละเอียดถูกต้อง จึงทำให้หลายศาสนาต่างตีความไปว่า มีโลกนรกอยู่ใต้ดิน มีโลกสวรรค์อยู่บนท้องฟ้า ทั้งนรกและสวรรค์ต่างดำรงอยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมีพรหมโลก ปรโลก หรือดินแดนนิรวารซึ่งเป็นดินแดนแห่งความสงบที่ปราศจากซึ่งวัตถุใดๆ และเชื่อว่าการจะบรรลุถึงสภาวะสูงสุดหรือการหลุดพ้นได้ก็ด้วยการทำความเพียรทางจิตเพื่อจะได้หลอมรวมเข้ากับดินแดนนิรวารแห่งนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับชาติมาเกิดอีก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎ!ความเชื่อถือศรัทธาเช่นนี้ได้สร้างความสับสนอย่างใหญ่หลวงให้กับมวลมนุษย์ เป็นเหตุให้การทำความเพียรอย่างหนักทางจิตวิญญาณที่ผ่านมาไม่มีใครจะบรรลุถึงสิ่งสูงสุดได้อย่างแท้จริง หรือแม้แต่จะนำมาซึ่งความสงบสันติทางจิตวิญญาณสู่ผู้ปฏิบัติหรือมาสู่มนุษย์โลกได้ ซึ่งเราสามารถเห็นได้จากสภาวการณ์ของโลกที่ตกต่ำลงทุกวัน จนบัดนี้ตกต่ำถึงขีดสุดของความไร้ซึ่งศีลธรรมแล้ว นั่นเพราะการขาดความรู้ที่ถูกต้องของคำว่า สามโลก ทำให้ไม่รู้จักพ่อสูงสุดดวงวิญญาณสูงสุดว่าท่านเป็นใคร? ท่านสถิตอยู่ ณ สถานที่ใด? และรายละเอียดอันแท้จริงของ โลกวิญญาณ ว่ามีองค์ประกอบสำคัญเช่นไร ทำไมมนุษย์จึงต้องรู้จักบ้านของท่านและเป็นบ้านของดวงวิญญาณทุกดวงด้วย พระเจ้าได้ลงมาและมาสอนความรู้แก่เราว่า สามโลกนั้นประกอบไปด้วย 1.โลกวัตถุCorporeal World(โลกกายหยาบที่มนุษย์อาศัยอยู่ที่ประกอบไปด้วยทั้งโลกและดวงดาวทั้งหลาย หรืออาจเรียกโลกนี้ว่าTalkieโลกที่สื่อสารด้วยเสียงหรือด้วยการพูดจา) 2.โลกละเอียดอ่อนSubtle World (เรียกโลกนี้ว่า โลกที่มีอาณาเขตละเอียดอ่อน ไร้เสียง จึงอาจเรียกโลกนี้ว่า Movie โลกแห่งร่างกายละเอียด) และ 3.โลกที่ปราศจากร่างIncorporeal World (คือโลกวิญญาณ,บราห์มโลก – พรหมโลก, ปรโลก, ดินแดนนิรวาร ฯลฯ เป็นโลกที่ปราศจากร่างกายไม่มีวัตถุธาตุและปราศจากซึ่งเสียงใดๆ นี่คือบ้านของพระเจ้าและเป็นบ้านดั้งเดิมของดวงวิญญาณมนุษย์ทุกดวง)และทั้งสามโลกนี้รวมทั้งหมดก่อตั้งเป็นจักรวาล หรือเรียกว่าตรีโลก

 

โลกวิญญาณ(ที่อยู่อันสูงส่งของพระเจ้า)

