ด่วน วิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงสถาบันพระศาสนา ?
เมื่อองค์กรหลักด้านคุณธรรมกระทำในสิ่งไร้คุณธรรม
พระพุทธศาสนานั้นที่ได้รับความยอมรับนับถือจากประชาชนชาวไทยยืนยงคงมั่นอยู่ถึงปัจจุบัน
นับได้ถึง ๒๖๐๐ ปี ก็เพราะเป็นศาสนาแห่งความดีงาม
มีพระธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักธรรมประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส
ที่หยาบให้ละเอียด ที่ละเอียดให้ขาดหาย และในบรรดาพุทธบริษัททั้ง ๔ เหล่า คือ
พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้นั้น พระภิกษุได้รับการยกย่องว่าเป็นเสาหลัก
คือเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัททั้งปวง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในประเทศไทยเราเอง
เมื่อมีการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาหลักหรือศาสนาประจำชาติ
มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งองค์อัครศาสนูปถัมภก
ก็ทรงโปรดให้มีมหาเถรสมาคมขึ้นมา เพื่อให้พระสงฆ์ได้ดำเนินการปกครองกันเอง เป็นการเหมาะสมกว่าที่จะให้ฆราวาสญาติโยมอันมีศีลาทิคุณต่ำกว่าพระสงฆ์มาปกครอง
และมหาเถรสมาคมก็ทำหน้าที่บริหารและปกครองมาได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าจะมีปัญหาหนักบ้างเบาบ้าง ก็สามารถแก้ปัญหาฝ่าวิกฤตมาได้
มีน้อยครั้งนักที่จะเกิดปัญหาเพราะการบริหารการปกครองที่ผิดพลาดของมหาเถรสมาคมเอง
เช่นกรณีพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ในอดีต
ซึ่งศาลทหารพิพากษาว่าผู้กระทำความผิดมีตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมา
แต่เห็นว่ามีผู้ร่วมกระบวนการทำผิดมากเกินไป จึงขอให้จำเลยอโหสิกรรม
แต่วันนี้มีปัญหาใหญ่อันเกิดจากการบริหารการปกครองของมหาเถรสมาคมเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นั่นคือมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔
วันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔
ที่เห็นชอบการแต่งตั้งให้พระโสภณปริยัติเวทีและพระศรีศาสนวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค
๑ และรองเจ้าคณะภาคหนึ่งตามลำดับ โดยทั้งคู่ยังเป็นเพียงพระราชาคณะชั้นสามัญเท่านั้น
มติมหาเถรสมาคมดังกล่าวมานี้
ชี้ให้เห็นว่า
มหาเถรสมาคมไม่ใช้หลักคุณธรรมนำหน้าในการพิจารณาตัวบุคคลที่จะเข้ามาบริหารกิจการคณะสงฆ์
แต่กลับนำเอา "ระบบโควต้า" มาใช้แทน แบบว่าถ้าใครเป็นเจ้าคณะใหญ่หนไหน
ก็สามารถจะเอาใครก็ได้มาดำรงตำแหน่งในขอบเขตการบริหารของตนเอง
โดยไม่คำนึงถึงว่าพระภิกษุรูปนั้นจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือไม่
คำว่า "หลักคุณธรรม" นั้นก็คือ
ความอาวุโสและความรู้ความสามารถในการบริหารการปกครองนั่นเอง
คำว่าอาวุโสยังแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คืออาวุโสด้านอายุพรรษาในสมณเพศ
อาวุโสด้านสมณศักดิ์ และอาวุโสในการบริหารงาน หรือกล่าวให้กระชับก็คือว่า
ประสบการณ์หรือฝีมือในการทำงาน
ตามประวัติของพระภิกษุทั้งสองรูปนั้นมีดังนี้
พระโสภณปริยัติเวที
(สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.๙)
อายุ
๔๕ พรรษา ๒๕ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นรองเจ้าคณะภาค
๑ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ และเป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ
เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ ทั้งยังมีฐานะเป็นเพียงผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามเท่านั้น
พระศรีศาสนวงศ์
(มีชัย วีรปญฺโญ ป.ธ.๙)
อายุ
๔๖ พรรษา ๒๕ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม
พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๓๐
สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และเป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ พร้อมกับพระโสภณปริยัติเวที
ซึ่งเมื่อนำเอาคุณสมบัติทั้งปวงของพระทั้งสองรูปนี้มาพิจารณาเทียบกับคุณสมบัติของพระเถระผู้ควรแก่การขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะและรองเจ้าคณะภาค
๑ แล้ว ก็เห็นว่า "ไม่เหมาะสมโดยประการทั้งปวง" ไม่ว่าจะโดยอายุพรรษา
โดยสมณศักดิ์ หรือโดยอาวุโสในการบริหารงานก็ตาม กล่าวได้แต่เพียงว่า "เป็นพระเด็กๆ" ขาดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งในคณะภาคหนึ่งอันเอกอุดังกล่าว
จึงมีความสงสัยใน "วิจารณญาณ" ของคณะกรรมการมหาเถรสมาคมชุดปัจจุบัน
อันมี สมเด็จพระพุฒาจารย์
(เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
ว่ามหาเถรสมาคมได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาให้เหมาะสมแก่เหตุผลหรือไม่เพียงใด
ในการแต่งตั้งให้พระเด็กๆ
ทั้งสองรูปขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญสูงสุดในคณะสงฆ์ไทยดังกล่าว
เมื่อมติมหาเถรสมาคมดังกล่าวแพร่ออกไปสู่สาธารณชน
ก็เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมไม่ชอบธรรมของมติดังกล่าว และเมื่อศึกษาลึกลงไปถึงคุณสมบัติของพระทั้งสองรูปที่ได้รับแต่งตั้งแล้ว
ก็ยิ่งเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่อง ด้านวิจารณญาณของกรรมการมหาเถรสมาคมอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
ความไม่เหมาะสม
และความไม่ชอบธรรม ดังกล่าวมานั้น ก่อให้เกิดกระแสไม่ยอมรับการแต่งตั้ง
(รวมทั้งการบริหารการปกครอง) โดยพระภิกษุทั้งสองรูป
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การปกครองของคณะสงฆ์ไทย
บางคนถึงกับประณามมติมหาเถรสมาคมครั้งนี้ว่าเป็น"มติอัปยศ" ด้วยซ้ำ
ข้าพเจ้า
จึงรู้สึกเสียดายและเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องเพราะในสภาวการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน
พระพุทธศาสนาก็อยู่ในฐานะง่อนแง่นคลอนแคลนอยู่แล้ว ประชาชนคนไทยไม่น้อย
ขาดความเชื่อมั่นและความเคารพนับถือในพระสงฆ์ภายใต้การบริหารการปกครองของมหาเถรสมาคม
ถึงกับมีการตั้งลัทธิใหม่ขึ้นแข่งขัน เช่นสันติอโศก มีพรรคการเมืองและกลุ่มมวลชนหนุนหลังอย่างแน่นหนา
สามารถดำเนินกิจกรรมทางด้านการศาสนาและการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมีการตั้งองค์กรด้านคุณธรรมขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับมหาเถรสมาคม
เช่นศูนย์คุณธรรมเป็นต้น
ปัญหาภายในมหาเถรสมาคมก็มีไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นวัดพระธรรมกาย กรณีพระป่านำโดยพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว
ได้รวมตัวกันประกาศนิคหกรรมกรรมการมหาเถรสมาคม มีสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นประธาน
ถึงกับประกาศปรับอาบัติปาราชิกต่อสาธารณชน แสดงว่าไม่ยอมรับการปกครองของมหาเถรสมาคม และล่าสุด พระคึกฤทธิ์ โสตถิผโล
แห่งวัดนาป่าพง ปทุมธานี ก็ประกาศตัดพระปาติโมกข์เหลือเพียง ๑๕๐ ข้อ
และวัดหนองป่าพงซึ่งเป็นวัดแม่ ได้ประกาศตัดวัดนาป่าพงออกจากสาขา
แต่ว่ามหาเถรสมาคมกลับไม่สามารถดำเนินการให้วัดนาป่าพงอยู่ในร่องในรอยดังเดิมได้
เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าเหล่านี้
ล้วนแต่มีผลกระทบถึงความมั่นคงของพระพุทธศาสนา อันมีมหาเถรสมาคมเป็นผู้บริหารสูงสุดในปัจจุบัน
ซึ่งถือว่าหนักหนาสาหัสยิ่งแล้ว
น่าที่กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปจะได้สังวรระวังในการบริหารการปกครองให้ผิดพลาดบกพร่องน้อยที่สุด
ทั้งนี้เพื่อประคับประคองศรัทธาสาธุชนที่ยังเหลืออยู่ให้มั่นคงยืนยาวต่อไป และสร้างศรัทธาใหม่ให้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส
แต่ในวันนี้กลับปรากฏว่า กรรมการมหาเถรสมาคมเสียเอง
ได้สร้างปัญหาซ้ำซ้อนให้เกิดขึ้นเพิ่มเติม มีปัญหาติดยึด ในยศถาบรรดาศักดิ์
แย่งชิงอำนาจกันเป็นการภายใน
ไม่ใช้หลักคุณธรรมจริยธรรมพิจารณาความดีความชอบให้แก่พระภิกษุสงฆ์
ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในสังฆมณฑลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แบบนี้ความล่มสลายของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยใกล้จะมาถึงแล้ว
จึงเป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง
ที่องค์กรหลักในด้านคุณธรรมคือมหาเถรสมาคม ทำตัวเป็นองค์กรไร้คุณธรรมเสียเอง ดังปรากฏตามมติมหาเถรสมาคม
ครั้งที่ ๑๑/๒๕๔๔ ที่ผ่านมา แล้วจะนำธรรมะ อะไรไปสั่งสอนชาวพุทธทั่งประเทศ
กรณีแม่ชีทศพรและวัดพิชัยญาติ
"ใช้วัดเป็นสถานที่ในการเผยแพร่คำสอนที่ขัดหลักทางพระพุทธศาสนา ถือว่าไม่ถูกต้อง" เป็นคำกล่าวของนายนิพิฏฐ์
อินทรสมบัติ อตีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ย้ำให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมของการให้แม่ชีทศพรใช้วัดพิชยญาติการาม
เป็นสถานที่เผยแพร่คำสอนอันพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนผ่านสาธารณชนว่า "ผิดไปจากหลักพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
ความจริงเรื่องนี้ก็มีข้อสงสัยมาตั้งแต่ต้นแล้ว
เริ่มตั้งแต่แม่ชีเข้ามาอาศัยในวัดพิชัยญาติเมื่อหลายปีก่อน
แล้วเริ่มสอนในแนวทางดูกรรมแก้กรรม หรือพูดให้เท่ห์ว่าแสกนกรรม
ถ้าเราแยกเอาคำพูดของแม่ชีก็จะได้เนื้อหาเป็น ๒ ส่วน คือ ๑.การแสดงฤทธิ์ และ
๒.แนวทางแห่งการแก้กรรม
ในการแสดงฤทธิ์นั้น
ถ้าเป็นภาษาพระก็เรียกว่ามีจักษุทิพย์ ส่วนนี้แม่ชีจะแสดงเป็นเบื้องต้น
ที่นี้เมื่อคนเชื่อก็จะเข้าสู่กระบวนการของการ "แก้กรรม" ซึ่งเมื่อบุคคลนั้นๆ เชื่อเรื่องที่แม่ชีทำนายแล้ว
การยินยอมให้แม่ชีชี้นำแก้กรรมก็ง่ายตามไปด้วย
แต่ผลของการแก้กรรมของแม่ชีนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่
คำถามก็คือว่า
รู้ได้อย่างไรว่าแม่ชีมีทิพยจักษุจริง
ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าแม่ชีมีหูทิพย์ตาทิพย์จริง
ก็จะไปสู่กระบวนการขั้นต่อไปว่า การอวดภูมิเช่นนั้นต่อสาธารณชนนั้น
ถูกหรือไม่ตามพระธรรมวินัย เช่นกรณีของพระภิกษุ มีพระพุทธบัญญัติ "ห้ามมิให้แสดงอุตริมนุสธรรม" ไม่ว่ากรณีใดๆ
คือจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ห้ามแสดงทั้งสิ้น แต่กรณีแม่ชีทศพรนั้นมีการอ้างว่า "แม่ชีไม่ใช่นักบวช
คือไม่ใช่พระภิกษุหรือภิกษุณี หรือสามเณร
และกฎหมายก็ไม่ได้รับรองสถานภาพของแม่ชีว่าเป็นนักบวชไว้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้
แม่ชีจึงไม่เข้าข่ายการต้องอาบัติหรือปรับโทษตามพระธรรมวินัยหรือตามกฎหมายคณะสงฆ์
ดังนั้น แม่ชีจึงสามารถอวดอุตริมนุสธรรมได้" ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า
พระพรหมโมลีใช้แม่ชีซึ่งไม่มีสถานะอะไรมาทำงานแทนพระสงฆ์วัดพิชัยญาติ
เปรียบไปก็เหมือนการใช้แรงงานเถื่อน
ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า
แม่ชีมิได้มีทิพยจักษุดังที่อ้าง ก็จะเป็นกระบวนการลวงโลกทันที
ซึ่งมีทั้งพระมหาเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ มีฐานะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
และดำรงตำแหน่งใหญ่โตถึงเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นหัวหน้า
ต่อคำถามที่ว่า
รู้ได้อย่างไรว่าแม่ชีมีทิพย์จักษุจริง นั้น
ความจริงแล้วเป็นเรื่องแรกเลยที่จะต้องพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัด
ก่อนจะอนุญาตให้ใช้ธรรมาสน์ของวัดพิชัยญาติแสกนกรรมแก่แม่ชี
แต่พระพรหมโมลีก็บกพร่อง เมื่อไม่ยอมกระทำการพิสูจน์ให้กระจ่าง
จะเพราะสาเหตุอันใดก็ไม่ทราบ แต่กลับปล่อยให้แม่ชีเข้ามาใช้ธรรมาสน์ของวัดพิชัยญาติทำการสอนมาตั้งหลายปี
จนกระทั่งวันนี้มีความพิรุธปรากฏต่อสาธารณชน
ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวงการคณะสงฆ์อย่างหนัก
เพราะพระพรหมโมลีมียศเป็นถึงรองสมเด็จและดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ซึ่งทรงอิทธิพลสูงสุดในวงการคณะสงฆ์ไทยอีกด้วย การปล่อยให้แม่ชีทำการสอนโดยไม่พิสูจน์เสียก่อนนั้น
ก็เท่ากับการปล่อยให้ประชาชนลองผิดลองถูกเอาเอง
แต่เงินหรือทรัพย์สินอื่นใดที่ผู้คนนำมามอบให้แก่แม่ชีด้วยความเชื่อศรัทธานั้น
แม่ชีก็นำไปถวายพระสงฆ์ทั้งที่วัดพิชัยญาติและวัดอื่นๆ
จนพระที่รับเงินทองของแม่ชีไปแล้วพูดไม่ออก การที่พระมหาเถระและพระสงฆ์ทั่วไป
ยอมรับจตุปัจจัยที่บอกบุญโดยแม่ชีทศพร
จึงทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าแนวทางการสอนของแม่ชีทศพรนั้นถูกต้องแล้ว
มิเช่นนั้นคงไม่ได้รับการยอมรับจากพระพรหมโมลี และมหาวิทยาลัยสงฆ์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ความมีชื่อเสียงของแม่ชีนั้น
ส่วนใหญ่ก็มาจากการอิงอาศัยพระมหาเถระคือพระพรหมโมลี รวมทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร.
อันมีพระธรรมโกศาจารย์ เป็นอธิการบดี
องค์ปัจจุบัน ยกย่อง
มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่แม่ชีทศพรเมื่อสองปีที่ผ่านมา
แต่วันนี้กลับปรากฏว่าแม่ชีมิได้สอนถูกต้องตามพระธรรมวินัยเลย จึงไม่ทราบว่า สภามหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติปริญญาระดับด๊อกเตอร์ให้แก่แม่ชีทศพรได้อย่างไร
เป็นที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้
เคยมีการเตือนพระพรหมโมลีเมื่อ ๗
ปีมาแล้ว ตอนที่แม่ชียังไม่หยั่งรากกว้างขวางเหมือนในปัจจุบัน แต่วันนั้นพระพรหมโมลี
ท่าไม่ฟังใคร และสุดท้ายก็มาถึงวันนี้
วันที่รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมต้องออกมาพูดว่า "ใช้วัดเป็นสถานที่ในการเผยแพร่คำสอนที่ขัดหลักทางพระพุทธศาสนา ถือว่าไม่ถูกต้อง"
คำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนั้น
ถือว่าเป็นคำถามตรงต่อพระพรหมโมลี ในฐานะเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ
ว่าอนุญาตให้แม่ชีมาสอนผิดหลักพระธรรมคำสอนในวัดพิชัยญาติได้อย่างไร และทำไม
เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว พระพรหมโมลีและคณะสงฆ์วัดพิชัยญาติ
มหาเถรสมาคมตลอดถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับเมินเฉย ไม่ดำเนินการใดๆ
ให้กระจ่างต่อสาธารณชนว่าแม่ชีสอนผิดหรือถูก
ความเป็นพระผู้ใหญ่ระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ
ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้ดูแลสังฆมณฑล
และได้รับความไว้วางใจจากมหาเถรสมาคมไห้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ถือว่าเป็นอะไรที่มากกว่ามาก
มิใช่แค่กล่าวว่าเคยเตือนแม่ชีแล้วว่าสอนไม่ถูก ดังนี้เท่านั้น
แต่ทั้งตัวพระพรหมโมลีและบริวารรวมทั้งแม่ชีทศพรด้วย
ต้องสำรวมระวังพยายามประคับประคองตัวเองให้ "ไม่ผิดเลย" ทั้งนี้เพราะท่านเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์ทั้งประเทศ
ต้องเป็นตัวอย่างทั้งด้านพฤติกรรมส่วนตัวและพฤติกรรมต่อสาธารณชน
แต่ภาพของแม่ชีทศพรที่ปรากฏต่อสาธารณชนผ่านสื่อทีวี และสือต่างๆ บน internet
กลับมิได้เป็นเช่นนั้น มีการแก้กรรมด้วยวิธีลามกอนาจาร ซึ่งองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ
เมื่อได้ชมก็เรียกร้องให้หยุดการเผยแพร่เทปวิดีโอดังกล่าว เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อผู้คนในสังคม
นี่แค่จิตสำนึกพื้นฐานสังคมไทยก็รับไม่ได้แล้ว
นับประสาอะไรกับเรื่องภูมิจิตภูมิธรรมอันสูงส่งกว่านั้น
นายกรัฐมนตรีนั้นเป็นผู้นำในทางการเมือง
ซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาสารพัด อาจจะมีทั้งปัญหาสีขาว สีดำ และสีเทา เข้ามาเกี่ยวข้อง
การจะหานักการเมืองที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระสงฆ์นั้นยากยิ่ง
แต่สำหรับพระสงฆ์นั้น ต้องตั้งบรรทัดฐานในด้านความบริสุทธิ์สะอาดเอาไว้ก่อน
แม้ว่าจะเก่งกาจเพียงใด แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว
ก็หมดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าสงฆ์โดยปริยาย
ประวัติของพระพรหมโมลีอีกส่วนหนึ่งซึ่งน่าสนใจก็คือ
ท่านเคยเป็นประธานศาลสงฆ์ในการนิคหกรรมพระธัมมชโยแห่งวัดพระธรรมกายเมื่อหลายปีก่อน
ซึ่งตอนนั้นวัดพระธรรมกายมีปัญหาว่าด้วยคำสอนผิดแนวไปจากพระไตรปิฎก
คือสอนว่าพระนิพพานเป็นอัตตา ซึ่งปรากฏว่าจนป่านนี้ศาลสงฆ์โดยพระพรหมโมลียังไม่ยอมพิพากษาออกมาว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดหรือถูก
อาศัยแต่การยกคำร้องของศาลฎีกาว่าด้วยการคืนทรัพย์สินและความสมานฉันท์
ปล่อยเรื่องให้หายไปตามสายลม นั่นถือว่าเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงแล้ว
แต่วันนี้กลับมีเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่า เมื่อเกิดกรณีแม่ชีทศพรขึ้นในวัดพิชัยญาติของพระพรหมโมลีเอง
ถ้าหากพระพรหมโมลีไม่สามารถจะสะสางปัญหานี้ให้กระจ่างได้อย่างโปร่งใส
ก็อย่าหวังว่าจะไปดำเนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้
เพราะจะไม่ต่างไปจากพระที่ไม่ยอมล้างเท้าก่อนขึ้นธรรมาสน์ สอนไปใครจะเชื่อ
สั่งไปใครจะทำ พูดไปใครจะนับถือ ไม่ต่างไปจากนักการเมือง
ถ้าหมดอำนาจวาสนาเมื่อใดก็อาจจะ เหมือนอดีตพระสังฆาธิการระดับสูงในกรุงเทพฯบางรูปในอดีต
ที่ต้องรับกรรมที่ตนได้กระทำ
ด่วนภัยต่อความมั่นคงสถาบัน พระศาสนา และขบวนการผู้ทำลาย ?
http:// picasawebcothssomkiert.blog spot.com/2012/08/ blog-post_2011.html
http://www.facebook.com/ SmakhmPranamCorTi
ศึกษาข้อมูล วิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงส ถาบันพระศาสนา ในประวัติศาสตร์ ได้ที่https://docs.google.com/ file/d/ 0B_nOh0gPsWNSUkVWRG9aQ3pkbm c/edit
ช่วยแบ่งปันได้เพื่อสร้างบุ ญบารมี ถวายสมเด็จพระสังฆราช ครับ
http://
http://www.facebook.com/
ศึกษาข้อมูล วิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงส
ช่วยแบ่งปันได้เพื่อสร้างบุ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