พลังทิพย์ ของทิพย์ ที่ได้จากการบำเพ็ญแบบพราหมณ์


พลังทิพย์ ของทิพย์ ที่ได้จากการบำเพ็ญแบบพราหมณ์


การบำเพ็ญธรรมแบบพราหมณ์ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อนิพพาน แต่มีจุดประสงค์เพื่อการเป็นสาวกที่ดีและศาสดาที่ดีในอนาคต หรือก็คือ การบำเพ็ญของเหล่าพระโพธิสัตว์นั่นเอง ทั้งนี้ ก่อนจะเข้าถึงการบำเพ็ญธรรมของพราหมณ์ ขออธิบายการบำเพ็ญธรรมสามรูปแบบ เพื่อเป็นการทำความเข้าใจร่วมกันเบื้องต้น ดังต่อไปนี้


๑)   การบำเพ็ญเพื่อนิพพาน

เป็นการบำเพ็ญธรรมของมนุษย์ในช่วงธรรมกาลของพระพุทธศาสนา (ช่วงที่โลกยังมีศาสนาพุทธ) ซึ่งจะอยู่ในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย ๑๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ปัจจุบัน มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยลดลง ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี มีกรรมมาก มีความยากที่จะบรรลุนิพพานได้ แต่พุทธศาสนาก็ยังไม่สูญสิ้นไปจากโลกมนุษย์ จึงจัดอยู่ในโลกยุคพิเศษ ดังนั้น การบำเพ็ญธรรมเพื่อนิพพาน ก็สามารถทำได้เพราะยังอยู่ในธรรมกาลของพุทธศาสนา แต่จะได้มรรคผลนิพพานก็ในกลุ่มคนที่มีกรรมน้อย ชดใช้กรรมได้หมดทันก่อนอายุขัยดับเท่านั้นเอง ในกลุ่มคนกลุ่มอื่นๆ จำต้องบำเพ็ญธรรมแบบอื่นแทน


๒)   การบำเพ็ญเพื่ออายุยืนยาวเป็นอำมตะ

เป็นการบำเพ็ญธรรมของนักพรตจีนโบราณ นักพรตเต๋า และโยคีโบราณ เป็นส่วนใหญ่ ที่มุ่งเน้นร่างกายมากกว่าจิตใจ โดยไม่ละเลยเรื่องจิตวิญญาณ การบำเพ็ญจึงเป็นการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเพื่อร่างกายเนื้อที่มีอายุขัยยืนนานนั่นเอง ได้แก่ การบำเพ็ญโยคะ การบำเพ็ญด้านลมปราณ ฯลฯ การบำเพ็ญแบบนี้ มักเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปี เพราะอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์มีน้อยเกินกว่าจะเล่าเรียนปฏิบัติธรรมให้เจนจบได้ จึงต้องอาศัยวิธีการทางโยคะเพื่อยืดอายุขัยของบุคคลผู้ศึกษาเล่าเรียนนั่นเอง บางท่านที่บำเพ็ญสำเร็จ สามารถมีอายุยืนนานได้เป็นหมื่นปี ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเลย เพราะมนุษย์นั้นสามารถยืดอายุได้เป็นแสนปีอยู่แล้ว ในยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็อยู่ระหว่าง ๑๐๐ ปี ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี เป็นปกติ แต่ทว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีอนิจจัง ถึงวันแตกดับ ดังนั้น แม้จะยืดอายุได้ แต่ก็ต้องตายในวันหนึ่งอยู่ดี ตัวอย่างนักปฏิบัติธรรมแนวนี้ เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร, หลวงปู่ละมัย เป็นต้น


๓)   การบำเพ็ญเพื่อสลายกายทิพย์สู่สวรรค์

เป็นการบำเพ็ญธรรมของนักปฏิบัติจิต ปฏิบัติสมาธิขั้นสูง ที่มุ่งเน้นบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิ แล้ววางแผนการตายไปจุติยังภพภูมิที่ต้องการได้ ปกติ ภพภูมิที่นิยมกำหนดเพื่อสลายกายทิพย์ไปจุติก็คือ สุขาวดีพุทธเกษตร บางท่านก็พุ่งจิตไปจุติใหม่ยังแดนนิพพานก็มี แต่ในกรณีนี้ จะไม่หมดสิ้นชาติภพเหมือนการบำเพ็ญเพื่อนิพพานโดยตรง กล่าวคือ จุติไปเกิดใหม่ เมื่อหมดวาระผลบุญก็จุติลงมาเกิดใหม่บนโลกมนุษย์อีก การบำเพ็ญแบบนี้พบในพุทธศาสนานิกาย สุขาวดี ในพระลามะทิเบตที่มุ่งปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย และในนักปฏิบัติสายมโนมยิทธิ ที่เน้นการบำเพ็ญเพียรสร้างบุญ แล้วนั่งสมาธิกำหนดจิตไปแดนนิพพานจนเคยชิน เมื่อตายลงจิตนิมิตเห็นแดนนิพพานก็จุติเกิดใหม่ที่แดนนิพพานทันที เพราะนิพพานแท้นั้นไม่มีนิมิต แต่การบำเพ็ญแบบนี้ มีนิมิตนำ จึงทำให้ไปเกิดยังแดนนิพพาน ทั้งยังสามารถกลับมาจุติใหม่ เพื่อบำเพ็ญตามความปรารถนาพุทธภูมิได้อีก ไม่ใช่นิพพานแท้ๆ ตัวอย่างผู้ปฏิบัติธรรมแนวนี้ เช่น พระอรหันต์ชินปัญจระ, พระอมิตาภพุทธเจ้า


สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อนิพพานนั้น ผู้เขียนได้แนะนำแนวทางไว้มากมายแล้ว บทความฉบับหลังๆ จะขอกล่าวถึงแนวทางในการบำเพ็ญธรรมเพื่อพุทธภูมิ หรือการบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ในภายหลังที่ได้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์บ้าง จะขอกล่าวถึงการบำเพ็ญแนวพราหมณ์ เพื่อพลังความสามารถพิเศษ ที่จะนำไปใช้ในการโปรดสัตว์ ปราบมาร และการบำเพ็ญเพียรที่มุ่งเน้น อิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ต่อไป อันจะเหมาะสมกับยุคสมัยดังกล่าวข้างต้นดังนี้


คุณลักษณะและประเภทของพลังทิพย์แบบต่างๆ

ในกลุ่มคนที่ปฏิบัติโยคะ หรือปฏิบัติสายพราหมณ์ อย่าที่เราเคยเห็นในวรรณะคดีเรื่องรามเกียรติ์ จะเห็นได้ว่ามีฤษีมากมายที่บำเพ็ญจนได้รับพลังและของทิพย์วิเศษ เช่น นิ้วเพชร ที่ชี้เป็นชี้ตายผู้อื่นได้ แล้วเกิดหลงในอิทธิฤทธิ์ของตน กลายเป็นยักษ์มารและถูกปราบในที่สุด นี่คือ วรรณคดีที่อธิบายเป็นนิทานเพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นเบื้องต้น อันที่จริงก็ไม่ต่างจากความจริงนัก มนุษย์สามารถบำเพ็ญเพียรทางจิต จนรับพลังพิเศษจากจักรวาลได้ อันอาจมาจากเทพ, มหาเทพ, พระอรหันต์, พระโพธิสัตว์, พระพุทธเจ้า ฯลฯ ได้ตามบุญวาสนาที่ตนได้ทำมา (ถ้าไม่มีบุญกรรมที่ทำไว้ก่อน ก็ไม่มีเทพเทวดาองค์ใดจะประทานสิ่งวิเศษให้ได้ เพราะจะละเมิดกฎแห่งกรรม) พลังพิเศษเหล่านี้ ถูกเรียกว่า พลังจักรวาล ในกลุ่มผู้ศึกษาวิชชาพลังจักรวาล ซึ่งเพิ่งมารื้อฟื้นและค้นพบใหม่อีกครั้ง จึงนึกว่าเป็นเรื่องใหม่ หรือของใหม่ อันที่จริง สิ่งเหล่านี้มีมานานแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เสียอีก พลังทิพย์ชนิดต่างๆ ที่พอจะจำแนกได้ มีดังต่อไปนี้


๑)   พลังการทำนายของพระพรหม

พรหมที่อยู่ในพรหมโลก เป็นสัตว์ที่มีคุณสมบัติพิเศษทางจิต ที่เหนือกว่าเทวดาทั่วไป คือ ความสามารถในการหยั่งรู้และทำนายทายทัก พร้อมเมตตาบารมี ซึ่งในหมู่พรหมมีมาก ทำให้เกิดความน่าเลื่อมใสศรัทธาของผู้ฟัง ผู้ที่ได้รับพลังนี้ จะมีความสามรถพิเศษในการหยั่งรู้ทำนายทายทักอนาคตผู้อื่น ทั้งยังได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากคนทั่วไปตามกำลังของพลังที่ได้รับ มีลักษณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน คือ การทรงเจ้า ทรงองค์พรหม สำหรับกลุ่มคนทรงเจ้าที่เป็นคนทรงจริงไม่หลอกลวง ปัจจุบันสามารถสัมภาษณ์พูดคุย และทดสอบ พิสูจน์ความแม่นยำของการทำนายได้


๒)   พลังการรักษาโรคของเทพเซียน

เทพเซียนบางองค์ มีความรู้และความสามารถที่ได้บำเพ็ญเพียรมาทางด้านการรักษาโรค เช่น ท่านชีวกโกมารภัทร (หมอประจำตัวของพระพุทธเจ้า), เซียนองค์ที่สามในโป๊ยเซียน (เคยสำรวจพบท่านประทับทรงรักษาโรคให้คนป่วย), พระอรหันต์จี้กง (ในอดีตชาติเคยใช้ขี้ไคล รักษาโรคให้คนป่วย) ฯลฯ สำหรับท่านที่ฝึกจิตจนได้รับพลังในการรักษาโรค ก็จะสามารถใช้พลังนี้ในการรักษาผู้ป่วยได้ ตามกำลังความสามารถที่ได้รับพลังนั้นๆ มา คือ ถ้าได้รับพลังมามาก ใช้ได้มาก ก็รักษาโรคให้คนได้มาก ได้ถึงขั้นโรคที่รักษาในโรงพยาบาลไม่หายก็สามารถรักษาให้หายได้ คนที่ได้รับพลังในการรักษานี้ ส่วนมากจะถูกเลือกแล้วว่าให้บำเพ็ญในด้านนี้ได้ ไม่กระทบกฎแห่งกรรม


