วิสาขบูชาโลก โลกได้รู้ว่า ทักษิณและพวก ได้ทำกรรมไว้กับ สมเด็จพระสังฆราช
ความเป็นธรรม เพื่อ สมเด็จพระสังฆราช
รักในหลวง ต้องปกป้องพระศาสนา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ บันทึกประวัติศาสตร์ ที่ www.facebook.com/thaihistory
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนช าว
สยาม”เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓
พระองค์ทรงอุทิศชีวิตทั้งชี วิต เพื่อประเทศชาติและประชาชน ทรง
เป็นพระมหากษัตริย์ที่ตั ้งมั่นในทศพิธราชธรรม ถือ ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่
รักในหลวงต้องกราบพระอริยะ
-ข้อมูลภัยต่อความมั่นคงของ ชาติ ที่ http://www.facebook.com/ photo.php?fbid=272159052830 204&set=a.253131934732916. 61477.161446187234825&type =3&theater
ในหลายปีมานี้ มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา
แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้านๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศ ให้ได้รู้ทั่วกันว่า การกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้ กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
1. วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี มีการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหนาพรรคไทยรักไทย ไปเป็นองค์ปาฐก
2. วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญารัชดา โดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งอนุญาตให้ "ถอนฟ้อง" คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และลูกน้องคนสนิท ตกเป็นจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ เงินบริจาควัดมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
โดยศาลอ้างเหตุผลว่า
1. เพราะว่าจำเลยได้คืนทรัพย์สนที่ฉ้อโกงมาจากวัดพระธรรมกาย จำนวน 1,000 ล้านบาท คืนให้แก่วัดหมดแล้ว
2. ถ้าหากดำเนินคดีนี้ให้สิ้นสุด อาจจะเกิดความแตกแยกระหว่างพุทธศาสนิกชน
ที่สังคมตั้งคำถามก็คือว่า การที่อัยการออกหน้าดึงเรื่องกลับมาจากศาลในครั้งนี้ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" ส่งสัญญาณให้แล้ว ลำพังอัยการจะกล้าหาญกระทำการเองหรือ หรือถ้าคิดจะทำ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้คดีค้างคาศาลมานานถึง 7 ปีได้อย่างไร และทำไม พอทักษิณกลับจากวัดพระธรรมกายได้เพียง 35 วัน ศาลก็ออกนั่งบัลลังก์สั่งถอนคดีตามคำขอของอัยการ
และแล้ววันสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มาถึง แต่จะถึงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็ไม่มีใครรู้ วันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในหลายประเทศ จุดหมายสุดท้ายก่อนจะกลับไทยก็คือ มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ทว่า ในเวลา 18.00 น. วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 คณะนายทหารอันมีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้า ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ประกาศยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณผ่านทีวีทุกช่อง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเคว้งคว้างเดินทางไปพักที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะบินไปๆ มาๆ ระหว่างอังกฤษ-จีน-สิงคโปร จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมิมีทีท่าว่าจะได้กลับประเทศไทย (กรรมที่ทำกับ สถาบัน) ที่มาข้อมูลที่ทั่วโลกทราบ http://www.alittlebuddha.com/html/Special%20Event/Special%20news2549.html
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา
ข้อมูลที่ขอให้ชาวพุทธทั่วประเทศได้ศึกษาความจริง ของทั่งสองท่านนี้ ถ้าชาวไทยไม่กล้าออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และปกป้องสถาบัน พระศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการทำล้ายสถาบันใดสถาบันหนึ่ง ก็ทำให้สิ้นชาติไทยได้
พระราชปณิธาน เราจะครองแผ่นดินโดนธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนช าวสยาม...
