จริยธรรม ? ธนาคารไทยพาณิชย์ หญิงพิการวัย 60 ปี เข้าแจ้งความ 107 ล้านบาท
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเช้าวันใหม่ โพสต์โดย คุณ CiNNtv3 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
ร้องขอความเป็นธรรม! หญิงพิการวัย 60 ปี เข้าแจ้งความ ถูกผู้จัดการธนาคารที่ไว้ใจ ยักยอกเงินไป 107 ล้าน ระบุบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ดูสมุดบัญชี จึงจ้างทนายสืบ พบเงินเหลือเพียง 3 ล้าน
วานนี้ (3 กรกฎาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวเอื้อมบุญ จันทร์สมา อายุ 60 ปี เป็นบุคคลทุพพลภาพ ซึ่งเป็นบุตรสาวของ นายทองใบ จันทร์สมา อดีตนักกีฬาทีมชาติ ขี่ม้าและยิงปืน เดินทางพร้อม นายวันชัย ศรีสันติธรรม ทนายความ ขอเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเงินฝากในธนาคารไทยพาณิชย์หายไปกว่า 107 ล้านบาท
โดย นายวันชัย ทนายความ ได้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 6 ปี นางสาวเอื้อมบุญ ได้มอบหมายให้ผู้จัดการสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสนิทสนมกับบิดาของนางสาวเอื้อมบุญ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ดูแลเงินฝากที่ธนาคารให้ ต่อมาเมื่อปี 2550 นางสาวเอื้อมบุญต้องการขายที่ดินที่ได้รับมรดกบริเวณหลังสวนเบญจสิริ เนื้อที่เกือบ 1 ไร่ โดยนางสาวเอื้อมบุญ ก็ได้มอบหมายให้ผู้จัดการคนนี้ดำเนินการอีกเช่นเคย แต่ก็ได้เพียง 115 ล้านบาท ซึ่งความเป็นจริงที่บริเวณนั้นน่าจะได้ราคาดีกว่านี้ แต่ทั้งนี้ นางสาวเอื้อมบุญก็ไม่ได้ติดใจอะไร
นายวันชัย กล่าวอีกว่า จากนั้น นางสาวเอื้อมบุญ ก็ได้นำเงินที่ได้จากตรงนี้ไปฝากรวมกับเงินจำนวนเดิมที่มีอยู่ รวมเป็นประมาณ 140-150 ล้านบาท โดยให้ผู้จัดการคนดังกล่าวเป็นผู้ดูแล แต่ทั้งนี้ ก็เริ่มมีการผิดสังเกต เนื่องจากเมื่อนางสาวเอื้อมบุญขอดูสมุดบัญชีเมื่อไร ผู้จัดการธนาคารก็มักจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมอบให้ ส่วนการซื้อขายที่ดินก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ รวมถึงกุญแจนิรภัยของธนาคาร ที่ปกติจะต้องได้ 2 ดอก แต่นางสาวเอื้อมบุญได้มาเพียงแค่ 1 ดอกเท่านั้น
ทนายความ ยังกล่าวอีกว่า กระทั่งเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ปี 2555 นางสาวเอื้อมบุญ ได้มอบหมายให้ตนตรวจสอบเงินในบัญชีดังกล่าว ทำให้ตนทราบว่า บัญชีของนางสาวเอื้อมบุญถูกแยกออกเป็น 21 บัญชี 3 กองทุน และจากการรวบรวมหลักฐานพบว่า เงินในบัญชีหายไปทั้งหมด 107 ล้านบาท คงเหลือเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น จึงได้ทำเรื่องไปยังธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้ตรวจสอบและรับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมด
ทั้งนี้ นายวันชัย กล่าวต่อว่า ทางธนาคารก็ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายใน และพบว่าผู้จัดการคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่หายไปจริง แต่ยอดที่ถูกยักยอกไปนั้นมีเพียงแค่ 1.23 ล้านบาท ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบเงินที่หายไปมันมีจำนวนมากกว่านั้น จึงได้เดินทางมาเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะที่ นางสาวเอื้อมบุญ กล่าวว่า ตนเป็นผู้พิการเนื่องจากป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ ส่วนเรื่องเงินตนได้มอบหมายให้ผู้จัดการสาขาคนนี้ดูแลเรื่องเงินมาเป็นเวลานาน ซึ่งตนได้เงินจากการขายที่ และนำเงินลงทุนเข้ากองทุน โดยมีรายได้เข้าเป็นดอกเบี้ยเดือนละ 3 แสน ซึ่งตนก็เบิกเพียงเดือนละ 3 แสน เพื่อนำเงินไปรักษาตัว และตนก็คิดมาตลอดว่า เงินที่ตนมีอยู่ทั้งหมดคงอยู่ในธนาคารอย่างปลอดภัยแน่นอน แต่กระทั่งเมื่อตนของดูสมุดบัญชี ผู้จัดการคนดังกล่าวกลับมีท่าทีบ่ายเบี่ยง ตนจึงจ้างทนายเข้ามาตรวจสอบ จึงทราบว่า เงินในบัญชีหายไปเกือบหมด เลยเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ส่วนทางด้าน นางองค์อร อาภากร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบริหารงานสื่อสารองค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตนทราบเรื่องของนางสาวเอื้อมบุญแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ นางสาวเอื้อมบุญได้เข้ามาร้องเรียนไว้ และพบว่าทางพนักงานธนาคารได้ยักยอกเงินไปส่วนหนึ่งจริง จึงได้สั่งพักงานทันทีในวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา นอกจากนี้ก็ได้แจ้งให้หน่วยงานป้องกันการทุจริตของธนาคารดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งหากเป็นการทุจริตของพนักงาน ทางธนาคารก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และให้ความเป็นธรรมกับลูกค้า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