๓)   พลังในการปราบไสยเวทย์มนต์ดำ

เป็นพลังของเทพ, มหาเทพ หรือพระโพธิสัตว์ที่เคยบำเพ็ญเพียรด้านการปราบมารมาแล้ว เช่น พระอวโลกิเตศวร, พระศรีอาริยเมตตรัย, พระนาราย เป็นต้น พลังเหล่านี้มีความแตกต่างกัน เช่น พลังของพระอวโลกิเตศวร ภาคต๊กม้อ ค่อนข้างมีรุนแรงและไม่ยั้งมือ กล่าวคือ มารอาจตายไม่รอดได้ สำหรับพลังของพระศรีอาริยเมตตรัย จะไม่รุนแรงสามารถยั้งมือเพื่อเจรจาให้กลับตัวกลับใจได้ ส่วนพลังของพระนารายจะรุนแรงรบแล้วต้องชนะ คือ มารตายสถานเดียว ซึ่งเป็นพลังปราบมารที่รุนแรงที่สุด เสี่ยงต่อการก่อกรรมมากที่สุด เพราะใช้การรบให้ชนะเพื่อปราบมารนั่นเอง ปัจจุบัน การบำเพ็ญของเหล่าเทพและโพธิสัตว์ก้าวหน้าไปมาก จึงมักหาวิธีการลงมือที่ไม่รุนแรงเป็นสำคัญ พลังเหล่านี้ ผู้ที่ได้รับไปจะรู้สึกได้ว่าไม่ถูกกับพวกมาร พวกเล่นคุณไสย ถึงขนาดอยู่ในเขตบริเวณเดียวกันไม่ได้ก็มี บางรายเป็นพระเล่นคุณไสย ร้อนจนทนไม่ได้ต้องออกมาไล่ฆราวาสที่มีพลังขององค์นารายอยู่ เพื่อให้ออกไปไกลๆ จากตนก็มี สำหรับพลังที่อ่อนโยนที่สุดเป็นของพระอวโลกิเตศวรกวนอิม (ภาคเจ้าแม่กวนอิม) คือ พลังในการล้างอาถรรพ์มนต์ดำ (พลังจากน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์)


๔)   พลังในการปกครองและพลังบารมี

ผู้ปกครอง และผู้นำประเทศต่างๆ ระดับต่างๆ ล้วนต้องมีบารมีทั้งสิ้น จึงจะสามารถครอบครองแผ่นดิน ครองใจคนจำนวนมากได้ สำหรับท่านที่ไม่มีบารมี แต่มีบุญ หรือใช้อิทธิฤทธิ์เข้าครอบครองอำนาจ มักพบจุดจบอนาถ คือ ผู้คนเกลียดชังและรุมก่อการปฏิวัติในที่สุด นี่เพราะบารมีมีไม่พอ นั่นเอง ดังนั้น หลายท่านที่อยากเป็นใหญ่ จึงต้องแก่งแย่งกันสร้างบารมีก็ดี ใช้บารมีก็ดี หรือแม้แต่แสวงหาวิธีเสริมบารมีตนเองด้วยไสยศาสตร์ก็มี พลังบารมีเหล่านี้ ในทางด้านการปกครอง ถือว่า บารมีขององค์นาราย หรือมหาเทพต่างๆ สามารถปกครองโลกมนุษย์ได้ เช่น ผู้มีบารมีองค์นารายก็สามารถเป็นนักปกครองได้ แต่หากมีผู้อื่นได้บารมีองค์นารายเช่นกัน ก็ต้องเทียบกันว่าใครได้มากกว่า แต่หากบางท่านได้มากกว่าหนึ่งองค์ เช่น ได้ทั้งขององค์นารายและองค์ศิวะ ก็ต้องนำมาเทียบอีกว่ารวมแล้วใครมากกว่า ในศาสตร์วิชชาทางฮินดูนั้น พลังฝ่ายชาย (หยาง) ที่สูงสุด คือ พลังตรีมูรติ ซึ่งมนุษย์จะไม่สามารถเป็นองค์ตรีมูรติได้ เพราะตรีมูรติหมายถึงมหาเทพทั้งสามองค์ แต่มนุษย์สามารถรับพลังของทั้งสามองค์รวมกันได้ ก็จะมีพลังบารมีมากกว่าผู้ที่มีพลังบารมีเพียงองค์เดียว นอกจากนี้ พลังฝ่ายหญิง (หยิน) คือ พลังพระแม่เทวีต่างๆ สามารถครอบงำให้ฝ่ายชายหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ตกหลุมรักได้ ทำให้ฝ่ายหญิงสามารถควบคุมฝ่ายชายได้ คือ พระลักษมี คุมพระนาราย, พระอุมา คุมพระศิวะ, พระสุรัสวดี คุมพระพรหม ส่วนองค์ตรีมูรติ นั้น ต้องใช้พลังบารมีของพระแม่ทุกองค์รวมกัน จึงจะคุมได้ นอกจากนี้ พลังของพระแม่ต่างๆ ยังมีผลต่อการปราบอสูรตนต่างๆ ด้วยแตกต่างกันไป เช่น พลังของพระกาลีปราบอสูรทารุณ, พลังของพระแม่ทุรคาปราบอสูรมหิงสา เป็นต้น


