สมเด็จพระสังฆราช เตือน พระ-เณร
ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน" ข้อมูลผู้ทำลายพระศาสนา ที่ http://picasawebcothssomkiert.blogspot.com/2011/11/blog-post_21.html
ประวัติศาสตร์มหาเถรสมาคม
เดลินิวส์ 19/3/2542สังฆราช' เตือนพระ-เณรระวังนรก ทรงตรัสย้ำ อย่าทำลายศาสนา
สมเด็จพระสังฆราชตรัส สะท้านศาสนาก่อนชี้ขาดปัญหาธรรมกายวันเดียว ยุคนี้พระไม่สะดุ้งต่อบาป ละเมิดศีลธรรม พระวินัยจนไม่เหลือความเป็นพระ แม้ไม่พูดก็รู้กันดีอยู่ เตือนพระเณร อย่าเอาอย่าง ศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น หยุดความเหิมเห่อทะเยอทะยาน ไม่เช่นนั้นจะตกนรกด้วยกรรมหนัก เพราะทำลายศาสนา อายสัตว์นรก "อำนวย"ระบุประมุขสงฆ์รู้สึกถึงจุดสุดๆ ที่ศาสนาถูกย่ำยี เสนอรัฐบาล ออกกฎหมายคุ้มครองศาสนา มหาเถรฯระบุสงฆ์ถือครองที่ดินผิดชัด ต้องโอนให้วัดอย่างเดียว จี้หยุดเรี่ยไร "ธัมมชโย"ถูกแจ้งความ 6ข้อหาตำรวจสอบอุโมงค์ลับเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่พุทธมณฑล มีการประชุมสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสทั่วประเทศ โดยมีพระสังฆาธิการ 800 องค์ ร่วมพิธ ีและถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกทรงเป็นประธานเปิดงาน โดยมีดำรัสเป็นพระวรธรรมคติว่า ยุคนี้เรียกว่าโลกาภิวัฒน์ต้องยอมรับยุ่งยากที่สุด ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า เป็นเครื่องชี้ให้เห็นจิตใจผู้คน ห่างไกล จากพระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างลิบลับ ทั้งที่มีการสอนพระพุทธศาสนา สอนธรรมะปฎิบัติ น่าเสียใจน่าห่วงใย ใจคนทรุดต่ำลงมากมาย และเหลือเชื่อ เห็นได้จากการทำความไม่ดีไม่รู้สึกรู้สมไม่รู้จักอับอายแม้กระทั่งพระ ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ปฏิบัติละเมิดศีล ละเมิดพระธรรมวินัยจนไม่เหลือให้เป็นผู้มีศีล มีธรรม มีวินัยของพระสงฆ์อีกแล้ว ที่จริง แม้ไม่นำมาพูดก็รู้กันดีอยู่ วันนี้จะขอร้องเพียงว่า อย่าทำตนเอง ให้เป็นเช่นที่รู้ที่เห็นดังกล่าว ขอจงรักษาตัว รักษาใจให้เป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่ง ในการประคับประคอง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้พ้นจากวิกฤตแลวร้าย พระเป็นที่พึ่งสำคัญ ของญาติโยม ขอทำตนให้เป็นที่พี่งที่แท้จริง "เพื่อให้สามารถรักษาตนให้พ้นความผิดความชั่วได้ ขอจงตั้งใจศึกษา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่มากมาย มิได้ว่างเว้นแต่ละเวลา ความตายที่เกิดขึ้นให้รู้ให้เห็น ตรงนี้ เป็นเหตุให้ผู้ไม่มืดบอดไปคิด ให้เกิดความกลัว ที่จะต้องพบกับความตาย โดยมิได้ทำความดี โดยที่ทำความชั่วอยู่หนักนักหนา เชื่อว่าไม่มีสักกี่คน ที่ไม่กลัวผลของความชั่ว ผลของการผิดศีลธรรมผิดวินัย ของพระของเณร เพียงแต่พากันประมาทจนเกินไป อยากขอให้กลัวความตายที่จะเกิดแก่ตน ขณะที่มีบาปมีกรรมชั่วร้าย ที่เป็นทางไปสู่ภพชาติ ที่น่าสะพรึงกับต่าง ๆ นาน ๆ สมบัติสักนิดติดตัวไปก็ไม่ได้ มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่ตามประชิดติดอยู่"สมเด็จพระสังฆราชตรัสอีกว่า ให้พระภิกษุ สามเณร หยุดความเหิมเห่อทะเยอทะยาน ควรปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ เมื่อชาติหน้ามาถึง จะได้ไม่ไปอายสัตว์นรกที่อยู่ก่อน โดยเฉพาะสัตว์นรกพวกนี้ไม่ได้เป็นพระเป็นเณรมาก่อน ไหน ๆ บวชเรียนมาแล้วเป็นเวลานานปี อย่าให้เสียเวลาเปล่า จงเร่งทำประโยชน์ให้ตัวเองพ้นนรก พ้นกรรมหนัก ที่เป็นผู้ทำพระพุทธศาสนาสนา ให้ด่างพร้อย ให้ถูกแวดล้อมด้วยความสกปรกของพระเณรที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีวินัย ยุคนี้สมัยนี้เห็นต้องพูดเช่นนี้ หวังว่าที่พูดในวันนี้พระเณรคงได้ยินและเชื่อกันบ้าง เพื่อให้พรตนเองให้พ้นกรรมมหันต์ เป็นสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า ขอฝากทุกคนไว้แค่นี้หลังจากนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ(เกี่ยว อุปเสโณ) กล่าวเป็นอันดับต่อไปว่า มหาเถรสมาคม กระจายอำนาจการปกครอง ไปยังคณะสงฆ์ต่าง ๆ ทั้งภูมิภาค กฎหมายการปกครองคณะสงฆ์ ได้ระบุชัดเจนว่า ให้สงฆ์ปกครองกัน โดยเอื้อต่อหลักพระธรรมวินัย พระพุทธองค์ตรัสไว้ให้ปกครองเหมือนพ่อปกครองลูก ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา แม้อะไรผิดพลาดต้องดูแลลูก จึงทำให้เกิดความรู้สึก กับคนทั่วไปว่า มหาเถรสมาคมทำอะไรไม่ทันเหตุการณ์ เมื่อยึดพระธรรมก็ต้องปฏิบัติโดยทั่วไป ศาสนาที่อยู่มาได้ก็เพราะสาเหตุนี้ภาวะปัจจุบัน อยากให้พระต้องดูแลประชาชน เรื่องความเดือดร้อน ไม่ว่าภัยแล้งเศรษฐกิจตกต่ำ พยายามสงบเสงี่ยมเจียมตัว วัดอย่าไปซ้ำเติมประชาชน ด้วยการเรี่ยไรบุญ ภายหลังเสร็จสิ้นการบรรยาย เปิดโอกาสให้ประชาชนสอบถาม คำถามที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก คือเรื่องการถือครองที่ดิน ของพระภิกษุและการก่อสร้างที่ใหญ่โต โดยต้องการให้สมเด็จพุฒาจารย์ตอบ โดยสมเด็จพุฒาจารย์ตอบว่า ไม่ส่งเสริมให้พระถือครองที่ดิน ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ส่วนการสร้างวัดศาสนวัตถุ ถาวรวัตถุใหญ่โต ควรจะตรวจตรา ไม่ให้เกินกำลัง คณะสงฆ์จะคอยดูแลไม่ให้เกินกำลังของวัดผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวัดพระธรรมกายไม่มีพระราชภาวนาวิสุทธิ์(พระไชยบูลย์ ธัมมชโย)เจ้าอาวาส ,รองเจ้าอาวาส หรือพระผู้ใหญ่มาร่วม และได้ส่งพระมหาศรชัย สุภชโย มาแทน และเมื่อถึงเวลาฉันเพล พระมหาศรชัยก็มีรถตู้มารับ ไปฉันบนรถ ไม่ได้ฉันร่วมกับพระอื่น และเมื่อถึงเวลาช่วงบ่ายก็มีรถมาส่งที่งานส่วนนายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การที่สมเด็จพุฒาจารย์ระบุไม่สนับสนุนให้พระถือครองที่ดิน เป็นการกล่าวโดยภาพรวมทั้งประเทศ ไม่ต้องการให้วัดปฏิบัติเช่นนั้น อย่างกรณีของปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่พระไชยบูลย์ไปถือครองที่ดิน การประชุมมหาเถรสมาคมในวันที่ 19 มี.ค.นี้คงมีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมีการบรรจุวาระไว้แล้ว และการสร้างศาสนาวัตถุที่ใหญ่โต จุดสำคัญคือ พุทธศาสนิกชน ญาติโยม ต้องไม่สนับสนุนด้วย โดยนายอาคมกล่าวว่า เคยพูดกับสมเด็จพุฒาจารย์เช่นกัน ถึงภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ วัดไม่ควรมีการสร้างอะไรมาก แม้กำลังก่อสร้าง ก็ไม่ควรเร่งรัดประชาชน ไม่เป็นการระดมทุนให้มาทำบุญ มหาเถรสมาคมระบุชัดแล้ว ต้องไม่มีการบังคับ ไม่ให้ออกไปเรี่ยไรนอกวัด การโทรศัพท์ติดต่อหรือเขียนจดหมายติดต่อผิดอยู่แล้วนายอาคม กล่าวอีกว่า การประชุมมหาเถรจะมีเรื่องที่ดินของพระไชยบูลย์ด้วย เพราะข้อเสนอของคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ และคณะทำงาน ของกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการ ให้มีการพิจารณาเรื่องนี้ใด้ชัด ส่วนที่มีข่าว พระไชยบูลย์ไปซื้อที่ดิน โดยใช้ชื่อ "นายไชยบูลย์"ยังไม่มีหลักฐาน หากใครมีขอให้แจ้งด้วย เพราะมีประกาศมหาเถรสมาคม เรื่องภิกษุสามเณรเซ็นนาม แสดงภาวะไม่แน่นอนว่า เป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ลงวันที่ 24 พ.ย. 2479 หากภิกษุสามเณรเซ็นนาม เป็น"นาย" แสดงภาวะที่ไม่แน่นอนว่าเป็นเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิตให้ปรับสึกทางด้านพระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย กล่าวว่าการที่พระไชยบูลย์ไปซื้อที่ดิน และมีชื่อครอบครอง ถือว่าผิดวินัยที่ 9และ 10 แห่งโกสิยวรรค ที่ห้ามไม่ให้พระ หรือใช้บุคคลอื่นไปใช้เงินซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยน โดยพระพุทธเจ้าทรงตำหนิผู้ละเมิดศีลทั้ง 2 ข้อว่าเป็นโมฆะบุรุษ การแก้ต้องปลงอาบัติ แต่ต้องสละ หรือยกที่ดินให้สงฆ์หรือโยนทิ้งไปเสียก่อนถึงจะแสดงอาบัติได้ในแง่กฎหมายพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎหมายเถรสมาคม โดยเฉพาะมาตรา 15 (2) กำหนดว่า พระมหาเถรสมาคม มีอำนาจ ในการรักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา โดยสามารถออกระเบียบ คำสั่ง หรืออำนาจให้พระภิกษุรูปใด หรือให้คณะกรรมการ หรืออนุกรรมการดำเนินการแทนได้ ซึ่งในแง่ของที่ดิน ที่พระไชยบูลย์ซื้อนี้ มหาเถรสมาคม สามารถสั่งบังคับ ให้โอนที่ดินได้เลย หรือมอบอำนาจให้บุคคลใดทำแทนก็ได้สำหรับประเด็นที่ มหาเถรสมาคมสามารถสั่งให้พระไชยบูลย์สึกได้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่า เมื่อพระไชยบูลย์ได้รับคำสั่ง จากมหาเถรสมาคมแล้วลงนามรับทราบ แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามเช่นยังสอนผิดเพี้ยน หรือเรี่ยไรเหมือนเดิมก็สามารถสั่งสึกได้ ในฐานะ ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ อีกประเด็นที่น่านำมาวินิจฉัย คือประกาศของมหาเถรสมาคม ลงวันที่ 24 พ.ย. 2479 เรื่อง ภิกษุสามเณรเซ็นนามแสดงภาวะไม่แน่นอน ว่าเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ถ้าพระไชยบูลย์ลงนามเป็นคฤหัสต์ในเอกสารที่ดินดังกล่าวก็จับสึกได้พระอุดมญาณโมลี(มาติต ถาวโร)วัดสัมพันธวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคมกล่าวว่า ประชุมมหาเถรฯจะพิจารณา ปัญหาวัดพระธรรมกาย จากคราวที่แล้วพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ขอให้กรรมการมหาเถรสมาคม เขียนข้อคิดเห็นนำเสนอต่อมหาเถรฯ อาตมายังไม่ได้เขียนเลย อย่างไรก็ตามมองว่าน่าจะยืนตามคำวินิจฉัยเจัาคณะภาค 1 ขณะที่พระสุธรรมาธิบดี(เพิ่ม อาภาโค) วัดราชาธิวาสกล่าวว่า ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลเอกสารจากเจัาคณะภาค1 ส่วนตัวมองกว่าเป็นปัญหาของพระในมหานิกาย อาตมาธรรมยุติไม่แสดงความเห็นขณะเดียวกัน