เรื่องกฎแห่งกรรม อ่านก่อนตาย ๑


กฎแห่งกรรม (พระพรหมโมลี)

โดยประวัติศาสตร์เมื่อ 16 มิถุนายน 2011 เวลา 8:24 น.
สมเด็จพระสังฆราช ตรัสชัดพระต้องถือธรรมะเป็นใหญ่
ไม่ยึดติดกับอำนาจ เงินทอง สมณศักดิ์ ยอมสละชีวิตรักษาธรรมะได้

พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง   บางคนก็ว่าผู้เขียนมีปัญหากับพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชัยญาติ จึงได้เขียนโจมตีท่านอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งขอเรียนว่าเป็นการคาดเดาเอาเอง แต่ความจริงแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา ผู้เขียนมีความเคารพนับถือพระพรหมโมลีมาก ในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยวัดสามพระยา ซึ่งผู้เขียนก็เคยเรียนกับท่านสมัยยังเรียนประโยค ป.ธ.8 ก็นับถือเป็นครูบาอาจารย์เรื่อยมา เคยมองท่านเป็นโมเดลหรือแบบอย่างของการเป็นพระนักศึกษาด้วยซ้ำ เพราะท่านจบทั้งเปรียญ 9 และปริญญาเอก แถมได้เป็นศาสตราจารย์อีกด้วย เมื่อเกิดกรณีธรรมกายขึ้นในปี พ.ศ.2541 นั้น พระพรหมโมลี  (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม สมัยนั้นยังเป็นพระธรรมโมลี ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าคณะภาค 1 แทนพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา ซึ่งถูกปลดออกไป ซึ่งการที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์โยกพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม จากเจ้าคณะภาค 15 มากินตำแหน่งรักษาการเจ้าคณะภาค 1 ก็เพื่อให้มาดำเนินคดีหรือที่เรียกว่านิคคหกรรมพระธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย ในข้อหาทำพระธรรมวินัยให้วิปริต สอนว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา"  เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 16 เดือนกันยายน พ.ศ.2541 พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการนิคคหกรรมพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ตัดสิน "ยกฟ้อง" วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2543 มหาเถรสมาคมโดยการเสนอของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้มีคำสั่ง "ปลด" พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ด้วยข้อหาไม่ปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคมที่ให้ฆราวาสสามารถฟ้องพระสงฆ์ได้ โดยพระพรหมโมลี (วิลาศ) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานศาลสงฆ์ในภาค 1 ในสมัยนั้น ไม่ยอมรับฟ้อง จึงต้องโดนปลด เมื่อปลดพระพรหมโมลี (วิลาศ) แล้ว เจ้าคณะใหญ่หนกลางก็แต่งตั้งให้ พระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 ขึ้นรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 เพื่อให้ดำเนินการนิคหกรรมกับพระธัมมชโย แต่ปรากฏว่าพระเทพสุธีขอลาออก สุดท้ายสมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้โยกพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชัยญาติ ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 ให้มารักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แทน ดังกล่าว แรกนั้นพระธรรมโมลีก็ดูดี วันที่ 22 กันยายน 2543 ท่านได้เปิดศาลสงฆ์ที่วัดสามพระยา รับฟ้องพระธัมมชโยรวม 3 ข้อหาด้วยกัน คือ 1. บิดเบือนลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า 2. อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน และ 3. ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน ตอนนั้นผู้เขียนก็เชียร์ หลวงพ่อพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) รักษาการเจ้าคณะภาค 1 ว่าจะเป็นเปาบุ้นจิ้นแห่งยุคสมัย สามารถดำเนินการนิคหกรรมพระธัมมชโยให้ลุล่วงสมกับความมุ่งหวังของมหาเถรสมาคมและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ถึงกับเขียนเชียร์ลงในหนังสือจุลสารพระธรรมทูตของวัดไทยลาสเวกัส พ.ศ.2542 แต่ปรากฏว่าหลังจากรับฟ้องในวันที่ 22 ก.ย. 43 แล้ว ศาลสงฆ์ของพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) ก็ปิดประตูลงกลอนนอนเงียบเชียบ ไม่ยอมเปิดทำการสอบสวนไต่สวนทวนหลักฐานพยานใดๆ ทั้งสิ้น ทิ้งเวลาให้ผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี มีแต่ข่าวคั่นเวลาว่าทางศาลสงฆ์รอให้ทางบ้านเมือง "ชี้มูล" ความผิดของพระธัมมชโยก่อน จึงจะค่อยนำเอาการชี้มูลนั้นมาเป็นหลักฐานในการลงโทษพระธัมมชโยตามพระธรรมวินัย หมายถึงว่าถ้าศาลอาญาไม่ตัดสิน ศาลสงฆ์ก็ตัดสินไม่ได้ ถามว่าเกี่ยวอะไรกันด้วย ก็ตอบไม่ได้ว่าเกี่ยวกันยังไง แต่พระธรรมโมลีจะให้เกี่ยวก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ต่อมาในปี พ.ศ.2544 ขณะคดีธรรมกายยังคาราคาซังกันอยู่นั้น ปรากฏว่า สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้เสนอแต่งตั้งให้ พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม รักษาการเจ้าคณะภาค 1 ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ขณะเดียวกันก็โยก พระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 ไปเป็นเจ้าคณะภาค 14 ส่วนตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 นั้นให้พระเทพปริยัติมุนี (ปัจจุบันคือพระธรรมปริยัติเวที) (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม ป.ธ.9) วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม รองเจ้าคณะภาค 15 ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ตรงนี้ผู้คนเข้าใจว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์วัดชนะท่านตั้งให้พระธรรมโมลีเป็นเจ้าคณะภาค 1 เพื่อจะได้มีอำนาจในการทำงานอย่างเต็มตัว ก็เลยต้องดูละครบทต่อไป แถมยังเข้าใจว่าเรื่องธรรมกายคงใกล้จบเต็มแก่แล้ว 11 มกราคม พ.ศ.2544 พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดยานนาวาและอดีตเจ้าคณะภาค 1 ได้มรณภาพกะทันหันที่เมืองทวาย ประเทศสหภาพพม่า ส่งผลให้สมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะที่ "พระพรหมโมลี" ว่างลง อีก 4 ปีถัดมา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเลื่อนสมณศักดิ์พระสงฆ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในบรรดาพระราชาคณะ 90 รูป ที่ได้รับการสถาปนา แต่งตั้ง และเลื่อนสมณศักดิ์ในปีนั้น ปรากฏว่า พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 1 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดสถาปนาขึ้นดำรงสมณศักดิ์ชั้นหิรัณยบัฏ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนาม "พระพรหมโมลี" อย่างบังเอิญยิ่ง ! บังเอิญว่าเป็น "พระพรหมโมลี" สมณศักดิ์เก่าของ "พระพรหมโมลี" (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวา อดีตเจ้าคณะภาค 1 นั่นเอง   วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญาได้ออกนั่งบัลลังก์ อนุญาตให้อัยการสูงสุด "ถอนฟ้อง" ต่อพระธัมมชโย ในข้อหายักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย โดยอัยการอ้างว่าพระธัมมชโยได้นำเงินที่ยักยอกไปคืนให้แก่วัดพระธรรมกายหมดแล้ว เรื่องพระธรรมวินัยนั้นมีผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาจำนวน 3 ท่าน ได้รับรองการสอนของพระธัมมชโยว่าตรงตามพระไตรปิฎกทุกประการ สามท่านที่ว่านั้นคือ 1.อธิบดีกรมการศาสนา 2.ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ 3.เจ้าคณะภาค 1 รวมทั้งเวลานั้นบ้านเมืองกำลังต้องการความสมานฉันท์ปรองดอง อัยการเห็นว่าถ้าดำเนินคดีกับพระธัมมชโยต่อไปให้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม ก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกในศาสนจักรและคนไทยทั้งชาติ ปรากฏว่าศาลสงฆ์ของพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม เมื่อได้ฟังคำสั่งศาลอาญาแล้ว ก็รีบปิดคดีตามศาลอาญาไป จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ยอมวินิจฉัยว่าคดีธรรมกายนั้น "ผิด" หรือ "ถูก" แต่ที่แน่ๆ ทั้งตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 และสมณศักดิ์รองสมเด็จ "พระพรหมโมลี" ของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา ถูกผ่องถ่ายมาเป็นของพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) วัดพิชยญาติการาม ทั้งสองอย่าง อย่างแยบยล   อดีตนั้นคือ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ปัจจุบันนี้คือ พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสมโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม สง่างามในนามศิลปิน ในทางธรรมไม่รู้ว่าเขามีศัพท์เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าอย่างไร แต่ถ้าเป็นในทางโลกแล้ว เขาเรียกว่า "ปล้น" ครับ   คำถามที่เกิดขึ้นต่อจากนี้จึงมิใช่เรื่องว่าธรรมกายผิดหรือถูกอีกต่อไป แต่เป็นคำถามในทางจริยธรรมและจริยาพระสังฆาธิการ เนื่องเพราะเมื่อพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) ไม่ยอมปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคมที่ให้ฆราวาสสามารถฟ้องพระภิกษุได้นั้น ท่านโดนปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แล้วจึงให้พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ขึ้นมาเป็นแทน เพื่อให้ทำการรับฟ้องพระธัมมชโย ซึ่งพระธรรมโมลีก็ทำจริงๆ คือรับฟ้องเท่านั้น นอกนั้นไม่ยอมทำอะไรเลย เก็บใส่ลิ้นชักพร้อมกับล็อกกุญแจ แต่จะว่าไม่ทำก็ไม่ได้ คือหน้าที่ในศาลสงฆ์นั้นท่านไม่ยอมทำ แต่เรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือหน้าที่คือ การขอเป็นเจ้าคณะภาค 1 ก็ดี การขอเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระพรหมโมลีก็ดี ท่านรีบทำและได้ก่อนคดีธรรมกายจะสิ้นสุดด้วยซ้ำ  หนำซ้ำท่านพระพรหมโมลี ในฐานะเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งเป็นประธานศาลสงฆ์ในคดีวัดพระธรรมกาย กลับไปเป็นพยานให้แก่ศาลอาญาว่าพระธัมมชโยมิได้สอนผิดหลักพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกเสียอีก พระพรหมโมลีเป็นประธานศาลสงฆ์ไปช่วยเป็นพยานในศาลอาญาให้พระธัมมชโยพ้นมลทิน แล้วก็เอาคำสั่งศาลอาญามาปิดศาลสงฆ์ นับเป็นพฤติกรรมอำพรางระดับโลก แต่ถามว่า มลทินที่เกิดขึ้นกับพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) อดีตเจ้าคณะภาค 1 วัดยานนาวา นั้นเล่า จะอธิบายต่อสังคมไทยอย่างไร ? คำถามนี้มิใช่ถามเฉพาะพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เท่านั้น แต่ยังถามวิญญาณของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) วัดชนะสงคราม ได้อีกด้วยว่า เหตุใด เมื่อพระพรหมโมลี (วิลาศ) วัดยานนาวา ไม่ยอมรับฟ้องพระธัมมชโย สมเด็จพระมหาธีราจารย์จึงกระเหี้ยนกระหือรือรีบปลดพระพรหมโมลี (วิลาศ) ออกจากตำแหน่งแบบที่เรียกว่าฟ้าผ่า แต่พอพระพรหมโมลี (สมศักดิ์) ลูกศิษย์ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้เป็นประธานศาลสงฆ์แทน กลับไปช่วยพระธัมมชโยให้พ้นข้อหาเสียอีก ทำไมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ไม่ยอมปลดพระพรหมโมลีวัดพิชัยญาติออกจากตำแหน่งเหมือนปลดพระพรหมโมลีวัดยานนาวาเล่า ทำไมยังอุ้มชูไว้ หรือว่าถ้าเป็นพระวัดอื่นนั้นทำอะไรก็ผิด แต่ถ้าเป็นพระวัดชนะสงครามแล้วไม่ผิด (พระพรหมโมลี-สมศักดิ์ เคยสังกัดวัดชนะสงคราม ก่อนจะย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ) แล้วไหนล่ะ ใครว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม นั้นท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ปกครองคณะสงฆ์โดยเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง หรือว่าคณะสงฆ์ไทยจะหาพระดีไม่มีเสียแล้ว ผลงานของพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ต้นปี พ.ศ.2548 ท่านได้ทำการช็อควงการพระกรรมฐาน โดยการเชิญ แม่ชีธนพร ชัยประคอง (นางมาลินี ชัยปกรณ์) ซึ่งอ้างว่าสามารถเห็นกรรมเก่าของบุคคลได้เหมือนมีตาทิพย์ ให้มาเป็นหัวหน้าในการแสดงธรรมและปฏิบัติธรรมในสำนักวัดพิชยญาติการาม ปรากฏว่ามีคนศรัทธาไปหาแม่ชีวันละ 700-800 คน ภายหลังแม่ชีได้เปลี่ยนทั้งชื่อทั้งนามสกุลเป็น ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม ซึ่งตอนนั้น ผู้เขียนก็เขียนเตือนท่านแล้วว่าอย่าทำ อย่าอยากเป็น "พระดีที่เสียแล้ว" ของสังคมสงฆ์ไทยไปอีกรูปหนึ่งเลย แต่ท่านคงไม่ได้อ่านบทความกระจอกๆ ของผู้เขียนหรอก แล้วจู่ๆ ปลายเดือนเมษายน พ.ศ.2554 (ปีนี้) ก็มีข่าวดัง เมื่อมีคนนำเอาเทปวีดิโอการสอนแก้กรรมของแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม วัดพิชัยญาติ ไปอัพโหลดขึ้นในเว็บไซต์ยูทู๊ป ฉายให้เห็นการแสดงธรรมเพื่อแก้กรรมของแม่ชีทศพรที่แนะนำหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาชีวิต โดยแม่ชีได้บอกว่า สตรีนางนั้นเคยมีอคติต่อคนแก่ จะแก้กรรมได้ก็ต้อง "นอนกับผู้ชายอายุอ่อนกว่า 2 ครั้ง หรือ 2 ที" พอวิธีแก้กรรมนี้แพร่กระจายไป ก็ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางในสาธารณชนในทำนองว่าขัดต่อหลักพระธรรมคำสอนในบวรพระพุทธศาสนาว่าด้วยการแก้กรรม ร้อนถึง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องเดินทางไปยังวัดพิชัยญาติ ขอเข้าพบพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ เพื่อขอสอบสวนแม่ชีทศพร ต่อกรณีที่สอนไปเช่นนั้น ปรากฏว่าแม่ชียอมรับว่าสอนผิด และขอโทษ ส่วนพระพรหมโมลีก็อ้อมแอ้มออกตัวว่า "เคยเตือนแม่ชีแล้ว" ทำได้แค่นั้น ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นพระวิปัสสนาจารย์ เป็นศาสตราจารย์สอนมหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นหัวหน้าพระธรรมทูต สารพัดจะเป็น ถามว่าจำเป็นอย่างไรต้องเอาแม่ชีมานำหน้าสอนในเรื่องวิปัสสนาและอวดอุตริมนุสธรรม ไม่อายครูบาอาจารย์ที่สอนสั่งมาหรือ ? ในวันที่ 21 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา พระพรหมโมลี ดวงพุ่งสูงสุด ได้รับการแต่งตั้งจากมหาเถรสมาคมให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปกครองคณะสงฆ์ภาคกลางจำนวน 6 ภาค 23 จังหวัด ได้แก่    ภาค 1.  กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ภาค 2.  พระนครศรีอยุธยา อ่างทองสระบุรี ภาค 3.  ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี ภาค 13.  ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ภาค 14.  นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี สมุทรสาคร ภาค 15. ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ แต่หลังจากนั้นอีกเพียง 1 เดือน วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2554 พระพรหมโมลี ได้เสนอชื่อ พระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) อายุ 45 พรรษา 25 พระราชาคณะชั้นสามัญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 1 ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แทนตนเอง ท่ามกลางเสียงครหาดังกระหึ่มทั่วโลก พฤติกรรมของพระพรหมโมลีที่ผู้เขียนได้ลำดับมานี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีสถิติบันทึกไว้อย่างชัดเจน เป็นอาจิณกรรมหรือพฤติกรรมซ้ำซาก มิใช่เรื่องที่ผู้เขียนกุขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีต่อท่านพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) แต่อย่างใด ถามตัวพระพรหมโมลีเลยก็ได้ ว่าที่กระผมเขียนมาทั้งหมดนี้จริงไหม หรือเรื่องไหนไม่จริง หลวงพ่อลองตอบมาสิ เอาพยานหลักฐานมาหักล้างกัน จะได้พิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนว่ากระผมโกหก บางคนบอกว่า ท่านต้องเป็นพระดีสิ ไม่งั้นจะได้เลื่อนเป็นรองสมเด็จฯ และเจ้าคณะใหญ่หนกลางด้วยหรือ เรื่องนี้ผู้เขียนไม่เถียง แต่ขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าความดีมี 2 อย่าง คือ 1.ความดีส่วนตัว เช่นเป็นคนดี ไม่เคยทำผิดกฎหมาย ไม่เคยต้องคดีความ เป็นพลเมืองดี หรือศาสนิกชนที่ดี เป็นต้น 2.ความดีส่วนรวม เป็นคนดีประเภทที่ 1 และมีตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ สามารถให้คุณให้โทษแก่คนอื่นๆ ได้ ท่านใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางซื่อสัตย์สุจริต จึงถือว่าเป็นคนดีตามความหมายนี้ แต่ถ้าทำตรงกันข้ามก็กลายเป็นคนเลว รวมความว่า คนดีมี 2 ประเภท คนเลวก็มี 2 ประเภทด้วย อย่าเหมารวมว่าถ้าเป็นคนดีประเภทที่ 1 แล้ว ก็ต้องเป็นคนดีประเภทที่ 2 ด้วย เพราะเป็นคนละส่วนกัน กลับกัน คนดีประเภทที่ 1 อาจจะเป็นคนเลวประเภทที่ 2 ก็ได้ ตรงนี้ต้องอ่านช้าๆ และเรียงความเข้าใจให้กระจ่าง เช่น นักการเมืองที่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นั้น ก็ต้องเป็นคนดี ไม่เคยต้องคดีความติดคุกติดตะรางหรือทุจริตใดๆ มาก่อน และมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่พอได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้ว ปรากฏว่าหลายคนใช้อำนาจหน้าที่นั้นไปในทางฉ้อฉลทุจริต โกงบ้านโกงเมือง รวมทั้งโกงอำนาจอีกด้วย การแต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรมนั้นถือว่าเป็นการทุจริตประเภทหนึ่งแน่นอน คำว่าไม่เป็นธรรมนั้นผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบาย เพราะว่าผู้ที่อ่านคอลัมน์นี้เป็นปัญญาชน มิใช่พาลชนคนโง่ ความดีประเภทที่หนึ่งนั้นเป็นความดีเฉพาะตน คนดีหรือไม่ดีประเภทนี้มีผลต่อสังคมในวงแคบ แต่คนดีประเภทที่สองคือคนที่มีตำแหน่งนั้น มีผลกระทบสังคมในวงกว้าง คนดีประเภทที่สองจึงต้องระมัดระวังยิ่งกว่าประเภทที่หนึ่ง ต้องคอยตักเตือนห้ามปรามมิให้กระทำความผิด ความทุจริตในหน้าที่การงาน อันให้คุณและให้โทษแก่ประเทศชาติศาสนาและสาธารณชนได้ เมื่อประมวลประวัติและพฤติกรรมของพระพรหมโมลีดังนำเสนอมานี้แล้ว ก็ขอตั้งเป็นคำถามต่อพระพรหมโมลีว่า เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ท่านกระทำไปเช่นนั้น พระพรหมโมลีอาจมิได้มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความเสื่อมเสียทั้งต่อตัวท่านเอง ต่อวัดพิชยญาติการาม และต่อคณะสงฆ์ไทย กลับกันอาจจะหลงระเริงภาคอกภูมิใจไปกับยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่การงานอันสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะเป็นสมเด็จในปลายปีนี้แล้ว วันๆ ฟังแต่คำว่า "พระเดชพระคุณฯ" จากพวกพระสอพลอ ไม่อิ่มทิพย์ก็น้องๆ ในอดีต สมเด็จพระสังฆราชก็เคยถูกปลด สมเด็จพระราชาคณะที่เคยถูกจับสึกก็มี รองสมเด็จฯยิ่งไม่ต้องพูดถึง พระราชาคณะหลายรูปที่มียศตำแหน่งสูงกว่าหลวงพ่อ แต่ปัจจุบันยังแป๊กอยู่ที่เดิม ก็มีมากมายหลายรูป หลวงพ่อก็รู้และเห็น หลวงพ่อเป็นถึงรองสมเด็จฯ และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเวลานี้ ถือว่าสูงสุดยอดแล้วในบรรดาพระสงฆ์ไทย แค่คิดก็เนรมิตอะไรก็ได้ดังใจจง เพียงแค่ใช้อำนาจหน้าที่ให้เป็นธรรมเท่านั้น ชื่อเสียงเกียรติคุณก็ล้นฟ้าแล้ว ถามว่ายังอยากจะได้อะไรอีกในโลกนี้ หลวงพ่ออาจจะเสียใจว่าลูกศิษย์ที่เคยสอนหนังสือมามันด่าครูบาอาจารย์ แต่กระผม-กระผมรู้สึกเสียใจมากกว่านั้น ที่เห็นครูบาอาจารย์เสียผู้เสียคน จึงทนไม่ได้ และที่เสียใจยิ่งก็คือว่า เมื่อมีผู้ทักท้วงว่าสิ่งที่หลวงพ่อกระทำไปนั้นไม่ถูกต้อง น่าที่หลวงพ่อจะรับฟังและรีบแก้ไขให้ทันท่วงที แต่หลวงพ่อกลับไม่ยอมฟัง หนำซ้ำยังดันทุรังเดินหน้าแบบว่ากูคิดถูกทำถูกแล้ว หลวงพ่ออาจจะคิดว่ามันไม่เสีย มันดีเสียอีก มีมหานรินทร์เท่านั้นมันขวางโลกเห็นผิดเป็นชอบ มันยังเด็ก ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารการปกครอง มันจึงไม่รู้ว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่จะต้องทำอย่างไร แถมมันนึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียนไป ไม่เข้าใจถ่องแท้ ก็สุดแต่หลวงพ่อจะคิด แต่สำหรับกระผมแล้ว ผมฟังเสียงชาวบ้าน ฟังเสียงพระเสียงเณรนอกวัดชนะสงครามและวัดพิชัยญาติ และมองหลวงพ่อในฐานะครูบาอาจารย์ที่พวกกระผมซึ่งเคยศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยในระดับเปรียญเอก คือ ป.ธ.7-8-9  พวกเราต่างก็มุ่งหวังว่าครูบาอาจารย์จะเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่มีใครมาตำหนิดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะครูเสียก็เสียถึงนักเรียน เหมือนเจ้าอาวาสเสียก็เสียถึงพระลูกวัด เหมือนพ่อเสียก็เสียถึงลูก หลวงพ่อทำงานเสียหายในวันนี้ มีผลไปถึงโรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยวัดสามพระยา หมายถึงว่าเสียหายไปจนถึงพระเณรเปรียญ 7-8-9- ทั่วประเทศไทย จะให้ตอบแก่สังคมได้อย่างไรว่าพวกเราจบมาจากไหน แล้วครูบาอาจารย์สอนอะไร ยิ่งเป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ต้องไปสอนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จะสอนใครได้ว่าให้ใช้หลักธรรมนั้นๆ ในพระไตรปิฎก เพราะตัวอาจารย์ใหญ่ของยูยังใช้แม่ชีแสกนกรรมอยู่ที่วัดพิชัยญาติอยู่ทุกวี่วัน แถมยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อีกด้วย พระพุทธศาสนาและวงการพระธรรมทูต ถูกท้าทาย เพราะพฤติกรรมของหลวงพ่อในจุดนี้ คำถามย้อนกลับไปถึงวันที่หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งต้องดำรงตำแหน่งประธานศาลสงฆ์ในคดีธรรมกายอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งคดีธรรมกายนั้นปัญหาใหญ่ก็คือ "ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต" สอนว่าพระนิพพานเป็นอัตตา วันนั้น หลวงพ่อเป็นประธานศาลสงฆ์ มีหน้าที่วินิจฉัยให้ตรงตามหลักการในพระไตรปิฎก แต่วันนี้ หลวงพ่อกลับมีปัญหาว่าด้วยการเอาแม่ชีมาสอนว่า "สามารถแสกนกรรมและแก้กรรมได้" นี่ถามว่าเป็นหลักธรรมคำสอนที่ต้องตามพระไตรปิฎกตรงไหน มันก็ไม่ต่างไปจากรณีธรรมกายที่สอนว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" เช่นกัน ต่างก็แต่ว่า ผู้ที่ทำพระธรรมวินัยให้วิปริตไปในวันนี้ กลับเป็น "พระพรหมโมลี" อดีตประธานศาลสงฆ์   แบบว่าเป็นเสียเอง ! เท่าที่ประมวลมาทั้งหมดนี้ ก็เหลือจะรับประทานแล้วล่ะครับ กระผม-พระมหานรินทร์ นรินฺโท ในฐานะที่จบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นตั้งคำถามต่อพรหมโมลีวัดพิชัยญาติ เพื่อปกป้องสถาบันการศึกษาภาษาบาลีของคณะสงฆ์ไทยเอาไว้ เพราะพระพุทธศาสนามิใช่สมบัติของพระพรหมโมลีเพียงคนเดียว แต่เป็นสมบัติของชาวพุทธชาวไทยทั้งชาติ ขอกราบเรียนว่า พฤติกรรมทั้งปวงนี้ชี้ว่า พระพรหมโมลี หมดความชอบธรรม ในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางและกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว นิมนต์ลาออกเสียเถิดครับ อย่าอยู่ให้เป็นที่เสียหายแก่พ
ระศาสนาอีกต่อไปเลย   ด้วยความเคารพอย่างสูง   พระมหานรินทร์ นรินฺโท วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา 29 พฤษภาคม 255409:00 P.M. Pacific Time. อ่านต้นฉบับที่  http://www.alittlebuddha.com/html/The%20Vision%20of%20P.M.Narin/The%20Vision%20of%20Phramaha%20Narin%20117.html
ด่วนสาส์น พิพิธภัณฑ์ภาพพระเครื่อง NGO http://picasaweb.google.co.th/ssomkiert
 อ่านที่  http://www.facebook.com/note.php?note_id=235629139799884 
สมเด้จพระสังฆราช และ หลวงตามหาบัว พศ.2550

ข้อมูลจาก http://www.alittlebuddha.com/html/The%20Vision%20of%20P.M.Narin/The%20Vision%20of%20Phramaha%20Narin%20117.html
โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ นักข่าวพลเมือง http://www.facebook.com/thaihistory

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง