ข่าวประวัติศาสตร์ สถาบันพระศาสนา ต้องศึกษา


สะเก็ดข่าวศาสนาตลอดปี 2549

   
  สวัสดีปี ปีกุน พ.ศ. 2550 ท่านผู้อ่านผู้เป็นแฟนอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ทุกท่าน มาตามสัญญาสำหรับคอลัมน์นี้นับเป็นปีที่ 3 แล้ว ถือได้ว่าเป็นคอลัมน์พิเศษของผู้เขียน ซึ่งใช้นามปากกาว่า "ปี้ส่าง"มาตั้งแต่เปิดตัวในจุลสารพระธรรมทูต วัดไทย ลาสเวกัส ฉบับปฐมฤกษ์ ในเดือนมกราคม พ.ศ.2542 พอเปิดคอลัมน์นี้ขึ้นมาในเว๊บไซต์แห่งนี้ก็แทบจะถือว่าเป็นนามปากกากิตติมศักดิ์ เพราะเขียนเพียงปีละครั้งเท่านั้น คือในวันที่ 31 ธันวาคม จะไม่เขียนในวันอื่นๆ เด็ดขาด ถึงใครจะใจป้ำให้ค่าเขียนครั้งละสิบหมื่นก็ต้องขออภัยที่ไม่สามารถเขียนได้ เพราะคอลัมน์นี้มีชื่อว่า "สะเก็ดข่าวศาสนาตลอดปี" ทีนี้ถ้ายังไม่หมดปีจะอุตริเขียนก็ถือว่าเสียสัจจะ ประเดี๋ยวท่านบรรณาธิการจะปรับโทษฐานไร้จริยธรรมพลอยอดเขียนอีก เอาละ ไม่พูดพร่ำรำฉุยฉายให้มากความ ขอพาท่านผู้อ่านย้อนเวลาหาอดีต 365 วันในรอบปีที่ผ่านมา เรามาดูกันว่า แวดวงศาสนาทั่วโลกนั้นมีข่าวศาสนาน่าสนใจอะไรแล้วบ้างนะ ดังต่อไปนี้

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร ป.ธ.9) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ข่าวดังอันดับหนึ่งของประเทศไทยในปี 2006 ต้องยกให้ข่าว "ปลดสมเด็จเกี่ยว" เป็นข่าวเกรียวกราวที่สุดแห่งปี ถึงแม้ข่าวนี้จะดังแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ตาม แต่สำหรับเงื่อนงำนั้นท่านว่ามีเยอะมากจนนักสืบยังสืบกันไม่เสร็จมาจนป่านนี้
      สมเด็จเกี่ยวนั้นเป็นชื่อจริงเสียงจริงของพระมหาเถระผู้มีนามจารึกในสุพรรณบัตร (แผ่นทองคำซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จารึกราชทินนาม เพื่อทรงประกาศสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ) ว่า "สมเด็จพระพุฒาจารย์" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ซึ่งมีภูเขาทองต้องแสงพระอาทิตย์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นั่นแหละ โดยแต่เดิมนั้นท่านมีนามว่า พระมหาเกี่ยว อุปเสโณ บ้านเดิมอยู่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมถิ่นของหลวงพ่อพุทธทาส บวชเรียนจบบาลีประโยค ป.ธ.9 ซึ่งสูงสุดในสายนี้ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณในราชทินนามว่า "พระเมธีสุทธิพงษ์" ในปี พ.ศ.2501 แล้วเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จากชั้นสามัญ ขึ้นเป็นชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นรองสมเด็จ จนกระทั่งได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ในปี พ.ศ.2533
      ปัจจุบัน สมเด็จพระพุฒาจารย์นั้นนับว่ามีอาวุโสทางสมณศักดิ์สูงสุดกว่าบรรดาพระสมเด็จในมหาเถรสมาคมทุกรูป ซึ่งไปพ้องต้องกันกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไทย พ.ศ.2535 มาตราที่ 10 ที่ว่า "ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" แล้วหลังจากนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ได้ลงนามแต่งตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2547 ซึ่งถูกต่อต้านจากคณะพระวัดป่ามีพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เป็นประธาน ได้กล่าวโทษสมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า "ทำการช่วงชิงสิทธิอันเป็นของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีไถยเจตนา คือมีจิตคิดขโมยเป็นสมุฏฐาน" รวมความว่า คณะพระป่า 5,000 รูป ประกาศปรับอาบัติ "ปาราชิก" ต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์บำเพ็ญตบะเป็นพระเตมีย์ใบ้ไม่รับไม่ตอบ ใครอยากว่าไงว่าไป "เป็นเรื่องประชาธิปไตย" ว่างั้น ส่วนอาตมานั้น "โน คอมเมนต์" คือไม่มีความเห็น ล่วงเลยมาจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีพระสงฆ์องค์ไหนกล้านิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ขึ้นศาลสงฆ์

