ยุคของพระพุทธศาสนา
ยุคของพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธควรศึกษา
โดยประวัติศาสตร์เมื่อ 7 สิงหาคม 2011 เวลา 14:19 น.
.พระอานนท์ทูลถามพระบรมศาสดาว่า...
“ถ้าหากว่าองค์สมเด็จได้เสด็จปรินพพานไปแล้ว จะมีใครเล่าที่จะมาเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาสังคายนาพระไตรปิฎก”
...พระศาสดาตรัสตอบว่า...
“ก็จะมีเหล่า ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่เข้ามาถือพรหมจรรย์ในศาสนาของเราตถาคตให้ยืนยาวออกไปจนครบ 5,000 ปี ”
...ขณะนั้นเหล่าเทพพรหมเทวาทั้งสัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิก็ได้ร่วมรับฟังการสนทนาอยู่ด้วย…
…จึงขอปวารณาตัวต่อองค์ตถาคตเจ้าว่า...จะขอร่วมสืบต่ออายุของพระศาสนาให้ยืนยาวออกไปจนครบ 5,000 ปี...
...ซึ่งในช่วง 1,250 ปีแรก เป็นหน้าที่ของพระขีณาสพ...พระปัจเจกพุทธเจ้า...พระอรหันต์สาวก...
...ต่อมาปี 1,251 - 2,500 เป็นหน้าที่ของภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา...
...ต่อมาปี 2,501 – 3,750 เป็นหน้าที่ของเหล่าเทพพรหมทุกชั้นทุกสวรรค์...
...ทุกตำแหน่ง...ทุกวิมาน...
...และ1,250ปีสุดท้าย(ปี3,751 - 5000)เป็นหน้าที่ของอลัชชี... พญามารธิราช...
...เปรต...อสุรกาย...สัตว์เดรัจฉาน...พวกมิจฉาทิฐิทั้งหลายก็จะลงมาทำหน้าที่...
...ดูแลรักษาพระศาสนาสืบต่อไป...
...สภาวะของโลกธาตุก็จะเต็มไปด้วยทิฐิมานะ...ความเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน...
...มีการรบราฆ่าฟัน...ขาดความสามัคคี...โลกของสัตว์นรกย้อนเข้าสู่จุดเริ่มต้นของโลกธาตุ
...ตามกฎของพระไตรลักษณ์...เมื่อโลกธาตุของสิ่งมีชีวิตก็พัฒนาเสื่อมลงและสภาวะจิตใจ...
...ของมนุษย์ก็จะเสื่อมทรามลง...
...ความสนใจ “พุทธศาสตร์” ในเรื่องของ จิต เจตสิก นาม รูป นิพพาน...
...ไม่เชื่อถือเรื่องบุญบารมีหรือวิบากกรรมใดๆ...ผลการกระทำเหล่านี้...
...จึงเกิดสภาวะร่วมแห่งวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมของสัตวโลก...
...จึงเป็นเหตุให้เกิด “จิตวิญญาณมิจฉาทิฐิ” จะต้องมาจุติเกิดเป็นมนุษย์...
...เพื่อชดใช้วิบากกรรมและเศษเสี้ยวของกรรมในยุคปลายศาสนา...
...เข้าสู่ยุคมิคสัญญีโดยสมบูรณ์...จนสภาวะธรรมชาติบนโลกธาตุถูกทำลายล้าง...
...จนถึงจุดเสื่อมของธรรมชาติ...กลายเป็นวิปริตผิดธรรมชาติ...
....เกิดความแปรปรวนอยู่เนืองๆ...กลายเป็นนรกภูมิบนโลกธาตุ...
...เพื่อเปิดโอกาสให้จิต..เจตสิก...นาม...รูป แห่งมิจฉาทิฐิต่างๆ...
...ได้ชดใช้สภาวกรรมของตนให้เบาบางลงไป...ก่อนที่โลกธาตุจะปรับตัว...
...เข้าสู่ระบบของความสมดุลครั้งยิ่งใหญ่...เพื่อปรับสภาวะของธรรมชาติ...
...ให้เกิดความสมบูรณ์...รองรับพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครู...
...พระศรีอาริยเมตไตรยสืบไป…
…ยุคปัจจุบัน 2,500 กว่าปีนี้...จึงเป็นยุคเทพเดินดินคือมีเหล่าเทพ พรหมลงมาจุติเกิด...
...ในรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น การจุติเกิดการจับญาณสังขารสร้างบุญบารมี...การประทับรับทรง...
...ซึ่งเหล่าเทพพรหมทุกชั้นทุกสวรรค์...ทุกตำแหน่ง...ทุกวิมานที่ลงมาทำหน้าที่ในโลกมนุษย์...
...ดีบ้าง...ชั่วบ้างตามสถานะของจิตในแต่ละดวงว่ามีบุญบารมีมากน้อยเพียงไร...เพื่อลงมา...
...ชดใช้กรรมชั่วและสภาวะความดีสุดแล้วแต่บุญบารมีและวิบากกรรมจะบันดาลให้เป็นไปนั้น...
...ย่อมขึ้นอยู่กับดวงจุติ...ดวงจิตของเทพพรหมเทวาในแต่ละเจตสิก...เพื่อที่จะลงมาเรียนรู้...
...ใน “ทุกขเวทนา” กับหมู่มวลมนุษย์สัตว์บนโลกธาตุ...ถ้าเปรียบไปแล้วพวกเราก็เปรียบเสมือน
...กับลูกๆหลานๆ...เมื่อลงมาจุติเกิดบนโลก...จิตวิญญาณของเหล่าเทพเทวาก็ต้องมา…
…คุ้มครองช่วยเหลือเกื้อกูลชี้นำให้บุตรบริวารของตนรู้จักสร้างบุญสร้างกุศลต่างๆนานา...
...ดวงวิญญาณเหล่านี้เรียกว่า...พ่อแก้ว...แม่แก้ว...ซึ่งเป็นปู่ย่าตายายทวดของพวกเรา...
...ซึ่งเหล่าเทพเทวาก็จะมาอาศัยธาตุ4ขันธ์5ของลูกหลานที่ลงมาจุติเกิดแล้วบีบบังคับ...
...นำพาเข้าสู่บุญกุศล...เข้าสู่การปฏิบัติจนกว่าจะครบ 3,750 ปี...
...และเมื่ออายุของพระศาสนา...ผ่านพ้น 3,750 ปี ไปแล้วเป็นยุคเปรตเดินดิน...
...บุตรที่เกิดมาจะไม่รู้จักคำว่า...พ่อแม่...สมสู่กันเยี่ยงสัตว์...ตัวเป็นคนใจเป็นสัตว์...
...ฆ่ากันเอง...กินกันเอง...เพราะเป็นยุคจุติของสัตว์นรก...เปรต อสุรกาย โอปาติกะ...
...ถ้าจิตดวงใดยังมีความสำนึกในเรื่องกฏแห่งกรรมแล้วหันเข้าฝึกปฏิบัติจิตเสียใหม่...
...จึงจะหลุดพ้นไปจากความทุกข์ทรมาณในภพภูมิของอมนุษย์ได้...
...ก็ด้วยการแสวงหาแนวทางในการฝึกฝนจิตสืบไป...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