            ได้มีการอธิบายกันว่า “พระเจ้านั้นมีหนึ่งเดียว” และยังบอกต่อว่า พระเจ้านั้นมีรูป รูปที่เป็นจุดแสงที่แสนเล็กสุกใสรุ่งโรจน์ และท่านสถิตอยู่ ณ ที่ใดกัน?  ในความรู้วิทยาศาสตร์ทางโลกได้พิสูจน์แล้วว่า สรรพสิ่งที่มีรูป(form) ล้วนจะต้องมีพื้นที่ให้สิ่งนั้นดำรงอยู่(space)  จิตวิญญาณสูงสุดผู้เป็นพระเจ้าที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์นั้น อาศัยอยู่ใน บราห์มโลก (Bramhmlok)-พรหมโลก, ปรโลก (Parlok), พารามธรรม (Paramdham)  โลกวิญญาณนี้เป็นโลกที่ปราศจากร่าง เป็นที่อยู่ดั้งเดิมที่แท้จริงของดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมด เป็นที่ที่ดวงวิญญาณมนุษย์ได้จากมาและลงมาเล่นบทบาทของตนในโลกมนุษย์ที่เป็นโลกแห่งวัตถุ โลกวิญญาณนี้เป็นอาณาเขตสูงสุดของทั้งสามโลก อยู่เหนือโลกละเอียดอ่อน(อันเป็นที่อยู่ของบราห์มา วิษณุและชางก้า - ดูภาพประกอบของสามโลก) ที่ที่ปราศจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว มนุษย์เราไม่สามารถจะมองเห็นอาณาเขตแห่งนี้ได้ด้วยตาหยาบ แม้จะใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดๆก็ไม่อาจมองเห็นได้ สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของพระเจ้าชีว่า และถูกเรียกว่า ชีว่าบุรี ด้วย   เมื่อพระเจ้าอาศัยอยู่ในอาณาเขตสูงสุดนี้ ท่านได้รับการเรียกขานว่า “ปร บราห์ม ปรเมศวร” (Parbrahm Parmeshwar) ซึ่งหมายถึง ผู้เป็นพ่อสูงสุดที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์

          ณ โลกวิญญาณ หรือพารามธรรม แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งแผ่ซ่านปกคลุมไปด้วยธาตุที่หก ซึ่งเป็นธาตุแสงที่ไม่มีชีวิตแต่ละเอียดอ่อนเป็นสีแดงทองเปล่งประกายเจิดจ้าและถูกเรียกว่าธาตุ “บราห์ม”(Brahm-ออกเสียงว่า “บัม” ) เป็นธาตุที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด สถานที่แห่งนี้จึงไม่มีวัตถุธาตุหยาบใดๆหรือสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ใดๆจะผ่านเข้าไปยังโลกแห่งนี้ได้ เพราะปกคลุมไปด้วยธาตุบราห์มนี้เอง สถานที่นี้จึงถูกเรียกว่า “บราห์มโลก” (โลกที่มีธาตุ“บราห์ม” แต่ชาวพุทธมักเพี้ยนเสียงไปเรียกว่า “พรหม” และ “พรหมโลก”) ดังนั้นธาตุ “บราห์ม หรือ พรหม” นั้นเป็นธาตุที่หกที่ปกคลุมแผ่ซ่านอยู่ในโลกวิญญาณนี้ ซึ่งธาตุบราห์มไม่ใช่พระเจ้าแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องทำความเพียรทางจิตเพื่อมาหลอมรวมกับธาตุบราห์มนี้ ซึ่งธาตุบราห์มนี้ก็มีความแตกต่างจาก “บราห์มา” และก็แตกต่างสภาวะของพระเจ้าด้วย

         ในโลกวิญญาณที่แผ่ซ่านไปด้วยธาตุบราห์มนี้ ดวงวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในโลกวิญญาณจะถูกกำหนดแบ่งแยกไว้เป็นกลุ่มอย่างดีตามความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ ดวงวิญญาณทั้งหมดจะสถิตอยู่ในลักษณะเหมือนรูปของต้นไม้กลับหัว และ ณ จุดสูงสุดของกลุ่มดวงวิญญาณทั้งหมด นั่นคือ ดวงวิญญาณสูงสุด หรือพระเจ้าผู้เป็นพ่อซึ่งรู้จักกันในชื่อที่หลากหลาย เช่น ชีว่า ยะโฮวา อัลลาห์ และอื่นๆมากมาย ณ ที่นี้ไม่มีสสารวัตถุที่หยาบ และเมื่อไม่มีสสารที่เป็นวัตถุใดๆ ที่นี่จึงไม่มีการกระทำใดๆทุกชนิด ดวงวิญญาณผู้เป็นพ่อสูงสุดจะอยู่กับลูกๆดวงวิญญาณทั้งหมดในสภาวะนิ่งสงบอยู่ชั่วคราว หรืออยู่ในสภาวะที่พักผ่อนอยู่ด้วยความปีติสุขเพียงอย่างเดียว ไม่มีอารมณ์อื่นใดปรากฏอยู่ ณ ที่นี้ นี่คือ “โลกแห่งความเงียบ” (สันติธรรม) ดวงวิญญาณทั้งหมดจะอยู่ในสภาวะของ“มุคตี” (สภาวะของการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ หรือ สภาวะหลุดพ้น หรือ สภาวะกู้กลับคืนมาให้ดีดังเดิม) ดังนั้นสถานที่นี้จึงถูกเรียกว่า “มุคตีธรรม”(โลกของการหลุดพ้น ที่ที่ดวงวิญญาณมนุษย์ทุกดวงอยู่ในสภาวะของความสงบและปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ในบ้านเกิดดั้งเดิมของตน) และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม หลายศาสนาจึงมีความเชื่อว่า การบรรลุซึ่งสิ่งสูงสุดคือการทำให้ดวงวิญญาณของตนได้ไปหลอมรวมกับพรหมโลก, ปรโลก หรือเข้าถึงนิพพาน ก็ด้วยปรารถนาที่จะได้รับความสงบอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของตนนั่นเอง แต่พวกมนุษย์กลับหลงลืมและไม่รู้จักผู้ที่อยู่สูงสุดผู้เป็นจ้าวแห่งสามโลกนี้และไม่รู้ถึงรายละเอียดที่แท้จริงของโลกทั้งสามด้วย แล้วมนุษย์ทั้งหลายจะบรรลุถึงสิ่งที่ปรารถนาได้อย่างไร พระเจ้ากล่าวว่า จะไม่มีดวงวิญญาณมนุษย์ผู้ใดจะสามารถหรือทำความเพียรให้บรรลุกลับไปสู่ยังโลกวิญญาณแห่งนี้ได้ ตราบใดที่วงจรของเวลาโลกยังไม่จบสิ้นลง!