๕)   พลังในการตรัสรู้และสร้างศาสนา

เป็นพลังบารมีขององค์ศิวะ ตัวอย่างเช่น คุณซัน (ผู้เขียนหนังสือเรื่อง คน (ไม่อยาก) เห็นเคราะห์) ซึ่งได้เคยพบองค์ศิวะในนิมิต ถือตรีศูลมาพร้อมชวนให้ไปบำเพ็ญ ทั้งยังถามว่าพร้อมหรือยัง แล้วทั้งคู่ก็หยิบตรีศูลคละอันออกไปพร้อมกัน นี่คือ พลังขององค์ศิวะ ในการจะสร้างศาสนา เป็นศาสดาลัทธิต่างๆ หรือการสร้างสาวกบริวารก็สามารถทำได้ ทำให้ผู้คนนับถือและยกย่อง ถึงขั้นยอมตายถวายชีวิตพลีให้เลยทีเดียว เป็นพลังบารมีเฉพาะขององค์ศิวะ อันเกิดจากอดีตชาติที่องค์ศิวะได้บำเพ็ญเป็นฤษีมายาวนาน และเป็นผู้มอบมรรควิธีในการปฏิบัติทางจิตต่างๆ ให้มนุษย์ เช่น โยคีนิกายทิคัมพร (ชีเปลือย นุ่งลมห่มฟ้า) ผู้ที่ได้พลังนี้ไปแล้ว จะมีแรงบันดาลใจ มีพลังแรงจูงใจในการออกแสวงหาสัจธรรม มีพลังแรงจูงใจในการประกาศศาสนา หรือการแสดงตนเพื่อโปรดสัตว์ จะมีผู้คนเข้ามาหาและนับถือศรัทธาจำนวนมาก 


๖)   พลังพุทธคุณและพลังรัตนตรัย

เป็นพลังบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า, พระอรหันต์ และพระธรรม คือ ธรรมชาติแท้ๆ ที่บริสุทธิ์เปลือยเปล่าไร้การปรุงแต่งใดๆ มีลักษณะที่เบาสบายโล่งเย็น อบอุ่น สงบสุข สงัดจากกามอารมณ์ใดๆ ช่วยให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ช่วยชำระจิตวิญญาณที่สกปรกเต็มไปด้วยพันธะและภาระทุกข์ที่รุมเร้าให้ผ่อนคลายสงบร่มเย็นได้ สังเกตได้ว่า ท่านที่เข้าวัดทำบุญก็ดี มักมีจิตสงบเย็นกว่าตอนก่อนเข้าวัดทำบุญ, ท่านที่ได้ไปกราบพระอรหันต์จะมีจิตที่สงบเย็นมากขึ้น, ท่านที่ได้พบพระพุทธเจ้าหรือกราบพระธาตุก็ดี กราบพระประธานที่มีพลังพุทธคุณก็ดี มักมีความสงบเย็นที่สัมผัสได้ เบาสบายใจ จากที่เคยทุกข์หนักอกหนักใจ เคยเร้าร้อนด้วยตัณหาราคะ ก็สงบเย็นได้อย่างแปลกประหลาด พลังบารมีเหล่านี้มีจริง พิสูจน์ได้ สัมผัสได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะพลังพุทธคุณและพระรัตนตรัย เป็นพลังที่เอื้อต่อทุกสรรพชีวิต สัมผัสได้ง่ายกว่าพลังเทพและมหาเทพทั้งหลาย แต่ต้องอาศัยการสังเกต การมีสติที่ว่องไว การทีจิตที่ละเอียดอ่อน ก็สามารถแยกแยะความรู้สึกได้ไม่ยาก ว่าพลังเหล่านี้มีจริง ตรงกันข้าม หากพลังเหล่านี้เริ่มหดหายไป ด้วยสาเหตุใดก็ช่าง สถานที่นั้นๆ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีคนกลุ่มแตกต่างไปจากเดิมเข้ามาแทนที่ เป็นต้น


