"สมเด็จพระราชาคณะ" และมีตำแหน่งเป็นถึง "เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" ยังต้อง "ขอรับการช่วยเหลือจากธรรมกาย"
ธรรมกาย+ปากน้ำ วัดเดียวกัน !
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ประกาศก้อง
กลางพิธีรับ "ทองคำ" หนัก 1 ตัน
แปลว่า
ต่อนี้ไป...ใคร "แตะ" วัดพระธรรมกาย
ก็หมายถึง "แตะ" วัดปากน้ำ
จากผู้ให้กลายเป็นผู้รับ
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้รับการยกย่องว่า เป็นเลิศในบรรดาพระมหาเถระร่วมสมัย ที่มีแต่ให้กับให้ ไปไหนไม่เคยเอา แถมยังเอาไปให้ แต่วันนี้ พระเดชพระคุณฯ ได้เปิดเผยว่า"วัดพระธรรมกายให้วัดปากน้ำมากกว่า" ก็คงสว่างไปทั้งโลกธาตุแล้ว เพราะลงว่าขนาดวัดปากน้ำซึ่งมีศพหลวงพ่อสดตั้งอยู่ และมีการจองกฐินล่วงหน้าตั้ง 400 ปี และเจ้าอาวาสมีบุญญาวาสนามียศถึง "สมเด็จพระราชาคณะ" และมีตำแหน่งเป็นถึง "เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" ยังต้อง "ขอรับการช่วยเหลือจากธรรมกาย" แล้ววัดไหนในประเทศไทยที่ธรรมกายจะ "ซื้อไม่ได้" ว่าแต่ก็คุ้มนะ ทองคำตั้ง 1 ตัน 2600 ปีที่ผ่านมาแห่งอายุพระพุทธศาสนา ก็ยังไม่เคยมีใครถวายมากมายเท่านี้ จะเรียกว่าเป็นอภิมหาสังฆทานแห่งโลกก็คงว่าได้ ถ้ามีผู้ให้ แต่ไม่มีผู้รับสิ จะแปลกประหลาดที่สุด
กดที่ภาพเพื่อชมสัมโมทนียกถา
โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ
ในพิธีรับมอบทองคำหนัก 1,000 กิโลกรัม
โอวาทสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
ในพิธีอัญเชิญรูปหล่อทองคำพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555
ในพิธีอัญเชิญรูปหล่อทองคำพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555
ขอกราบ ท่านเจ้าพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ พระสงฆ์เถรานุเถระ ศรัทธาสาธุชนญาติโยมทุกท่าน ซึ่งท่านพระคุณโมรีเป็นประธาน ท่านเจ้าคุณภาวนาวิริยะคุณ ผู้แทนของพระเทพญานมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาวันนี้ คณะสงฆ์วัดพระธรรมกายพร้อมด้วยกัลยาณมิตรคณะพระธุดงค์ไม่น้อยกว่า 1,500 รูป ได้อัญเชิญรูปหล่อเหมือนทองคำหลวงพ่อวัดปากน้ำมาถวายสถิตประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคลเป็นที่เรียบร้อย
กระผมในนามของเจ้าอาวาสวัดปากน้ำและคณะสงฆ์ภิกษุ สามเณร ศรัทธาสาธุชนแห่งวัดปากน้ำต้องขอขอบพระคุณ อนุโมทนากับท่านเจ้าคุณพระเทพญานมหามุนี พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดพระธรรมกาย ศรัทธาสาธุชน และกัลยาณมิตร ซึ่งมีท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิริยะคุณ เป็นต้นเป็นประธาน ที่ได้มีเมตตาถวายหลวงพ่อทองคำดั่งที่ว่านี้ หลวงพ่อทองคำหนักมากใช้ทองคำมากถึง 