พระหลายรูปที่ร่วมประชุมพระสังฆาธิการกล่าวตรงกันว่าพระไปถือครองที่ดินไม่เหมาะสม ปัญหาวัดพระธรรมกายต้องตัดสิน และมีการสอนไม่เหมาะ ไม่ควรปรากฎในพุทธศาสนา ชาวบ้านถามกัน จนไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว ถ้าปล่อยไว้ยาวนานต้องมีผลกระทบแน่ นายอำนวย สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศาสนากล่าวว่า ตนจะนำพระวรธรรมคติ ของสมเด็จพระสังฆราช ในวันนี้เข้าไปวิเคราะห์ในที่ประชุมกรรมาธิการการศาสนา เป็นรายประโยคเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ รัฐบาล มหาเถรสมาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสนองพระบรมราโชบายนี้ โดยเฉพาะรัฐบาล ต้องเร่งออกกฎหมาย อุปถัมภ์คุ้มครองพุทธศาสนา โดยเร็วสุด คิดว่าสมเด็จพระสังฆราชคงทรงรู้สึกสุด ๆ แล้ว โดยตนได้พบเจ้าคณะจีนนิกายใหญ่ ท่านบอกว่าสังคมมันสุด ๆ แล้ว เพราะกรรมหนักมาก ที่มีคนทำให้พระพุทธศาสนาด่างพร้อย และสมเด็จพระสังฆราชปรารภอย่างแรงมาก เนื่องจากไม่มีใครสนองท่านนอกจากนั้น นายอำนวยยังขอให้พระที่ไม่สะดุ้งสะเทือนต่อพระธรรมวินัย ทบทวนตัวเอง เพราะละเมิดเสียแล้ว แม้ท่านไม่ยกเอามาพูด คนทั่วประเทศก็รู้อยู่แล้วว่า อะไรมันเกิดขึ้นในประเทศไทย ขณะนี้ไม่ใช่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่รวมวิกฤตสังคมด้วย ก็ขอให้พระสงฆ์ กระทำตน เป็นที่พึ่งของญาติโยมให้ดีสุดตามคำตรัสของสมเด็จพระสังฆราช โดยเฉพาะท่านเตือนเรื่อง กฎแห่งกรรมน่ากลัวมาก หากแก้วิกฤตสังคมไม่ได้ การแก้ปัญหาเศรษบกิจจะทำไม่ได้ บุญทางวัฒนธรรมสูญหายไปมากกว่าเงินทุนสำรองของประเทศวันเดียวกันเมื่อเวลา 09.30 น. พระบานเย็น ชินวโร อายุ 72 ปี อดีตแกนนำชาวนา ที่ต่อสู้กับวัดพระธรรมกายร่วมกับชาวบ้าน กรณีพิพาทเรื่องที่ดินเมื่อปี 2531 ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พล.ต.ต.สมเกียรติ อุปกรณ์ศิริการ สารวัตรเวร สภ.อ.คลองหลวง ให้ดำเนินคดีกับพระไชยบูลย์ เจ้าอาวาส พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส พระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รวมถึงศิษย์สนิทอีกหลายคน ข้อกล่าวหาที่พระบานเย็นเข้าแจ้งความ ประกอบด้วย 1.บ่อนทำลายชาติ 2.บ่อนทำลายพุทธศาสนา 3.หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 4.ละเมิดกฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกตรกรรม 5.มีพฤติการ์ก่อการร้าย โดยมีการขุดอุโมงค์ลับภายในวัด และ 6.มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง โดยในวันอังคารที่ 23 มี.ค.นี้จะมีการนำพยานบุคคล ที่รู้เห็นเรื่องอุโมงค์ลับของวัดพระธรรมกายพาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปชี้เพื่อพิสูจน์ว่ามีอุโมงค์ลับจริงพ.ต.อ.จิรุจจ์ พรหโมบล ผกก.สภ.อ.คลองหลวง กล่าวว่า หลังจากรับแจ้งความแล้วทาง สภ.อ.คลองหลวง จะประสานกับตำรวจกองปราบ ในเรื่องสำนวน ที่พระบานเย็นเคยเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบก่อนที่จะมีการโอนคดีมาให้สภ.อ.