สมเด็จพระพุฒาจารย์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล

    เมื่อโดนประท้วงหนักเข้า วันที่ 17 กรกฎาคม 2547 รัฐบาลทักษิณจึงตัดสินใจ "ออกพระราชกำหนด" แก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ว่านี้เสียใหม่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีข้อความว่า "ให้กรรมการมหาเถรสมาคมมีอำนาจในการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้" อีกสามวันต่อมา มหาเถรสมาคมมีสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นประธานการประชุม ก็รับลูกเหมือนนัดหมายรัฐบาลไว้แล้ว รีบออกมติมหาเถรสมาคม "แต่งตั้งตัวเอง-ให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" ต่อไป จนกว่าสมเด็จพระสังฆราชจะทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์สามารถปฏิบัติพระภารกิจได้
      เท่านั้นยังไม่พอ เรื่องพระเรื่องเจ้าเรื่องนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะคำสั่งครั้งแรกนั้นมาจากรองนายกรัฐมนตรี ทีแรกหลวงตาบัวก็กระแนะกระแหนนายวิษณุว่าเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด โดยกีดกันพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นศิษย์รักไว้ในฐานะพยาน แต่นานไปเมื่อไม่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แสดงทีท่าว่าเห็นด้วยตน หนำซ้ำยังควงคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ศรีภริยา ไปทำบุญที่วัดสระเกศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ส่วนวัดป่าบ้านตาดที่เคยเข้าออกเป็นอาจิณสมัยทัวร์นกขมิ้นนั้น ทักษิณศิษย์รักดูท่าว่าจะลืมเส้นทาง "สายปลาแดก" เส้นนั้นเสียแล้ว
     และแล้วฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดผึง หลวงตามหาบัวเปิดตัวเป็น "บัวพันธุ์ใหม่" หรือบัวพันธุ์ที่ห้า แบบว่าเพิ่งได้ดวงตาเห็นธรรม เปิดอกเปิดใจทั้งน้ำตาว่า "คิดผิด เห็นว่าเป็นคนมีเงิน คงไม่ละโมบโลภมาก ที่ไหนได้ ฯลฯ" แปลว่า เสียงอรรถเสียงธรรมหรือสายตาระดับปรมาจารย์กรรมฐานของหลวงตาบัวที่อาจหาญออกออกมาการันตี "ทักษิณ ชินวัตร" ว่าเป็นคนดีที่สุดในโลกเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้นั้น กลายเป็นเพียงเสียงน้ำหมากขากเสลดและสายตาพร่าลายของหลวงตาแก่ๆ องค์หนึ่งเท่านั้น แบบว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ราคาตกยิ่งกว่าหุ้นชินคอร์ปในยุคทักษิณอินลอนดอนเสียอีก  ทีนี้หลวงตาก็เลยไม่มีน้ำใจไมตรีให้แก่ศิษย์รักทักษิณอีกต่อไป ขึ้นธรรมาสน์เทศนาแต่ละกัณฑ์ล้วนมีแต่ "ท้ากสิน ออกไป๊ๆๆ" สงสัยจะติดคารมนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ไปเปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่วัดป่าบ้านตาดให้หลวงตาบัวรับชมสดๆ นอกนั้นยังมีกลุ่มพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตพี่ชายที่แสนดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เชิญ"พ่อท่าน" โพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก ผู้แอนอกยอมรับว่า "เคยโง่-สนับสนุนทักษิณมาก่อน" อีกคนหนึ่ง นำญาติธรรมเดินขบวนเข้าสู่ทุ่งพระสุเมรุเพื่อ ขับไล่ทักษิณ !
     3 หนุ่ม 3 มุม สามก๊กสามเหล่า รวมตัวกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้สโลแกนเดียวกันว่า "ท้ากสิน ออกไป๊" เมื่อสามเสียงประสานกันตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดยันสนามหลวง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องประกาศ "ยุบสภา" ในตอนค่ำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 แต่ยังรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนพ้นพิธีเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนมิถุนายน ซึ่งช่วงนั้นประเทศไทยอยู่ในระหว่างการ "สมานฉันท์" อย่างแท้จริง
    แต่ครั้นพ้นงานฉลองครองราชย์ไปได้ไม่กี่เพลา เพลิงไฟที่สุมไว้ใต้ภูเขาทองก็ร้อนระอุขึ้นอีก แสดงว่าเป็นการสมานฉันท์เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทักษิณเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้งซึ่งกำหนดขึ้นในวันที่ 22 เดือนตุลาคม 2549 ขณะที่กลุ่มต่างๆ ซึ่งเรียกร้องให้ทักษิณออกไปนั้น ได้ปรับยุทธวิธีในการรบ จับมือกันเป็นการเฉพาะกิจในนาม "พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย" เพื่อไล่ทักษิณอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทักษิณก็ไม่แคร์ ใครอยากจะคล้องแขนใครถ้าไม่ปวดแขนเองก็ปล่อยเขาไป ขอเพียง 16 ล้านเสียงอย่าลืมผมเหมือนในเพลง "ไม่ลืม" ของสุรพล สมบัติเจริญ เท่านั้น ในเมื่อต่างคนต่างเดินสวนทางกัน โดยไม่มีใครหลีกทางให้กัน ประเทศไทยจึงตกอยู่ภายใต้ความวิกฤตที่สุดในโลก ดังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสกับคณะผู้พิพากษา
   และแล้ววันสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มาถึง แต่จะถึงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็ไม่มีใครรู้ วันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในหลายประเทศ จุดหมายสุดท้ายก่อนจะกลับไทยก็คือ มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ทว่า ในเวลา 18.00 น. วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549  คณะนายทหารอันมีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้า ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ประกาศยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณผ่านทีวีทุกช่อง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเคว้งคว้างเดินทางไปพักที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะบินไปๆ มาๆ ระหว่างอังกฤษ-จีน-สิงคโปร จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมิมีทีท่าว่าจะได้กลับประเทศไทย

The last scene of Taksin Chinnawattara

    เมื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณได้แล้วนั้น ภารกิจสำคัญของคณะปฏิรูปก็คือ "ล้างบางระบอบทักษิณ" ไม่ว่าอะไรที่เป็นผลงานการประพันธ์ของทักษิณ หรือแม้แต่เกี่ยวข้องเป็นญาติใยกับทักษิณ ถือว่าเป็นของแสลงสำหรับประเทศไทยยุคเศรษฐกิจพอเพียง และหนึ่งในนั้นบังเอิญว่ามี "คำสั่งแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" รวมอยู่ด้วยสิ นี่แหละท่านผู้อ่านที่รัก ที่ผู้เขียนพาท่านนั่งรถเมล์อ้อมเมืองนั้น หาใช่มีเจตนาจะผลาญเวลาของท่านเล่นก็หาไม่ แต่ว่าเงื่อนงำมันอยู่ไกล จะเขียนสั้นๆ แบบคาถามหาเสน่ห์มุบมิบพึมพัมเพียง "พัวะเดียว" ก็กลัวจะไม่ได้ผล
     วันที่ 3 ตุลาคม 2549 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 93 พระชันษา ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการ" ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เสนอบทความพิเศษในคอลัมน์ "หมายเหตุผู้จัดการ" เรียกร้องให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระพุฒาจารย์) พิจารณาลาออกเอง ถวายอำนาจคืนแด่สมเด็จพระญาณสังวรเสีย โดยตั้งฉายาให้แก่สมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า "สังฆราชแห่งวังจันทร์ส่องหล้า" ซึ่งใช้คำว่า "วัง" มานำหน้าบ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอคัดข้อความส่วนหนึ่งมาเสนอดังนี้



"..เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชจึงสมควรจะได้พิจารณาว่า ถึงเวลาอันพึงยุติการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อทรงปฏิบัติหน้าที่ได้แล้วก็ต้องถือว่าภารกิจของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเป็นอันสิ้นสุดลง
    
       พิจารณากันเสียเองจะดีกว่าที่จะให้ใครมาเรียกร้องหรือท้วงติง เพราะจะเป็นการไม่งาม อนึ่งเล่า การพิจารณาความจริงเสียเองจะดำรงรักษาความเป็นที่เคารพศรัทธาเอาไว้ได้ดีกว่า ทั้งจะเป็นสิริมงคลแก่วงการคณะสงฆ์ไทย ตลอดจนชาวพุทธทั้งมวลด้วย
    
       ใน 4-5 ปีมานี้ มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา
    
       แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้านๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
    
       เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศ ให้ได้รู้ทั่วกันว่า การกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้ กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
    
       บัดนี้เงาอสูรร้ายผ่านพ้นไปแล้ว ฟ้าเบิกอรุณอันแจ่มใสแล้ว
 นิยายเรื่องสังฆราชวังจันทร์ส่องหล้าต้องถึงบทสุดท้ายแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พุทธบริษัททั้งปวงจะต้องร่วมกันทำความถูกต้องดีงามให้เกิดขึ้น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของราชอาณาจักรและพุทธบริษัททั้งหลาย .."
     
