จำคุกพล.อ.ธีรเดช ชงขึ้นเงินเดือนตัวเอง หลุดเก้าอี้ประธานวุฒิ จริยธรรมที่ต้องปลูกฝังใหม่ในชาติไทย
ศึกษาจริยธรรมได้ที่ โครงการจารึกวัดบวรนิเวศ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.258806637498779.62591.161446187234825&type=3#!/photo.php?fbid=417608041618637&set=a.337342796311829.76345.161446187234825&type=1&theater
จำคุกพล.อ.ธีรเดช ชงขึ้นเงินเดือนตัวเอง
หลุดเก้าอี้ประธานวุฒิ
| |
ศาลสั่งจำคุก "พล.อ.ธีรเดช มีเพียร" ประธานวุฒิฯ
กับอดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน 2 ปี ฐานขึ้นเงินเดือนตัวเอง ขณะที่ "ปราโมทย์ โชติมงคล"
อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เจอคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานช่วยสนับสนุน
ศาลปรานีโทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี เผย "พูลทรัพย์" จำเลยที่ 2 เป็นลมกลางห้องพิจารณา
ด้าน "นิคม" ชี้ "พล.อ.ธีรเดช" ต้องพ้นจากตำแหน่ง ปธ.วุฒิฯ ทันทีตามรัฐธรรมนูญ
คาดสรรหาประมุขวุฒิสภา คนใหม่ 10 ส.ค.นี้ ขณะที่ "ดิเรก" หนุน "นิคม"
ส.ว.สายเลือกตั้ง ชิงเก้าอี้ปธ.วุฒิฯ หลัง ส.ว.สรรหา เป็นมาแล้ว 2
สมัย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 ก.ค. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 814 ศาลอาญา ถนนรัชดา ภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีผู้ตรวจการแผ่นดินขึ้นเงินเดือนตัวเอง ในคดีหมายเลขดำ อ.4290/2552 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน, พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และนายปราโมทย์ โชติมงคล อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค.-30 ก.ย. 2547 นายพูลทรัพย์ จำเลยที่ 1 และพล.อ.ธีรเดช จำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ร่วมกับนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ซึ่งให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวก จำเลยที่ 1-2 กระทำผิด ในการจัดทำร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการ และอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. 2547 โดยจำเลยที่ 3 นำเอาร่างระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. 2547 ที่กำหนดค่าตอบแทนลักษณะเหมาจ่ายเดือนละ 20,000 บาท ที่เป็นข้อกำหนดที่ออกโดยมิชอบ มาอ้างอิงเป็นต้นแบบเพื่อออกร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ดังกล่าว จากนั้นในวันที่ 30 ก.ค. 2547 จำเลยที่ 1-2 ให้ความเห็นชอบเพื่อออกระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และมีการประกาศใช้ระเบียบฯ โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2547 ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทนประจำเดือน ก.ค.-ก.ย. 2547 ให้จำเลยที่ 1-3 เดือนละ 20,000 บาท รวม 3 เดือน 60,000 บาท ทั้งที่พวกจำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบที่จะให้ความเห็น ซึ่งการที่จะออกระเบียบจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ เป็นรายเดือนลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษลักษณะควบกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งนั้น จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรม นูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 253 และพ.ร.บ. ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 มาตรา 5 บัญญัติไว้เท่านั้น โดยต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรี เข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ ภายหลังจำเลยทั้งสามกระทำผิดแล้วได้ส่งเงินคนละ 60,000 บาทคืนให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เงินค่าตอบ แทนที่จำเลยที่ 1-2 ได้รับ แม้จะเรียกว่าค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เหมาจ่ายรายเดือน แต่สาระสำคัญแห่งการได้เงินมามีลักษณะมั่นคงแน่นอนเป็นประจำทุกเดือน เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่งานประจำตามปกติ เงินที่ว่านั้นจึงเป็นเงินเดือน การขึ้นเงินเดือนจึงต้องผ่านที่ประชุมรัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมาย จำเลยที่ 1-2 จะออกระเบียบขึ้นเงินเดือนเองมิได้ และจะอ้างว่าการออกระเบียบนี้เป็นการบริหารและจัดการเงินและทรัพย์สินของสำนัก งานผู้ตรวจการแผ่นดินเช่นเดียวกับการออกระเบียบเรื่องเงินเบี้ยประชุมมิได้ เพราะสาระสำคัญและเงื่อนไขการได้เงินเบี้ยประชุมแตกต่างจากเงินที่เป็นปัญหานี้อย่างสิ้นเชิง ส่วนที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าขาดเจตนากระทำผิดโดยเชื่อสุจริตใจว่า สามารถออกระเบียบได้เพราะคัดลอกข้อความมาจากระเบียบศาลรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1-2 ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน มีหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมของบุคคลอื่น และจำเลยที่ 3 เป็นเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับความไว้วางใจในความรู้ ความสามารถ คุณ ธรรม จริยธรรม ความดี และความสุจริต การขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองเป็นการกระทำที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนของจำเลยที่ 1-2 กับผลประโยชน์สาธารณะ จึงต้องมีมโนธรรมเข้ามากำกับอย่างยิ่งยวด จะใช้มาตรฐานความรู้สึกนึกคิดเช่นคนทั่วไปไม่ได้ การจะอ้างว่าเชื่อโดยสุจริตจะต้องมีเหตุผลอันสมควรอย่างยิ่งให้เชื่อเช่นนั้นได้ นอกจากนี้ ก่อนออกระเบียบเพิ่มเงินเดือนได้ความว่า คณะรัฐมนตรีมีมติปรับเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการทั่วประเทศอัตราร้อยละ 3 แต่องค์กรอิสระต่าง ๆ รวมทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนด้วย จึงจัดประชุมร่วมกันและร่วมทำหนังสือขอความเป็นธรรมถึงรัฐบาลขอให้แก้กฎหมายปรับเพิ่มเงินเดือนเช่นเดียวกับข้าราชการทั่ว ๆ ไป จึงชี้ให้เห็นว่าการปรับเพิ่มเงินเดือนแม้จำนวนเล็กน้อยเพียงร้อยละ 3 ก็มีความสำคัญ และต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด หน่วยงานผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมนี้จะปฏิเสธว่าไม่รับทราบ ไม่เข้าใจ ไม่ให้ความสำคัญกับขั้นตอนการขึ้นเงินเดือนไม่ได้ จึงไม่มีเหตุผลอันควรที่ทำให้จำเลยทั้งสามเห็นหลงไปได้ว่า การออกระเบียบเพิ่มเงินเดือนให้ตัวเองถึง 20,000 บาท ซึ่งมากกว่าการขึ้นเงินเดือนร้อยละ 3 นับสิบเท่า จะสามารถใช้ช่องทางลัดแปลความกฎหมายออกระเบียบเช่นนี้ได้ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น การกระทำของจำเลยที่ 1-2 จึงเป็นความผิด มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 86 จำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 2 ปี และจำคุกจำเลยที่ 3 จำนวน 1 ปี 4 เดือน แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นว่ามีเหตุควรปรานี จึงให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างฟังคำพิพากษา ช่วงที่ศาลกำลังอ่านคำวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิด ปรากฏว่านายพูลทรัพย์ จำเลยที่ 1 เกิดอาการหน้ามืดและเป็นลม พล.อ.ธีรเดช และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 2-3 ซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ช่วยประคอง โดยมีเจ้าหน้าที่รปภ.ของศาลมาช่วยหายาดมและปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้จำเลย พร้อมทั้งเรียกหาพยาบาลมาช่วยดูแล ขณะที่ศาลยังคงอ่านคำพิพากษาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งผ่านไปประมาณ 15 นาที จึงมีอาการดีขึ้น และไม่ต้องเรียกหาพยาบาลมาช่วยปฐมพยาบาล ทั้งนี้ สาเหตุที่จำเลยที่ 1 เป็นลมอาจเพราะมีอายุมาก ประกอบกับสวมชุดสูทรัดแน่น อย่างไรก็ตาม ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งสามได้แยกย้ายกันกลับ โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ซึ่งมาให้กำลังใจและร่วมฟังคำพิพากษา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากนี้จะคัดสำเนาคำพิพากษาไปศึกษา และพิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อหรือไม่ ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 กล่าวภายหลังศาลอาญามีคำพิพากษาสั่งจำคุก พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรณีขึ้นเงินเดือนตนเอง โดยให้รอลงอาญา 2 ปี ว่า ถือว่าพล.อ.ธีรเดช ต้องพ้นจากตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยทันที ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 124(4) ที่ระบุว่าประธานวุฒิสภาย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ ส่วนตำแหน่งวุฒิสภานั้น พล.อ.ธีรเดช ยังถือว่าดำรงอยู่ ในเบื้องต้นจำเป็นต้องสรรหาประธานวุฒิสภาคนใหม่โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการประชุมรัฐสภา ซึ่งจำเป็นต้องมีประธานวุฒิสภา ในตำแหน่งรองประธานรัฐสภาปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้คาดว่าจะมีการเรียกประชุมวุฒิสภา เพื่อสรรหา ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ ด้านนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา ในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมายประธานวุฒิสภา กล่าวว่าในประเด็นนี้ พล.อ.ธีรเดช ยังดำรงตำแหน่ง ส.ว.ได้ต่อ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 124(4) กำหนดในเฉพาะตำแหน่งระดับสูงที่มีความสำคัญเท่านั้น ส่วนกรณีที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 119(8) ระบุถึงการสิ้นสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง เมื่อต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษนั้น กรณีของพล.อ.ธีรเดช ยังไม่ถือว่าเข้าข่าย เพราะคดีดังกล่าวยังอยู่ในศาลชั้นต้น และไม่มีการพิพากษาถึงที่สุด สำหรับประเด็นความรับผิดชอบทางจริยธรรมของพล.อ.ธีรเดช จนถึงขั้นลาออกนั้น ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตัว แต่หากดูตามหลักกฎหมายแล้ว ไม่ถึงขั้นต้องออกจากตำแหน่งทางการเมือง ขณะที่นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยหากนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 จะขึ้นเป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่ แทนพล.อ.ธีรเดช มีเพียร ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายนิคมดำรงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา(วิปวุฒิสภา) มาหลายสมัย และมีความรู้ความสามารถในการประสานงานกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะกับฝ่ายการเมือง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีที่จะทำให้การทำงานร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เป็นไปอย่างราบรื่น "ถึงเวลาแล้วที่ประธานวุฒิสภาคนใหม่จะต้องมาจากส.ว.เลือกตั้ง หลังจากวุฒิสภามีประธานวุฒิสภาจากส.ว.สรรหามาแล้วถึง 2 คน ตั้งแต่ปี 2551 จึงสมควรเปิดโอกาสให้ ส.ว.สายเลือกตั้งได้มีโอกาสทำงาน ซึ่งนายนิคมเป็นส.ว.ฉะเชิงเทรา มีประสบการณ์ด้านงานการเมืองมาเป็นเวลานาน แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับที่ประชุมวุฒิสภาว่าจะมีความเห็นชอบอย่างไร" นายดิเรก กล่าว นายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา กล่าวยอมรับว่า มีการพูดคุยกับเพื่อน ส.ว.ถึงการเสนอชื่อตนเข้าชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภาจริง แต่ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของบุคคลอื่นที่ได้รับการเสนอชื่อด้วย ส่วนตัวไม่ขัดข้องที่จะถูกเสนอชื่อ อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้โทรศัพท์พูดคุยกับพล.อ.ธีรเดช ว่าถึงแม้ผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร ก็ขอให้ดำรงตำแหน่งส.ว.ต่อไป เพื่อช่วยกันทำงาน ไม่อยากให้ออก ซึ่ง พล.อ.ธีรเดชกล่าวตอบสั้น ๆ ว่า "แล้วแต่บุญแต่กรรม" ส่วนตัวเชื่อว่า พล.อ.ธีรเดช ก็คงรู้สึกเครียด กับคำพิพากษาที่ออกมา เนื่องจากประเด็นการขึ้นเงินเดือน และค่าตอบแทนให้ตัวเอง พล.อ.ธีรเดชคงไม่มีเจตนา เพราะเป็นเรื่องที่มีการหารือกันมาจนแล้วเสร็จ ก่อนที่ชุดของ พล.อ.ธีรเดชจะเข้ามาสานต่อ อย่างไรก็ตามในฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา เห็นว่า พล.อ.ธีรเดช ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากส.ว.เพราะความผิดยังไม่ถึงที่สุด ยังเป็นแค่ศาลชั้นต้นเท่านั้น แต่พล.อ.ธีรเดช จะดำเนินการอย่างไรยังไม่ทราบ เมื่อถามย้ำว่าบุคคลที่เป็นถึงระดับส.ว.ควรมีระดับจริยธรรมที่สูงกว่าคนทั่วไปหรือไม่ นายพิเชตไม่ตอบคำถาม ได้แต่ส่ายศีรษะ จำคุก... พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา (สูทสีเทา) มารับฟังคำพิพากษา คดีขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองสมัยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินฯ โดยศาลสั่งจำคุกเช่นเดียวกับนายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ และนายปราโมทย์ โชติมงคล --จบ-- --เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 ก.ค. 2555 (กรอบบ่าย)-- |
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า ภายหลังจากที่ศาลอาญา มีคำพิพากษาสั่งจำคุกพล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา นายพูนทรัพย์ ปิยะอนันต์ และนายปราโมทย์ โชติมงคล อดีตผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรณีขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้ตัวเอง สื่อมวลชนจำนวนมากได้มารอสัมภาษณ์พล.อ.ธีรเดชที่หน้าห้องทำงาน แต่ตลอดทั้งวันก็ไม่ได้เข้ามา เมื่อผู้สื่อข่าวโทรศัพท์เพื่อสอบถามตลอดทั้งวัน แต่พล.อ.ธีรเดชได้กดสายทิ้ง
พล.ต.ต.ภานุรัตน์ มีเพียร ที่ปรึกษาส่วนตัวประธานวุฒิสภา น้องชายพล.อ.ธีรเดช เปิดเผยว่า พล.อ.ธีรเดชยังไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เพราะกระบวนการย่อมต้องเป็นไปตามคำพิพากษาอยู่แล้ว เราไปทำอะไรไม่ได้ต้องรับสภาพ แต่ส่วนตัวคิดว่าพี่ชายก็คงรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ประธาน วุฒิสภาได้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ในทางคดีเมื่อถูกรอลงอาญา ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ขึ้นอยู่กับพล.อ.ธีรเดชว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่ ส่วนตำแหน่งประธานวุฒิสภาเชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะมีกระบวนการสรรหา คัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมมาทำหน้าที่แทน โดยให้นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่รักษาการประธานวุฒิสภาไปก่อน ส่วนพล.อ.ธีรเดช จะแถลงข่าวชี้แจงหรือไม่นั้น ตนเห็นว่าคงไม่มี เพราะไม่น่าจะต้องแถลงข่าวใดๆ เนื่องจากก็รู้เท่าๆกันหมดแล้ว
ข้อคิคจากผู้เขียน ผู้ที่ลงคะแนนเลือกท่านเป็น ประธานวุฒิสภา ต้องพิจารณาจริยธรรมของท่านด้วย ?
รู้อยู่แล้วว่ามีคดีนี้อยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