สมเด็จพระสังฆราช ตรัสชัดพระต้องถือธรรมะเป็น ใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจ เงินทอง สมณศักดิ์ ยอมสละชีวิตรักษาธรรมะได้
อํานาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราช
อำนาจของกรรมใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก
อำนาจของกรรมใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก ไม่มีอำนาจใดทำลายล้างได้ แม้อำนาจของกรรมดีก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมชั่วและอำนาจของกรรมชั่วก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมดีอย่างมากที่สุดที่มีอยู่ คือ อำนาจของกรรมดีแม้ให้มาก ให้สม่ำเสมอในภพภูมินี้ ก็อาจจะทำให้อำนาจของกรรมชั่วที่ได้ทำมาแล้วตามมาถึงได้ยาก ดังมีเครื่องขวางกั้นไว้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ดังที่ท่านเปรียบว่าเหมือนวิ่งหนีผู้ร้ายที่วิ่งไล่ตามมา ถ้ามีกำลังแข็งแรง วิ่งเร็วกว่าผู้ร้าย ก็ย่อมยากที่ผู้ร้ายจะไล่ทัน ความแข็งแรงของผู้วิ่งหนีกรรมชั่ว ก็หาใช่อะไรอื่น คือ ความเข้มแข็งสม่ำเสมอของการทำกรรมดีนั่นเอง
ข้อมูลของ สมเด็จองค์ ใหม่ ต้องถามมหาเถระสมาคม ว่า ยังยึดถือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า หรือไม่?
ใช้วัดเป็นสถานที่ในการเผยแพร่คำสอนที่ขัดหลักทางพระพุทธศาสนา ถือว่าไม่ถูกต้อง" เป็นคำกล่าวของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ย้ำให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมของการให้แม่ชีทศพรใช้วัดพิชยญาติการาม เป็นสถานที่เผยแพร่คำสอนอันพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนผ่านสาธารณชนว่า "ผิดไปจากหลักพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าราวฟ้ากับดิน"
ความจริงเรื่องนี้ก็มีข้อสงสัยมาตั้งแต่ต้นแล้ว เริ่มตั้งแต่แม่ชีเข้ามาอาศัยในวัดพิชัยญาติเมื่อหลายปีก่อน แล้วเริ่มสอนในแนวทางดูกรรมแก้กรรม หรือพูดให้เท่ห์ว่าแสกนกรรม ถ้าเราแยกเอาคำพูดของแม่ชีก็จะได้เนื้อหาเป็น 2 ส่วน คือ 1.การแสดงฤทธิ์ และ 2.แนวทางแห่งการแก้กรรม
ในการแสดงฤทธิ์นั้น แม่ชีสามารถลืมตาอ้าปากเล่าเรื่องกรรมเก่าของบุคคลที่เข้ามาถามได้อย่าชำนิชำนาญราวกับเห็นด้วยตา ถ้าเป็นภาษาพระก็เรียกว่ามีจักษุทิพย์ ส่วนนี้แม่ชีจะแสดงเป็นเบื้องต้น ที่นี้เมื่อคนเชื่อก็จะเข้าสู่กระบวนการของการ "แก้กรรม" ซึ่งเมื่อบุคคลนั้นๆ เชื่อเรื่องที่แม่ชีทำนายแล้ว การยินยอมให้แม่ชีชี้นำแก้กรรมก็ง่ายตามไปด้วย แต่ผลของการแก้กรรมของแม่ชีนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่
คำถามก็คือว่า รู้ได้อย่างไรว่าแม่ชีมีทิพยจักษุจริง
ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าแม่ชีมีหูทิพย์ตาทิพย์จริง ก็จะไปสู่กระบวนการขั้นต่อไปว่า การอวดภูมิเช่นนั้นต่อสาธารณชนนั้น ถูกหรือไม่ตามพระธรรมวินัย เช่นกรณีของพระภิกษุ มีพระพุทธบัญญัติ "ห้ามมิให้แสดงอุตริมนุสธรรม" ไม่ว่ากรณีใดๆ คือจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ห้ามแสดงทั้งสิ้น แต่กรณีแม่ชีทศพรนั้นมีการอ้างว่า "แม่ชีไม่ใช่นักบวช