1 ตัน ทองคำถึง 1 ตัน 1,000 กิโลกรัม แต่ด้วยอาศัยความเคารพน้อมนพนับถือบูชาซึ่งคณะวัดพระธรรมกายมีท่านเจ้าคุณพระเทพญานมหามุนี เป็นต้น ได้มีความเคารพน้อมนพนับถือบูชาในหลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งท่านเจ้าคุณคณะสงฆ์ และกัลยาณมิตรเรียกขานหลวงพ่อว่า "หลวงปู่วัดปากน้ำ" ด้วยความเคารพน้อมนพนับถือบูชาซึ่งมีในหลวงปู่นั้นจึงได้สละมอบให้กับวัดปากน้ำด้วยท่านทั้งหลายนั้น
ถือว่าวัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีวัดพระธรรมกาย มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ส่วนใหญ่วัดพระธรรมกายให้กับวัดปากน้ำเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า พระมหาเจดีย์ที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งเห็นอยู่นี้ วัดพระธรรมกายถวายจตุปัจจัยมา 30 ล้านบาท ทองคำอีกจำนวนหนึ่งแล้วก็พระธาตุอื่นๆ อีกจำนวนมาก ทุกอย่างท่านให้ สละ เพราะถือว่าเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือว่าเป็นวัดเดียวกัน
คราวครั้งนี้เป็นงานใหญ่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้ว ว่าหลวงปู่หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น เป็นผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย ความจริงวิชชาธรรมกายนั้นมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก มีปรากฏอยู่หลายแห่งในที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องพระธรรมกาย มีหลายแห่งในพระไตรปิฎกและในจารึกพ่อขุนรามคำแหงก็มีพูดถึงเรื่องพระธรรมกาย และในฝ่ายของมหายานซึ่งตามมา พระจีน หรือญี่ปุ่นซึ่งเขียนเป็นภาพฝาผนังไว้ก็เห็นเป็นเรื่องของพระธรรมกายเขียนเป็นพระพุทธรูป รูปน้อย รูปใหญ่ แล้วก็มีองค์เล็กอยู่กลางตัวของพระพุทธรูปนั้น นั่นก็คือพระธรรมกาย แต่พระธรรมกายนี้ได้หายไปเป็นเวลาช้านาน คือไม่มีผู้สืบต่อไม่มีผู้สอน หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ค้นคว้า ค้นพบเห็นประจักษ์ในพระธรรมกายแล้วจึงนำมาเผยแพร่ให้ได้รู้ได้เห็นได้ประจักษ์ ทั้งสังฆมณฑลและแพร่ไปยังนานาอารยะประเทศ
ที่หลวงพ่อท่าน ท่านทั้งหลายปรากฏอยู่แล้วว่าหลวงพ่อเป็นผู้เช่นนี้ ที่วัดพระธรรมกาย ยกกันว่า หลวงพ่อปราบมาร เป็นรูปปราบมาร ท่านทั้งหลายเมื่อท่านทั้งหลายได้มาร่วมด้วยช่วยกันในงานอันมิ่งขวัญเป็นสิริมงคลอย่างนี้ท่านทั้งหลายก็จงนำคุณธรรมของหลวงพ่อเอาไปประพฤติ เอาไปปฏิบัติ เอาไปทำ หลวงพ่อสอนในเรื่องพระธรรมกาย ทำใจให้สงบอยู่ที่ฐานที่ 7 ให้มองเห็นดวงแก้ว ให้มองเห็นพระธรรมกายแล้วอันนั้นล่ะ เป็นความประสงค์เป็นความมุ่งหมายที่หลวงพ่อตั้งอกตั้งใจสอน เมื่อท่านทั้งหลายได้เห็นเป็นส่วนเบื้องต้นอย่างนี้แล้วหลวงพ่อก็มีวิธีที่จะสอนสืบต่อไปอันนี้เป็นเบื้องต้นท่านทั้งหลาย
ถ้าพูดถึงธรรมะ ถ้าพูดถึงธรรมะ หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่าประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิดประเสริฐนัก อันนี้ก็หมายความว่าหลวงพ่อให้รู้จักประกอบเหตุ สังเกตผลก็คือตั้งปัญญาให้เราทั้งหลายเป็นคนมีปัญญา ให้รู้จักเหตุรู้จักผล และหลวงพ่อสอนให้มีขันติ ขันติทนเอา แล้วก็ผู้นั้นเมื่อรู้จักเหตุรู้จักผลซึ่งเป็นทั้งปัญญาแล้ว ประกอบเหตุ สังเกตผล แล้วก็ทนเอาเป็นทั้งขันติ ท่านทั้งหลายเมื่อเป็นดั่งนี้ เมื่อท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่อย่างนี้ท่านทั้งหลายจะได้รับความสุข ความสงบความร่มเย็นแน่นอน ในคำสอนของหลวงพ่อนั้นก็คือ คำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนคุณธรรมที่สูงส่ง 2 อย่าง 1 ขันติ 2 นิพพานะ ดั่งที่ปรากฏว่า ตามที่ปรากฏอยู่แล้ว ว่า ขันติกับนิพพานะ
ขันติกับนิพพานะ นี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นยอดของธรรมะ เป็นบรมธรรมะ 2 ประการนี้ ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา นิพพานัง ปะระนัง วะทันติ พุทธา ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าว ขันติและนิพานว่ายอดเยี่ยมยอดยิ่งท่านทั้งหลายที่หลวงพ่อบอกว่าให้ประกอบเหตุสังเกตผลทนเอาเถิดประเสริฐนัก ก็คือคุณธรรม 2 ประการนี้เอง ขันติกับนิพพานะ
ขันติความอดทน เราทั้งหลายทุกคนทุกท่านเราต้องมีขันติไม่ว่าจะทำอะไรเป็นเด็กเป็นเล็กเรียนหนังสือก็ต้องใช้ขันติ ถึงโตขึ้นมาประกอบสัมมาอาชีวะก็ต้องใช้ขันติ ทุกอย่างโดยใช้ขันตินั้นกระทั่งว่า จนวันหนึ่งท่านทั้งหลาย เทพบุตรเทพธิดากัลยาณมิตรมาร่วมด้วยช่วยกันในการอัญเชิญรูปหล่อหลวงพ่อขึ้นประดิษฐานนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้รับความลำบากตรากตรำไม่ใช่น้อยนั่งตามถนนหนทาง ตากแดดบ้าง ร้อนบ้าง เย็นบ้าง ได้รับประทานอาหารบ้าง ไม่ได้รับประทานอาหารบ้าง นั้นท่านทั้งหลายก็ต้องใช้ขันติอันนี้เป็นขันติคุณธรรมอันประเสริฐสุข ให้บุคคลได้สำเร็จความมุ่งหมายได้ ทำอะไรได้สำเร็จได้ท่านทั้งหลายเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น ได้ความลำบากอย่างนี้จึงได้ความสำเร็จ ปลื้มใจชื่นใจได้กุศลผลบุญ
และอีกประการหนึ่งคือ นิพพานะ นิพพานะคือการดับเย็น ดับเย็นคนเราถ้าใจ ใจเราเย็น ใจเย็นแล้วก็เย็นใจแล้วมันสบายแต่ถ้าคนเราใจร้อนมันก็ไม่สบาย ใจเย็นนั่งที่ไหนก็นั่งได้ นอนที่ไหนก็นั่งได้ เหมือนดั่งกัลยาณมิตรเทพบุตรเทพธิดานั่งตามถนนหนทางแดดร้อนบ้าง ไม่ร้อนบ้าง ก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะใจเย็นใจเป็นกุศลนี้ อย่างนี้ท่านทั้งหลายคุณธรรมนิพพานะนี้ทำให้มีความสุขมีความสงบมีความร่มเย็น ถ้าถึงที่สุด ดับกิเลสตัณหาได้อันนั้นเรียกว่าเป็นที่สุดแล้วถึงความสงบร่มเย็นอย่างแท้จริงแล้ว แต่อันนี้เรายังอยู่ในฐานะนี้ก็ทำให้มีความอดทนทำให้มีความดับความเย็นก็เป็นกุศลผลบุญเป็นความสุขของเราท่านทั้งหลายแล้วขออีกครั่งหนึ่ง
ขอประกาศขอพระเดชพระคุณคณะวัดพระธรรมกาย ท่านเจ้าพระคุณพระเทพญานมหามุนีเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิริยะคุณ รองเจ้าอาวาส พร้อมด้วยพระมหาเถระคณะกัลยาณมิตรแห่งวัดพระธรรมกาย ได้เมตตานำหลวงปู่ทองคำมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และก็อาตมาภาพกระผมขอเรียนถวายคณะวัดพระธรรมกายว่าท่านทั้งหลาย เมื่อได้นำหลวงปู่มาประดิษฐาน ณ ที่นี้แล้วก็คงจะไม่ทิ้งซะทีเดียว คงจะต้องค่อยดูแลรักษาต่อไปว่า หลวงปู่เป็นยังไงบ้าง ก็คงต้องช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ต่อไป
ในที่สุด ผมพร้อมด้วยคณะสงฆ์ มีท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ ท่านเจ้าคุณพระพรหมโมลี เป็นต้นเป็นประธาน ขออำนวยอวยพรโดยอ้างอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และอ้างอำนาจบุญบารมีกำลังฤทธิ์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือว่าของหลวงปู่วัดปากน้ำ จงมาดลบันดาลอภิบาลท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายซึ่งมี ท่านเจ้าคุณพระเทพญาณมหามุนี ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิริยะคุณเป็นต้นเป็นประธาน ขอทุกท่านจงเจริญรุ่งเรืองไพศาลในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พาละ ปฏิภาณ ธรรมะสารสมบัติ และมีความประสงค์สิ่งใดในทางที่ชอบให้จงสำเร็จในความประสงค์สิ่งนั้น จงทุกประการเถิด
ที่มา : DMC-Youtube
10 เมษายน 2555
10 เมษายน 2555
"ไม่มีพระพุทธบัญญัติว่าพระธุดงค์ต้องเข้าป่า"
ดังนั้น จะเข้าตรงไหนก็ได้
พระธรรมกิตติวงศ์สวมวิญญาณศรีธนญชัย
ประกาศก้องกลางสนามเทพหัสดิน
เขียนป้ายขึ้นคัตเอ๊าท์ ปักธงทิว ปูพรม เกณฑ์คนมาต้อนรับ-โรยกลีบกุหลาบ โฆษณาทางหนังสือพิมพ์ ทีวี ดาวเทียม อินเตอร์เน็ต แห่รูปเหมือนทองคำหนักเป็นตัน ฯลฯ พวกนี้ก็ไม่มีในพระบัญญัติเกี่ยวกับพระธุดงค์ ดังนั้นก็ทำได้ ไม่ผิดพระบัญญัติใช่ไหม ว่าแต่ศาสนาไหน ศาสดาพระองค์ใดครับ ?
คำอธิบายธุดงค์ธรรมชัยโดย พระธรรมกิตติวงศ์
(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ราชบัณฑิต)
(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ราชบัณฑิต)
เข้ากรุง เท่ากับ เข้าป่า
ตึกรามบ้านช่อง (ป่าคอนกรีต) เท่ากับ ป่าไม้ไพรพฤกษ์
นั่งในสนามกีฬา เท่ากับ นั่งในที่แจ้ง
ฯลฯ
ทุกข้อถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ถามว่าผิดอะไร ?
เออจริงสินะ ในเมื่อไม่มีพระบัญญัติบังคับไว้ว่าพระธุดงค์ต้องอยู่ในป่า (เป็นเพียงข้ออนุญาต) ดังนั้นจะว่าพระธุดงค์ธรรมชัยผิดพระธรรมวินัยก็ว่าไม่ได้ แต่โถถัง เป็นถึงอาจารย์สอนโรงเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทย และเป็นถึงราชบัณฑิต จับพระไตรปิฎกมาจนฉีกขาดกับมือ แต่ก็มาตกม้าตายเพราะไม่เคยอ่านหรือไรว่า "มหาปเทศ 4" ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ก่อนสิ้นพระชนม์นั้นเอาไว้ทำอะไรบ้าง "สิ่งใดมิได้บัญญัติไว้ว่าไม่ควร สิ่งนั้นเข้ากันได้กับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกันกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร" เสียเหลี่ยมราชบัณฑิตหมดเลยครับ ก็เอาเถิด ท่านอยากจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็นิมนต์เข้าป่าคอนกรีตไปเถิดครับ ขอให้เจริญรุ่งเรืองใน "ธุดงค์ศรีธนญชัย" ก็แล้วกัน
กดที่ภาพเพื่อฟังคำอธิบายธุดงค์ธรรมชัย
โดยพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ราชบัณฑิต)
เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม และประธานที่ปรึกษาวัดพระธรรมกาย
วันนี้ เรามาสร้างประวัติศาสตร์ ของกรุงเทพมหานคร ของพระพุทธศาสนาและของประเทศไทยกัน นั้นก็คือมาร่วมมีส่วนในการทำสิ่งที่อัศจรรย์ ทำได้ยาก ไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครนับแต่สร้างกรุงมา นั้นก็คือมีพระสงฆ์จำนวน 1,500 กว่ารูป เดินธุดงค์เข้ามากลางกรุง มาพักกลางกรุง ในถิ่นที่เจริญรุ่งเรือง ในถิ่นที่มีจราจรแออัดคับคั่ง บางท่านอาจจะเกิดความขัดแย้ง ความคิดขัดแย้งในใจว่า ทำไมมีแต่ข่าวว่าธุดงค์มักจะไปในป่า แต่นี้ทำไมธุดงค์เข้าเมือง ความจริงแล้วเรื่องธุดงค์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เป็นข้ออนุญาต ไม่ใช่เป็นข้อบังคับ พระสงฆ์ที่มีจิตศรัทธาย่อมสามารถทำได้
และการถือปฏิบัติธุดงค์นั้นก็ทรงบัญญัติไว้ถึง 13 ข้อ มีเพียงข้อเดียวที่ กำหนดว่าต้องอยู่ป่า อีก 12 ข้อนั้นอยู่ที่ไหนก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ อยู่กับที่ก็ได้ เดินก็ได้ เข้าเมืองก็ได้
ถ้าสมมติว่ากลางกรุงนี้เป็นป่า อย่างที่มีคนชอบพูดกันว่าเป็นป่าคอนกรีต ก็แสดงว่าท่านก์เดินธุดงค์ในป่าเหมือนกัน ก็ป่าคอนกรีต
ตึกบ้านช่องก็ถือว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ บริเวณนี้เป็นสนามกีฬา ก็เท่ากับว่าเป็นลานโล่งอยู่ในลักษณะของธุดงค์อีกข้อหนึ่ง ก็คือไม่อยู่ในร่มเงาของชายคาของต้นไม้
อันนี้ก็ถูกต้องตามพระบัญญัติ ไม่ได้ผิดอะไร ที่จะแปลกหน่อยก็คือจำนวนเท่านั้น ปกติเราเห็นพระธุดงค์ตามท้องถนนแบกกลดก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่นี้พันกว่าองค์ก็เลยรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องแปลก ไม่เคยเห็น คนที่มีบุญย่อมเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ส่วนผู้ที่ไม่มีบุญ แม้ไม่เคยเห็นก็คงไม่เคยเห็นตลอดชาติ ตลอดไป อันนี้ก็เป็นปกติธรรมดา เพราะก็ขอให้ทุกท่านทั้งหลายได้ชื่นใจ สิ่งที่ไม่เคยพบ เราก็ได้เห็น ได้พบ และก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เสียหายร้ายแรง เป็นเรื่องดี เรื่องงาม นำความชื่นใจมาให้
ที่มา : DMC-Youtube
10 เมษายน 2555
10 เมษายน 2555
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