เปิดตำนาน...เทพเจ้าองค์แรก พระศิวะ...มหาเทพแห่งจักรวาล




พระศิวะ คือผู้เป็นเจ้า มีอำนาจในการทำลายทุกสรรพสิ่ง หยั่งรู้ถึงจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน เป็นผู้ประสานพลังแห่งจักรวาล เป็นที่เกรงกลัวแก่อสูรและสิ่งชั่วร้าย เป็นผู้อยู่เหนือเหล่าโยคี เทพเทวา และภูติ พระองค์คือเทพแห่งการถือพรต และเป็นเป้าหมายอันสูงสุดแห่งการปฏิบัติธรรมของไศวะนิกาย

พระศิวะ ทรงให้การคุ้มครองแก่ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้อุทิศตนเพื่อสังคม ผู้ที่หมั่นทำบุญทำทาน ผู้ที่ปฏิบัติโยคะเพื่อความหลุดพ้น ทรงพอพระทัยผู้บำเพ็ญตบะด้วยความพากเพียร พระองค์ทรงพาเหล่าสรรพสัตว์ข้ามไปสู่ภพที่ปราศจากซึ่งกิเลสตัณหา 

การปฏิบัติการบูชาและตั้งจิตระลึกถึงพระศิวะ จะช่วยให้พ้นจากกิเลส พ้นจากการยึดติดในอบายมุข สิ่งมัวเมาทั้งหมด ทรงประทานสติปัญญาในการดำรงชีวิตร่วมกับสัตว์โลก ประทานอำนาจเหนือศัตรู ทรงบันดาลพรให้ประสบความสำเร็จในกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนประทานการหยั่งรู้ในพลังลึกลับ พระองค์มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมเหล่าภูติให้กระทำสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้บูชาพระองค์อย่างเคร่งครัด

การบูชาพระศิวะโต๊ะ หรือแท่นบูชา สามารถประดิษฐานร่วมกับเทพองค์อื่นๆได้ เช่น พระพรหม พระวิษณุ ศิวลึงค์ หรือครอบครัวของพระองค์ คือ พระแม่อุมา พระแม่กาลี พระแม่ทุรคา พระพิฆเนศ พระขันทกุมาร

ควรปูโต๊ะหรือแท่นบูชาด้วย ผ้าสีขาว สีแดง สีเงิน โดยเฉพาะ ผ้าพิมพ์ลายหนังเสือ (หนังเสือเทียม) ท่านจะโปรดมาก แท่นหรือโต๊ะควรเป็นลายไม้ธรรมชาติ หรือทาสีด้วย สีดำสนิท สีแดง สีเงิน โดยไม่มีลายสีทอง (พระองค์ไม่โปรดสัญลักษณ์ที่สื่อถึงทองคำ เนื่องจากพระองค์ปฏิบัติโยคะอย่างสูงสุด มีความสมถะ เรียบง่าย)

เครื่องสังเวย ของถวาย
น้ำดื่ม นมสด (จืดหรือหวาน ไม่ปรุงแต่งกลิ่นหรือสี)

ดอกไม้ 
สามารถใช้ดอกดาวเรือง ดอกบัว ดอกกุหลาบ ดอกไม้ป่าต่างๆ ทุกสี ทุกพันธุ์

กำยาน กลิ่นจันทน์ กลิ่นดอกบัว กลิ่นสมุนไพรและพรรณไม้ต่างๆ

ผลไม้ ควรถวายผลไม้ที่มีกลิ่นหอมโชยอ่อนๆ รสชาติอ่อนๆ ไม่เปรี้ยวจัด ไม่หวานจัด หรือขมจัดเกินไป ผลไม้ไม่ควรปอกเป็นคำๆ ควรถวายทั้งเปลือก หรือเป็นลูกๆ เช่น กล้วยทั้งหวี (แต่มะพร้าวจะต้องผ่าหรือเทใส่แก้ว)

ขนม เช่นเดียวกับเทพทุกองค์ คือ ถวายขนมรสหวาน มีกลิ่นหอม ห้ามถวายอาหารคาวและเนื้อสัตว์ 

ธัญพืช เช่น งา ลูกเดือย ข้าวตอก ใบมะตูม หญ้าคา เผือก มัน ถั่วฝัก เมล็ดถั่ว เมล็ดข้าว เมล็ดบัว พริกไทย เครื่องเทศต่างๆ


คาถา บทสวดมนต์บูชาพระศิวะ

อย่าลืม : ก่อนการสวดบูชาพระศิวะนั้น จะต้องสวดมนต์ต่อพระพิฆเนศก่อนเสมอ


บทสวดมนต์พระศิวะมีอยู่มากมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
(เลือกสวดบทใดบทหนึ่งหรือหลายๆบท) 


1. โอม นะมัส ศิวาย

2. โอม นะมัส ศิวายะ

3. โอม นะมัส ศิวายะ นะมะฮา

- บทอัญเชิญ

4. โอม อิศราเม ศิวะเทวัญจะ ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ อิศราเม ศิวะเทวัญจะ ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ อิศราเม ศิวะเทวัญจะ ภะวันตุเม

5. โอม กรรมปูระเคารัม กรุณาวะตารัม
สัมสาระสารัม ถุชะเคนทะระหารัม
สะทะวะสันตัม หฤทะยาระวินเท
ภะวัมภะวานี สาหิตัม นะมามิ



- บทสรรเสริญ
6. โอม นะมัส ศิวายะ
จำเป นะเคารา นะสีระกายายะ
กัตตะปูระณะ กาวะนะสี จะกายอ
นะมัสสิ วายะยายะ จะนะมัสสิ วายะยอ
กัตุกรี คิกากัง คะมะติวัตติตายายะ
มะมิกุณธะลายอ นะมัสสิวายายะ จะนะมัสสิวายา
อะระคัม สัมปุญญัม สีวิรุส
ตะไรยยะเก กาเม จะมะเหยะเต



- บทสรรเสริญพระศิวะ ผู้คืออักขระ 5 ตัว
"นะ-มะ-ศิ-วา-ยะ" แบบโศลก 5 บท

- ภูเขาไกรลาสและห้วงสมุทรสีทันดร
ธุดงค์ไปยังเขาไกรลาส ยาตราไปกับนักแสวงบุญทั้งหลาย




พระศิวะ (คนไทยเรียกว่า พระอิศวร) เป็นบิดาของ พระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อุมาเทวี พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล หนึ่งใน ตรีมูรติ หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ)

พระองค์ทรงประทานพรวิเศษให้แก่ผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์ก็จะประทานพรนั้นๆให้ แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงาม ผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพจะเป็นผู้ทำลายทันที!!
มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้น สามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์นัก!! หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้ากระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน
พระองค์เป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ด้วยเช่นกัน

พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความ
อุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ และอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุข หากบวงสรวงบชาพระศิวะ...
นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไป จากบทบาทของการเป็นมหาเทพ ผู้ทรงมีพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวลมนุึ์ษย์นั้น พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วย

พระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง
พระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าเป็นทั้งชาย เป็นทั้งหญิง เป็นทั้งผู้ใจดี เป็นทั้งผู้ดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลี ไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด
ใน คัมภีร์อุปนิษัท ของฮินดู การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า "ศิโวมฺสวหะ" (ข้าคือศิวะ) หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุกๆคน ควรพิจารณาถึงตัวเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งสิ้น เมื่อคิดระลึกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุขความสงบ

กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้
ยุคพระเวท
เรื่องก็มีอยู่ว่า พระพรหม นั้น เกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนัก ที่พระเสโทหรือเหงื่อผุดซึมทั่วพระวรกาย และยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่น เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้น ก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูดๆ ที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์ จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมา และหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง
ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิง ก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์ เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานนามให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานให้ถึง 8 นามด้วยกันดังนี้
ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ
หลังจากนั้น เทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ ในนามของพระรุทร อันเป็นชื่อ หนึ่งใน 8 นาม ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ สำหรับนามอื่นๆ อีก 7 นามนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก
ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้ เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจัง โดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้พระพรหมสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่

ยุคมหากาพย์ มหาภารตะ
ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของ พระพรหม จึงเท่ากับว่า พระศิวะ ก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของ พระพรหม

ยุคไตรเภท

คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจาก พระนางสุรภี และพระบิดาก็คือ พระกัศยปะเทพบิดร
คัมภีร์พรหมมานัส
พระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจาก พระประชาบดี มิได้เกิดจากพระโลหิตของ พระพรหม ดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา
พระรุทร หรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น จึงได้ทูลตอบว่า เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อ ให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า พระรุทรซึ่งหมายถึงการร้องไห้ และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง
ในคัมภีร์โบราณ ที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณ ได้อธิบายถึงประวัติการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่า เมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น ได้มี คัมภีร์พระเวทและพระธรรม บังเกิดขึ้น และเมื่อพระเวทกับ
พระธรรมมาประชุมรวมกัน จึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ พระปรเมศวร ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง หลังจากการทำลายล้างโลก โดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด


รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีปรากฏมากมายหลายลักษณะด้วยกัน แต่จุดเด่นที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะก็คือ รูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาดวงที่ 3 บนหน้าผาก สร้อยประคำที่เป็นหัวกะโหลก และงูที่คล้องพระสอหรือคอของพระองค์อยู่นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
เล่ากันว่า ที่มาของงูพิษที่พระศิวะทรงคล้องคอไว้ประดับองค์ เป็นเอกลักษณ์พิเศษนั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะพระองค์ไม่ได้ไปจับมาจากพงหญ้าป่าใหญ่ที่ไหน แต่มีผู้ส่งมามาให้พระองค์โดยเฉพาะ คนผู้นั้นก็คือนักบวช นักบวชผู้นี้มีภรรยาหลายคน แต่บรรดาภรรยาของเขาเกิดมาหลงใหลในเสน่ห์อันล้ำลึกขององค์พระศิวะ
ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นักบวชจึงส่งเสือร้ายตัวโตไปจัดการสังหารพระศิวะ แต่ว่าพระศิวะกลับเป็นฝ่ายพิชิตเสือ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสบายๆ แถมยังฉีกเอาหนังสือมาเป็นที่ปูพื้นไว้รองนั่งอีกด้วย


เมื่อส่งเสือมาไม่ได้ผล นักบวชผู้เคียดแค้นแสนริษยา ก็ส่งอสรพิษร้ายตัวใหญ่มาจัดการพระศิวะ แต่อสรพิษร้ายกับถูกพระศิวะร่ายเวทมนต์สยบเอาไว้ได้โดยที แล้วพระองค์ก็จับเอางูพิษนั้นมาคล้องคอ เป็นเครื่องประดับสุดพิสดารไม่ซ้ำใคร
นักบวชผู้ไม่ยอมแพ้ยังคงคิดลองของ ส่งอสูรร้ายมาสังหารพระศิวะในเวลาต่อมา และพระศิวะก็ทรงสยบอสูรร้ายตนนั้นได้ด้วยท่าทีลีลาร่ายรำอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งสะท้านสวรรค์สะเทือนเดิน แม้แต่บรรดาทวยเทพทั้งปวง ก็พากันมาเคารพนบนอบยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมหาเทพองค์นี้ 

มหาเทพองค์อื่นๆนั้น ก็ล้วนแล้วแต่รูปลักษณ์มากมายหลายรูปที่แตกต่างกันไป แต่ในรูปที่แตกต่างนั้นก็จะมีส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกันบ้าง ในรายละเอียดของสีพระวรกายหรือสิ่งของที่ทรงถือไว้ในพระหัตถ์
แต่สำหรับพระศิวะนั้น กล่าวได้ว่า รูปลักษณ์ของพระองค์ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สามารถสังเกตได้ง่าย ไม่สบสนเหมือนกับจดจำรูปลักษณ์ของมหาเทพองค์อื่นๆ

พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีล ดังนั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องแบบที่ค่อนข้างติดดิน เป็นต้นว่า ทรงแต่งองค์คล้ายๆ พวกโยคะหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วม่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ ทรงนุ่งห่มด้วยหนังกวางบ้าง หนังเสือบ้าง
คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป บางคัมภีร์ระบุว่า พระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟหรือโลหิต
บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร
แต่หลายๆคัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร 3 ดวง ดวงที่ 3 นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าผากขององค์โดยปรากฏเป็นดวงตารูปแนวนอนบ้าง รูปตั้งทรงพุ่มช้างบิณฑ์บ้าง และดวงตาที่3 นี้สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้อีกด้วย รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละปาง

ปางต่างๆของพระศิวะ

ปางจักราธนมูรติ 
(วิษณุวาณุครหมูรติ)
อันเนื่องจาก พระวิษณุเทพ ได้ทำสงครามกับอสูรบนสวรรค์ และเกิดความเพลี่ยงพล้ำไม่อาจชนะฝ่ายอสูรได้ จึงได้ทำพิธีบูชาพระศิวะเทพขึ้น ซึ่งได้บูชาด้วยดอกบัววันละ 1,000 ดอกทุกวัน จนวันหนึ่งหาดอกบัวไม่ได้พระวิษณุเทพจึงควักลูกตาของตนเพื่อถวายบูชาแก่องค์ศิวะเทพ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงประทานลูกล้อ หรือ จักรหินสัญลักษณ์ของพระศิวะเทพเพื่อให้เป็นอาวุธของพระวิษณุต่อไป
ปางนนทิศานุครหมูรติ
สรังคยานะ เกิดมาไม่มีบุตรสืบสกุล จึงไปขอพระเป็นเจ้า วิษณุเทพได้ประทานบุตรมาให้ตน ด้วยพอใจการบวงสรวงบูชาของฤาษี บันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เด็กถือกำเนิดจากสีข้างของพระองค์ ทารกนี้รูปร่างเหมือนพระศิวะ ทรงพระราชทานนาม นนทิเกศวร นนทิเกศวรได้พรจากพระศิวะ ต่อมานนทิได้นำพิธีทรมานร่างกายบน ยอดเขามันธระ เพื่อให้เข้าถึงพระศิวะเจ้า พระศิวะเทพโปรดปรานมาก ทรงปรากฏตัวให้เห็นและรับเอาฤาษีนนทิเป็นหัวหน้ามหาดเล็กรับใช้อยู่ที่เขาไกรลาศ ทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพบุตรนนทิเกศวร ส่วนพระชายาของเทพบุตรพระองค์นี้คือ นางสุยาศุบ้างก็ว่า เทพบุตรพระองค์นี้ตัวเป็นมนุษย์ หัวเป็นโค
ปางกิรทารชุนมูรติ 
ท้าวอรชุน (ในมหากาพย์ภารตะ) ทำพิธีบูชาพระศิวะเพื่อขอประทานลูกธนูศักดิ์สิทธิ์ให้ตนเพื่อไปยิงอสูร ท้าวอรชุนได้บวงสรวงอยุ่ที่เขาไกรลาศ พระศิวะใช้มายาแปลงเป็นหมูป่าเข้าทำร้ายพราหมณ์หนุ่มและท้าวอรชุน พราหมณ์หนุ่มต้องการยิงหมูป่า อ้างว่าตนเห็นก่อน แต่ท้าวอรชุนไม่ยอม บอกว่าตนต่างหากที่เห็นก่อนจากนั้นทั้งคู่ก็เลยต้องเดิมพันด้วยการต่อสู้กันก่อน ไม่ว่าท้าวอรชุนจะใช้อาวุธใดก็มีอาจทำร้ายพราหมณ์หนุ่มได้ จนเมื่อท้าวอรชุนทรุดตัวลงกราบ พระศิวะพอพระทัยมอบลูกธนูวิเศษให้ไปปราบอสูร
ปางราวันนานูครหมูรติ
ทศกัณฐ์ เจ้าเมืองลงกา หลังจากทำสงครามกับ ท้าวกุเบร ได้เสด็จผ่าน เทือกเขาหิมาลัย เห็นว่ามีทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ ตั้งใจจะเข้าไปชมสถานที่ แต่เจอ นนทิเกศวร หัวหน้ามหาดเล็กของพระศิวะเทพขวางทางไว้ เพราะ เขาไกรลาศ เป็นที่ประทับของพระศิวะเทพและ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) ห้ามผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน ทศกัณฐ์โกรธมาก จึงขู่อาฆาตและสาปแช่งว่า นนทิต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง แต่นนทิเกศวรบอกว่า ทศกัณฐ์ต่างหากที่ต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง ด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุด ทศกัณฐ์เตรียมจะยกเขาไกรลาศขึ้นทุ่ม แค่โยกเขาด้วยอิทธิฤทธิ์เท่านั้น บรรดาเทวดาและมนุษย์ก็เดือดร้อนหนีกันจ้าละหวั่น พระนางปราวตีได้ทูลขอให้พระศิวะให้แก้สถานการณ์ ทรงใช้เท้าเหยียบที่พื้นลงเบาๆ เพื่อให้เขาไกรลาศตั้งดังเดิม และทรงปราบพยศอสูรทศกัณฐ์จนยอมศิโรราบ
ปางกาลารีมูรติ
ฤาษีตนหนึ่ง ได้ทำพิธีบูชาสวดมนต์อ้อนวอนขอลูกกับพระศิวะเทพ พระองค์ทรงโปรดการบูชาจึงประทานลูกให้ แต่บอกว่า เด็กคนนี้จะอายุสั้น ฤาษีและภรรยาได้เลี้ยงดูลูกจนอายุ 16 ปี ลูกชายไปได้บวงสรวงต่อพระศิวะระหว่างที่ชะตาถึงฆาตประจวบเหมาะว่า เป็นช่วงที่เด็กคนนี้กำลังบูชาศิวลึงค์อยู่พอดี พระยม-กาลแห่งความตายได้เดินทางจากเมืองนรกมารับตัวเด็กหนุ่ม พระศิวะเห็นดั่งนั้นทรงพิโรธทรงปรากฏกายออกจากศิวลึงค์เข้าเตะพระยม พระยมสู้ฤทธิ์พระศิวะไม่ได้จึงหนีไปพระศิวะประทานพรให้เด็กหนุ่มมีชีวิตเป็นอมตะ
ปางกานันทกามูรติ
ปางนี้คือปางพระศิวะทำลาย เทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพ) เมื่อ พระนางสตี (ชายาอีกพระองค์หนึ่งของพระศิวะ) เผาร่างตนเองไปนั้น พระศิวะเสียพระทัยมาก และเข้าสู่สมาธิเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในที่สุดเมื่อพระนางมาจุติใหม่ โดยแบ่งภาคมาจากพระแม่ศักติ-ศิวา มาเป็นพระนางปารวตี (พระแม่อุมา) กามเทพต้องทำหน้าที่เพื่อให้พระศิวะเกิดความรัก เพื่อจะได้มีบุตรในการไปปราบอสูรชื่อ ทาราคา ในที่สุดเมื่อทุกอย่างสำเร็จ ทรงมีโอรสขึ้นมาคนหนึ่งชื่อ ขันธกุมาร (หรือ กาติเกยะ หรือ กุมารา หรือ สุภามันยะ อันเป็นพี่น้องแห่งพระพิฆเนศนั่นเอง) เพื่อไปปราบอสูรทาราคาให้สิ้น
ปางอรรธนารีศวร (ครึ่งพระศิวะ ครึ่งพระแม่อุมา)
ปางนี้เป็นปางครึ่งหญิงครึ่งชายในรูปลักษณ์ทางประติมกรรมนั้น จะแบ่งซีก ระหว่างพระศิวะกับพระอุมา ปางนี้ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรก ครั้งเดียว ในสมัยการสร้างจักรวาล กล่าวคือ พระพรหมได้รับภารกิจให้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวไม่มีกำลังในการขยายเผ่าพันธุ์ในโลกใด้ ครั้งจะสร้างเพศหญิงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาแบบอย่างมาจากไหน พระพรหมจึงต้องบวงสรวงมหาเทวาธิเทวะ มหาเทวะ ศิวะเทพ เพื่อให้เสด็จมาแก้ปัญหาที่ค้างคาใจอยู่ พระพรหมบวงสรวงจนเป็นที่พอใจก็เลยเสด็จมา นับเป็นครั้งแรกที่มาในปางอรรธนารีศวร เพศหญิงและเพศชายที่รวมกันอยู่ในร่างเดียวกัน ทำให้พระพรหมเข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่นี้ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่



เมล็ดรุทรักษะ เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
ในครั้งหนึ่ง องค์มหาอุมาเทวี ได้ทูลถามองค์ พระศิวะ ถึงความสำคัญของเมล็ด รุทรักษะ ซึ่งองค์พระศิวะและเหล่าคณะปติ คณะบริวารของศิวะได้ใช้ประดับสวมใส่อยู่

และได้รับทราบถึงคำตอบว่า ในครั้งหนึ่งของการทำสมาธิอันยิ่งใหญ่ ในการเปิดโลกญาณขององค์พระศิวะ เมื่อพระศิวะได้ทรงเห็นความทุกข์ยากลำบากใน การดำรงชีวิตของเหล่ามนุษย์บนโลก ด้วยความเวทนาในชะตากรรม น้ำพระอัสสุชล (น้ำตา) ของพระศิวะจึงได้หยดลงมาบนพื้นโลก ก็ได้บังเกิดเป็นต้นไม้ขึ้น พระศิวะจึงได้อำนวยพรให้กับต้นไม้ที่กำเนิดนั้น โดยให้ถือว่าเป็นต้นไม้มงคล และตั้งชื่อให้ว่า ต้นรุทรักษะ และอำนวยพรให้แก่มนุษย์ที่ได้นำเมล็ดรุทรักษะไปประดับ หรือสวมใส่ด้วยความเคารพรักและสวดบูชาอยู่เป็นนิจ

เมล็ดรุทรักษะ หรือ น้ำตาพระศิวะ นี้ เป็นเมล็ดผลไม้ที่ทรงโปรดแห่งพระศิวะเทพ เป็นสิ่งที่นำความศักดิ์สิทธิ์ ขับไล่บาปทั้งหมดได้ด้วยการได้เห็น ได้สัมผัส และได้ท่องสวด (ลูกประคำ)
จากหยดน้ำตาที่ไหลออกมา ได้เกิดเป็นต้นรุทรักษะขึ้น และได้ออกลูกมาเป็นจำนวนมาก ต้นรุทรักษะเหล่านี้ได้เจริญในดินแดน เกาฑะ, มธุรา, ลังกา, อโยธยา, มาลัย, ภูเขา, สหยะ, แคว้นกาศี และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ มันสามารถจะทำลายบาปให้หมดไปได้
สีสรรต่างๆ แห่งเมล็ดรุทรักษะนั้นมีอยู่ 4 สี คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง และสีดำ ผู้ที่บูชาพระศิวะ จะต้องเลือกสวมใส่เมล็ดรุทรักษะตามวรรณะที่ตนอยู่
เมล็ดรุทรักษะ อันมีขนาดเท่า ลูกสมอ นับว่าเป็นขนาดที่วิเศษที่สุด แม้ว่าเมล็ดจะมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดพุทรา ก็จะได้รับประโยชน์และมีความผาสุกอันยิ่งใหญ่ ไม่มีสร้อยคออื่น หรือพวงมาลัยอื่นใด ที่จะนำความเป็นศิริมงคลและให้ความสำเร็จสมประสงค์ทุกอย่าง เท่ากับการได้สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ จะต้องสวมใส่เมล็ดผลไม้นี้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คือจะต้องร้อยเมล็ดรุทรักษะ 6 เมล็ด เมล็ดไว้บนหูแทนต่างหูทั้งสองข้าง จำนวน 101 เมล็ดจะร้อยใช้แทนสร้อยคอ จำนวน 11 เมล็ดจะสวมไว้รอบแขนที่ซ้ายและขวา , ที่ข้อศอกและที่บั่นเอว ผู้บูชาต่อพระศิวะเทพจะต้องร้อยรุทรักษะสวมเมล็ด กับด้ายสายสิญจ์ของเขา

กฎแห่งพระเวทย์การสวมใส่เมล็ดรุทรักษะในแต่ละวรรณะ
ตามกฎแห่งพระเวทย์ที่ได้รับวางไว้ คือ
สีขาว สำหรับ วรรณะพราหมณ์ (ชั้นนักบวช ผู้สั่งสอน)
สีแดง สำหรับ วรรณะกษัตริย์ (ชั้นการปกครอง บ้านเมือง)
สีเหลือง สำหรับ วรรณะแพศย์ (ชั้นนักค้าขาย ทั่วๆไป)
สีดำ สำหรับ วรรณะศูทร (ชั้นแรงงาน)
ประชากรแห่งวรรณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย ก็สามารถสวมใส่เมล็ดรุทรักษะได้ตามบัญชาของพระศิวะเทพ คนเหล่านั้นที่ได้สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ กระทำการบูชาต่อพระศิวะและประพฤติดีตลอดชีวิต จะไม่ตกสู่นรกแห่งพระยมราชเลย

พระยมราช ได้มีบัญชาต่อบริวารฑูตของพระองค์ว่า "มนุษย์ผู้ใดที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ แม้เพียงเมล็ดเดียวไว้บนศีรษะแล้ว มีการเขียน ตริปุนทรไว้บนหน้าผากและมีการท่องสวมมนต์ 5 พยางค์แล้วจะต้องทำความความเคารพต่อเขาทันที เขาเหล่านี้เป็นบริวารแห่งพระศิวะเทพ และไม่จับกุมหรือทรมานแต่อย่างใด
ตราบนานเท่านานที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ มนุษย์ผู้นั้นจะมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพเจ้าทั้ง 5 พระองค์ (พระอาทิตย์, พระคเนศ, พระแม่ทรุคา, พระรุทระ และพระวิษณุเทพ) และเป็นที่ชอบพอรักใคร่ของเทพทั้งมวลด้วย"

บุคคลใดที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ จะเป็นที่เมตตาของพระศิวะเทพ ชีวิตจะบังเกิดความผาสุขร่ำรวย เป็นอิสระจากบาปทั้งปวง และคนผู้ที่ได้สวดมนต์ 5 พยางค์ (โอม นะมัส ศิวาย) ด้วยแล้วนับว่าได้ปฏิบัติอย่างเสร็จสมบูรณ์แห่งโยคะ และนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง


การภาวนาด้วยลูกประคำ 

มนต์ นั้นเปรียบได้กับพลังแห่งมหาเทพ และ มหาเทวี ที่ทรงประทานอานุภาพของพระองค์ในรูปของอักขระและเสียงที่อำนาจ ดังนั้นการเปล่าเสียงสูงต่ำนั้นถือเป็นกระแสแห่งพลังของการสวดมนต์ภาวนา การสวดมนต์นั้นช่วยในการกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับกิเลส ตัณหา ราคะ และความอยากต่างๆ จนสามารถก่อให้เกิดอำนาจและกระแสพลังอันมหาศาล พลังเหล่านี้นอกจากทำให้จิตสงบ มีสมาธิแล้ว ยังสามารถแปรรูปมาใช้กับหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันได้อีก ฉะนั้นการสวดมนต์ด้วยจิตใจที่สงบเท่านนั้น ย่อในำมาซึ่งอนิสงส์อันยิ่งใหญ่ และเพื่อที่จะเป็นกุศโลบายให้จิตแน่วนิ่งนั้น การกำหนดจิตผ่านลูกประคำถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมและเห็นผลอย่างแพร์หลาย

วิธีการนับประคำนั้น 

จะใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางข้างขวาเท่านั้น ห้ามใช้นิ้วชี้เป็นอันขาด การนับนั้นจะนับจนครบ 108 ลูก แล้วนับย้อนกลับในเม็ดที่ 108 ด้วยถือว่าเป็นลูกที่ 1 ใหม่ ทั้งนี้จะไม่นิยมในการนับข้าม เมรุ (เม็ดยอดสามชั้นที่มีสายร้อยประคำสอดออกมา) การนับนั้น นิยมนับที่บริเวณใกล้หัวใจหรือใกล้จมูก เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของการกำหนดสมาธิ และห้ามอย่างเด็จขาดในการถือลูกประคำต่ำกว่าสะดือของตนเอง ลูกประคำควรเก็บไว้อย่างดี 

ข้อปฎิบัติในการนั้งสวดมนตร์

ควรอาบน้ำ ล้างมือ ล้างเท้า ล้างปากให้สะอาดก่อนทุกครั้ง หากไม่สะดวกในการอาบน้ำ อาจจะแค่ล้าวมือและบ้วนปากให้สะอาดก็ได้ การสวดมนตร์ภาวนานั้น ต้องกำหนดจิตพุ่งตรงไปที่คาถา หรือ มนตร์ในบทนั้นๆ การเปล่งเสียงสวดก็ไม่ควรช้า หรือ เร็จจนเกินไป การสวดมนตร์ นิยมสวดที่หน้าแท่นบูชาเทวรูป หรือถ้าจำต้องสวดในสถานที่ซึ่งไม่มีเทวรูป ให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันออกแทนก็ได้  หลังการสวดมนตร์อย่างแน่วแน่แล้ว จึงค่อยตั้งจิตอธิษฐานขอพร ด้วยจิตที่เชื่อมั่นในเทวานุภาพ 

การอารตี หรือ พิธีบูชาไฟ นั้น ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบูชา ชาวฮินดูถือว่า พิธีกรรมทั้งหลายจะไม่สมบูรณ์หากขาดการบูชาไฟหลังผ่านพิธีดังกล่าว จะวางตะเกียงอารตีไว้หน้าแท่นบูชา แล้งผู้ร่วมพิธีใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง คว่ำลงเปลวไฟในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วนำฝ่ามือนั้นมาแตะที่หน้าผาก ดวงตา และ ใบหู เพื่อเปิดทวารในการรับรู้ซึ่งสัมผัสพิเศษ ขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้หมดไป  หลังเสร็จพิธี ควรตั้งจิตบริสุทธิ์อธิษฐานเพื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตร์ในโลกว่า "โอม ศานติ ศานติ ศานติ" เป็นอันพิธีนั้นผ่านไปโดยสมบูรณ์ทุกปีะการแล้ว

คุณสมบัติเมล็ดรุทรักษะ
1. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะไม่มีไสยเวทย์ ภูตผี วิญญาณร้าย มารบกวน หรือรังควาญ 
2. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ เมื่อเสียชีวิตลงในขณะที่สวมใส่รุทรักษะจะไม่ต้องได้รับการคร่ากุม หรือจับกุมโดยยมทูต เพื่อไปรับโทษในนรก 
3. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะทำให้มีเรื่องเสียใจหรือเศร้าหมองน้อยลง เสียน้ำตาน้อยลง และหากเมล็ดรุทรักษะยิ่งมีขนาดเล็กลงเท่าใด ก็จะยิ่งจะทำให้เสียน้ำตาน้อยลงเท่านั้น 
4. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะสามารถรักษาสุขภาพ ให้ดีและแข็งแรงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคที่ ทางการแพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายเด็ดขาดหรือให้ข้อสรุปที่ชัดเจนได้

พาหนะแห่งพระศิวะ (นนทิ, นันทิ)
โค หรือ วัว ที่มีนามว่า อุศุภราช หรือ โคนนทิ (อ่านว่า โค-นน-ทิ) คือ โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ ซึ่งมีกำเนิดที่ไม่ธรรมดา คือโคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพ่อโค แม่โคเหมือนกับโคอื่นๆ แต่ทว่ากำเนิดเกิดจากมหาเทพเลยทีเดียว

เรื่องมีอยู่ว่าในการ กวนเกษียรสมุทร ครั้งยิ่งใหญ่ของทวยเทพทั้งปวงนั้น ก็ได้มีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งด้วยกัน และ นางโคสุรภี ก็เป็นของของวิเศษอีกสิ่งหนึ่ง ที่ได้จุติขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรครั้งนั้น (รวมถึง พระแม่ลักษมี ก็ถือกำเนิดมาจากเหตุการณ์การกวนเกษียรสมุทรครั้งนี้นี่เอง)
พระกัศยปะ นั้นก็มีความต้องการที่จะได้นางโคสุรภีเอาไว้เป็นพาหนะประจำองค์ แต่ทรงติดอยู่เล็กน้อยที่ว่านางโคสุรภีนั้นเป็นโคเพศเมีย หากนำมาเป็นพาหนะประจำองค์นั้น ก็ทรงอยากจะได้โคเพศผู้เสียมากกว่า

ดังนั้น พระกัศยปะจึงได้นิรมิตกายเป็นพ่อโคตัวผู้ แล้วก็ไปผสมพันธุ์สมสู่กับนางโคสุรภี จนกระทั่งแม่โคตั้งครรภ์และ ให้กำเนิดลูกออกมาเป็นโคเพศผู้สีขาวบริสุทธิ์ และมีลักษณะดีตั้งตรงตำราเป็นพิเศษ พระกัศยปะจึงได้ประทานนามให้กับโคเผือกที่เป็นโอรสนั้นว่า นนทิ หรือ นันทิ และได้ถวายให้เป็น พาหนะประจำองค์ คอยติดตามรับใช้พระศิวะมหาเทพสืบต่อมา



แต่ในบางคัมภีร์นั้น ก็กล่าวถึงประวัติการกำเนิดของโคนนทินี้ แตกต่างออกไป ด้วยกล่าวว่าแต่เดิมนั้น โคนนทิราช หรือ โคอุศุภราช นี้ เป็นเทพบุตรองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ซึ่งเทพบุตรองค์นี้ก็มีนามว่า นนทิ มีหน้าที่เป็นเทพที่คอยคุ้มครองดูแลบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งปวง ที่อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆกับ เขาไกรลาส
และ เทพนนทิ ที่เป็นเทพที่ครองสัตว์จัตุบาททั้งปวงนั้น ก็มักจะนิรมิตองค์เองให้กลายเป็น โคเผือก เพื่อให้ พระศิวะ ได้เสด็จประทับไปยังแห่งหนต่างๆ จนเป็นเสมือนพาหนะประจำพระองค์ไปโดยปริยาย
ซึ่งในคัมภีร์โบราณนั้นยังบันทึกไว้ด้วยว่า เทพบุตรนนทิองค์นี้ ไม่ได้เป็นคู่เทพที่จะมาแปลงกายเป็นโค ให้พระศิวะได้เสด็จประทับเป็นพาหนะเท่านั้นแต่พระนนทิ ก็ยังเป็นหัวหน้าแห่งเทพบริวารทั้งหลายทั้งปวง ของเทพพระศิวะอีกด้วย

บางคัมภีร์กล่าวว่า พระโคนนทิ นอกจากจะเป็นเทพผู้ครองสัตว์จัตตุบาทหรือสัตว์สี่เท้าทั้งมวลแล้ว ยังเป็นเทพที่เป็นนักดนตรีอีกด้วย ยังปรากฏว่าได้เคยร่วมนาฏกรรมรำฟ้อนกับองค์พระศิวะบ่อยๆ โดยรับหน้าที่ตีตะโพนคอยให้จังหวะ ในขณะที่องค์พระศิวะร่ายรำระบำฟ้อน ในวโรกาสสำคัญต่างๆ
พระโคนนทิ ยังมีความสำคัญอีกมากมายที่ทำให้บรรดามวลมนุษย์ที่บวงสรวงบูชาพระศิวะนั้น นิยมบวงสรวงบูชาโคนนทิด้วยโดยยกย่องให้เป็นโคพิเศษ เป็นโคศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์แห่งพระศิวะมหาเทพ

บางคัมภีร์กล่าวว่า พระโคนนทิ นอกจากจะเป็นเทพผู้ครองสัตว์จัตตุบาทหรือสัตว์สี่เท้าทั้งมวลแล้ว ยังเป็นเทพที่เป็นนักดนตรีอีกด้วย ยังปรากฏว่าได้เคยร่วมนาฏกรรมรำฟ้อนกับองค์พระศิวะบ่อยๆ โดยรับหน้าที่ตีตะโพนคอยให้จังหวะ ในขณะที่องค์พระศิวะร่ายรำระบำฟ้อน ในวโรกาสสำคัญต่างๆ
พระโคนนทิ ยังมีความสำคัญอีกมากมายที่ทำให้บรรดามวลมนุษย์ที่บวงสรวงบูชาพระศิวะนั้น นิยมบวงสรวงบูชาโคนนทิด้วยโดยยกย่องให้เป็นโคพิเศษ เป็นโคศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์แห่งพระศิวะมหาเทพ

ดังนั้นการที่ชาวฮินดูไม่นิยมฆ่าวัวก็เป็นเพราะเคารพยกย่องและบูชาโคนนทิ ซึ่งเป็นโคศักดิ์สิทธิ์สำหรับมวลมนุษย์นั่นเอง ตามเทวาลัยหลายๆ แห่งของลัทธิไศวนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด) ก็จะปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของวัวนนทิไว้ให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มาสักการะบูชาด้วย





ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย  



          โอม บรเมศวราย ผายผาหลวงอะคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทร์เป็นปิ่น ทรงอินทรชฎา สามตาพระแพร่ง แกว่งเพชรกล้า ฆ่าภิฆจรรไร                                       ลิลิตโองการแช่งน้ำพิพัฒน์สัจจาของโบราณ
          คนไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนา แต่ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์หลายพิธีก็ยังมีศาสนาพราหมณ์มาผสมผสานอยู่ด้วย เช่น พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีแรกนาขวัญ พระราชพิธีโสกันต์ และพิธีขึ้นระวางและสมโภชพระยาช้างต้น ฯลฯ ซึ่งจะมีการกล่าวอัญเชิญเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์มาร่วมพิธีด้วย


          พระอิศวร หรือพระศิวะ เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในบรรดาเทพเจ้าทั้งสามของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งประกอบด้วยพระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม แต่ละองค์จะมีคุณลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไปและมีผู้นับถือองค์ใดองค์หนึ่งตามความเชื่อของตน

          ประวัติของพระอิศวรมีเรื่องราวพิสดารแตกต่างกันหลากหลาย เช่น ในบางตำนานกล่าวว่าพระอิศวรเป็นบุตรของพระกัศยปกับนางสุรภี บางตำนานกล่าวว่าพระอิศวรเกิดจากพระนลาฏของพระพรหม บางแห่งก็ว่าเกิดจากพระพรหมบำเพ็ญตบะเสโทไหล และได้เอาไม้ขูดที่ขนง ฉวีถลกโลหิตหยดไหลลงไปในไฟ บังเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่งขึ้นมานามว่ารุทร หรือพระศิวะนั่นเอง และที่เชื่อกันมากที่สุดก็คือตำรับที่ว่า เมื่อไฟบรรลัยกัลป์ได้เผาผลาญล้างโลกหมดสิ้นแล้ว พระเวทย์และพระธรรมได้มาประชุมกัน และสร้างพระอิศวรขึ้นมาสร้างโลก
          พระอิศวรมีรูปกายสีขาว บางตำรับก็ว่ามีกายสีแดงบ้าง สีกายดำบ้าง มีตาสามตา ตาที่สามอยู่ตรงหน้าผากและเมื่อใดที่ลืมตาดวงนี้ จะบันดาลให้เกิดไฟบรรลัยกัลป์แผดเผาทุกสิ่งที่ขวางหน้า เหนือตาที่สามเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีกมีเกศามุ่นเป็นชฎารุงรัง นัยว่าเพื่อทรมานพระคงคาที่ต้องไหลผ่านตามเกศานี้ก่อนที่จะไหลมายังพิภพโลก มีประคำกะโหลกหัวคนคล้องคอ มีสังวาลเป็นงู มีศอสีนิลเนื่องจากเสวยยาพิษนาคราชคราวอสูรและเทวดาร่วมกันกวนน้ำอมฤต มีตรีศูลธนู คทายอดหัวกะโหลกเป็นอาวุธ บางครั้งก็ถือบ่วงบาศบัณเฑาะว์ และสังข์ มีโคเผือกชื่ออุศุภราช หรือนนทิเป็นพาหนะ มีชื่อเรียกมากกว่าพันชื่อตามแต่ลักษณะที่ปรากฏ เช่น นิลกัณฐ์ มเหศวร หรือปรเมศวร จันทรเศขร หรือจันทรเษกระ ภูเตศวร และฑิคัมพร ฯลฯ

          ในประเทศไทยได้พบประติมากรรมของพระอิศวรเป็นจำนวนมากทั่วทุกภาค ไม่แพ้ประติมากรรมประเภทพระพุทธรูปและเทพเจ้าอื่น ๆมีทั้งประเภทที่ทำด้วยสำริดและปูนปั้นชนิดลอยตัวและที่แกะสลักติดอยู่กับศาสนสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนสถานที่สร้างขึ้นในศาสนาพราหมณ์ ส่วนใหญ่จะมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งขอมเรืองอำนาจ สถานที่พบได้แก่ ตามปราสาทหินต่าง ๆ ประติมากรรมรูปพระอิศวรสำริดที่มีชื่อเสียงที่สุดและอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ คือ เทวรูปพระอิศวรสำริด สูง ๒.๑๐ เมตร ประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณกลางห้องโถงชั้น ๒ ของอาคารพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
          เทวรูปพระอิศวรองค์นี้ มีจารึกอักษรไทยที่ฐานพระบาทว่า เจ้าพระยาธรรมาโศกราช เจ้าเมืองกำแพงเพชร ได้หล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๕๓ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ลักษณะเป็นฝีมือช่างไทยแต่ทำตามอย่างศิลปะเขมรแบบบายน ราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๘ คือทำพระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนพระพุทธรูปสมัยลพบุรีทั่ว ๆไป มงกุฎทำเป็นหมวกแขก มีเครายาวจนถึงสร้อยคอ กำไลแขนทำเป็นรูปงูพันอยู่ ๓ รอบ ผ้าทรงยาวลงมาเหนือเข่าเล็กน้อย ชายสายรัดด้านหน้าปล่อยยาวลงมาถึงพระชานุ ที่นิ้วพระหัตถ์และพระบาทสวมพระธำมรงค์ทุกนิ้ว
          สถานที่ประดิษฐานแต่เดิมคือ ศาลพระอิศวร ซึ่งตั้งอยู่หลังศาลจังหวัดกำแพงเพชร ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีชาวเยอรมันมาเที่ยวเมืองกำแพงเพชร และได้ลักลอบตัดพระเศียรและพระหัตถ์ของเทวรูปนำลงเรือกลับกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ความทราบถึงรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดให้ขอพระเศียรและพระหัตถ์คืน และโปรดให้สร้างรูปจำลองประทานให้เป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งปัจจุบันได้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งจำลองอีกองค์หนึ่งประดิษฐานไว้ที่ศาลพระอิศวร ส่วนพระองค์จริงได้นำมาซ่อมแซมให้ดีดังเดิม แล้วนำมาตั้งแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เป็นสมบัติศิลป์ชิ้นพิเศษที่มีค่ายิ่งของเมืองกำแพงเพชรสืบมา

          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ตั้งอยู่ที่ถนนปิ่นดำริห์ เป็นสถานที่แสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุสมัยต่าง ๆเช่น ศิลปะทราวดี ลพบุรี สุโขทัย 

 ศาลพระอิศวร ตั้งอยู่ด้านหลังศาลจังหวัด มีฐานก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง 1.50 เมตร บนฐานชุกชีมีเทวรูปพระอิศวรสัมฤทธิ์ที่จำลองขึ้น เทวรูปพระอิศวรองค์เดิมปัจจุบันตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร
ศาลพระอิศวร จ.กำแพงเพชร




ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ18 ธันวาคม 2556 เวลา 22:10

    นี่มันเป็นความรู้แบบไทยๆ คิดว่าน่าจะหาต้น
    แบับอินเดียมาจะเหมาะสมกว่ากว่า ท่านเป็นวิณญาญแห่งท้องฟ้าผู้ไม่มีความสั้นความยาวไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่ผอมไม่อ้วน ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอันว่างเปล่า จนในที่สุดจ฿งสร้างพระวิษณุเทพจากการกวนน้ำอมฤตโดยชีกร่างข้างซ้ายสำเร็จแล้วจึงให้พระวิษณุไปบำเพ็ญในน้ำจนมีนามว่าพระนารายันต์ แล้วพระองค์จึงกวนน้ำอมฤตจากร่างข้างขวาหยดลงไปที่สดึอพระวิษณุกำเนิดเป็นดอกบัวพระพรหมได้ถือกำเนิดขึ้นในดอกบัวที่ขึ้นมาจากร่างกายพระวิษณุ ครบ3เทพ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ18 ธันวาคม 2556 เวลา 22:21

    นี่มันเป็นความรู้แบบไทยๆ คิดว่าน่าจะหาต้น
    แบับอินเดียมาจะเหมาะสมกว่ากว่า ท่านเป็นวิณญาญแห่งท้องฟ้าผู้ไม่มีความสั้นความยาวไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่ผอมไม่อ้วน ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไม่มีเกิดไม่มีดับ ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอันว่างเปล่า จนในที่สุดจ฿งสร้างพระวิษณุเทพจากการกวนน้ำอมฤตโดยชีกร่างข้างซ้ายสำเร็จแล้วจึงให้พระวิษณุไปบำเพ็ญในน้ำจนมีนามว่าพระนารายันต์ แล้วพระองค์จึงกวนน้ำอมฤตจากร่างข้างขวาหยดลงไปที่สดึอพระวิษณุกำเนิดเป็นดอกบัวพระพรหมได้ถือกำเนิดขึ้นในดอกบัวที่ขึ้นมาจากร่างกายพระวิษณุ ครบ3เทพ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