        เมื่อใดที่การทำลายล้างโลกเก่านี้จบสิ้นลง ดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดก็จะต้องกลับมายังโลกวิญญาณซึ่งเป็นบ้านแห่งความสงบสันติ เงียบสงัด และเมื่อโลกใหม่ที่บริสุทธิ์ก่อตั้งขึ้น เมื่อนั้นดวงวิญญาณแต่ละดวงก็จะลงมาเล่นบทบาทบนโลกแห่งกายหยาบนี้อีกครั้งตามวงจรโลก และจะลงมายังโลกตามลำดับของความบริสุทธิ์ซึ่งดวงวิญญาณแต่ละดวงได้กระทำความเพียรไว้ในยุคบรรจบพบกัน อย่างแน่นอนและอย่างมีระเบียบ

อาณาเขตละเอียดอ่อน (SUBTLE WORLD)

           ภายใต้โลกวิญญาณ หรือ พารามธรรมนั้นคือ โลกละเอียดอ่อน เป็นอาณาเขตที่ละเอียดอ่อนซึ่งห่อหุ้มโลกกายหยาบไว้ ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งเทพละเอียดทั้งสาม คือ บราห์มา วิษณุ และชางก้าร์ อาศัยอยู่ในอาเขตละเอียดอ่อนของตน เป็นสภาวะแห่งตรีมูรติเทพที่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวของการทำภารกิจเพื่อการสร้างผ่านบราห์มา การหล่อเลี้ยงโดยผ่านวิษณุ และการทำลายล้างผ่านชางก้าร์ เป็นโลกที่มีสภาวะเป็นร่างแสงที่ละเอียดอ่อน ร่างที่มีแสงสว่างหรือกายทิพย์ โลกนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นโลกแห่งการเคลื่อนไหว ณ ที่นี่เทพมีการกระทำ แต่สนทนาโดยไม่ได้ใช้เสียง เหมือนกับนักแสดงที่แสดงในภาพยนตร์ใบ้ มีเพียงแต่การเคลื่อนไหวแต่ไร้เสียง และโลกนี้สามารถเห็นได้ด้วยดวงตาที่สามเท่านั้น

โลกวัตถุ

              ส่วนล่างสุดของภาพจะแสดงให้เห็นโลกที่มีตัวตนของมนุษย์ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ โลกที่เป็นสนามของการกระทำ (Karma – Kshetra)ที่ซึ่งดวงวิญญาณใช้ร่างที่เป็นวัตถุธาตุของกระดูกและเลือดเนื้อเป็นเครื่องมือเพื่อเล่นบทบาทของตน ในโลกนี้มีทั้งการเคลื่อนไหวและการใช้เสียง มันถูกเรียกว่า โลกแห่งคำพูด(talkie)ชีวิตที่ดวงวิญญาณใช้ในโลกนี้ จะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับการกระทำในอดีตและการกระทำในปัจจุบัน หลักการคือท่านปลูกอะไร ท่านก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น จะใช้เป็นกฎในโลกนี้ ที่นี่ดวงวิญญาณมีประสบการณ์ของความสุขและความทุกข์ ความพอใจ และความเจ็บปวดโดยผ่านร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุนี้

http://www.newlotus.org/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง