โอวาทปาติโมกข์ คำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา


โอวาทปาติโมกข์ หรือ โอวาท ๓ คือ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา
เรียกว่า เป็นคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาก็ว่าได้
 
โอวาท ๓ นี้ เป็นพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑๒๕๐ รูป 
ที่มาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม 
ในวันเพ็ญ เดือน ๓ (วันมาฆบูชา) 
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ 
โดยตรัสเป็นพระคาถา รวม ๓ พระคาถาครึ่งดังต่อไปนี้ 

ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง 
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง 

ผู้ทำร้ายผู้อื่น ผู้เบียดเบียนผู้อื่น 
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะเลย 

การไม่ทำบาปทั้งสิ้น 
การยังกุศลให้ถึงพร้อม 
การทำจิตของตนให้ผ่องใส 
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. 

การไม่กล่าวร้าย ๑ 
การไม่ทำร้าย ๑ 
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑ 
ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ 
ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ 
การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ 
หกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. 




พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ "โอวาทปาติโมกข์" 

โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนา 
อันเป็นไปเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต 
เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอนอันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา 
หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้ 

หลักการ ๓ 

๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง 
ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง 
ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ 
อันเป็นความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจความชั่วทางกาย 
ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม 
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ 
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท 
และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม 

๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม 
ได้แก่ การทำความดี ทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ 
เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง 
อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ 
การทำความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น 
มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 
การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน 
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม 
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ 
และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง 
พูดคำอ่อนหวาน พูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ 
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่น 
มีแต่คิดเสียสละการไม่ผูกอาฆาตพยาบาท 
มีแต่คิดเมตตาและปรารถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง 
ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 

๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส 
ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่ 
๑). ความพอใจในกาม (กามฉันทะ) 
๒). ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท) 
๓). ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ) 
๔). ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ 
๕). ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดี 
ความชั่วว่ามีผลจริงหรือไม่ 


อุดมการณ์ ๔ 
๑. ความอดทน 
ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกายวาจา ใจ 
๒. ความไม่เบียดเบียน 
ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้ายรบกวน 
หรือ เบียดเบียนผู้อื่น 
๓. ความสงบ 
ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ 
๔. นิพพาน 
ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา 
เกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘ 


วิธีการ ๖ 
๑. ไม่ว่าร้าย 
ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร 
๒. ไม่ทำร้าย 
ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น 
๓. สำรวมในปาติโมกข์ 
ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎ กติกา กฎหมาย 
รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม 
๔. รู้จักประมาณ 
ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหาร 
หรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ 
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด 
ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม 
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ 
ได้แก่ ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพ คุณภาพ 
และประสิทธิภาพที่ดี 



คัดลอกจาก... http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17879

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