คือไม่ใช่พระภิกษุหรือภิกษุณี หรือสามเณร และกฎหมายก็ไม่ได้รับรองสถานภาพของแม่ชีว่าเป็นนักบวชไว้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่ชีจึงไม่เข้าข่ายการต้องอาบัติหรือปรับโทษตามพระธรรมวินัยหรือตามกฎหมายคณะสงฆ์ ดังนั้น แม่ชีจึงสามารถอวดอุตริมนุสธรรมได้" ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า พระพรหมโมลีใช้แม่ชีซึ่งไม่มีสถานะอะไรมาทำงานแทนพระสงฆ์วัดพิชัยญาติ เปรียบไปก็เหมือนการใช้แรงงานเถื่อน ซึ่งผู้ใช้นั้นมีความผิดในข้อหา "ขายชาติ"เป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว แต่กรณีพระพรหมโมลีอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นข้อหา "ขายศาสนา" แทน
ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า แม่ชีมิได้มีทิพยจักษุดังที่อ้าง ก็จะเป็นกระบวนการลวงโลกทันที ซึ่งมีทั้งพระมหาเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ มีฐานะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และดำรงตำแหน่งใหญ่โตถึงเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นหัวหน้า
ต่อคำถามที่ว่า รู้ได้อย่างไรว่าแม่ชีมีทิพย์จักษุจริง นั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องแรกเลยที่จะต้องพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัด ก่อนจะอนุญาตให้ใช้ธรรมาสน์ของวัดพิชัยญาติแสกนกรรมแก่แม่ชี แต่พระพรหมโมลีก็บกพร่องอย่างแรง เมื่อไม่ยอมกระทำการพิสูจน์ให้กระจ่าง จะเพราะสาเหตุอันใดก็ไม่ทราบ แต่กลับปล่อยให้แม่ชีเข้ามาใช้ธรรมาสน์ของวัดพิชัยญาติทำการสอนมาตั้งหลายปี จนกระทั่งวันนี้มีความพิรุธปรากฏต่อสาธารณชน ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวงการคณะสงฆ์อย่างหนัก เพราะพระพรหมโมลีมียศเป็นถึงรองสมเด็จและดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งทรงอิทธิพลสูงสุดในวงการคณะสงฆ์ไทยอีกด้วย การปล่อยให้แม่ชีทำการสอนโดยไม่พิสูจน์เสียก่อนนั้น ก็เท่ากับการปล่อยให้ประชาชนลองผิดลองถูกเอาเอง แต่เงินหรือทรัพย์สินอื่นใดที่ผู้คนนำมามอบให้แก่แม่ชีด้วยความเชื่อศรัทธานั้น แม่ชีก็นำไปถวายพระสงฆ์ทั้งที่วัดพิชัยญาติและวัดอื่นๆ จนพระที่รับเงินทองของแม่ชีไปแล้วพูดไม่ออก การที่พระมหาเถระและพระสงฆ์ทั่วไป ยอมรับจตุปัจจัยที่บอกบุญโดยแม่ชีทศพร จึงทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าแนวทางการสอนของแม่ชีทศพรนั้นถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ได้รับการยอมรับจากพระพรหมโมลี และมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ความมีชื่อเสียงของแม่ชีนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการอิงอาศัยพระมหาเถระคือพระพรหมโมลี รวมทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร. อันมีพระธรรมโกศาจารย์ เป็นอธิการบดี องค์ปัจจุบัน ยกย่องกันออกหน้าถึงกับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่แม่ชีทศพรเมื่อสองปีที่ผ่านมา แต่วันนี้กลับปรากฏว่าแม่ชีมิได้สอนถูกต้องตามพระธรรมวินัยเลย จึงไม่ทราบว่าสภามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติปริญญาระดับด๊อกเตอร์ให้แก่แม่ชีทศพรได้อย่างไร เป็นที่อับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ เราเคยเตือนพระพรหมโมลีเมื่อ 7 ปีมาแล้ว ตอนที่แม่ชียังไม่หยั่งรากกว้างขวางเหมือนในปัจจุบัน (อ่านมุมมองของพระมหานรินทร์ วันที่ 28 ก.พ. 2548) แต่วันนั้นพระพรหมโมลีหน้ามืดเกินกว่าที่จะฟังใคร และสุดท้ายก็มาถึงวันนี้ วันที่รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมต้องออกมาพูดว่า "ใช้วัดเป็นสถานที่ในการเผยแพร่คำสอนที่ขัดหลักทางพระพุทธศาสนา ถือว่าไม่ถูกต้อง"
คำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนั้น ถือว่าเป็นคำถามตรงต่อพระพรหมโมลี ในฐานะเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ ว่าอนุญาตให้แม่ชีมาสอนผิดหลักพระธรรมคำสอนในวัดพิชัยญาติได้อย่างไร และทำไม เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว พระพรหมโมลีและคณะสงฆ์วัดพิชัยญาติกลับเมินเฉย ไม่ดำเนินการใดๆ ให้กระจ่างต่อสาธารณชนว่าแม่ชีสอนผิดหรือถูก
ความเป็นพระผู้ใหญ่ระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้ดูแลสังฆมณฑล และได้รับความไว้วางใจจากมหาเถรสมาคมไห้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ถือว่าเป็นอะไรที่มากกว่ามาก มิใช่แค่อ้อมแอ้มว่าเคยเตือนแม่ชีแล้วว่าสอนไม่ถูก ดังนี้เท่านั้น แต่ทั้งตัวพระพรหมโมลีและบริวารรวมทั้งแม่ชีทศพรด้วย ต้องสำรวมระวังพยายามประคับประคองตัวเองให้ "ไม่ผิดเลย" ทั้งนี้เพราะท่านเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์ทั้งประเทศ ต้องเป็นตัวอย่างทั้งด้านพฤติกรรมส่วนตัวและพฤติกรรมต่อสาธารณชน แต่ภาพของแม่ชีทศพรที่ปรากฏต่อสาธารณชนผ่านสื่อกลับมิได้เป็นเช่นนั้น มีการแก้กรรมด้วยวิธีลามกอนาจารสนุกสนานเฮฮา ไม่ต่างไปจากตลกคาเฟ่ ซึ่งองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ เมื่อได้ชมก็เรียกร้องให้หยุดการเผยแพร่เทปวิดีโอดังกล่าว เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อผู้คนในสังคม นี่แค่จิตสำนึกพื้นฐานสังคมไทยก็รับไม่ได้แล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องภูมิจิตภูมิธรรมอันสูงส่งกว่านั้น
มีคำกล่าวว่า "เลือกนายกรัฐมนตรี มิใช่เลือกสังฆราช" ความหมายว่า นายกรัฐมนตรีนั้นเป็นผู้นำในทางการเมือง ซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาสารพัด อาจจะมีทั้งปัญหาสีขาว สีดำ และสีเทา เข้ามาเกี่ยวข้อง การจะหานักการเมืองที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระสงฆ์นั้นยากยิ่ง แต่สำหรับพระสงฆ์นั้น ต้องตั้งบรรทัดฐานในด้านความบริสุทธิ์สะอาดเอาไว้ก่อน แม้ว่าจะเก่งกาจเพียงใด แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว ก็หมดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าสงฆ์โดยปริยาย
ประวัติของพระพรหมโมลีอีกส่วนหนึ่งซึ่งน่าสนใจก็คือ ท่านเคยเป็นประธานศาลสงฆ์ในการนิคหกรรมพระธัมมชโยแห่งวัดพระธรรมกายเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนนั้นวัดพระธรรมกายมีปัญหาว่าด้วยคำสอนผิดแนวไปจากพระไตรปิฎก คือสอนว่าพระนิพพานเป็นอัตตา ซึ่งปรากฏว่าจนป่านนี้ศาลสงฆ์โดยพระพรหมโมลียังไม่ยอมพิพากษาออกมาว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดหรือถูก อาศัยแต่การยกคำร้องของศาลฎีกาว่าด้วยการคืนทรัพย์สินและความสมานฉันท์ ปล่อยเรื่องให้หายไปตามสายลม นั่นถือว่าเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงแล้ว แต่วันนี้กลับมีเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่า เมื่อเกิดกรณีแม่ชีทศพรขึ้นในวัดพิชัยญาติของพระพรหมโมลีเอง ถ้าหากพระพรหมโมลีไม่สามารถจะสะสางปัญหานี้ให้กระจ่างได้อย่างโปร่งใส ก็อย่าหวังว่าจะไปดำเนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ เพราะจะไม่ต่างไปจากพระที่ไม่ยอมล้างเท้าก่อนขึ้นธรรมาสน์ สอนไปใครจะเชื่อ สั่งไปใครจะทำ พูดไปใครจะนับถือ ถึงเป็นใหญ่เป็นโตก็จะเจอแต่พวกประจบสอพลอตอแหลไปวันๆ ไม่ต่างไปจากนักการเมือง ถ้าหมดอำนาจวาสนาเมื่อใดก็อาจจะกลายเป็นคนอนาถา ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน เหมือนอดีตพระสังฆาธิการระดับสูงในกรุงเทพฯบางรูปในอดีต อย่าเล่นกับกรรมนะท่าน แค่ที่มันเสื่อมเสียทุกวันนี้ก็มิใช่เพราะท่านเลินเล่อกับกรรมดอกหรือ
เชื่อแน่ว่าต่อไป พระพรหมโมลีอาจจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งนั่นท่านจะเป็นแคนดิเดทสมเด็จพระสังฆราชไปในทันที
แต่เมื่อมีมลทินเกิดกับตัวท่านในวันนี้ ขอเรียนถามพระพรหมโมลีว่า จะตอบคำถามท่านรัฐมนตรีข้างต้นโน้นว่าอย่างไร ?
ด้วยความเคารพอย่างสูง
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม
วัดไทยลาสเวกัส
4 พฤษภาคม 2554
วัดไทยลาสเวกัส
4 พฤษภาคม 2554
เปิดโผเจ้าคุณ ปี 54
จำนวน 90 รูป
พระพรหมโมลีเปลี่ยนชื่อ
จากเดิม "สมเด็จพระมหาธีราจารย์"
เป็น "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์"
ธัมมชโย "ผงาด" ชั้นเทพ
มหาสายชล "คว้า" ชั้นราช
พระพรหมโมลี
เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
เป็น "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์"
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย)
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เป็น "พระเทพญาณมหามุนี"
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เป็น "พระเทพญาณมหามุนี"
ศึกษาข้อมูลความมั่นคงในประวัติศาสตร์ ที่ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.253131934732916.61477.161446187234825&type=3
ชาวไทยท่านใดกล้าลุกขึ้นมาปกป้องประเทศชาติ และสถาบันหลักของชาติ สามารถส่งเรื่องร้องเรียนไปที่ ผู้ตรวจการแผ่งดิน ที่ http://www.ombudsman.go.th/10/index1.html
ช่วยชาติได้โดยท่าน ช่วยส่งเรื่องร้องเีรียนไปที่ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ชั้น 5 เลขที่ 120 หมู่ที่ 3
ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทร. 0-2141-9100 หรือ 1676 โทรสาร 0-2143-8341
อย่ารักในหลวงและประเทศ โดยไม่กล้าลุกขึ้นต่อสู้ (เพื่อ สมเด็จพระสังฆราช และ พระเจ้าอยู้หัว)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