      อืม  เล่นแรงนะ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการนี่ พระเจ้าพระสงฆ์ก็จิกหัวด่าไม่เว้น มิน่าช่วงหลังแนวร่วมจึงน้อยลงไปทุกที เพราะเล่นไม่เก็บอารมณ์นี่เอง
      ต่อมาในวันที่ 22 ตุลาคม 2549 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวอีกว่า "รัฐบาลจะต้องยกเลิกการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเสนอร่างแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้วยการคืนอำนาจในการสถาปนาให้กลับเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์"
     และต่อมาในวันที่ 27 ตุลาคม 2549 นายไพศาล พืชมงคล สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เจ้าของนามปากกา "สิริอัญญา" และ "เรืองวิทยาคม" ได้นำสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 33 คน เข้ายื่นร่างแก้ไขพระราชกำหนดต่อนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอแก้ไขพระราชกำหนดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับทักษิณ เพื่อเปิดทางให้มีการถวายคืนพระราชอำนาจแด่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งก็ไม่มีใครทักท้วงอะไร เพราะเป็นเพียงการยื่นร่างกฎหมาย จะผ่านหรือไม่ผ่านก็ต้องผ่านการพิจารณาของสภาก่อน
      แต่แล้วในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ตื่นเช้ามาก็พบว่า หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้พาดหัวข่าวตัวโตว่า"ปลดสมเด็จเกี่ยว" โดยเล่าว่า มีพระบัญชาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่งตรงถึงพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) วัดชนะสงคราม มาดำรงตำแหน่งแทน โดยพระบัญชาที่ว่านี้จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ คือ 7 พ.ย. เป็นวาระจร !
       พอข่าวนี้ออกไปไม่กี่นาที นอกจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับดังกล่าวจะหายเกลี้ยงจากแผงไปเหมือนอันตรธาน คือขายดิบขายดียิ่งกว่าศรีธนญชัยเอาขนมยายไปเทน้ำเทท่าแล้ว กระแสแห่งความพอใจและไม่พอใจต่อพระบัญชาดังกล่าวก็ลามไปทั่วประเทศ รวมทั้งชาวไทยทั่วโลกด้วย คณะพระนิสิตมหาจุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ นำโดยพระมหาโชว์ ทัศนีโย ได้เดินขบวนถือโทรโข่งมายังหน้าทำเนียบรัฐบาล ประกาศคัดค้านพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชฉบับดังกล่าว ทั้งๆ ที่มิได้เกี่ยวกับข่าวปลดตัวเองเลย แสดงว่ามีมือปืนรับจ้างในวงการสงฆ์เข้าแล้ว

     ลมเหนือลมใต้ลมตะวันออกลมตะวันตกพัดสวนทิศทางกันหวือหวา หลายชั่วโมงต่อมาเมื่อทิศทางลมเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นการส่งสัญญาณว่า "สมเด็จเกี่ยวเริ่มกุมสภาพได้แล้ว" จึงเริ่มมีกระบวนการ"ออกตัว" หรือ "โยนกลอง" จากผู้เกี่ยวข้องในทำเนียบรัฐบาล โดยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ออกมาปฏิเสธ"เดี้ยนไม่รู้" พระบัญชาฉบับดังกล่าว โบ้ยปากให้ไปถามแหล่งข่าวเอาเองว่าได้ข่าวมาจากไหน
      เมื่อได้รับการชี้แนะเช่นนั้น สายตาทุกคู่จึงจ้องไปยัง "วัดบวรนิเวศวิหาร-บางลำพู" อันเป็นสถานที่ระบุว่าพระบัญชาออกมาจากที่นั่น เมื่อนั้นวัดบวรก็เหมือนถูกเพลิงไหม้ ร้อนอกร้อนใจกันไปทั้งบาง พระเทพปริยัติวิมล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ก็ออกมาปฏิเสธข่าวว่าคณะสงฆ์วัดบวรไม่มีใครรู้เรื่อง ต่อจากนั้น มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ออกแถลงการณ์ออกตัวต่อกรณีดังกล่าว มันลามปามไปทั้งระบบ กระทบทั้งธรรมยุติและมหานิกาย ในขณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์นั้น ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ภายในตำหนักสมเด็จวัดสระเกศ มีเพียงพระพรหมสุธีหรือเจ้าคุณเสนาะศิษย์ก้นกุฏิ ออกมาให้สัมภาษณ์พอหอมปากหอมคอ แสดงว่าสมเด็จเกี่ยวท่านงัดกลยุทธ์ "ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว" ออกมาใช้ในเวลาวิกฤตของชีวิต ซึ่งต้องลุ้นใจระทึกว่า อุบายดังกล่าวจะใช้ได้ผลหรือไม่ ! เสียดายแต่ว่า ไม่มีใครเห็นสมเด็จเกี่ยวในวันนั้นเลย...
     จากวัดบวรปี่กลองและนักข่าวก็ข้ามไปยังวัดชนะสงคราม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ซึ่งถูกระบุว่าได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน พอพบหน้านักข่าวก็รีบปฏิเสธ "เผือกร้อน" ชิ้นนี้ว่า "อาตมาไม่ทราบ" ทั้งๆ ที่ลูกศิษย์นั้นลุ้นกันระทึกว่า "สาธุ ขอให้เป็นจริงเถิด" ก็ตาม ส่งผลให้กระแสข่าวที่ตอนแรกนั้น "ยอมรับว่ามีพระบัญชาจริง" ลดอันดับลงเรื่อยเป็นรายชั่วโมง ถึงเช้าวันที่ 7 พ.ย. ก็กลายเป็นเพียงลมพัดกิ่งไม้แห้ง "ไม่มีใครรู้เห็น-เป็นเพียงข่าวลือ" ซึ่งปิดข่าวโดยท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ออกมาปฏิเสธว่า "ไม่มีวาระซ่อนเร้นดังกล่าวแต่อย่างใด" แต่ใครจะเชื่อ ??
      ภิมหาคลื่นยักษ์ "สึนามิ" เมื่อปลายปี 47 นั้นก็เหมือนกรณีนี้ คือเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันไม่ทันตั้งตัว ถาโถมโครมเดียวตายเป็นแสนๆ แล้วสลายกลายเป็นเพียงฟองฝอยค้นหารากเหง้าก็ไม่เจอ นอกจากร่างไร้วิญญาณเกลื่อนหาดทรายเท่านั้น กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน กระแสข่าวที่หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของไทยนั้นนำขึ้นปกหน้า ซึ่งมีสถานะระดับพายุ "ไต้ฝุ่น" และสำนักข่าวทุกสำนักต่างรับลูกรับกระแสกันอย่างพร้อมเพรียงนั้น มิน่าเชื่อว่า  เพียงชั่วข้ามคืนมันจะสลายกลายเป็นเพียง "ลมพัดลมเพ"ที่มีคนนิรนามพยายามสร้างเรื่องขึ้นมา
      แต่โบราณว่า ไม่มีฝอยหรือสุนัขจะทิ้งมูล โดยเฉพาะมูลนี้เป็นมูลใหญ่ ถ้าเล่นกันจริงจังก็กลัวว่าคนในผ้าเหลืองหลายรูปต้องติดคุกติดตะราง มันก็จะไม่ดีไม่งามไปอีก หัวหน้ารัฐบาลคือพลเอกสุรยุทธ์นั้นก็เป็นพุทธ มีภารกิจเฉพาะหน้าที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ไหนจะต้องตามเช็คบิลล์ทักษิณ ไหนจะต้องทำงานแข่งกับผลงานของทักษิณ ถ้าเป็นไปได้คงไม่มีใครอยากเปิดศึกหลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพระเรื่องเจ้า ดูอย่างทักษิณ ชินวัตร ที่ว่าอหังการณ์สิ กลายเป็นสัมภเวสีอยู่ทุกวันนี้น่ะมิใช่เพราะเล่นกับพระกับเจ้าดอกหรือ มหาเถรสมาคมและสมเด็จเกี่ยวหรือ ช่วงนี้ก็อยากได้คะแนนนิยมมิใช่น้อย ข่าวนี้ถ้าเป็นแต่ข่าวโคมลอยแล้วขายได้ก็ปล่อยให้นักข่าวเขาขายเถอะ ขอเพียงอย่าให้เป็นจริงเป็นใช้ได้ ดังนั้น ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา สมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อได้รับรายงานเรื่องนี้ (ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกแล้ว) ก็ประกาศในที่ประชุมมหาเถรสมาคมว่า "กระผมไม่ติดใจ"
เป็นการไม่ติดใจที่ใจระทึกทั้งวันเลยทีเดียว !
     นั่นคือปรีชาญาณ แปลง่ายๆ ว่า ความเยี่ยมยุทธ์ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) วัดสระเกศ ซึ่งเป็นลีลาที่เซียนได้เห็นก็ยังต้องยอมซูฮกว่า พระเดชพระคุณกอร์ปด้วยสติปัญญาสามารถ ที่จะนำพาสังฆมณฑลไทยในยุคพอเพียงนี้ ไปได้อย่างไม่มีใครจะทัดเทียม ปี้ส่างเองได้เห็นลีลาของพระคุณท่านแล้วก็ยังเลื่อมใส
     ผลของปรีชาญาณดังกล่าว ในเวลาต่อมาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 14 คน ได้พากันขอถอนชื่อออกจากร่างกฎหมายดังกล่าว ส่งผลให้ร่างกฎหมายของนายไพศาล พืชมงคล ต้องตกไป ไม่มีการนำมาพิจารณาในสมัชชานิติบัญญัติแห่งชาติ แปลให้ชัดก็คือว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจของสมเด็จพระสังฆราชอย่างสมบูรณ์เพียงรูปเดียว ต่อไป และต่อไป...
      ถ้าไม่ใช่เกมที่คลาสสิกระดับด๊อกเตอร์ยังต้องนั่งส่องกล้องดูแล้ว ปี้ส่างคงไม่กล้าฟันธงลงไปว่า นี่คือสุดยอดข่าวดังแห่งปี 49 อย่างแท้จริง !
    และด้วยความยิ่งยงในฐานันดรศักดิ์ดังกล่าว ทำให้พระสงฆ์ไทยต่างมั่นอกมั่นใจว่า พระเครื่องที่ควรจะกราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นศิริมงคลดลบันดาลยศถาบรรดาศักดิ์ ตั้งแต่ชั้นพระครูไปจนถึงเจ้าคุณให้แก่ตนเองได้นั้น พระเครื่องสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) วัดสระเกศ กลายเป็นพระเครื่องยอดนิยมที่มีพระสงฆ์ไทยใช้บูชากันมากที่สุด เพราะเหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ที่ว่าเป็นสุดยอดนิยมราคาเรือนแสนนั้น ยังสู้พระเครื่องสมเด็จเกี่ยวไม่ได้ แม้แต่สมเด็จวัดระฆังก็ยังชิดซ้าย ใครไม่เชื่อก็ลองถามสรรพคุณจากท่านเจ้าคุณเสนาะดูได้ เพราะท่านได้ชั้นรองสมเด็จเพราะห้อยพระสมเด็จวัดสระเกศ มิได้ห้อยหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้แต่อย่างใดเลย จริงจริ๊ง !

รูปหล่อบูชาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ
รุ่นยอดนิยม หายากมากๆ ใครอยากเลื่อนสมศักดิ์ต้องรีบหามาบูชาด่วน




พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือธัมมชโย เจ้าสำนักวัดพระธรรมกาย

       อัยการสูงสุดถอนฟ้องธัมมชโย เป็นข่าวใหญ่โตสุดท้ายก่อนอวสานรัฐบาลทักษิณ ถูกจัดเรตติ้งเป็นข่าวดังอันดับ 2 ของประเทศไทยในปี 49 ความดังที่ว่านี้มีหลายสาเหตุ ทั้งจากเหตุที่ท่านธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย มีทรัพย์สินมากที่สุดถึงหลายหมื่นล้าน กิ่งก้านสาขาก็มากมายทั้งในและต่างประเทศ มีการออกนิตยสาร สื่อสาร เว๊บไซต์ แม้กระทั่งมีดาวเทียมเป็นของตนเอง พระธัมมชโยไม่ต้องอาศัยใครช่วยโฆษณาก็สามารถออกอากาศได้ตามใจปรารถนา ศาสนิกหรือก็ล้นวัด ขนาดว่าที่ดินนับพันๆ ไร่ที่ซื้อไว้นั้น เชื่อไหมว่าจัดงานใหญ่เข้าจริงๆ ปรากฏว่า "ไม่พอจอดรถ" ถ้าไม่มีชนักติดหลังเรื่องสร้างสัทธรรมปฏิรูปเมื่อปี 2542 แล้วละก็ ธัมมชโยคงลอยไกลไปจนถึงระดับสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกันนั่นทีเดียว แต่โบราณว่า ถ้าบุญญาวาสนาไม่ถึงก็อย่าเขย่งเท้าเดินเลย ปวดเสียเปล่า ประเดี๋ยวเขาก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า ดังนั้น เรื่องนี้ต้องขยาย...
      กล่าวกันตามที่เห็นและเป็นไป ปี้ส่างมิได้มีอคติกับท่านธัมมชโยเป็นการเฉพาะ ผลงานการสร้างวัดก็ดี สำนักเรียนก็ดี หนังสือหนังหาก็ดี ที่วัดพระธรรมกายทำออกมานั้น ยอมรับว่า "ดูดี" กว่าผลงานของวัดในประเทศไทยหลายหมื่นวัด อาจจะรวมทั้งวัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุ วัดสระเกศ พวกนี้ด้วย แต่ที่ต้องออกมาตราหน้าอย่างรุนแรงก็เพราะพฤติกรรมของคณะวัดพระธรรมกาย ต่อกรณีที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน นครปฐม ท่านได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีที่วัดพระธรรมกายได้ออกเอกสารระบุว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" นั่นแหละ
     ในฐานะที่พระธัมมชโยเป็นถึงพระราชาคณะเจ้าอาวาสมีพระมากที่สุดในประเทศไทย ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่า "เป็นนักปราชญ์" ในทางพระศาสนาด้วยผู้หนึ่ง ซึ่งคุณสมบัติดังว่ามานี้ เมื่อมีหนังสือท้วงติงจากพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ซึ่งท่านได้เขียนอย่างสุภาพ ยกหลักฐานต่างๆ ทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เป็นต้น มาเทียบเคียงเพื่อให้สาธุชนได้ใช้ตรวจสอบลัทธิธรรมกาย ตอนนั้น เราคาดหวังว่าจะได้เห็น "การชี้แจงอย่างสุภาพเหมาะสมกับภูมินักปราชญ์เจ้าสำนักใหญ่ระดับโลกของพระธัมมชโย"
    แต่เปล่าเลย ธัมมชโยนอกจากจะมุดหัวอยู่แต่ในกุฏิ ไม่ยอมชี้แจงแถลงไขในเรื่องที่ตัวเองกระทำลงไปแล้ว ยังให้สมุนบริวารออกเอกสารโจมตีพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์อย่างข้างๆ คูๆ ใช้นามแฝงว่า "ชมรมสามเหล่าทัพ" บ้าง ว่า "ดร.เบญจ์ บาระกุล" บ้าง ส่วนตัวเองนั้นก็ใส่แว่นตาดำนั่งรถเข็นไปขึ้นศาล อ้างว่าป่วย ! แสดงความอ่อนแอให้คนเห็นในท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเกี่ยวกับตัวเองและสำนักเรียน ไม่มีความองอาจ ขาดความเป็นนักปราชญ์หรือผู้ดี ไม่มีการกระทำอย่างลูกผู้ชาย นี่แหละคือตัวจริงเสียงจริงของธัมมชโย ซึ่งต้องกับโบราณภาษิตที่ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" แต่สถานการณ์สำหรับธัมมชโยนั้นกลับกลายเป็นสร้าง "โมฆบุรุษ" ไปอย่างที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก

พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.9)
วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
บุคคลที่พระธัมมชโยและเหล่ากัลยาณมิตรต้องคิดถึงไปจนวันตาย

      หลังจากตะลอนขึ้นศาลสงฆ์และศาลอาญามาตั้งแต่ปี 2542 นั้น ธัมมชโยก็ให้เหล่ากัลยาณมิตรวัดพระธรรมกายออกมาส่งเสียง "ขอความเป็นธรรม" เป็นระยะๆ อ้างว่าทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติศาสนามามากมาย ควรจะนิรโทษกรรมท่านธัมมชโยเสีย แต่กระพรวนบนคอแมวนั้น นอกจากจะหาหนูใจกล้านำไปผูกได้ยากแล้ว หนูตัวที่จะนำกระพรวนออกก็ยิ่งหาได้ยากกว่า ดังนั้นคดีดัง "ธรรมกาย" เมื่อเข้าสู่ศาลอาญาแล้ว ตามหลักก็จำเป็นต้องดำเนินการไปจนสิ้นสุดกระบวนการ ซึ่งประมาณว่า คดีนี้จะสิ้นสุดในประมาณปลายปี 2549 แต่จะออกลูกผีหรือลูกคนก็ไม่มีใครทายใจศาลอาญาได้
    การที่คดีอาญาของพระธัมมชโยจะเดินไปสุดทางนั้น แปลได้ 2 ความหมาย คือ 1.ถ้ารอด ก็เท่ากับว่าธัมมชโยเสมอตัว แต่ที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมานานถึง 7 ปีนั้น ก็นับว่าเป็นเคราะห์กรรมมหันต์ และ 2. ถ้าศาลพิพากษาว่าธัมมชโยผิด ก็หมายถึงว่าต้องติดคุก ซึ่งพระที่ต้องคดีอาญาถึงติดคุกนั้นตามกฎหมายไม่สามารถจะเอาเข้าคุกทั้งผ้าเหลืองได้ ต้องเปลื้องผ้าเหลืองออกเสียก่อน หมายถึงว่า พระธัมมชโยต้องสึกสถานเดียว !
    แต่ปัญหามันมิได้มีเพียงเท่านั้น เพราะท่านธัมมชโยนั้นเป็นถึงระดับปรมาจารย์ เป็นผู้ก่อตั้งวัดจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก วัดพระธรรมกายตั้งแต่เกิดจนโตขึ้นมาได้ทุกวันนี้นั้นก็เพราะท่านธัมมชโย การจับพระธัมมชโยสึกจึงเป็นการทำลายวัดพระธรรมกายจนถึงรากถึงโคน เพราะถ้าไม่มีพระธัมมชโย รับรองว่ากัลยาณมิตรคุมกันไม่ติดแน่ แต่ในฐานะที่วัดพระธรรมกายนั้นใหญ่โตรโหฐาน มีสาวกนับแสน การจะจับเจ้าสำนักสึกจึงมิใช่เรื่องง่าย รับรองว่าจลาจลแน่ แต่เหนือนิติศาสตร์ก็ยังมีรัฐศาสตร์ ซึ่งตรงนี้อัยการสูงสุดได้นำมาทำเป็นลูกกุญแจดอกที่สอง สำรองไว้ไขความสำหรับการไว้ชีวิตพระธัมมชโยและคณะวัดพระธรรมกายในครั้งนี้
      ความเก่งกาจระดับซูเปอร์เซียนของทีมกฎหมายวัดพระธรรมกายนั้น ต้องขอยกนิ้วให้ว่า "ยอดเยี่ยมระดับโลก" ขอโฆษณาไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ถ้าใครไหนต้องคดีอะไร ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ก็ขอให้ไปติดต่อท่านธัมมชโยเพื่อขอให้ทีมทนายมาช่วยว่าความให้ เพราะไม่น่าเชื่อว่า เรื่องใหญ่ระดับประเทศนั้น ทนายความทีมนี้สามารถปลดชนวนระเบิดปรมาณูลูกใหญ่ ขนาดสามารถทำลายอาณาจักรธรรมกายหลายหมื่นล้าน ให้หมดฤทธิ์ลงได้อย่างง่าย โดยใช้กุญแจดอกที่ชื่อว่า "สมานฉันท์" ผ่านมือนักปลดชนวนคดีทางการเมืองชื่อก้องโลก "ทักษิณ ชินวัตร"
    ทีมกฎหมายวัดพระธรรมกาย ใช้ตรรกวิทยาที่ว่า ในเมื่อไม่มีหนูตัวไหนเป็นใจอยากไปปลดกระพรวนบนคอแมวออก ก็เห็นจำเป็นต้องใช้หนูตัวเดิมที่เอากระพรวนผูกคอแมวไว้นั่นแหละ ซึ่งในการฟ้องร้องต่อศาลอาญานั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด อัยการสูงสุดจึงถูกกำหนดให้เป็นหนูตัวที่ต้องไปดึงเอากระพรวนบนคอแมวคือศาลอาญาออกมา เพราะผู้ผูกย่อมรู้ทางแก้ และสมการนี้แหละที่ทำให้วงการนักกฎหมายไทยต้องตะลึงเป็นคำรบสอง รองมาจากคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผ่านมาด้วยวาทะว่า "บกพร่องโดยสุจริต" นั่นเอง
ลำดับเหตุการณ์ระทึกใจในการ "ปลดชะนวนระเบิดวัดพระธรรมกาย" นั้นมีดังนี้
1. วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี มีการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหนาพรรคไทยรักไทย ไปเป็นองค์ปาฐก
2. วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญารัชดา โดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งอนุญาตให้ "ถอนฟ้องคดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และลูกน้องคนสนิท ตกเป็นจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ เงินบริจาควัดมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
โดยศาลอ้างเหตุผลว่า
1. เพราะว่าจำเลยได้คืนทรัพย์สนที่ฉ้อโกงมาจากวัดพระธรรมกาย จำนวน 1,000 ล้านบาท คืนให้แก่วัดหมดแล้ว
2. ถ้าหากดำเนินคดีนี้ให้สิ้นสุด อาจจะเกิดความแตกแยกระหว่างพุทธศาสนิกชน
       ที่สังคมตั้งคำถามก็คือว่า การที่อัยการออกหน้าดึงเรื่องกลับมาจากศาลในครั้งนี้ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" ส่งสัญญาณให้แล้ว ลำพังอัยการจะกล้าหาญกระทำการเองหรือ หรือถ้าคิดจะทำ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้คดีค้างคาศาลมานานถึง 7 ปีได้อย่างไร และทำไม พอทักษิณกลับจากวัดพระธรรมกายได้เพียง 35 วัน ศาลก็ออกนั่งบัลลังก์สั่งถอนคดีตามคำขอของอัยการ ?????
    ปิดท้ายรายการด้วย นายถวิล สมัครรัฐกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ออกมาประกาศว่า "เมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดีอาญาแล้ว คดีทางสงฆ์ก็ถือว่าสิ้นสุดไปด้วย" แปลว่า สำเร็จพระธัมมชโยพ้นบ่วงกรรมแล้ว บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย โดยไม่ต้องผ่านศาลไหนให้ตัดสินทั้งสิ้น ใช้ระบบ "ลอบบี้" หรือวิ่งเต้นมันจนวินาทีสุดท้ายนี่แหละ ตำราจีบของแม๊กอินทอชเขาว่า "ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก" และมันก็เป็นทฤษฎีที่ยังเวิร์คอยู่ ใครไม่เชื่อก็ดูเอาเองเถิด
    เรื่องนี้ในแวดวงพุทธศาสนิกชนคนไทยที่สนใจเรื่องหวยเรื่องเบอร์มากกว่าเรื่องพระธรรมวินัย ก็คงไม่มีใครคิดว่า "มันสลักสำคัญอะไร" เรื่องหลวงพี่น้ำฝนศิษย์หลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดนห้ามให้หวยนั้นยังใหญ่กว่าเสียอีก เรื่องสำคัญระดับ "นักปราชญ์ทะเลาะกัน" นี้ จึงมีเพียงนักปราชญ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจให้ความสำคัญ เชื่อไหมว่าถ้าปี้ส่างไม่นำเรื่องนี้มาฉายซ้ำ หลายคนดูเหมือนจะลืมเลือนไปแล้ว ที่ต้องบันทึกร่วมไว้ในหน้าเดียวกันก็คือว่า ผลงานการหลุดคดีนี้ของพระธัมมชโยนั้น นักปราชญ์ทางศาสนาเขาจัดให้เป็นผลงาน "โบว์ดำ" ชิ้นสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณก่อนจะสิ้นอำนาจด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