๗) พลังฉัพพรรณรังสีประเภทต่างๆ

เป็นพลังในตนเอง ที่เปล่งฉายออกมาทางศีรษะได้ อย่างที่เราเห็นในภาพวาดว่าพระพุทธเจ้าจะทรงมีฉัพพรรณรังสีรูปวงกลมสีขาว มีรัศมีสีทองเป็นต้น อันที่จริง พระพุทธเจ้าจะทรงมีรัศมีที่เป็นแสงทิพย์เจ็ดสีด้วยกัน สำหรับคนทั่วไป หากฝึกจิตได้บริสุทธิ์ก็จะมีฉัพพรรณรังสีวงกลมสีขาวได้ และมีรัศมีฉายออกมาเป็นสีต่างๆ ตามแต่จะสามารถบำเพ็ญเพียรได้ สามารถถ่ายภาพออร่า (เทคโนโลยีการถ่ายด้วยกล้องเคอร์เลี่ยนที่องค์การนาซ่าใช้สำรวจสิ่งมีชีวิตต่างดาว) ปัจจุบัน ได้มีการศึกษาค้นคว้าจากศาสตร์ความรู้ของประเทศทิเบต เรื่องคุณสมบัติของฉัพพรรณรังสีต่างๆ จนได้รวบรวมเป็นศาสตร์วิชชาทางออร่าขึ้น มีการศึกษาในขั้นสูงที่ประเทศรัสเซีย เป็นต้น ฉัพพรรณรังสีต่างๆ นี้เป็นพลังภายในของเราเอง ในขณะที่พลังบารมีจากพลังจักรวาลนั้น จะเป็นพลังจากภายนอก ที่ลงมาครอบขันธ์ห้าของเราไว้อีกที ทำให้พลังของเราแท้จริงถูกซ่อนไว้ก่อน ทำให้ร่างทรงถูกทักว่าเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ได้ ตามแต่จะได้รับพลังจากเทพองค์ใดมาครอบขันธ์ห้าของตนไว้ คุณสมบัติของฉัพพรรณรังสีต่างๆ มีตัวอย่างดังนี้ สีเขียวสว่าง ใช้รักษาโรค, สีม่วง ใช้พลังทางจิต, สีทอง ใช้ในด้านคุณธรรม, สีขาว ใช้เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ฯลฯ เป็นต้น


มนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ห้า คือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ โดยมีจิตที่บริสุทธิ์อยู่ตรงกลางคอยเป็นนายผู้รู้ ผู้สั่งการต่างๆ ขันธ์ห้าของมนุษย์มีลักษณะอนัตตา คือ ไม่สามารถปิดกั้นยึดไว้เป็นตัวกูของกูตลอดไปได้ มีความอนิจจัง เปลี่ยนแปลงเป็นเนืองนิตย์ ดังนั้น แม้แต่สังขาร ก็มีความเกิดแก่เจ็บตาย ร่วงโรยดับสลายไป แม้แต่วิญญาณก็มีการถ่ายเทเข้าออกได้ตลอดเวลา การไหลเข้าออกของส่วนประกอบของวิญญาณเราเรียกว่า การหมุนเวียนลมปราณ เหมือนการหมุนเวียนเข้าออกของลมหายใจนั่นเอง ลมปราณหากเก็บสะสมไว้ภายในเรียกว่าพลังวัตร ซึ่งจะสะสมไว้ตาม จักระต่างๆ ของร่างกายเจ็ดแห่ง หากได้รับมาจากแหล่งภายนอกร่างกาย เราเรียกพลังนั้นว่า พลังจักรวาล เมื่อก่อนร่างกายจะมีการไหลเวียนของลมปราณเข้าออกระหว่างร่างกายและภายนอกได้น้อย แต่เมื่อฝึกเปิดจักระออกแล้ว ทะลวงชีพจร (ชีพจรคือท่อไหลเวียนของลมปราณในร่างกาย ซึ่งสอดคล้องกับเส้นโลหิต ทำให้สามารถจับชีพจรของโลหิตก็ได้ จับการไหลเวียนของลมปราณก็ได้) เปิดการไหลเวียนภายในร่างกายได้ดีแล้ว ก็จะเกิดการไหลเวียนลมปราณเข้าออกทั้งภายนอกและภายในได้มากขึ้น


