รักชาติอย่าเข้าร่วม? แชร์ถ้ารักชาติ
สนช.แฉ‘แม้ว’ก่อหวอด
ล้มปฏิรูป!
‘เสื้อแดง’นัดชุมนุม5ตค.
อ้างร่วมทำบุญวันเกิด‘ตุ๊ดตู่’
ประยุทธ์พบป๋า-ลาเก้าอี้ทบ.
‘บิ๊กโด่ง’ลั่นไม่มีปฏิวัติซ้อน
ปปช.ยันถอดขุนค้อน-นิคม
มติลุยยื่นสนช.เชือดปู-39สว.
กลุ่มเสื้อแดงและผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ ภายหลังจากปรากฏโผรายชื่อบุคคลที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ออกมาตามสื่อต่างๆ จนทำให้นักการเมืองกลุ่มขั้วอำนาจเก่าในพรรคเพื่อไทย เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นายอำนวย คลังผา ออกมาตั้งข้อกล่าวหา สปช. ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคู่ขัดแย้งหน้าเดิมและเป็นพวกเดียวกับคณะปฏิวัติ ทำให้การปฏิรูปยากที่จะเกิดความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
สนช.แฉอำนาจเก่าแกล้งตาย
โดยเมื่อวันที่ 30 กันยายน นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความตั้งข้อสังเกตถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นผ่านเฟซบุ๊ค “สมชาย แสวงการ” ว่า หลายวันที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวจากคนแดนไกล แกนนำมวลชน และกลุ่มหมิ่นสถาบัน อย่างมีนัยยะและเชื่อมโยงกันทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ความปรองดองที่แท้จริงไม่มีโอกาสเกิด เพราะมีแค่คนแกล้งตายชั่วครู่เท่านั้น
“แดง”ก่อหวอดรวมพล5ตค.
นายสมชาย ระบุว่า ไม่ทราบว่าหน่วยข่าวที่รับผิดชอบทราบหรือยังว่า มีความเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งสอดประสานกับการประกาศทำการ์ตูนแอนิเมชั่นประวัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่อง “ตาดูดาวเท้าติดดิน” ของสถานีโทรทัศน์ว้อยซ์ทีวีที่มี นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของ โดยกลุ่มเสื้อแดงได้นัดหมายคนรักประชาธิปไตยให้มาชุมนุมพบปะสนทนากันในวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม ที่โบนันซ่า เขาใหญ่
อ้างร่วมทำบุญวันเกิด“ตุ๊ดตู่”
โดยการนัดหมายดังกล่าวอ้างว่า เพื่อทำบุญนมัสการหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และร่วมพิธีทำบุญฉลององค์พระกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำเสื้อแดงเนื่องในวันเกิด โดยนัดหมายรวมพลกันที่หน้าห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว เวลา 05.30 น. วันที่ 5 ตุลาคม ก่อนออกเดินทางไปร่วมกิจกรรมพร้อมกัน ซึ่งมีทั้งการทำบุญ การสนทนาประสาคนคุ้ยเคย ก่อนเดินทางกลับในช่วงเย็นวันเดียวกัน
“แม้ว”ปลุกกระแสโลกออนไลน์
นายสมชาย ระบุอีกว่า นอกจากนี้ในโลกออนไลน์ก็มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักโดยในเพจกลุ่มเสื้อแดงหลายแห่ง พยายามออกมาสร้างกระแสเชิดชู นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เทียบเท่ากับนักสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ขณะที่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีการแชร์ภาพและข้อความเกี่ยวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ส่งความคิดถึงมาให้แก่สมาชิก “ห้องราชดำเนิน” ของเว็บไซด์พันธ์ทิพย์ ซึ่งถูกตั้งข้อสงสงสัยว่าเป็นหนึ่งในสถานที่รวมตัวของผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และมักมีการโพสต์ข้อความหมิ่นเหม่ต่อสถาบันหลายครั้ง
“ลิ่วล้อ”ดาหน้าถล่มสปช.
ขณะที่กลุ่มนักการเมืองในพรรคเพื่อไทย อาทิ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ นายอำนวย คลังผา ก็ออกมาแสดงท่าทีไม่ยอมรับรายชื่อ สปช. โดยกล่าวหาเป็นพวกหน้าเดิม ซึ่งจะทำให้การปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนไม่ได้ ประโยชน์ แถมเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น และอาจเกิดปฏิวัติซ้ำ รวมทั้งจี้ให้ออกกฎหมายตัดสิทธิทางการเมืองกับพรรคที่ไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง
ข้องใจทูตสหรัฐโผล่“ประชาไท”
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 กันยายน นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นกลางต่อสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย ยังได้เดินทางไปเยี่ยมสำนักงานเว็บไซด์ประชาไท ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ที่มักนำเสนอข้อมูลของกลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งข้อมูลที่หมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบัน และเป็นหัวหอกรณรงค์ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 ร่วมกับกลุ่มนิติราษฏร์ โดย นายสมชาย ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ทั้งหมดอาจไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน จึงขอเรียงลำดับเหตุการณ์ให้เห็นว่า มีใครทำอะไร และพูดอย่างไรบ้าง
พท.ฮึ่มอย่าสร้างความแตกแยก
ด้าน นายสมคิด เชื้อคง อดีต สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จะขอติดตามการทำงานของ สปช. อย่างใกล้ชิดว่าเขียนกติกาขึ้นมาอย่างไร โดยจะตรวจสอบทุกมาตรา หากเป็นธรรมก็รับได้ แต่หากไม่เป็นธรรม ก็จะออกมาชี้แจงเรียกร้องอย่างสร้างสรรค์ โดยไม่กลัวกฎอัยการศึก เพราะไม่ได้ออกไปด่าใคร เพียงแค่อยากเตือนว่า อย่าสร้างความแตกแยกอย่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ควรสร้างกติกาเพื่อคน 65 ล้านคน
“มาร์ค”ไม่ติดใจล็อกโผสปช.
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ออกมาให้ความเห็นกรณีรายชื่อ สปช. อย่างไม่เป็นทางการที่หลุดออกมา ซึ่งถูกวิพากวิจารณ์อาจมีการล็อกสเป็กว่า โดยส่วนตัวไม่นิยมมองในแง่ร้ายแบบนั้น เพราะหากมีการทำงานที่โปร่งใส ทำให้ประชาชนรู้ว่าทำงานอย่างไร มีข้อมูล มีกระบวนการอย่างไร สังคมจะเป็นผู้ตัดสินเอง
“บิ๊กตู่”ส่งมอบเก้าอี้ผบ.ทบ.
ด้านความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนที่ 38 ได้เดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เพื่อร่วมพิธีสวนสนามอำลาตำแหน่งและส่งมอบหน้าที่ ผบ.ทบ. ให้แก่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
ลั่นยึดมั่นอุดมการณ์ตลอดไป
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารของชาตินับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจสูงสุด แม้จะพ้นจากหน้าที่ ผบ.ทบ.ไป แต่อุดมการณ์ที่ยึดมั่นมาโดยตลอดจะยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย และมีความเชื่อมั่นว่า ผบ.ทบ.คนใหม่ เป็นผู้มีจิตวิญญาณความเป็นทหารอย่างเต็มเปี่ยม จะนำพากองทัพบกพัฒนาในทุกด้าน โดยมีผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
“บิ๊กโด่ง”ย้ำจุดยืนเคียงข้างปชช.
ด้าน พล.อ.อุดมเดช กล่าวตอบรับว่า พร้อมสานต่อภารกิจสถานการณ์และภัยคุกคามทุกรูปแบบที่มีความซับซ้อนกว้างขวาง โดยดำรงจุดยืนการอยู่เคียงข้างประชาชนทุกโอกาส และเป็นหลักในการคลี่คลายปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของชาติ ซึ่งต่อไปนี้จะตั้งใจดำเนินภารกิจทุกด้านอย่างดีที่สุด ซื่อสัตย์ สุจริต ปกครอง บังคับบัญชา ยึดหลักความถูกต้องและเป็นธรรม
เทิดทูนสถาบันไม่ให้ใครละเมิด
พล.อ.อุดมเดช ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมด้วยว่า หน้าที่ของกองทัพบก คือ การพิทักษ์ รักษา และเทิดทูนสถาบันด้วยชีวิต และจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงละเมิด รวมทั้งขอฝากถึงผู้มีความคิดต่างทางการเมือง ให้นำเสนอความคิดเห็นผ่านช่องทาง สปช. ทั้ง 11 ด้าน และย้ำไม่ให้ทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย เพราะกองทัพบกจะไม่ยอมให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
ย้ำไม่มีปฏิวัติซ้อนแน่นอน
เมื่อถามว่า จะให้ความมั่นใจต่อประชาชนอย่างไรว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. จะดูแลไม่ให้เกิดการปฏิวัติซ้อน เพื่อบ่อนทำลายรัฐบาล พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า “ไม่มีหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในปัจจุบันหรืออนาคต ผู้บังคับบัญชาทำความเข้าใจไว้หมดแล้ว และทุกคนก็เดินในแนวทางเดียวกัน ขอให้สบายใจ ไม่มีอย่างแน่นอน กองทัพบกจะเป็นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติสงบ คสช. และรัฐบาลจะดำเนินการเคียงคู่กันไปจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยตามกรอบแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้”
บิ๊กตู่เปลี่ยนรถกันกระสุนส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีส่งมอบตำแหน่งแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จึงเดินทางกลับเข้ามายังทำเนียบรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปลี่ยนจากรถเบนซ์ประจำตำแหน่งทะเบียน ศท 1251 มาใช้รถเบนซ์ส่วนตัวทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร กันกระสุน อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาพักที่ทำเนียบรัฐบาลได้เพียง 7 นาที ก็รีบเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลโดยไม่มีการแจ้งหมายในเวลา 11.50 น.
นำผบ.เหล่าทัพ-ตร.ลาป๋าเปรม
จากนั้นเวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำผู้บัญชาการเหล่าทัพประกอบด้วย พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว และ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาการ ผบ.ตร. เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่ออำลาในโอกาสที่ทั้งหมดจะเกษียณอายุราชการพร้อมกันในวันเดียวกันนี้
ให้คำมั่นแก้ปัญหาชาติ-โปร่งใส
รายงานข่าวแจ้งว่า การพบกันครั้งนี้เกิดจากการประสานของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยระหว่างการพบกัน พล.อ.เปรม ได้ให้กำลังทุกคนในการทำหน้าที่ดูแลชาติบ้านเมืองในฐานะรัฐบาล รวมถึงอวยพรให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้คำมั่นว่า จะแก้ปัญหาของประเทศชาติและทำงานด้วยความรวดเร็ว ยึดมั่นความโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต และทำเพื่อประชาชน
ปปช.มีมติยันถอดขุนค้อน-นิคม
เย็นวันเดียวกันที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตีกลับสำนวนคดีถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ในคดีรแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ สว. เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเสนอโดยอาศัยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งไม่มีผลบังคับใช้แล้ว จึงขอให้ป.ป.ช.พิจารณาใหม่
โดยที่ประชุมป.ป.ช.มีมติด้วยเสียงข้างมากเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 จึงเห็นชอบให้ส่งเรื่องต่อ สนช. เพื่อดำเนินการพิจารณาถอดถอนต่อไป
ปู-39สว.เข้าคิวโดนเชือดต่อไป
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังมีมติเป็นหลักการเกี่ยวกับกรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตรับจำนำข้าว รวมทั้งอดีต สว. 39 ราย จากกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ สว. รวมทั้งกรณีอื่นๆ ด้วยว่า หากเป็นการกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาส่อว่า จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมายอื่นตามมาตรา 58 ของ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ก็อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการไต่สวนต่อไป จึงให้รวบรวมข้อมูลเรื่องดังกล่าวแล้วเสนอคณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง
อ๋อยโวยอำนาจรัฐประหารถอดถอน
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวว่า ถ้าระบบกฎหมายกำหนดไว้ว่า การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเรื่องในระดับพรบ.เท่านั้น การถอดถอนก็อาจเกิดขึ้นและเป็นไปตามกฎหมายได้ แต่การถอดถอนนี้ถูกกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญถูกล้มเลิกไปแล้ว อำนาจการถอดถอนก็หมดไปด้วย และการถอดถอนที่จะเกิดขึ้นนี้กำลังจะเป็นการถอดถอนโดยคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ที่ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ และได้อำนาจจากการรัฐประหาร
ศาลปค.สูงสุดยกคำร้อง28สนช.
วันเดียวกัน ศาลปกครองสูงสุดได้นัดไต่สวนกรณี 28 สนช. นำโดย พล.อ.นพดล อินทปัญญา ยื่นฟ้อง ป.ป.ช.กรณีให้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง และไม่ได้ทำให้ผู้ฟ้องทั้ง 28 คน ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดี ดังนั้นการที่ศาลปกครองชั้นต้นไม่รับคำฟ้องและสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นพ้องด้วย
ศาลแพ่งเบรกเนรเทศ“สาธิต เซกัล”
ขณะที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ นายสาธิต เซกัลป์ นักธุรกิจชาวอินเดียว เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.ศรส.) และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง กรณีมีคำสั่งเนรเทศ นายสาธิต ออกจากประเทศ เนื่องจากร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย มีลักษณะส่อในทางเลือกปฏิบัติ ไม่สุจริต และยังฝ่าฝืนคำพิพากษาศาลแพ่งที่มีคำสั่งห้ามนำประกาศและข้อกำหนด ซึ่งมีการบัญญัติเกี่ยวกับการเพิกถอนถิ่นที่อยู่ชาวต่างด้าวมาบังคับใช้ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนถิ่นที่อยู่โจทก์ พิพากษาให้เพิกถอน
ฮึ่มฟ้องกลับสารวัตรเหลิม
หลังฟังคำพิพากษา นายสาธิต กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม เพราะเชื่อมั่นในระบบศาลตั้งแต่อยู่ในแผ่นดินไทย ยอมรับว่ารู้สึกโล่งใจที่ศาลมีคำสั่งเช่นนี้ โดยตนจะทำกิจกรรมเพื่อสังคมตอบแทนประเทศต่อไป อีกทั้งจะหารือทนายว่า จะฟ้องกลับ ร.ต.อ.เฉลิม กับพวกหรือไม่
กต.สั่งทูตเช็คปม“ตั้ง”ลี้ภัยเขมร
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าว นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ผู้ต้องหากรณีความผิดหมิ่นสถาบัน หลังมีกระแสข่าวยื่นขอลี้ภัยอยู่ในประเทศกัมพูชา โดยได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญ ตรวจสอบแล้ว
นสพ.แนวหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