คลองหลวง ประเด็นข้อกล่าวหาต่างๆ จะดำเนินการ เฉพาะที่มีหลักฐานเท่านั้น ส่วนกรณีอุโมงค์ลับ หากมีพยานยืนยันได้ชัดเจน ก็จะขออนุญาตทางวัดเข้าตรวจสอบ คาดว่าทางวัดคงไม่ขัดข้อง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้ามาแจ้งความครั้งนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิธรรมกายมาสังเกตการณ์ด้วย นอกจากนั้นขณะนี้วัดพระธรรมกายได้ทำปฏิทินปี 2542 ออกแจกจ่ายไปทั่วประเทศ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า ไม่เหมาะสม เพราะนำภาพพิธี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพัดยศพระสงฆ์ ในวัดพระแก้ว มาประมวลร่วมกับภาพกิจกรรมของทางวัด ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับผู้ที่พบเห็นได้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่รัฐสภาได้มีการบันทึกรายการตามหา..แก่นธรรม โดยมีพระราชธรรมนิเทศ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร,นายอำนวย สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศาสนา ฯ, นายกุเทพ ใสกระจ่าง กรรมาธิการศาสนาฯ เป็นวิทยากรรับเชิญ มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสุเมธ โสฬศ เป็นผู้ดำเนินรายการการบันทึกรายการ มีผู้สนใจตั้งกระท ู้เกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกายเป็นส่วนใหญ่ กระทู้แรกเริ่มต้นคำถามว่า ระหว่างพระที่มีความมักมาก กับนักการเมืองโกงกิน ใครจะมีความผิดมากกว่ากันนั้น สรุปว่าต่างคนก็ผิดกระทู้ที่ 2 ถามว่า ทำไมการปกครองของคณะสงฆ์จึงหย่อนยาน พระผู้น้อยเสพสุรากลับจับสึก แต่พอธรรมกายสอนผิดเพี้ยนกลับยืดเยื้อ พระราชธรรมนิเทศกล่าวว่า เรื่องนี้ยุ่งยาก เพราะวัดก่อตั้งมานาน แทรกซึมเข้าไปในองค์กรต่าง ๆ ต้องเกรงใจและอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน ขนาดเจ้าคณะอำเภอ เป็นพระปกครองโดยตรงยังบอกแต่ว่าวัดพระธรรมกายดีไปหมด ความจริงแล้วพระสายวิชาการติดตามเรื่องนี้มานาน และได้แสดงการคัดค้าน การสอนวิชชาธรรมกาย ของหลวงพ่อสดมานาน แต่เพราะมีพระผู้ใหญ่มากๆรูปหนึ่งมีหนังสือยืนยันความสุดยอด ของวิชชาธรรมกาย จนส่งผลให้ ไม่มีพระออกมาพูดเรื่องนี้ ด้านนายกุเทพ กล่าวว่า กรณีที่ถกเถียงกันนี้ หากธรรมกายไม่ยอมเป็นฝ่ายผิด ต้องให้ออกจากการเป็นเถรวาทไป แนวทางที่วัดพระธรรมกายปฏิบัตินี้เป็นแนวทางสำหรับหาเงิน นายอำนวย เชื่อว่า ปัญหายังต้องยืดเยื้อออกไปอีกนาน กว่าจะตัดสินหมดทุกประเด็น เรื่องนี้พระสังฆราชก็ได้รับสั่งว่า ประสงค์ให้เกิดความรวดเร็วแต่ต้องมีหลักฐานด้วยกระทู้ที่ 3 เป็นเรื่องของการสอนนิพพานเป็นอัตตา ทุกคนเห็นพ้องให้เผาทำลายตำราเหล่านี้ กระทู้ที่ 4 ถามว่าสื่อมวลชนนำเสนอข่าว ให้ร้ายวัดพระธรรมกาย ไม่ย่อมเสนอข่าวความดีเลย คิดว่าสื่อได้ประโยชน์อะไร จากการกระทำนี้ ทุกคนกล่าวว่า สื่อมวลชนต้องสะท้อนความรู้สึกของประชาชนทั้ง 60 ล้านคน สื่อทำหน้าที่ และเชื่อว่าไม่ได้อะไรจากการนี้ หน่วยงานที่ติดตามเรื่องนี้ยังยอมรับว่า ข่าวที่สื่อนำเสนอเป็นเรื่องจริง ตรงตามหาข่าวมาได้ และสื่อมีข้อมูลเก็บไว้นานแล้ว ไม่ได้ตัดสินใจลงข่าวกันในวินาทีเดียว จนเมื่อสร้างเจดีย์ป้องกันน้ำท่วมโลกและโลกแตก จนคนเดือดร้อนถึงเสนอข่าว กระทู้สุดท้ายถามว่า หากมีการตัดสิน ให้แก้คำสอน ของวัดพระธรรมกายแล้วไม่ยอมแก้จะทำอย่างไร ทุกคนเชื่อว่าแก้ยาก โดยเฉพาะในหมู่ศิษย์ที่ศรัทธาจนจะกลายเป็นลัทธิใหม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