ในสังขารร่างกายเนื้อของเรานี้ มีกายทิพย์ หรือวิญญาณซ้อนอยู่ โดยกายทิพย์หรือวิญญาณนี้ มีลักษณะคล้ายร่างกายเนื้อของคนผู้นั้น แต่มีความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า ยืดหยุ่นกว่า ทั้งยังมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนคนหลายคนซ้อนๆ กันอยู่ แต่ละชั้นของกายทิพย์เกิดจากจิตที่ก่อกรรมไว้ ปรุงแต่งด้วยวิญญาณให้เกิดกายทิพย์แบบนั้นๆ เมื่อเรามาเกิดใหม่ๆ กายทิพย์ยังไม่ซับซ้อนมาก เมื่อเราเริ่มก่อกรรมซ้ำรอยกรรมรอยเกวียนเดิมในอดีตชาติ เพราะความที่จิตไม่ได้รับการฝึกฝนเปลี่ยนแปลง จึงต้องรับกรรมซ้ำๆ จนกว่าจะหมดจะเลิก จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาชำระกรรมเป็นร้อยๆ ชาติกว่าจะหมดหนึ่งกรรม ทำให้กายทิพย์ถูกสร้างขึ้น ปรุงแต่งขึ้นจากการกระทำกรรม จนทำให้วิญญาณก่อตัวเป็นกายทิพย์รูปแบบต่างๆ ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ซับซ้อนมากขึ้น บางท่านได้รับพลังจากเทพ ในรูป กายทิพย์ ที่ไม่มีจิตมาร่วมด้วย กล่าวคือ เทพองค์นั้นมีวิชชามโนมยิทธิ เนรมิตกายทิพย์อีกกายหนึ่งลงมาครอบขันธ์คนผู้นั้นไว้ แล้วใช้จิตบังคับกายทิพย์นั้นๆ ทำให้คนผู้นั้นมีอาการเหมือนถูกสิงได้ เรียกว่าการเข้าทรงนั่นเอง จากนั้น คนผู้นั้นก็ได้รับพลังพิเศษจากเทพนั้นๆ ให้ทำกิจต่างๆ ได้มากกว่าคนปกติ นี่คือ ลักษณะของวิญญาณหรือกายทิพย์ที่ลงมาครอบขันธ์มนุษย์ ในอีกกรณีหนึ่งคือ การฝึกดับขันธปรินิพพาน หรือการทำสมาธิสลายวิญญาณขันธ์ทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย ทำให้สามารถลบล้างชาติภพที่ก่อกรรมไว้ ได้ด้วยการสลายกายทิพย์ที่เกิดจากกรรมในชาตินั้นๆ ทำให้กายทิพย์ลดจำนวนลง ซับซ้อนน้อยลง จนในที่สุด จิตบริสุทธิ์เหลือแต่กายทิพย์ที่เป็นธรรมกาย


ตัวอย่างคุณลักษณะของของทิพย์ประเภทต่างๆ

ของทิพย์ ก็มีลักษณะคล้ายของใช้ของมนุษย์ที่เกิดจากธาตุสี่ แต่ของทิพย์เป็นพลังงาน ตาเปล่ามองไม่เห็น เป็นของที่เทวดาใช้กัน เพื่อการดำรงอยู่ในแบบเทวดา เช่น พระขรรค์ทิพย์, จักรทิพย์, ลูกแก้วทิพย์ ฯลฯ ของทิพย์เหล่านี้มีอะไรบ้าง มีที่มาอย่างไร ดังนี้


๑)   จักรทิพย์

ในกายทิพย์ของนักปกครองบางท่าน จะมี จักรทิพย์ ที่ได้รับโดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อันเนื่องมาจากการทำคุณงามความดีแก่สัตว์โลกได้ เช่น ในกรณีที่นักปกครองกล้าหาญที่จะปฏิรูปประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะต้องปราบมาร อภิบาลคนดี หลายครั้งที่ได้รับ จักรทิพย์มาอยู่ในกายทิพย์ เพราะการบำเพ็ญเพียรนั้น ทำให้มีความสามารถพิเศษในการปราบมาร ปราบอสูร หรือคนเลวร้ายต่างๆ คนที่ทำคุณไสย มีอสูรช่วยใช้งาน หลายครั้ง พ่ายแพ้ภัยตนเอง เพราะนักปกครองเหล่านี้ มีพลังจากจักรทิพย์เหล่านี้ปกป้องอยู่นั่นเอง การที่จะจัดการนักปกครองที่มีจักรทิพย์ลงได้ ต้องจัดการจักรทิพย์นี้เสียก่อน ทำให้ฤทธิ์อำนาจลดลง แล้วก็สามารถจัดการได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สามารถปราบและต่อสู้จนถึงแก่ชีวิตได้โดยไม่ต้องมีสงครามให้ลำบากผู้คน ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ซึ่งจะดีกว่าการใช้ฤทธิ์อำนาจทางการทหาร อนึ่ง จักรทิพย์นี้ เป็นสิ่งที่ภูตผีปีศาจ เกรงกลัวกันมาก เพราะสามารถใช้ฆ่าภูตผีปีศาจได้ และสามารถฆ่าได้ถึงเทวดา เช่น หากมีเทวดามาร มาช่วยศัตรูเรา เราก็สั่งใช้จักรทิพย์ไปตัดคอเทวดามารได้ ซึ่งจะส่งผลให้เราต้องรับกรรมปานาฯ ไปด้วย


๒)   ธรรมจักรทิพย์

พบในพระสงฆ์ที่บำเพ็ญเพียรขั้นสูง เช่น พระลามะ, พระโพธิสัตว์ หลายครั้ง ท่านไม่ได้ตำแหน่งใหญ่โตทางการเมืองก็ดี ทางพุทธจักรก็ดี ทางโลกก็ดี ไม่อาจเข้าใจท่าน ไม่เห็นปัญญาของท่าน ธรรมจักร อันมีความเป็นทิพย์ก็บังเกิดขึ้นด้วยผลจากการบำเพ็ญบารมี ขับเคลื่อนพุทธจักร ให้ดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องได้มรรคได้ผลแท้จริง บางครั้ง ธรรมจักรทิพย์ก็ได้รับเพราะมีเทพเทวดาที่มีธรรมจักรทิพย์มอบให้ มาไว้ในกายทิพย์ของพระสงฆ์รูปนั้น เพื่อช่วยปกป้องกันภัย และช่วยในการบำเพ็ญบารมี ที่อาจต้องพบกับเหล่ามารอสูร พวกเล่นคุณไสย ฯลฯ ก็จะรอดปลอดภัย ธรรมจักรอันเป็นทิพย์นี้ พบได้ในพระสงฆ์มากกว่าปุถุชน ในปุถุชน คนใดมีธรรมจักรทิพย์ มักเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิด แต่บ้างก็ไม่ใช่โพธิสัตว์ แต่มาฝึกจิตจนได้ธรรมจักรทิพย์ก็มี คุณสมบัติของธรรมจักรทิพย์คือ สามารถขับสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายได้ เช่น คุณไสยที่มีผู้ทำใส่เรา ก็สามารถหมุนธรรมจักรสลัดออกได้ง่าย ทั้งยังสามารถหมุนธรรมจักรทิพย์ดูดเข้า ดึงเอาพลังงานที่ดีงาม พลังทิพย์ต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย


๓)   ลูกแก้วทิพย์

ลูกแก้วทิพย์ พบมากในพญานาค พวกพญานาคเมื่อบำเพ็ญตบะมากแล้ว จะรวมพลังจิตเป็นรูปลูกแก้ว เรียกว่าลูกแก้วพญานาค อันเป็นทิพย์ มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น ในบางกรณี พญานาคมีร่างกายเนื้อเป็นสัตว์เดรัจฉาน สามารถใช้ธาตุสี่ในร่างกายสร้างลูกแก้วที่เกิดจากธาตุสี่ขึ้นมาได้ เพื่อประจุพลังทิพย์เข้าไว้ แล้วคายลูกแก้วพญานาคออกมาเก็บไว้ เพราะหากมีลูกแก้วอยู่ในกายมากเกินไป ก็จะรู้สึกอึดอัดทำการใดก็ลำบาก ลูกแก้วที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญต่างกัน ก็มีลักษณะและคุณประโยชน์ต่างกัน เช่น ลูกแก้วพญานาคบางชนิดสีแดง, เขียว, ส้ม, น้ำเงิน ฯลฯ แต่ละสีก็มีคุณสมบัติต่างกันไป เช่น คงกระพัน, แคล้วคลาด, เมตตามหานิยม ฯลฯ ตามการบำเพ็ญนั้นๆ ในคนสามารถบำเพ็ญเพื่อสร้างลูกแก้วทิพย์ในร่างกายได้ แล้วอัดพลังลงในลูกแก้วที่เกิดจากธาตุสี่ เช่น ลุกแก้วที่เอาแก้วมาหลอมไว้ ก็ได้ เมื่ออัดพลังลงแล้ว ลูกแก้วนั้นก็จะมีคุณสมบัติตามที่ลูกแก้วทิพย์มี สามารถมอบให้แก่ผู้อื่นได้เช่นกัน


๔)   พระขรรค์ทิพย์

บางครั้ง คนสร้างวัตถุจำลองเป็นรูปพระขรรค์ แล้วอัดพลังทิพย์ หรือปราณ ลงไปในพระขรรค์จำลองนั้น พระขรรค์จำลองนั้นก็มีความเป็นทิพย์อยู่ภายใน มีคุณสมบัติตามพลังปราณที่อัดลงไป ประจุลงไปนั้นๆ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ทำให้พระขรรค์มีความศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผีสางเทวดาเกรงกลัว เป็นต้น พระขรรค์ทิพย์บางชนิด นอกจากจะมีพลังอยู่อาศัยในวัตถุธาตุจำลองแล้ว ยังสามารถเคลื่อนตัวตามเจ้าของไปได้อีกด้วย เช่น ในขณะถอดกายทิพย์ออกไป แล้วพบศัตรู พระขรรค์ทิพย์บางชนิดสามารถปรากฏเป็นอาวุธให้แก่ผู้นั้นได้อีกด้วย อนึ่ง พระขรรค์ทิพย์เป็นอาวุธอันเป็นทิพย์ใช้ในการเข่นฆ่ากันกับเทวดา จึงนำมาซึ่งกรรม มากกว่าบุญ ปกติ มนุษย์ไม่ใช้กัน นอกจากจะเป็นเทวดาที่ต้องต่อสู้กับคู่อริบนสวรรค์ หรือการปลุกเสกเพื่อให้แก่เทวดาประจำตัว, พระภูมิเจ้าที่ ให้ช่วยเหลือคน เป็นต้น


๕)   ตาทิพย์

ตาทิพย์มีลักษณะเหมือนอวัยวะ อวัยวะหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของอันเป็นทิพย์ จึงมักติดอยู่กับกายทิพย์เสมอ ในส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น บริเวณจักระที่หกด้านหน้า หรือระหว่างคิ้ว เยื้องขึ้นบนเล็กน้อย แต่ตาทิพย์ ก็สามารถมีปรากฏได้ทั่วกายทิพย์ เช่น บนฝ่ามือ, บนหลัง, ด้านหลังของศีรษะ ฯลฯ บางท่านฝึกเต๋า สามารถฝึกให้รูขุมขนกลายเป็นตาทิพย์ทั้งหมดก็สามารถทำได้ บางท่านฝึกตาทิพย์ด้านหน้าเพื่อดวงตาเดียว แต่มีกำลังในการหยั่งรู้สูงมากก็มี เช่น มองเห็นทะลุได้ทุกสิ่ง มองเห็นไกลได้ตาใจปรารถนา มองเห็นสิ่งใด เห็นเหตุผลได้จากอดีตถึงอนาคต ฯลฯ ตาทิพย์แต่ละท่าน มีคุณสมบัติไม่เท่ากัน มีความสามารถไม่เท่ากัน บ้างมองเห็นของทิพย์ บ้างมองเห็นธรรม บ้างมองเห็นอนาคต อดีต ของผู้อื่นได้ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญมาอย่างไร


ความสัมพันธ์ของพลังทิพย์และของทิพย์

กายทิพย์สามารถดึงดึงพลังทิพย์เข้ามาในร่างกายได้เพื่อสร้างของทิพย์ขึ้น เช่น ในกลุ่มนาค สามารถนั่งสมาธิดึงดูดพลังวัตรไว้ที่ท้องสะสมจนเกิดดวงแก้วอันเป็นทิพย์ได้ พบในกลุ่มนักปฏิบัติธรรมสายธรรมกาย ที่เน้นเพ่งดวงแก้วธรรมกายด้วย นอกจากนี้ กายทิพย์ของบางท่านมีความแข็งแกร่งถึงขนาดย่อยสลายของทิพย์ได้ด้วย เช่น เมื่อถูกคุณไสยเป็นเข็มทิพย์ แทงในท้อง สามารถใช้กายทิพย์ย่อยสลายเข็มทิพย์ที่แทงอยู่ในท้องได้ ดังนั้น ยังคงเป็นไปตามหลัก สสาร ที่แปรเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพลังงานที่แปรเปลี่ยนเป็นสสารได้ (ตามหลักฟิสิกส์ของไอน์สไตน์) ซึ่งเครื่องเปลี่ยนในที่นี้คือ กายทิพย์ โดยเฉพาะกายทิพย์ของสัตว์กึ่งเทพ เช่น นาค ที่มีความเป็นกึ่งกลางระหว่างความเป็นทิพย์และความเป็นกายเนื้อธาตุสี่ มีผู้ค้นพบว่า พระธาตุหลายครั้ง สามารถหายไป ลดลง หรือเพิ่มจำนวนได้ งอกได้ เป็นต้น นี่คือ พลังทิพย์ที่อยู่ในพระธาตุ ที่แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุธาตุนั่นเอง ปรากฏการณ์เช่นนี้ พบได้ในวัตถุธาตุหลายชนิด เช่น เหล็กไหลที่งอกเองได้ เป็นต้น อันของทิพย์และพลังทิพย์เหล่านี้ อันที่จริง อยู่นอกเหนือความจำเป็นในการดำรงชีพของมนุษย์ แต่มนุษย์จำนวนมาก ต้องการสิ่งที่เกินจำเป็นนี้เสมอ พวกเขาหลายๆ ครั้งใช้วัตถุธาตุสี่ เพื่อการประหัตประหารกัน เช่น การใช้ระเบิดทำลายล้างกัน การเรียนรู้ที่จะใช้พลังทิพย์ ที่ย่อยสลายง่าย ไม่เหลือเศษวัตถุธาตุสี่อันเป็นอันตราย เช่น ขยะ, เศษปฏิกรณ์ปรมาณู ฯลฯ จึงน่าจะเป็นทางออก ให้มนุษย์ที่ยังมีความทะยานอยากได้เลือกใช้ อย่างเหมาะสม อย่างน้อย แม้พวกเขาจะถูกอวิชชาครอบงำ ไม่สามารถละวางได้ และต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อโลกมากนัก เมื่อเทียบกับการใช้วัตถุธาตุสี่เข้าประหารกัน ดังนั้น สงครามนิวเคลียร์ และสงครามอวกาศ จึงเป็นอันตรายต่อโลกมาก โลกยังต้องเป็นที่บำเพ็ญของลูกหลานในอนาคตอีกมาก จะให้ถูกทำลายไปไม่ได้ พวกเขาจึงควรหาทางประหารกันด้วยวิธีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก เช่น การฆ่ากันด้วยอาวุธทางจิตวิญญาณ ซึ่งจะดีกว่า แม้เราไม่อาจห้ามเขาไม่ให้ฆ่ากันได้ แต่เราก็ปกป้องโลกนี้ให้ยืนยาวนานได้ บทความฉบับนี้ ล่อแหลมต่อการปฏิบัติผิดทางก็จริง แต่เชื่อว่าไม่ผิดปกติของกลียุค ที่จะเผยแพร่บทความเช่นนี้


โดย physigmund_foid

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง