พระศิวะ แปลว่า ผู้ปี่ยมความกรุณาในการชุบชีวิตต่างๆ ให้บริสุทธิ์


 พระศิวะและสัญลักษณ์ศิวลึงค์
     พระศิวะเป็นมหาเทพเพียงพระองค์เดียวที่มีสัญลักษณ์แทนองค์ที่ไม่เหมือนเทพองค์ใดและไม่มีใครเหมือน คือ ศิวลึงค์
     อวัยวะเพศชายที่ออกแบบมิให้เหมือนจริง ลักษณะเป็นหินแท่งกลมๆ ภาษาอาร์ตเรียกว่า “มีการลดสกัดตัดทอน” มีดีไซน์อันแยบยล  หมายให้เป็นรุปลึงค์ของพระองค์  จุดกำเนิดของสรรพสิ่งบนจักรวาล หรือเป็นบิดาแห่งจักรวาล  มักสร้างไว้บูชาตามเทวสถานโบราณหลายแห่ง  ทั้งในประเทศอินเดียและสุวรรณภูมิ โดยมีลัทธิบูชาศิวลึงค์เป็นการเฉพาะ  ศิวลึงค์ มักปรากฎคู่กับ โยนี ซึ่งเป็นฐานใหญ่รองรับอยู่ด้านล่าง เชื่อกันว่า โยนี เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระอุมาเทวีอัครมเหสี
ศิวลึงค์ สัญลักษณ์แทนพระศิวะ 
      ในคัมภีร์โบราณได้บันทึกไว้ว่า


พิธีศิวาราตรี
          พิธีศิวาราตรี เป็นวันสำคัญอันดับที่ 34 ของชาวอินเดีย มีขึ้นในวัน 14 ค่ำ เดือน 3 เรียกว่า ศิวาราตรี วันนี้ชาวพราหมณ์-ฮินดูจะบูชาพระศิวะตลอด 24 ชั่วโมง ผู้นับถือเคร่งครัดอดอาหารและอดนอนตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้เป็นวันปรากฏของพระศิวะ และวันแต่งงานของพระศิวะ เชื่อกันว่าบูชาพระศิวะแล้ว จะได้คู่ชีวิตที่ดีและมีความสุขความเจริญ
รูปศัพท์ของศิวาราตรี
          ศิวาราตรี หากพิจารณาตามรูปศัพท์แล้ว จะเห็นว่ามาจาก คำ 2 คำ คือ ศิวะ + ราตรี ศิวะ หมายถึง องค์พระศิวะผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง ส่วน ราตรี หมายถึง กลางคืน ดังนั้นเมื่อนคำทั้งสองคำนี้มาร่วมกันเป็น ศิวาราตรี จึงแปลเป็นไทยได้ความหมายว่า คืนแห่งพระศิวะ หรือ ราตรีแห่งพระผู้เป็นเจ้า อันนี้เป็นความหมายตามรูปศัพท์

 

ความหมายของพิธีศิวาราตรี มี 2 นัย ดังนี้
          1.  ศิวาราตรี ในที่นี้หมายถึง พิธีเฉลิมฉลองแห่งองค์พระศิวะที่ทำกันทุกปีที่ยิ่งใหญ่โดยเฉพาะทางอินเดียตอนใต้ที่เมืองติรุมวันมาลัย ที่มีเทวาลัย คือ โบสถ์แห่งพระศิวะที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก เมื่อวันเช่นนี้เวียนมาถึงเข้าประชาชนทุกหมู่เหล่าที่นับถือในองค์พระศิวะเจ้าก็จะร่วมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นให้ใหญ่โตมหโหฬารและสนุกสนานครื้นเครงกัน โดยเฉพาะตามเทวสถานที่สำคัญต่าง ๆ และเรียกวันที่มีพิธีการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ในรอบีนี้ว่า "มหาศิวาราตรี"
          2.  ศิวาราตรี หมายถึง พิธีแห่งการลอยบาป ทาง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะจัดให้มีขึ้นเป็นประจำในวันเพ็ญเดือน 3 ของทุก ๆ ปี พิธีนี้ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญ เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ในทางศาสนา เมื่อวันเช่นนี้เวียนมาถึงเข้าประชาชนโดยทั่วไป ตลอดทั้งนักพรต นักบวชในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั่วทุกสารทิศก็จะหลั่งไหลไปทำพิธีลอยบาปกันที่แม่น้ำคงคา ตรงจุฬาตรีคูณ เมืองอันลาฮาบาดทุก ๆ ปีจึงนับได้ว่าพิธีลอยบาปนี้เป็นพิธีที่สำคัญและยิ่งใหญ่อีกพิธีหนึ่งที่ประชาชนให้ความสนใจและไปร่วมประกอบพิธีนี้ เพราะในแต่ละปีนั้นจะมีประชาชนไปร่วมงานประมาณปีละเป็นแสนคนเลยทีเดียว

 

          สำหรับสถานที่ประกอบพิธีลอยบาปนี้จะกำหนดไว้ที่จุดคงคาจุฬาตรีคูณ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำคงคา ยมุนาและสรัสวตี ณ จุดที่บรรจบกันของแม่น้ำทั้ง 3 สาายนี้เองที่เรียกว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของเมืองอัลลาฮาบาด ประเทศอินเดีย และที่บรรจบกันชื่อจุฬาตรีคูณจะมองเห็นเป็นน้ำสองสี สองกระแส กระทบกันได้อย่างชัดเจนและเป็นวังน้ำวน จึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับผู้พบเห็นด้วยเหตุนี้นั้น ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงมีความเชื่อว่าภายใต้แม่น้ำ 5 สายนั้นยังมีแม่น้ำใต้ดินอีกสายหนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นได้ไหลมาบรรจบกัน ณ ตรงจุดนี้เป็นตาน้ำพุ่งขึ้น แม่น้ำสายนั้นก็คือ แม่น้ำสรัสวดี ดังนั้นจุดที่มาบรรจบกันของแม่น้ำสำคัญทั้ง 3 สายนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า "จุฬาตรีคูณ"

ตำนานที่เกี่ยวข้องกับวันศิวะราตรี
          เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานแห่งวันศิวะราตรี ท่านผู้รู้ได้เล่าเกี่ยวกับวันศิวะราตรีนี้ว่า ครั้งหนึ่งยังมีนายพรานผู้หนึ่งมีนามว่า สุสวาร ได้พักอาศัยอยู่ใกล้แค้วนพาราณสี มีอาชีพล่าสัตว์และจับสัตว์ไปขายในเมืองใหญ่ จนกระทั่งในวันหนึ่งได้ออกไปล่าสัตว์ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ว่าโชคไม่เข้าข้างกลับไม่พบกับสัตว์ให้ล่าแม้เพียงตัวเดียว นายพรานสุสวารจึงได้เดินท่องเที่ยวหาสัตว์เข้าไปในป่าลึกและลืมเวลาจนพลบค่ำ
          วันที่นายพรานสุสวารออกล่าสัตว์นั้นเป็นข้างแรม ท้องฟ้าปราศจากหมู่ดวงดาวและแสงสว่างอื่นใด นายพรานสุสวารได้หลงทางจนไม่ทราบว่าจะสามารถกลับออกมาจากป่าลึกนี้ได้อย่างไร และป่าลึกนี้ย่อมมีสัตว์ร้ายเป็นแน่ ด้วยความเกรงกลัวต่อสัตว์ร้ายในตอนกลางคืน นายพรานสุสวารจึงได้คิดปีนต้นไม้ใหญ่เพื่อความปลอดภัย และขึ้นไปนอนหลับรอแสงสว่าง
          บังเอิญต้นไม้ใหญ่ที่ว่านี้ คือ ต้นไทรใหญ่และใต้ต้นไทรใหญ่นี้ มีศิวะลึงค์ประดิษฐานอยู่ ป่าลึกใหญ่ที่น่ากลัวแห่งนี้ตกดึกสงัดยิ่งดูน่ากลัวเข้าทุกที ทำให้พรานผู้นี้ได้ท่องบ่งมนตราบูชาต่อพระศิวะเทพ และเมื่อดึกเข้า นายพรานสุสวารเกิดความหิวและกระหายน้ำมากแต่ก็ไม่รู้จะหาน้ำและอาหารจากไหนจึงได้อดทนต่อไป และอีกประการหนึ่งนายพรานนี้มีความวิตกห่วงใยต่อครอบครัว ภรรยา และลูก ๆ ว่าคงรอคอยผู้เป็นบิดา ด้วยความหิวเป็นแน่แท้ และภรรยาต้องรอคอยการกลับของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ด้วยอาการกระสับกระส่ายของพรานผู้นี้ เขาได้เริ่มร้องให้และดึงใบไม้ออกจากกิ่งปล่อยให้ใบไม้นั้นร่วงลงพื้น ให้บังเอิญตกลงบนศิวะลึงค์ที่อยู่ใต้ต้นไทรใหญ่โดยมิได้ตั้งใจ วันนี้แท้จริงแล้วคือ "วันศิวะราตรี" นายพรานได้กราบไหว้บูชาท่องบ่นมนตราบูชาต่อพระศิวะเจ้า โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
          เรื่องนี้พระศิวะเจ้า ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณ พระองค์ทรงโปรดนายพรานเป็นอันมาก ต่อมาภายหลังที่นายพรานสุสวารได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว จึงได้ขึ้นไปอยู่บนศิวะโลก เป็นบริวาลแห่งพระศิวะเจ้า อย่างมีความสุข หลุดพ้นจากบาปทั้งหมดที่ได้เคยกระทำไว้ในชาตินี้ 
          เมื่อถึงระยะเวลาหมดสิ้นในการเสวยผลบุญบนศิวะโลก นายพรานสุสวารท่านนี้ ได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ จากผลบุญที่ได้บูชาและท่องบ่นมนตราต่อพระศิวะเจ้า จึงถือเพศเป็นพระราชามีพระนามว่า "พระไชตรภานุ" พระองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทต่อการกราบไหว้บูชาต่อพระศิวะเจ้าและบูชามากที่สุดในวันศิวะราตรีนี้ และถือได้ว่าเป็นยอดแห่งผู้บูชาในวันนี้

ภาพงานวันศิวะราตรี

ภาพประกอบจาก http://www.cameraeyes.net ถ่ายภาพโดย คุณ NONGบรรยากาศบริเวณท่าน้ำหน้าวัดฮินดู
ที่มีผู้มาร่วมพิธีกรรมกำลังทำพิธีลอยบาปกับแม่น้ำ ในประเทศเนปาล 
ภาพประกอบจาก http://www.cameraeyes.net ถ่ายภาพโดย คุณ NONGคนรอต่อคิวเพื่อทำพิธีหน้าวัดฮินดูแห่งหนึ่ง ในประเทศเนปาล 
ภาพประกอบจาก http://www.cameraeyes.net ถ่ายภาพโดย คุณ NONG

นักบวชฮินดูในประเทศเนปาลซึ่งไม่ทราบว่าเรียกว่าอย่างไร
ในภาพนี้คุณ NONG ได้อธิบายว่า "สาธุ" 



ตำนานเทพแห่งศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
   • ศาสนาพราหมณ์มีการนับถือเทพหลายองค์ ได้แก่ พระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม เหตุผลที่สำคัญก็คือเทพเจ้าทั้งหมดมีฤทธานุภาพสามารถบันดาลทุกข์สุขให้กับมนุษย์บนพื้นโลกนั่นเอง
   • สำหรับผู้ที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ที่สุดจะมีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไศวนิกาย” ส่วนผู้ที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุด มีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไวษณพนิกาย” และผู้ที่ให้ความเคารพนับถือเทพเจ้าพร้อมกันทั้ง องค์ มีชื่อเรียกว่า “ตรีมูรติ”
1• พระศิวะหรือพระอิศวร เทพผู้ทำลายและสร้างโลก
   ในครั้งแรกสุด พระพรหมได้เป็นผู้สร้างโลกและสร้างจักรวาลขึ้นมา แต่ก็ได้เกิดปัญหามากมายขึ้นบนโลกมนุษย์ พระศิวะจึงได้ทำลายโลก พอในเวลาต่อมาพระศิวะ ก็ได้มีการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ โดยสร้างพระนารายณ์ขึ้นมาเป็นผู้ดูแลรักษาด้วย
ลักษณะของพระศิวะ มี เศียร กร พระเนตร ซึ่งพระเนตรส่วนที่ นั้นจะอยู่กึ่งกลางหน้าผาก จะทรงนุ่งหนังกวาง แล้วยังมีสร้อยสังวาลเป็นงู ส่วนพระหัตถ์ทรงตรีสูร ทรงโคนนทิเป็นพาหนะ ให้สังเกตดูหากได้พบรูปปั้นโคนนทิ อยู่บริเวณทางเดินที่จะต้องเข้ามายังปราสาท หรือมีรูปโคนนทิอยู่ในปราสาท นั่นหมายถึงว่าได้มีการสร้างปราสาทแห่งนั้นเพื่ออุทิศแด่พระศิวะ
นอกจากนี้ พระศิวะยังสามารถกำหนดโชคชะตาของมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกโดยวิธีการร่ายรำที่มีชื่อเรียกว่า “ศิวนาฏราช” โดยเฉพาะที่สำคัญคือ ถ้าหากมีการร่ายรำด้วยความอ่อนช้อย ก็จะช่วยให้บรรดาเหล่ามนุษย์โลกอยู่เย็นเป็นสุข
พระศิวะทรงมีปางต่างๆ ทั้งหมด ปาง อันได้แก่
1. ปางศิวะนาฏราช (พระศิวะกำลังร่ายรำ)
2. ปางมหากาลไภรวะ (พระพิราพ)
3. ปางจักราธนมูรติ (วิษณุวาณุครหมูรติ)
4. ปางนนทิศานุครหมูรติ (กายเป็นมนุษย์ เศียรเป็นโค)
5. ปางกิรทารชุนมูรติ
6. ปางราวันนานูครหมูรติ
7. ปางกาลารีมูรติ
8. ปางกานันทกามูรติ
9. ปางอรรธนารีศวร (ครึ่งพระศิวะ ครึ่งพระอุมาเทวี)
  1. ปางศิวะนาฏราช (พระศิวะกำลังร่ายรำ)
ในตำนานเล่าว่า พระศิวะทรงชักชวนพระนารายณ์ปลอมแปลงโฉม เป็นสามี-ภรรยากันไป ณ ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อกำราบเหล่าดาบสที่ไม่ตั้งตนบำเพ็ญตบะ และบูชาเทพอย่างที่ควร ดาบสกลุ่มนั้นประพฤติตนเหลวไหล ใฝ่ไปในทางชั่วมากกว่าจะอยู่ในศีลในธรรม
เมื่อทั้ง มหาเทพไปปรากฏตัวในป่านั้นในฐานะของโยคีหนุ่มกับภรรยาสาว (พระนารายณ์ทรงปลอมเป็นภรรยาพระศิวะเหล่าดาบสผู้มากกิเลสตัณหา ก็พากันมาเวียนวน เกี้ยวพาราสีสาวงามภรรยาของโยคีหนุ่ม โดยไม่สนใจหรอกว่านางเป็นผู้มีคู่มีเจ้าของแล้ว บรรดาเมียๆ ของดาบส ต่างก็ไม่วางตนว่าไม่โสดแล้ว พากันมาให้ท่าทอดสะพานโยคีรูปงามกันมิเว้นวาย
เวลาผ่านไป ก็ไม่มีดาบสผู้ใดพิชิตภรรยาสาวของโยคีได้ ความพิศวาสจึงได้กลายเป็นความเคืองแค้น เหล่าดาบสจึงพากันสาปแช่งโยคีและเมียรักให้มีอันเป็นไป แต่ทว่าคำสาปนั้นหลับไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น พวกดาบสนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า โยคีนั้นคือพระศิวะและภรรยานั้นคือพระนารายณ์ อิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใดๆ ก็มิอาจกล้ำกรายผู้เป็นเทวะได้แน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้นั้น จึงยังทำพวกดาบสกำเริบเสิบสานต่อไป
พวกดาบสส่งยักษ์ชื่อมุยะละกะมาปราบ พระศิวะก็ทรงสำแดงฤทธิ์เดช ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอกยักษ์ไว้ แล้วก็ทรงร่ายรำไปในลีลาอันวิจิตรพิสดารยิ่งนัก บรรดาดาบสทั้งหลายจึงยอมศิโรราบ กราบขอขมาต่อพระศิวะโดยดี เมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังอหังการกับมหาเทพเสียแล้ว
อีกตำนานโบราณฝ่ายไศวะนิกาย กล่าวไว้ว่า เมื่อพระศิวะทรงตีกลองเป็นจังหวะอันไพเราะ โลกใบนี้ได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะกลองนั้นด้วย และเมื่อพระศิวะทรงร่ายรำเคลื่อนไหวพระองค์และพระกรพลิ้วไป ก็เป็นเหตุให้บังเกิดสุริยจักรวาลขึ้นในบัดนั้นเอง นักระบำของอินเดียจะต้องร่ายรำในท่าบูชาพระศิวะก่อนเสมอ แล้วจึงค่อยร่ายรำในท่าอื่นๆต่อไป
2. ปางมหากาลไภรวะ (พระพิราพ)
เป็นปางดุร้ายปางหนึ่งของพระศิวะ ประเทศอินเดียถือว่าพระพิราพ หรือพระไภรวะนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับนาฏศิลป์ เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดท่ารำที่เรียกว่า "วิจิตรตาณฑวะซึ่งเป็นท่ารำท่าหนึ่งใน 108 ท่ารำของพระศิวะ ดังนั้นจึงถือว่าท่านเป็น "นาฏราชที่หมู่นาฏศิลป์อินเดียให้ความเคารพเกรงกลัว เพราะถือเป็นเทพที่บันดาลความเป็นความตายได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นผู้ให้ชีวิตและปัดเป่าโรคภัย
3. ปางจักราธนมูรติ (วิษณุวาณุครหมูรติ)
อันเนื่องจากพระวิษณุเทพได้ทำสงครามกับอสูรบนสวรรค์ และเกิดความเพลี่ยงพล้ำไม่อาจชนะฝ่ายอสูรได้ จึงได้ทำพิธีบูชาพระศิวะเทพขึ้น ด้วยการบูชาพระองค์ด้วยดอกบัววันละ 1,000 ดอกทุกวัน จนวันหนึ่งหาดอกบัวไม่ได้พระวิษณุเทพจึงควักลูกตาของตนเพื่อถวายบูชาแก่องค์ ศิวะเทพ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงประทานลูกล้อ หรือจักรหินสัญลักษณ์ของพระศิวะเทพเพื่อให้เป้นอาวุธของพระวิษณุต่อไป
4. ปางนนทิศานุครหมูรติ (กายเป็นมนุษย์ เศียรเป็นโค)
ปางนนทิศานุครหมูรติสรังคยานะเกิดมาไม่มีบุตรสืบสกุล จึงไปขอพระเป็นเจ้า วิษณุเทพได้ประทานบุตรมาให้ตน ด้วยพอใจการบวงสรวงบูชาของฤาษี บันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เด็กถือกำเนิดจากสีข้างของพระองค์ ทารกนี้รูปร่างเหมือนพระศิวะ ทรงพระราชทานนาม นนทิเกศวร นนทิเกศวรได้พรจากพระศิวะ ต่อมานนทิได้นำพิธีทรมานร่างกายบนยอดเขามันธระเพื่อให้เข้าถึงพระศิวะเจ้า พระศิวะเทพโปรดปรานมาก ทรงปรากฏตัวให้เห็นและรับเอาฤาษีนนทิเป็นหัวหน้ามหาดเล็กรับใช้อยู่ที่เขา ไกรลาศ ทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพบุตรนนทิเกศวร ส่วนพระชายาของเทพบุตรพระองค์นี้คือ นางสุยาศุ บ้างก็ว่าเทพบุตรพระองค์นี้ตัวเป็นมนุษย์ หัวเป็นโค
5. ปางกิรทารชุนมูรติ
ท้าวอรชุน (ในมหากาพย์ภารตะทำพิธีบูชาพระศิวะเพื่อขอประทานลูกธนูศักดิ์สิทธิ์ให้ตนเพื่อไปยิงอสูร ท้าวอรชุนได้บวงสรวงอยุ่ที่เขาไกรลาศ พระศิวะใช้มายาแปลงเป็นหมูป่าเข้าทำร้ายพราหมณ์หนุ่มและท้าวอรชุน พราหมณ์หนุ่มต้องการยิงหมูป่า อ้างว่าตนเห็นก่อน แต่ท้าวอรชุนไม่ยอม บอกว่าตนต่างหากที่เห็นก่อน จากนั้นทั้งคู่ก็เลยต้องเดิมพันด้วยการต่อสู้กัน ไม่ว่าท้าวอรชุนจะใช้อาวุธ ใดก็มีอาจทำร้ายพราหมณ์หนุ่มได้ จนเมื่อท้าวอรชุนทรุดตัวลงกราบ พระศิวะพอพระทัยมอบลูกธนูวิเศษให้ไปปราบอสูร
6. ปางราวันนานูครหมูรติ
ทศกัณฐ์ เจ้าเมืองลงกา หลังจากทำสงครามกับท้าวกุเบร ได้เสด็จผ่านเทือกเขาหิมาลัย เห็นว่ามีทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ ตั้งใจจะเข้าไปชมสถานที่ แต่เจอนนทิเกศวรหัวหน้ามหาดเล็กของพระศิวะเทพขวางทางไว้ เพราะเขาไกรลาศเป็นที่ประทับของพระศิวะเทพและพระนางปราวตี ห้ามผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐานทศกัณฐ์โกรธ ขู่อาฆาตและสาปแช่งว่า นนทิต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง แต่นนทิเกศวรบอกว่า ทศกัณฐ์ต่างหากที่ต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง ทศกัณฐ์โกรธเตรียมจะยกเขาไกรลาศขึ้นทุ่ม แค่โยกเขาด้วยอิทธิฤทธิ์เท่านั้น บรรดาเทวดาและมนุษย์ก็เดือดร้อนหนีกันจ้าละหวั่น พระนางปราวตีได้ทูลขอให้พระศิวะให้แก้สถานการณ์ ทรงใช้เท้าเหยียบที่พื้นลงเบาๆ เพื่อให้เขาไกรลาศตั้งดังเดิม ทรงปราบพยศอสูรทศกัณฐ์จนยอมศิโรราบ พระศิวะเทพโปรดประทานดาบศักดิ์สิทธิ์ให้จากนั้นทศกัณฐ์ได้เดินทางกลับกรุง ลงกา
7. ปางกาลารีมูรติ
ฤาษีตนหนึ่ง ได้ทำพิธีบูชาสวดมนตร์อ้อนวอนขอลูกกับพระศิวะเทพ พระศิวะทรงโปรดการบูชาจึงประทานลูกให้ แต่บอกว่า เด็กคนนี้จะอายุสั้น ฤาษีและภรรยา ได้เลี้ยงดูลูกจนอายุ 16 ปี ลูกชายไปได้บวงสรวงต่อพระศิวะระหว่างที่ชะตาถึงฆาตประจวบเหมาะว่า เป็นช่วงที่เด็กคนนี้กำลังบูชาศิวลึงค์อยู่พอดี พระยม-กาลแห่งความตายได้เดินทางจากเมืองนรกมารับตัวเด็กหนุ่ม พระศิวะเห็นดั่งนั้นทรงพิโรธ ทรงปรากฏกายออกจากศิวลึงค์เข้าเตะพระยม พระยมสู้ฤทธิ์พระศิวะไม่ได้จึงหนีไปพระศิวะประทานพรให้เด็กหนุ่มมีชีวิตเป็น อมตะ
8. ปางกานันทกามูรติ
ปางนี้คือปางพระศิวะทำลายเทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพเมื่อพระนางสตีเผาร่างตนเองไปนั้น พระศิวะเสียใจมาก และเข้าสู่สมาธิเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในที่สุดเมื่อพระนางมาจุติใหม่ โดยแบ่งภาคมาจากพระแม่ศักติ-ศิวา มาเป็นพระนางปราวตี กามเทพต้องทำหน้าที่เพื่อให้ศิวะเกิดความรัก เพื่อจะได้มีบุตรในการไปปราบอสูรชื่อ ทาราคา ในที่สุดเมื่อทุกอย่างสำเร็จ ทรงมีโอรสขึ้นมาคนหนึ่งชื่อ ขันธกุมาร หรือ กาติเกยะ หรือกุมารา หรือสุภามันยะเพื่อไปปราบอสูร
9. ปางอรรธนารีศวร (ครึ่งพระศิวะ ครึ่งพระอุมาเทวี)
ปางนี้เป็นปางครึ่งหญิงครึ่งชายในรูปลักษณ์ทางประติมกรรมนั้น จะแบ่งซีกระหว่างพระศิวะกับพระอุมาเทวี พระศิวะอยู่ทางซีกขวา และพระอุมาเทวีอยู่ทางซีกซ้าย ซึ่งถ้าผู้ที่เข้าใจระบบความเชื่อแบบทวิลักษณะแบบจีน หรือ คัมภีร์หยิน-หยางย่อมเข้าใจได้ว่า ชายขวา-หญิงซ้าย นั่นคือสูตรตามแบบฉบับของคัมภีร์นี้ ปางนี้ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรก ครั้งเดียว ในสมัยการสร้างจักรวาล กล่าวคือ พระพรหมได้รับภารกิจให้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวไม่มีกำลังในการขยายเผ่าพันธุ์ในโลกใด้ ครั้งจะสร้างเพศหญิงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาแบบอย่างมาจากไหน พระพรหมจึงต้องบวงสรวงมหาเทวาธิเทวะ มหาเทวะ ศิวะเทพ เพื่อให้เสด็จมาแก้ปัญหาที่ค้างคาใจอยู่พระพรหมบวงสรวงจนเป็นที่พอใจก็เลย เสด็จมา นับเป็นครั้งแรกที่มาในปางอรรธนารีศวร เพศหญิงและเพศชายที่รวมกันอยู่ในร่างเดียวกัน ทำให้พระพรหมเข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่นี้ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่
*****************

2• พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพผู้รักษาคุ้มครองโลก
คำว่า “พระนารายณ์” หมายถึง ผู้ที่ได้เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ คือกำลังบรรทมอยู่เหนือหลังพญานาคราช ชาวฮินดูที่นับถือไวษณพนิกาย จะเชื่อถือว่า พระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้นจะต้องเป็นเทพสูงสุด หลักฐานตามคัมภีร์พราหมณ์ปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า พระศิวะได้ทรงสร้างโลกขึ้นมา แต่งานที่จะรักษาโลกให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขเป็นเรื่องที่ยากกว่า ดังนั้นพระศิวะจึงสร้างพระวิษณุ ให้มาเป็นผู้ช่วยรักษา ในช่วงเวลาที่สร้างโลกอยู่นั้น พระนารายณ์ก็จะอวตาร เพื่อจะลงมาช่วยปราบยุคเข็ญในโลกเป็นจำนวนมากถึง 10 ครั้ง ได้แก่ อวตารเป็น ปลา เต่า หมูป่า นรสิงห์ พราหมณ์ถือขวานเพชร พราหมณ์เตี้ย พระราม พระกฤษณะ พระพุทธเจ้า บุรุษที่ชือกัลลี
ลัษณะของพระวิษณุ มี กร ทรงถือคฑา สังข์ จักร และดอกบัว มีพาหนะเป็นครุฑ
พระนารายณ์อวตารมาปราบกลียุคในโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ มีทั้งหมด 10 ปาง ได้แก่
1.ปางมัตสยาวตาร อวตาลเป็นปลาขนาดใหญ่โต เนื่องจากต้องการจะปราบหัยศรีอสูร หรือยักษ์ชื่อหัยครีพ เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายหลงผิด จนกระทั่งทำให้เกิดน้ำท่วมโลกขึ้นมา
2.ปางกูรมาวตาร อวตารเป็นเต่ายักษ์ในการกวนเกษียรสมุทร เพราะต้องการจะเอากระดองมารองรับเขามันทระ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดแผ่นดินทะลุลงไปยังโลกมนุษย์ได้
3.ปางวราหาวตาร อวตารเป็นหมูป่า เพราะต้องการที่จะทำการปราบอสูร หิรัณยักษา นอกจากนี้เองก็ยังต้องการที่จะกอบกู้โลกไม่ให้หิรัณยักษา กดให้จมน้ำ
4.ปางนรสิงหาวตาร อวตารลงมาเกิดเป็นสัตว์ที่มีลักษณะครึ่งคนครึ่งสิงห์ เพราะต้องการที่จะปราบเจ้ายักหิรัณยกศิปุ ที่อาละวาดไปทั่วทั้ง โลก ได้แก่ โลกสวรรค์ โลกบาดาล และโลกมนุษย์ เนื่องจากเจ้ายักษ์หิรัณยกศิปุนั้นได้รับพรมาจากพระพรหมว่า ไม่มีใครมนุษย์ สัตว์ เทวดา ยักษ์หรือผู้ใดฆ่าให้ตายได้ ไม่มีอาวุธชนิดใดฆ่าให้ตายได้ ไม่ตายในเวลากลางวันและกลางคืน ไม่ตายในบ้านและนอกบ้าน ดังนั้นพระนารายณ์จึงได้อวตารเป็นนรสิงห์ เพื่อจะฆ่ายักษ์ตนนี้ “เมื่อพระวิษณุอวตาลเมื่อเป็นนรสิงห์ เพื่อปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ ซึ่งฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย จึงรู้ว่าเจ้ายักษ์ตนนี้ได้รับพรวิเศษจากพระพรหม จึงได้จับยักษ์หิรัณยกศิปุมาวางพาดตรงขื่อธรณีประตูบ้าน ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ แล้วถามเจ้ายักษ์ว่า “เราเป็นมนุษย์ใช่มั๊ย เป็นเทวดาใช่มั๊ย เป็นยักษ์ใช่มั๊ย เป็นสัตว์ใช่มั๊ย” ซึ่งเจ้ายักษ์ก็ตอบไม่ได้ แล้วก็ถามต่อว่า “เวลานี้กลางวันหรือกลางคืน” ยักษ์ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน แล้วก็ถามต่อว่า “ตอนนี้ตัวท่านอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน” ยักษ์ก็ตอบไม่ได้อีก จากนั้นก็ถามว่า “เล็บมือเราเป็นศาสตราวุธหรือไม่” เจ้ายักษ์ก็ตอบว่า ”ไม่” เจ้านรสิงห์ก็เลยเอากรงเล็บฉีกอกยักษ์หิรัณยกศิปุจนตาย เพราะว่าพรของพระพรหมที่ให้ไว้เสื่อม
5.ปางวามนาวตาร อวตาลเป็นพราหมณ์แคระหรือพรามณ์วามนะ ซึ่งมีฤทธิ์เดชมากเพราะต้องการจะมาทรมานอสูรพลี ที่ได้ครองโลกทั้ง อยู่ และไม่มีใครสามารถปราบลงได้ ด้วยเหตุนี้เองพรามณ์วามนะจึงได้ทำการสะกดจิตอสูรพลีเพื่อต้องการให้ยอมเอ่ยสัญญา เมื่อพรามณ์วามนะอยากจะขอพื้นที่บนโลกมนุษย์เพียง ก้าวเท่านั้นเพื่ออาศัย เจ้ายักษ์พลีก็ยินยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่หารู้ไม่ว่าหลงกลเจ้าพราหมณ์วามนะ ส่วนเจ้าพราหมณ์ก็ได้ทำการเนรมิตให้ร่างกายมีขนาดใหญ่โต ก้าวเพียง ก้าวก็ได้อาณาเขตไปถึงโลกสวรรค์ โลกบาดาล และโลกมนุษย์ จากนั้นก็ได้ให้ยักษ์พลี ลงไปอยู่ยังใต้บาดาลแทน
6.ปางปรศุรามาวตาร อวตาลเป็นพราหมณ์ โดยได้ถือขวานเพชร เพราะต้องการปราบกษัตริย์ผู้ปราศจากคุณธรรม นอกจากนี้แล้วยังได้ทำการชำระโลกถึง 21 ครั้ง เพียงต้องการทำลายล้างกษัตริย์ให้สิ้นไป
7.ปางรามาวตารหรือรามจันทราวตาร อวตาลเป็นพระรามเพราะต้องการปราบยุคเข็ญและปราบทศกัณฑ์ โดยตามเนื้อเรื่องของคัมภีร์รามายณะ มีฤๅษีวาลมิ เป็นชาวอินเดียแต่งขึ้นมาเมื่อ 2,400 ปีเศษ หลังจากนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปยังประเทศใกล้เคียง
8.ปางกฤษณาวตาร อวตาลเป็นพระกฤษณะ ผู้ที่มีลักษณะผิวกายเป็นสีดำ เพราะต้องการจะปราบเหล่าคนชั่วที่อยู่ในโลก ได้แก่ กษัตริย์กังสะหรือพญากงส์ นอกจากนี้แล้วยังได้เป็นผู้อบรมสั่งสอนพระอรชุน ในด้านธรรมะต่างๆ ภายหลังได้กลายเป็นคำสอนที่อยู่ใน “คัมภีร์ภควัทคีตา” แล้วยังเป็นสารถีขับรถม้าให้กับ พระอรชุน ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายปาณฑพ ในสงคราม “มหาภารตยุททธ์” จนได้รับชัยชนะในที่สุด
9.ปางพุทธาวตาร อวตาลมาเป็นพระพุทธเจ้า เนื่องจากต้องการชี้แนะแนวทางให้ผู้ที่หลงผิด ให้ได้เห็นความถูกต้องที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แต่ก็ยังเป็นความขัดแย้งกับศาสนาพราหมณ์ เพราะการที่พราหมณ์ได้จัดเอาพระสมณโคดม เป็นปางที่ ของพระนารายณ์ สาเหตุเพราะได้รู้ว่ามีผู้เลื่อมใสในทางพุทธศาสนาจำนวนมาก จนในที่สุดก็เกินกำลังและไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงได้ผนวกเอาพระพุทธเจ้าให้เป็นอวตารของพระนารายณ์เสียเลย ซึ่งไม่สามารถยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นสิ่งถูกต้องต่อไปได้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่าต้องยอมรับว่าคำสั่งสอนของเหล่าพราหมณ์ทั้งหลายนั้นผิดหมด จึงจำเป็นต้องหาคำกล่าวมาแก้ต่างต่อไปว่าพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า
10.ปางกัลกยาวตาร อวตารลงมาเป็นอัศวินม้าขาวหรือบุรุษชื่อกัลลี มีดาบวิเศษอันทรงฤทธิ์ เพราะต้องการที่จะปราบคนชั่ว และได้เริ่มมีการสถาปนาระบบธรรมะขึ้นมาใหม่ เพื่อต้องการที่จะให้สังคมบ้านเมืองมีแต่ความสุขตลอดไป
*****************

3• พระพรหม เทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลและโลก
พระพรหมเป็นเทพเจ้าองค์แรกในตรีมูรติ (ได้แก่ พระพรหมณ พระนารายณ์ และพระอิศวรในตำราได้กล่าวไว้ว่า พระพรหมนั้นมีกายสีแดง มี พระพักตร์ พระกร ข้าง ถือคฑา ลูกประคำ หม้อน้ำ หรือคันศร ประทับอยู่บนอาสน์บัวบาน และทรงหงส์เป็นพาหนะ ชาวฮินดูที่นับถือไวษพณิกาย จะมีความเชื่ออยู่ว่าพระพรหมได้เกิดออกจากพระนาภีร์(สะดือ)ของพระนารายณ์ ในช่วงเวลาขณะที่กำลังบรรทมอยู่เหนือลำตัวพญานาคในทะเลน้ำนมหรือเกษียรสมุทร
*****************

4• พระหริหระ
พระหริ เป็นการรวมเอาพระวิษณุ(หริกับ พระศิวะ(หระโดยรูปทางด้านซ้ายเป็นพระวิษณุ ส่วนรูปทางทางด้านขวาเป็นพระศิวะ
*****************

5• พระอินทร์ เทพผู้รักษาทางด้านทิศตะวันออกและผู้พิทักษ์พุทธศาสนา
ลักษณะ พระอินทร์มีพระฉวีจะเป็นสีเขียว และมีพระเนตรมากถึง 1,000 ดวง โดยประทับอยู่ในชั้นวิมาน “อมราวดี” มีบรรดาเหล่านางฟ้าและคนธรรพ์ล้อมรอบอยู่มากมาย ถือวัชระ แฉก เป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้า นอกจากนี้ในบางครั้งก็ยังถือดอกบัวอยู่ในพระหัตถ์ ทรงช้างเอราวัณเป็นพาหนะ
*****************

6• พระนางอุมาเทวี ผู้ซึ่งเป็นเทวีแห่งความเมตตา
พระนางอุมาเทวี เป็นพระชายาของพระศิวะ มีลักษณะพิเศษ มี ภาคอยู่ในร่างเดียวกัน ได้แก่ พระอุมาเทวี หรือ ปารพตี โดยจะมีความเรียบร้อยและความเมตตา แต่ในทางตรงข้ามก็จะมีลักษณะที่มีความรุนแรงและโหดร้าย เรียกว่า เจ้าแม่กาลีหรือทุรคา ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกิดมาจากการที่มีเหล่าเทพได้พากันมาช่วยชุบขึ้นเพื่อช่วยกันปราบอสูร ส่วนโอรสของพระนางอุมาเทวีคือ พระขันธกุมาร ซึ่งเป็นเทพแห่งการทำสงคราม และ พระพิฆเนศวร เป็นโอรสของนางทุรคา เศียรจะมีลักษณะเป็นช้าง ซึ่งได้ถูกยกให้เป็นเทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ
นางอุมาเทวี ปาง
ปางที่ 1ไศลปุตรี ธิดาของหิมพาน ราชาแห่งภูเขา shail แปลว่าภูเขา putri แปลว่าบุตรสาว พระแม่ไชยปุตรีก็คือพระแม่ดุรกาเทวีปางที่หนึ่ง พระองค์คือธิดาของพญาทักษะ พระนามเดิมของพระแม่ไชยปุตรีก่อนที่จะแต่งงานกับพระศิวะ คือพระแม่สตี-บาวานี ที่พระนามของพระองค์ก็คือพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่หญิงม่ายชาวอินเดียจะต้องกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายตามสามีไป ถ้าสามีได้เสียชีวิตลงก่อน แต่เดี๋ยวนี้พิธีสตีนี้ยกเลิกไปแล้ว เพราะว่าค่อนข้างต้องการความตั้งใจอันแรงกล้าถึงจะทำพิธีนี้
เรื่องมีอยู่ว่า พญาทักษะท่านไม่ค่อยปลื้มพระศิวะที่เป็นลูกเขย เนื่องจากพระศิวะท่านไม่นิยมแต่งกายหรูหราเหมือนเทพองค์อื่น ๆ ท่านนิยมแต่งกายด้วยหางเสือเก่า ๆ แถมร่างกายก็ไม่สะอาดเพราะท่านชอบไปนั่งสมาธิในป่าช้าเป็นส่วนใหญ่ ท่านพ่อตาก็เลยไม่ปลื้ม มีอยู่วันหนึ่ง พญาทักษะก็จัดงานที่เรียกว่า พิธีอัศวเมธ ซึ่งก็คือการปล่อยม้าให้เดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ เป็นเวลาปี ถ้าเมืองไหนให้การต้อนรับม้านั้นก็ถือว่าเป็นมิตรกันต่อไป ถ้าไม่ก็ต้องมีการสู้รบ
พอครบ ปี ม้าตัวนั้นก็จะถูกบูชายัญแล้วก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองกันใหญ่โต บุตรเขยของพญาทักษะได้รับเชิญทุกคนยกเว้นพระศิวะ พระแม่ไชลปุตรีก็โกรธและน้อยใจมาก จึงทำการประท้วงพ่อด้วยการกระโดดเข้ากองไฟเผาตัวเองต่อหน้าพ่อ เท่ากับว่าไม่ยอมรับลูกสาวของตัวเองด้วย พระศิวะก็โกรธมากถึงกับส่งอสูรไปทำลายเมืองของพญาทักษะ หลังจากนั้นพระแม่ดุรกา ไชยปุตรีก็ได้มาเกิดใหม่เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองนครหิมาลายานามว่าพระนางปราวาตี เหมวาตีก็ได้มาแต่งงานกับพระศิวะอีกครั้ง แต่กว่าจะได้แต่งต้องบำเพ็ญตบะอยู่นาน กว่าพระศิวะจะยอมรับพระองค์ เพราะพระศิวะยังไม่สามารถลืมพระแม่สตีได้
ปางที่ พระแม่ทรงพระนามว่า “ พระแม่บรามาจาริณี “ พระแม่องค์นี้ได้รับพระนามมาจากพระพรหมด้วย คำว่า ‘บรามา’ แปลว่าพระพรหม และยังรวมถึงผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ รวมทั้งผู้ที่ทำการบำเพ็ญตบะด้วย พระแม่บรามาจาริณีนี้ยังทรงถือประคำในมือขวา มือซ้ายทรงถือหม้อน้ำ kumbha พระพักตร์แย้มสรวลตลอดเวลาด้วยความสุข ผู้เปี่ยมด้วยความรักและความซื่อสัตย์ ผู้เต็มไปด้วยความรู้ และความสำเร็จ
ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระแม่ได้ถือกำเนิดเป็นพระแม่ปาราวตีเหมวัติบุตรีของท่านท้าวเหมวันและนางเมนกา ครั้งหนึ่งพระแม่ปาราวตีกำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ ปรากฏว่าฤาษีนารททำนายว่า ‘ ฉันขอทายว่าเธอจะต้องแต่งงานกับโยคี หรือ ฤาษีท่านหนึ่งที่ไม่ค่อยนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับหรูหราใดๆ แต่โยคีท่านนี้ เคยใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอมาแล้วในชาติที่แล้วของเธอ แต่ในชาตินี้ เธอจะต้องทำการบำเพ็ญตบะเสียก่อน เธอถึงจะได้แต่งงานกับท่านอีกครั้งนะ’ซึ่งโยคีหรือ ฤาษีที่ฤาษีนารทได้ทำการทำนายก็คือ พระศิวะ
พระแม่บรามาจาริณีพอได้ฟังดังนั้นก็รีบไปบอกพระมารดา คือพระนางเมณกาว่า ‘ลูกจะไม่ขอแต่งงานกับใครอีกนอกจาก พระศิวะ ถ้าไม่เช่นนั้น พระนางก็จะไม่แต่งงานกับใครอีกเลย จนชั่วชีวิต’ หลังจากนั้นพระแม่บรามาจาริณีก็ได้เดินทางออกไปบำเพ็ญพรตเพื่อที่พระศิวะจะได้ยอมรับพระนางเป็นมเหสีอีกครั้ง พระแม่สตี ที่เคยทำการเผาตัวเองให้ตายไปเนื่องจากแค้นใจพระบิดาที่ไม่ให้เกียรติสามีของพระองค์ พระนางได้กลับมาเกิดอีกครั้งแต่ก็ยังคงรักมั่นต่อพระศิวะไม่เสื่อมคลาย หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกัน ในปางนี้เองที่พระแม่บรามาจาริณีได้ถูกเรียกขานว่า ‘พระแม่อุมา’ จนเป็นพระนามที่ชาวโลกใช้เรียกขานพระองค์มาตลอดจนทุกวันนี้
เรื่องราวของพระแม่ปาราวตีและการบำเพ็ญตบะของท่านนั้นร้อนแรงเสียจนครั้งหนึ่งได้ทำลายอัตตาหรือความเห็นแก่ตัว ของพระอินทร์ลงอย่างราบคาบจนกระทั่งมีอยู่คราวหนึ่ง เหล่าองค์เทพทั้งหลาย รวมถึงองค์อวตารได้พากันค้อมคำนับแด่พระองค์พร้อมกล่าวว่า “พระแม่คือพลังแห่งศักติอันยิ่งใหญ่ ทั้งพระพรหม พระนารายณ์ และ พระศิวะเอง ล้วนแต่มีฤทธิ์เดชและพลังทั้งหลายล้วนเกิดจากการประสาทพรจากพระนางนั่นเอง
ปางที่ พระแม่"จันดรากานดา" พระองค์มีสัญลักษณ์ให้สังเกตุง่าย ๆ ก็คือ จะทรงมีพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าผาก พระองค์ทรงงดงามมาก และ มีเสน่ห์มาก ใครเห็นก็รัก พระฉวีสีทองอร่ามทั้งองค์ พระองค์มีดวงตา ดวง มี 10 พระกร ทรงอาวุธครบทั้ง 10 มือ ที่เหลือทรงมุทรา แห่งการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และการหยุดสิ่งชั่วร้าย พระนาม chandra+ghanta หมายความถึงความสุข และความรู้สูงสุด แสดงถึงความสงบสุข ความร่มเย็น ดั่งแสงพระจันทร์ พระนางประทับนั่งบนหลังเสือชื่อ โสมนนทิ และ ที่สำคัญพร้อมที่จะออกรบและสู้ศึกเสมอ
ในปางนี้พระแม่เป็นปางที่แสดงถึงความกล้าหาญสูงสุด ถ้าพระองค์เสด็จไปไหนจะมีเสียงระฆังนำไปก่อนเสมอ เสียงดังกังวานไปทั่ว เสียงระฆังนี้ว่ากันว่าจะดังกังวานและน่าเกรงขามมาก เหล่าอสูร ภูติผีปีศาจถ้าได้ยินก็จะรีบหนีกัน เรียกว่าพระแม่จะทรงเตือนก่อนว่า พระองค์กำลังจะเสด็จแล้ว
ปางที่ เป็นปางของพระแม่ที่ทรงพระนามว่า ‘ กุชมานดา’ พระแม่พระองค์นี้กล่าวกันว่า
ทรงสร้างจักรวาลทั้งปวงโดยการหัวเราะเพียงครั้งเดียว ก็ปรากฏว่ามีไข่ หรือก็คือจักรวาลที่เราได้อาศัยอยู่ พระแม่จะประทับอยู่เหนือสุริยจักรวาล และส่งประกายครอบคลุมจักรวาลไปทั้ง 10 ทิศ ทรงมีรัศมีส่องสว่างไปทั่วทั้ง10 ทิศ ดั่งพระอาทิตย์ พระแม่ในปางนี้จะมี พระกร ทรงอาวุธทั้งหมด อย่าง ทรงถือประคำในมือขวา ทรงเสือเป็นพาหนะ ในปางนี้พระแม่โปรดที่จะได้รับการถวายผงจันทร์สีแดง
ปางที่ มีพระนามว่า พระแม่ดุรกา สกันดามาตา นอกเหนือจากพระพิฆเนศแล้ว พระแม่อุมา และพระศิวะ ยังมีพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งก็คือ พระขันธกุมาร หรือ สกันดา พระขันธกุมารนี้มีหลายพระนามมาก หลัก ๆ ก็มี สกันดา และ ขันธกุมาร สัญลักษณ์ของพระองค์ก็จำง่าย ๆ ก็คือ พระองค์จะทรงรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลา พร้อมทรงถือพระขรรธ์ไว้ในมือเสมอ พระขันธกุมาร หรือ สกันดานี้ ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าแห่งกองทัพแห่งองค์เทพโดยแท้จริง ซึ่งก็คือเนื่องมาจากท่านได้ไปรบ และมีชัยเหนืออสูรร้ายตนหนึ่ง เมื่อพระองค์ยังเยาว์วัยอยู่ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งจากทวยเทพให้เป็นหัวหน้ากองทัพแห่งสวรรค์
พระแม่สกันดามาตานี้เป็นพระแม่ดุรกาปางที่ ถือกำเนิดมาเมื่อครั้งที่พระแม่สตี พระมเหสีของพระศิวะได้ทำการเผาตนเองจนตาย เพราะน้อยใจพระทักษะพระบิดาที่ไม่ให้เกียรติพระศิวะ ปางนี้พระแม่ได้มาเกิดใหม่เป็นพระแม่อุมาปราวตี และได้บำเพ็ญตบะจนแก่กล้า จนพระศิวะท่านเห็นใจในความเพียร จึงยอมรับพระแม่เป็นพระมเหสีอีกครั้งหนึ่ง พระแม่อุมาปารวตีเมื่อได้แต่งงานกับพระศิวะอีกครั้ง ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาพระองค์หนึ่งนามว่า “สกันดา” หรือ พระขันธกุมาร
พระแม่สกันดามาตานี้เป็นพระแม่ที่เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนแห่งไฟ พระแม่จะปรากฏกายโดยมีพระขันธกุมารนั่งอยู่บนตักเสมอ พระแม่สกันดามาตานี้จะมีดวงตาถึง ดวงด้วยกัน และมีพระกร สี่พระกร พระแม่สกันดามาตาจะมีพระฉวีสีขาว และประทับนั่งบนดอกบัว ทรงสิงโตเป็นพาหนะ พระแม่จะประทานพรด้านการมีบุตรที่ดีและการมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น
ปางที่ ของพระแม่ดุรกาเทวีก็คือ พระแม่กาฏญาญาณี พระแม่กาฏญาญาณีนี้ ถือกำเนิดมาจากตำนานที่ว่า ครั้งหนึ่งมีบุตรของพระเจ้ากาฏ มีนามว่า กาฏญาญัณ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูล กาฏญา กาฏญาญัณนี้ได้บำเพ็ญตบะอย่างคร่ำเคร่งเพื่อต้องการที่จะขอพรให้ได้นางฟ้า นางสวรรค์ หรือมหาเทวี มาเป็นบุตรสาวของตน ด้วยเหตุนี้ พระแม่กาฏญาญาณีจึงได้ถือกำเนิดมาเป็นบุตรสาวของท่านกาฏญา และได้พระนามที่เรียกขานกันว่า พระนางกาฏญาญาณี พระแม่กาฏญาญาณีนี้มีดวงตาถึง ดวง มีพระกรถึง พระกร และทรงอาวุธครบมือทั้งเจ็ดพร้อมรบและเป็นอาวุธร้ายแรงที่ใช้ทำสงคราม มือประทานพร และประทานอภัย ทรงพาหนะเป็นราชสีห์เจ้าป่าชื่อ สีหะพานาราช พระแม่ปางนี้เสด็จไปที่ไหน อสูรร้ายก็จะพากันกลัวเกรงมาก
พระแม่กาฏญาญาณีนี้เชื่อกันว่าสามารถช่วยประทานพรให้คู่รักที่ไม่ได้แต่งงานกันง่าย ๆ ได้สมหวังในความรักได้ ด้วยการสวดขอพรจากพระแม่กาฏญาญาณี มีตำนานเล่าว่า มีมานพหนุ่มที่ชื่อว่า วริณดาวานา ได้ทำการขอพรจากพระแม่กาฏญาญาณีทุกๆวันหลังจากได้อาบน้ำชำระร่างกายที่แม่น้ำยุมนา เพื่อให้ได้แต่งงานกับคนรัก “โอ้ พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งแห่งจักรวาล พระแม่ผู้ทรงพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ผู้ควบคุมความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ โปรดกรุณาประทานพรให้ลูกได้แต่งงานกับคนที่ลูกปรารถนาด้วยเทอญ ……” และก็ประสบความสำเร็จ เชื่อกันว่า องค์ของพระแม่ไม่ว่าจะถูกสร้างจากดินแห่งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือ ทำด้วยโลหะ หรือ เพชรนิลจินดาใดๆ พระแม่ก็จะประทานพรให้ทุกคนที่สวดขอพรจากใจ
ปางที่ คือปางที่เรียกขานพระนามกันว่า กาลราตรี สมพระนามกล่าวคือ พระฉวีของพระแม่ในปางนี้จะสีดำสนิทดั่งความมืดแห่งสนธยากาล พระเกศายาวสยาย กระเซิงไม่เป็นระเบียบ สร้อยคอของพระองค์จะสว่างเป็นสีเงิน เปรียบได้ดั่งสีแห่งสายฟ้าฟาด พระแม่จะมีดวงตาถึงสามดวงด้วยกัน และดวงตาทั้งสามนี้จะกลมมากเปรียบได้ดั่งจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ ดวงตาของพระแม่จะสุกสว่างมาก ทรงลาเป็นพาหนะ เหยียบพระศิวะ เมื่อเวลาพระแม่หายใจก็จะมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากทางจมูกตลอดเวลา พระแม่จะทรงยืนอยู่บนซากศพ และทรงถือดาบที่คมมากๆอยู่ที่มือขวา แต่มือซ้ายด้านล่างพระองค์ก็จะอยู่ในท่าประทานพรคือไม่ได้ฆ่า ทำลายล้างอสูรร้ายและคนชั่วอย่างเดียว พระองค์ยังทรงประทานพรด้วยสำหรับผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ส่วนมือซ้ายด้านบนจะทรงถือคบเพลิง เพราะท่านเสด็จเฉพาะกลางคืน ส่วนมือซ้ายด้านล่างลงไปอีกก็ทำท่าที่สื่อถึงสาวกของพระองค์ว่า “อย่ากลัว” เพราะพระแม่จะทรงคุ้มครองสาวกของท่านเสมอๆ
พระแม่ปางนี้ถือเป็นสัญลักษณ์มหามงคล ชาวอินเดียบางครั้งจึงขนานนามพระองค์ว่า “ศุภะมกาลี” ทรงเป็นผู้ทำลายความมืด และความโง่เขลา พระแม่กาลีเป็นเทวีปราบมารที่ร้ายแรงมาก เรียกว่า เป็นปางที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในการทำลายอสูร และความชั่วทั้วปวง ถือกำเนิดออกมาจากกลางหน้าผากของพระแม่ดุรกาในยามพิโรธเหล่าปิศาจอสูรที่สุด เรียกว่าถ้าพระแม่กาลีเสด็จก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของการต่อสู้ เพราะไม่มีใครสามารถต้านทานพลังแห่งพระแม่ได้
ปางที่ มีพระนามว่า มหาโกรี ในปางนี้พระแม่จะปรากฏพระองค์ในลักษณะที่มีสี่พระกรเสมอ พระฉวีของพระองค์จะเป็นสีผิวที่ขาวผ่อง และงดงามมากเมื่อเทียบกับทุกๆปาง พระแม่จะฉายแววแห่งความรัก และความสงบออกมาจากปางนี้ ซึ่งต่างกับปางอื่นๆ มีแต่ปางที่แปดนี้เองที่ทรงดูสงบเยือกเย็น พระแม่ในปางที่แปดนี้จะสวมส่าหรีสีขาว หรือเขียวเสมอๆ พระองค์จะถือกลองและตรีศูล พระแม่ในปางที่แปดนี้จะทรงวัวเป็นพาหนะ
ปางที่ ซึ่งเป็นปางสุดท้าย พระแม่ทรงพระนามว่าพระแม่สิทธิราตรีหรือปางมารีอัมมันพระแม่จะประทับบนดอกบัว มีสี่พระกร ทรงเป็นที่เคารพ บูชาของเหล่าเทพ ฤาษี มุนี โยคีและผู้ศรัทธา เพื่อความสำเร็จบรรลุธรรม อีกนัยหนึ่งคือปราบอสูรได้รับชัยชนะทุกครั้ง สำเร็จผลได้รับการสรรเสริญทั่วทั้ง โลก และอันนี้สำคัญมาก พระแม่พร้อมที่จะประทานพรสำคัญทั้ง26ประการ แก่สาวกของพระแม่ที่ทำการสวดขอพรอยู่เป็นประจำ สถานที่สำคัญที่สาวกของพระแม่ควรไปสวดอ้อนวอน และขอพรจากพระองค์จะอยู่ที่เมืองนันทประวัติ แห่งเทือกเขาหิมาลัย ตามตำนานกล่าวไว้เช่นนั้น

*****************
7• พระสุรัสวดี ผู้ซึ่งเป็นเทวีแห่งภาษาและความรู้
พระสุรัสวดีเป็นชายาของพระพรหม โดยหลักฐานจากคัมภีร์มัสยาปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า พระพรหมธาดาซึ่งเป็นผู้สร้างพระนางขึ้นมาเอง ต่อมาภายหลังได้เกิดหลงรักในธิดา และในครั้งนี้เองได้เกิดอภิเษกกับพระธิดาของพระองค์เอง
ลักษณะ พระนางสุรัสวดี จะทรงมีพระวรกายขาว ประทับนั่งอยู่บนดอกบัว โดยพระบาทห้อยลงมายังเบื้องล่างข้างหนึ่ง ส่วนพระกรจะถือพิณ บางแห่งที่ได้พบเห็นจะมีเพียงพระพักตร์เดียวเ หรืออาจจะมี พระพักตร์ก็ได้ แต่มี พระกร แต่ในบางแห่งจะมีถึง พระกร ทรงสวมส่าหรี สวมมงกุฎ และเครื่องประดับ ประทับบนหลังนกยูงทองคำ
*****************
8• พระนางลักษมี เทวีแห่งความมั่งคั่งและเทวีแห่งความดีงาม
พระนางลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุ ตามหลักฐานของคัมภีร์รามายณะ ได้มีคำกล่าวถึงตอนที่เหล่าเทวดาและยักษ์ทั้งหลายทำการกวนเกษียรสมุทรเพื่อน้ำอมฤต ในการกวนเกษียรสมุทร ได้เกิดสิ่งวิเศษขึ้นมาถึง 14 อย่างและเกิดพระลักษมีขึ้นมาด้วย ครั้นพอพระนางได้ปรากฏกายขึ้นมา ทางด้านของพระนารายณ์หรือพระวิษณุในขณะนั้นยังทรงอวตารอยู่ในลักษณะของเต่าที่มีขนาดใหญ่ ได้เห็นพระนางลักษมี จึงรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาในทันที จึงได้แสดงถึงความมีอำนาจฤทธิ์เดชของพระองค์ ทำการบันดาลให้พระนางเข้ามาเป็นชายาของพระองค์ได้อย่างสมปรารถนา
พระแม่ลักษมี เทวีแห่งความงดงาม ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวย มีปางหลักอยู่ ปาง แต่จากคัมภีร์ปุราณะต่างๆนั้น ปรากฎพระแม่ลักษมีอยู่มากมายหลายภาคหลายปาง จึงไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนว่า ปางหลักนั้นคือปางใดบ้างจากทั้งสิบกว่าปางดังต่อไปนี้


ปางที่ คชลักษมี
ปางหลักแห่งองค์พระแม่ลักษมีเทวี ปางนี้มีทั้งยืนและประทับนั่งบนดอกบัว มี พระกร สวมอาภรณ์สีสันสวยงามล้วน สองพระกรหลังถือดอกบัว ยกพระหัตถ์ประทานพรและโปรยเหรียญทอง ประทานพรความสำเร็จทั้งการงาน การเงิน ความรักแก่ผู้บูชา เป็นปางที่พบเห็นได้มากที่สุดในภาพเขียน
ปางที่ อิศวารยะลักษมี
ปางแห่งความกล้าหาญชาญชัย ปางนี้มีทั้งยืนและประทับนั่งบนดอกบัว มี พระกร สวมอาภรณ์สีขาวล้วน สองพระกรหลังถือดอกบัว พระกรหน้ายกและหงายพระหัตถ์ ข้างเพื่อประทานพร ผู้บูชาจะได้รับความกล้าหาญ กล้าคิดกล้าทำ เป็นปางแห่งชัยชนะและโชคลาภด้านความเสี่ยงทุกประเภท (พบเทวรูปอยู่ทั่วไป มีลักษณะเดียวกับปางคชลักษมี)
ลักษณะเหมือนกันทุกประการ แต่พระคชลักษมีมีช้างเป็นบริวาร นิยมสวมชุดสีชมพูหรือสีแดง พระอิศวารยะลักษมีไม่มีช้างบริวารและนิยมสวมชุดสีขาวสะอาดหรือสีอ่อนๆ)
ปางที่ ธัญญลักษมี
ปางแห่งความอุดมสมบูรณ์ในพืชพรรณ พืชไร่ นา สวน ป่าไม้ ดอกไม้ ปางนี้มี พระกร แต่ละพระกรทรงพืชพรรณต่างๆกัน เช่น ต้นข้าว ปางนี้พระแม่ลักษมีลงมาปรากฏเพื่อโปรดสรรพมนุษย์ที่ทำกินเพาะปลูกบนผืนแผ่นดิน เช่น เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้บูชามักขอพรให้การเพาะปลูกมีผลผลิตงอกงาม ชาวไทย ลาว และเขมรรู้จักกันในนามของ "พระแม่โพสพ"
ปางที่ ธนลักษมี
ปางแห่งทรัพย์สมบัติ เงินทอง มี หรือ พระกร ทรงศาสตราวุธต่างๆเช่น หอยสังข์ จักร ธนู ดอกบัว โถอัญมณี ยกพระหัตถ์ประทานพรและโปรยเหรียญทอง ประทานความรำรวยในทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้บูชา
ปางที่ อาทิลักษมี
ปางแห่งความสำเร็จในการงานและการบุกเบิก มี พระกร ทรงดอกบัว ธงไชย พระกรหน้ายกและหงายพระหัตถ์ ข้างเพื่อประทานพร ให้พรด้านการทำงาน การทำมาหาเลี้ยงชีพ จะเป็นไปด้วยความราบรื่น
ปางที่ วิทยะลักษมี
ปางแห่งปัญญา ความรอบรู้ การศึกษาเล่าเรียน ปางนี้เทียบเท่าได้กับปัญญาแห่งพระแม่สุรัสวดี มี พระกร ผู้บูชาจะได้รับสติปัญญาที่เลิศล้ำ ทั้งศาสตร์วิทยาการอันก้าวหน้าและศิลปะทุกแขนง
ปางที่ วีระลักษมี
ปางแห่งวีรชน นักสู้ ผู้มีพละกำลังอันไม่มีที่สิ้นสุด ปางนี้เทียบเท่าได้กับพละกำลังแห่งพระแม่ทุรกา มี พระกร ทรงคันธนู ศร สังข์ ดาบ และศาสตราวุธอื่นๆ ยกพระหัตถ์ประทานพร ผู้บูชาจะได้รับพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น
ปางที่ วิชัยยะลักษมี
ปางแห่งชัยชนะและความแคล้วคลาดพ้นภัย มี พระกร ทรงหอยสังข์ มีด ดาบ ตะบองหรือขวาน มีอานุภาพในการขจัดศัตรู ประทานความมียศถาบรรดาศักดิ์และการสรรเสริญจากผู้คน ประทานความสำเร็จทุกประการ
ปางที่ สันทนะลักษมี
ปางแห่งครอบครัว ความผูกพันระหว่างแม่ลูก ความอบอุ่นในครอบครัวรวมถึงการขอพรให้มีลูก-ทายาท ลูกหลานเชื่อฟังคำสั่งสอนและเติบโตอย่างแข็งแรง ปางนี้มีอานุภาพเทียบเท่ากับพระพิฆเนศปางบาละคเณศ (พระคเณศปางเด็กมี พระกร ทรงดาบ พระกรหลังทรงหม้อทั้ง ข้าง อุ้มเด็กชายนั่งบนตัก
ปางที่ 10 เมธาลักษมี
ปางแห่งพลังอำนาจอันรุนแรง เปรียบได้กับพลังแห่งพระแม่กาลี
ปางที่ 11 กิรติลักษมี
ปางแห่งชื่อเสียง การสรรเสริญและปางแห่งความซื่อสัตย์จงรักภักดี
ปางที่ 12 อโรคยาลักษมี
ปางแห่งความปลอดภัยในชีวิต ความไร้โรคและการเดินทางปลอดภัย
ปางที่ 13 สัมราชยลักษมี
ปางแห่งความหลุดพ้นจากบาป การมีอิสรภาพทางวิญญาณและบรรลุโมกษะ
ปางที่ 14 ไชยลักษมี
ปางแห่งชัยชนะ ลักษณะเช่นเดียวกับปางวิชัยยะลักษมี
ปางที่ 15ภัคยาลักษมี
ปางแห่งพระเวท การทำสมาธิและความศักดิ์สิทธิ์ พลังเหนือธรรมชาติ
ปางที่ 16เสาวนาทรียะลักษมี
ปางแห่งความงดงามของสตรีเพศ ความสะอาดสะอ้าน อ่อนช้อย มีเสน่ห์
ปางที่ 17ไทรยะลักษมี
ปางแห่งการสวดมนต์ พิธีกรรม ภักดีโยคะ ประทานมนตราอันศักดิ์สิทธิ์แก่เหล่าฤาษี
ปางที่ 18 สิทธะลักษมี
ปางแห่งความนิ่งสงบ จิตวิญญาณ และการเข้าถึงคำสอนของมหาเทพ

*****************

9• พระพิฆเนศวร เทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ
ผู้ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวรและพระอุมาเทวี (ในภาคของนางทุรคาเป็นพระเชษฐาของพระขันธกุมาร โดยมีเศียรลักษณะเป็นช้าง ตัวแทนแห่งเทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ มีผู้ที่ให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากมาย ทรงหนูเป็นพาหนะ
พระพิฆเนศแต่ล่ะปาง
1.ปางพระคเนศ
แม้ว่าพระคเณศจะมีพระนามมากมายถึง 108 พระนามไปจนถึง 1008 พระนาม แต่ในแง่เทวประติมานั้นมีอยู่เพียง ถึง ปางเท่านั้นที่คนนิยมบูชา
2.ปางพาลคเณศ
เป็นพระคเณศในวัยเด็กรูปลักษณ์ที่เห็น มักจะเป็นพระคเณศยังคลานอยู่กับพื้น หรือยังอยู่ในอิริยบถไร้เดียงสาอย่างเด็ก ๆ ถ้าโตขึ้นมาหน่อย จะนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัวมี กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งหมายถึงความเป็นสุขภาพดีของเด็ก ๆในครอบครัวรวมความหมายถึงให้เด็ก ๆ ได้ระลึกถึงการเคารพรักในบิดา มารดา ปางนี้นิยมบูชากันในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กในวัยเรียน
3.ปางนารทคเณศ
ปางนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระคเณศมักจะอยู่ในอิริยาบถยืน มี กร ในคัมภีร์และหม้อน้ำกมัลฑลุ ไม้เท้า และร่ม ซึ่งถ้าเป็นศาสนาพุทธแล้ว คงเปรียบได้กับพระสีวลี ซึ่งเป็นพระธุดงค์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ผู้มีลาภมาก แต่สัญลักษณ์ของพระคเณศนั้น หมายถึงการเดินทางไกล แต่มักจะเป็นการเดินทางไปเพื่อการศึกษาต่อ หรือเป็นปางที่เหมาะสมกับวิชาชีพของคนที่เป็นครูบาจารย์เท่านั้น
4.ปางลักษมีคเณศ
ปางนี้พระคเณศจะประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมี กร และพระหัตถ์หนึ่งโอบพระลักษมีเทวีไว้ การบูชาปางนี้เสมือนหนึ่งได้บูชาเทพทีเดียวกันถึง พระองค์ในลักษณะของทวิภาคี (คเณศ-ลักษมีกล่าวคือ ลักษมีคเณศ ย่อมมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ พูนสุข ความมั่งคั่ง มั่งมีอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้
5.ปางวัลลยภาคเณศ
ปางนี้พระคเณศจะอุ้มพระชายาทั้งไว้บนตักทั้งซ้ายและขวา ซึ่งชายาทั้งคู่คือคือนางพุทธิและสิทะ ดังที่ตำนานได้กล่าวไว้ ปางนี้ให้ความหมายในลักษณะของความสมบูรณ์ของการเป็นครอบครัวมีทรัพย์สินและบริวารมากมาย
6.ปางมหาวีระคเณศ
เป็นพระคเณศที่มีจำนวนของพระกรมากเป็นพิเศษ อาจจะ 12,14,16, กรแต่ละพระหัตถ์นั้นถือศาสตราวุธหลากหลายชนิดแตกต่างกันไปอาทิลูกศร คันธนู ดาบยาว ตะบอง ขวาน จักร บ่วงบาศ งูใหญ่ หอก ตรีศูล ปางนี้ถือกันว่าเป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรูหมู่อมิตรทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นความเหมาะสมพิเศษกับบรรดานักรบ แม่ทัพนายกอง ทหาร ตำรวจและข้าราชการ
7.ปางเหรัมภะคเณศ
เป็นปางพระคเณศที่ห้อยพระบาทอยู่บนพญาราชสีห์ พระคเณศปางนี้จะมีอยู่ห้าเศียร หรืออาจจะเป็นเศียรตามปกติก็ได้ เพราะสัญลักษณ์ที่แท้จริงของปรางค์นี้ก็คือ สิงโตเท่านั้น เพราะสิงโตเป็นเจ้าป่า ดังนั้นจึงเหมาะสมที่ผู้ใหญ่ที่ต้องมีบริวารในการปกครองมาก นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บรรดดากษัตริย์ทั้งหลายแต่โบราณนิยมบูชากัน เรียกว่าเป็นสุดยอดปางของพระคเณศก็ว่าได้
8.ปางสัมปทายะคเณศ
เป็นพระคเณศที่เราพบเห็นกันบ่อยคือ มีอาวุธอยู่ในสองพระหัตถ์บน ส่วนพระหัตถ์ล่างด้านซ้ายนั้นถือขนม และด้านขวาอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งความหมายของปางนี้คือ การอำนวยพรให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง
9.ปางตรีมุขคเณศ
เป็นพระคเณศที่มี พระพักตร์ กร บ้างก็ว่ามีความหมายถึง โลก บ้างก็ว่าหมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา
10.ปางปัญจคฌณศ
บางคนเรียกปางนี้ว่า พระคเณศเปิดโลก
11.ปางวิชัยคเณศ
เป็นปางที่พระคเณศทางขี่หนูเป็นพาหนะมี กร พระหัตถ์ขวาด้านล่างอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งมีความหมายถึงการอยู่เหนือบริวารนั่นเอง

*****************

10• พระอาทิตย์ เทพแห่งไฟหรือดวงตะวัน
พระอาทิตย์เป็นบุตรของพระแม่อทิติและเทพกัศยปะ เมื่อประสูติปรากฏว่าพระแม่อทิติผู้เป็นพระมารดาไม่ได้นำไปเข้าเฝ้าต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นพระอาทิตย์จึงต้องทำการขับดวงตะวัน ซึ่งเป็นพาหนะประจำกาย เมื่อต้องการจะไปยังโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน พระอาทิตย์มีพาหนะเป็นราชสีห์
*****************

11• พระจันทร์ เทพเจ้าแห่งเสน่ห์
จากหลักฐานในคัมภีร์โบราณได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า พระจันทร์นั้นมีลักษณะเป็นเทวะหนุ่ม ที่มีรูปงามมีเสน่ห์ที่แรงกล้ายิ่งนัก รวมทั้งมีความเจ้าชู้เป็นอย่างมาก เพราะได้เคยเข้าไปลักลอบเกี้ยวพาราสีชายาของพระพฤหัสบดี ส่วนทางฝ่ายพระพฤหัสบดีเมื่อได้ทราบเรื่องราวไม่รอช้า ได้รีบออกติดตามเข้ามาถึงยังวิมานของพระจันทร์ เพราะต้องการจะนำตัวพระชายากลับคืนมา แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะพระจันทร์ไม่ยอมคืนให้ ในเหตุการณ์ครั้งนี้เองจึงทำให้เกิดศึกสงครามขึ้นมา เมื่อพระพรหมชั้นผู้ใหญ่ได้รับทราบเรื่องราวอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงได้สั่งให้บรรดาเหล่าเทวะที่อยู่บนสวรรค์เข้ามาช่วยกันห้ามทัพครั้งนี้ อีกทั้งยังได้จัดการให้พระจันทร์ได้คืนชายาแก่พระพฤหัสบดีกลับคืนไป ทางด้านพระจันทร์เองก็ต้องถูกลงทัณฑ์ไม่ให้เข้าร่วมประชุมในเทวสภาด้วย
แต่มีหลักฐานจากบางตำราได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า ในครั้งที่เหล่าอสูรเทพและเหล่าเทวะทั้งหลายได้เข้ามาช่วยกันทำพิธีกวนน้ำอมฤต เพราะต้องการที่จะให้เพิ่มฤทธานุภาพแก่บรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ในช่วงเวลาขณะที่กำลังกวนน้ำอมฤต ก็ได้ปรากฏการเกิดของเทวะขึ้นมาองค์หนึ่ง นั่นก็คือ พระจันทร์
*****************

12• พระราหู เทพนพเคราะห์
เมื่อครั้งแรกเกิดนั้น พระราหูจะมีหางเป็นนาค ซึ่งได้สถิตอยู่ในชั้นวิมานสีนิลหรือสีดำขลับ แล้วยังมีพญาครุฑเป็นพาหนะ พระราหูนั้นถือได้ว่าเป็นเทวะองค์ที่ ในเหล่าบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์ ในบันทึกคัมภีร์อินเดียยุคโบราณ ได้มีคำกล่าวเอาไว้ว่า พระราหูได้ทำการแปลงตัวให้เป็นเทวะองค์หนึ่ง เพื่อที่จะเข้าร่วมของการชุมนุมเหล่าทวยเทพในการกวนเษียรสมุทรและต้องการที่จะดื่มน้ำอมฤตด้วย แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นเสียก่อน จึงได้รีบนำคำไปบอกแก่พระวิษณุว่า พระราหูแปลงร่างลงมาเป็นเทวดาและได้ลักลอบดื่มน้ำอมฤต ครั้นเมื่อพระวิษณุได้ฟังความทรงกริ้วมาก จึงได้ขว้างจักรออกไปถูกพระราหูจนร่างกายได้ขาดเป็นสองท่อน แต่บังเอิญว่าน้ำอมฤตได้ตกลงไปถึงท้องพอดี เลยทำให้พระราหูไม่ตายและยังมีฤทธิ์สูงมากเท่าเทียมกับเหล่าเทวดาทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระราหูเหลือเพียงแค่ท่อนหัวเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถล่องลอยไปมาอยู่ในชั้นสรวงสวรรค์ได้ แล้วยังคอยจ้องจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กิน เพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่ตนเอง ส่วนที่เป็นท่องล่างหรือท่องตัวของพระราหูนั้น ได้ขาดหายออกไปจนกลายเป็นพระเกตุ เป็นเทวะแห่งนพเคราะห์องค์ที่ ซึ่งได้มีรูปลักษณ์เป็นผีพุ่งใต้หรือดาวหาง
*****************

13• พระยม เทพแห่งความเที่ยงธรรมและความตาย
เดิมทีนั้น พระยมผู้เป็นเจ้าแห่งนครไวศาลี ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ซึ่งมีความเก่งกาจสามารถในด้านการรบเป็นอย่างมาก แต่ภายหลังได้เกิดล้มป่วยจวบจนใกล้จะสิ้นชีวิต พระยมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อต้องการจะขอไปเกิดเป็นเจ้าแห่งนรก เพราะมีความปรารถนาที่จะไปทำการควบคุมดูแลพวกคนชั่ว ซึ่งคิดว่าจะได้เปรียบเสมือนเป็นการได้ไถ่บาปที่ตนเองเคยได้ทำการรบราฆ่าฟัน ทำให้ผู้คนมามากมายต้องจบสิ้นชีวิต ถึงแม้ว่าผู้คนเหลานั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ได้สิ้นชีพไปแล้ว พระยมก็ได้สมความปรารถนา เพราะได้ไปเกิดเป็นท้าวมัจจุราช ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งความตาย แล้วยังได้เป็นเจ้าแห่งนรกภูมิ หรือ ยมโลก นั่นเอง
พระยมหรือท้าวมัจจุราช มีเครื่องฉลองพระองค์เป็นสีแดง ส่วนพระวรกายนั้นจะเปล่งประกายมีรัศมีเป็นสีแดง ซึ่งทำให้ดูแล้วน่าเกรงขาม ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายจะถือบ่วงยมบาศ และพระหัตถ์ขวาจะถือไม้ท้าวยมทัณฑ์
*****************

14• พระกามเทพ เทพแห่งความรัก
เมื่อครั้งที่พระสตีเทวี ผู้เป็นมเหสีของพระอิศวรสิ้นพระชนม์ชีพไปแล้ว ฝ่ายพระอิศวรก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก จนต้องเสด็จไปเข้าฌาน เพื่อต้องการประพฤติพระองค์เป็นสันยาสีแต่เพียงลำพังเท่านั้น เมื่อเวลาได้ผ่านไป พระสตีเทวีก็ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เป็นบุตรีของท้าวหิมาลัย มีพระนามว่า พระนางอุมาเทวี เหล่าบรรดาเทวดาทั้งหลายต่างมีความหวังต้องการที่จะให้พระนางอุมาเทวีได้เข้ามาเป็นพระมเหสีของพระอิศวร เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วจึงได้มอบหมายให้กามเทพ รับเป็นผู้ไปปฏิบัติหน้าที่นี้ ทางฝ่ายกามเทพเองก็ได้วานให้วสันต์ ผู้เป็นสหาย ได้จัดการเนรมิตดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่มีความสวยสดงดงามผลิบานกันอย่างเต็มต้น จากนั้นจึงได้ทำการเชิญพระนางอุมาเทวีไปคอย และในช่วงนั้นเอง พระกามเทพจึงได้ยิงพระอิศวรด้วยพระปุษปศร (ศรที่ทำมาจากดอกไม้เมื่อพระอิศวรถูกศร ก็เบิกพระเนตรที่ ขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็ได้บันดาลให้เกิดเพลิงไหม้เผาผลาญกามเทพสูญสิ้นไป หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อพระอิศวรได้คลายความพิโรธหมดไปแล้ว จึงได้โปรกให้พระกามเทพได้เกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยให้เป็นพระประทยุมน์และเป็นพระโอรสของพระกฤษณะ (อวตารที่ ของพระนารายณ์กับนางรุกมิณี

**************

15• พระแม่คงคา
พระแม่คงคานั้น เป็นราชธิดาของพระหิมวัตและนางเมนกา ซึ่งพระนางก็คือพี่สาวของพระแม่อุมาเทวีนั้นเอง พระนางเป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ ซึ่งในอินเดียนั้นมีแม่น้ำหลายสาย
น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ แม่น้ำคงคาตลอดสาย แม่น้ำยมนา
บริเวณต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย โดยปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนีหรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน
ตามตำนานว่าแม่คงคานั้นไหลเวียนอยู่ที่นิ้วเท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้องใหลลงมาที่โลกมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าท้าวสักราชได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคา ให้ลงมาส่โลกมนุษย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจึงสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งอาจจะทำให้โลกล่มสลายไปได้ พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อน แล้วจึงปล่อยลงมาสู่โลกมนุษย์
อีกตำนานว่า เดิมทีโลกมนุษย์นั้นบังเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ซึ่งเกิดจากการที่พระแม่คงคา ไม่ยอมปล่อยน้ำลงมาสู่โลกมนุษย์แล้วเสด็จหนีไป จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมาย บรรดาเทวะเห็นดังนั้นจึงไปกราบทูลเชิญพระศิวะเจ้าให้ทรงจัดการเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงออกตามหาพระแม่คงคากลับมา แล้วให้พระแม่คืนสายน้ำให้มนุษย์ แต่พระแม่ไม่ยอมพระองค์จึงทรงใช้พระเกศรัดพระแม่คงคาจนพระนางยอมปล่อยสายน้ำออกมา
บางตำนานก็ว่าพระศิวะเจ้าทรงได้พระแม่เป็นภรรยาลับๆ ด้วยความกลัวพระแม่อุมารู้แล้วจะทรงพิโรธ จึงซ่อนพระแม่ไว้ในมวยพระเกศ ให้พระแม่ปล่อยน้ำออกมาจากพระเกศของพระองค์เพื่อล้างบาปที่พระองค์ได้ทรงทำด้วย
เทวะลักษณะของพระแม่นั้น โดยทั่วไปจะวาดมีสี่กร และทรงจระเข้เป็นพาหนะ มีตรีศูลย์เป็นอาวุธ มีหม้อกลาฮัม และหม้อน้ำ บางครั้งก็จะวาดมีสองกร และทรงอาวุธตรีศูลย์ แต่ส่วนมากที่จะได้เห็นกันก็คือ จะแสดงองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และมีสายน้ำพ่นออกมาจากปาก

********************

15• พระขันทกุมาร เทพเจ้าแห่งการสงคราม
ในบางคัมภีร์ได้เรียกพระขันทกุมารเป็นนามของ ยุทธรงค์มยุรอาสน์ สิทธิเสน มหาเสนามยุรเกตุซึ่งนามต่างๆ เหล่านี้เรียกตามภาระ หน้าที่ที่พระขันทกุมารมักเกี่ยวข้องตามบทบาทเป็นเทพแห่งการสงคราม พระนามที่เรียกกันตามรูปกายของพระองค์นั้นก็มีอีก ๒-๓ นามด้วยกัน คือ ฤชุกาย ทวาธศากษ์ ทวาทศกร พระขันทกุมารเป็นโอรสของพระแม่อุมาซึ่งได้กำเนิดขึ้นโดยการยิงบุษปศรของพระกามเทพนั่นเองในครั้งที่พระแม่อุมาได้ไปเกิดอีกภาคหนึ่งเป็นพระธิดา ของพระหิมวัตนั้นและเป็นเวลาเดียวกับที่พระอิศวรมีความโทมนัสถึงชายาที่สิ้นพระชนม์ไปคือพระแม่สตี (ซึ่งก็คือพระแม่อุมาในอีกภาคหนึ่งนั่นเองพระอิศวรจึงได้ไปบำเพ็ญตบะอยู่ที่เทือกเขาหิมาลัยประพฤติองค์เป็นสันยาสีผู้บำเพ็ญตบะให้ลืมความโทมนัสถึงพระสตีได้นั้น บรรดาทวยเทพทั้งมวลขณะนั้นก็กำลังเดือดร้อน เนื่องจากว่ามีเทพอสูรผู้หนึ่งซึ่งแบ่งภาคไปครองนครตรีปุระและเป็นเทพอสูรซึ่งมีความโหดร้าย ดุดัน มักจะสร้างความเดือดร้อนให้กับทวยเทพบนสรวงสวรรค์และมนุษย์โลกท้าวตารกาสูรผู้นี้มีความกำเริบเหิมเกริมบรรดาทวยเทพจึงเกรงว่าสรวงสวรรค์ และมนุษย์โลกจะเดือดร้อนถึงกาลพิบัติเป็นแน่แท้ และคงจะปราบได้ยากขึ้นทุกทีจะมีก็แต่พระอิศวรเท่านั้นที่จะปราบได้ แต่ในขณะนั้น พระอิศวรก็ยังบำเพ็ญตบะด้วยความทุกข์เศร้าในการจากไปของชายาผู้เป็นที่รักคงไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจมาทำศึกสงครามปราบ ท้าวตารกาสูรผู้เหิมเกริมได้แน่ ดังนั้นทวยเทพจึงได้ประชุมหรือรือกันหาทางให้พระอิศวรหายคลายความทุกข์เศร้าด้วยการให้มีรักใหม่กับพระแม่อุมา จึงได้นัดแนะให้พระกามเทพให้บุษปศรยิงพระอิศวรเพื่อให้บังเกิดความรักใคร่มีจิตปฎิพัทธผูกพันกับพระแม่อุมา ครั้นเมื่อพระอิศวร และพระอุมาผูกพันเสน่หาวิวาห์กันตามความคาดหวังของบรรดาทวยเทพแล้ว พระแม่อุมาก็ให้กำเนิดโอรสองค์หนึ่งคือ พระขันทกุมารองค์นี้นั่นเองต่อมาเมื่อทรงเจริญพรรษาได้เพียงไม่กี่ขวบปีนักก็ได้ไปสังหารท้าวตารกาสูร ผู้สร้างความปั่นป่วนให้สวรรค์และโลก ซึ่งก็สามารถปราบปรามได้สำเร็จเรียบร้อยและนี่ก็คืออีกเหตุหนึ่งที่พระขันทกุมารเป็นที่เคารพนับถือในนามของเทพแห่งการรณยุทธ์
************

16• จาตุมหาราชิกา
จาตุมหาราชิกา เป็นชื่อสวรรค์ชั้นที่ ในฉกามาพจรสวรรค์ ชั้น เรียกสั้น ๆ ว่า ชั้นจาตุม ก็มี
จาตุมหาราชิกา แปลว่า แดนเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้งสี่อาณาจักรของท้าวมหาราช องค์ คือดินแดนที่จอมเทพ องค์ผู้รักษาคุ้มครองโลกใน ทิศ ซึ่งเรียกว่า ท้าวโลกบาล ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจาตุมหาราช ปกครองอยู่องค์ละทิศ
ท้าวจาตุมหาราช คือ
ท้าวธตรฐ รักษาโลกด้านทิศตะวันออก ทำหน้าที่ปกครองเทวดา จำพวกได้แก่ กุมภัณฑ์ วิทยาธร คนธรรพ์
ท้าววิรุฬหก รักษาโลกด้านทิศใต้ ทำหน้าที่ปกครอง ครุฑ
ท้าววิรูปักษ์ รักษาโลกด้านทิศตะวันตก ทำหน้าที่ปกครอง นาค
ท้าวกุเวร รักษาโลกด้านทิศเหนือ ทำหน้าที่ปกครอง ยักษ์ ท้าวกุเวรมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวเวสวัณ หรือท้าวเวสสุวรรณ
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีอายุ 500 ปีทิพย์ (30 วันเป็น เดือน 12 เดือนเป็น ปีโดย วันและคืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์

*************

16• พระสุยามาธิบดี
พระสุยามาธิบดี เป็นหัวหน้าเทพชั้นยามา สวรรค์ชั้น 3 ) ปกครองเทพในสวรรค์ชั้นนี้ทั้งหมด เทพที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้คืออากาสัฏฐเทวดา เป็นเทวดาที่มีวิมานเป็นของตนอยู่ในอากาศ

*************

17• สันดุสิตเทพบุตร
ท้าวสันตดุสิต เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต และเทพในชั้นนี้ทั้งหมด ในสวรรค์ชั้นนี้ถือเป็นชั้นที่เปี่ยมไปด้วยปีติ และกามคุณเบาบางกว่าสวรรค์ชั้นอื่น เป็นชั้นที่พระโพธิสัตว์อยู่อาศัยมากที่สุด
******************

18• พระยาวสวัตตีมาราธิราช
พระยาวสวัตตีมาราธิราช หรือ พระยามาราธิราช หรือ พระยามาร[1] ในพระพุทธศาสนา คือราชาแห่งเทวบุตรมารทั้งหลายผู้แป็นใหญ่ในฝ่ายมาร อยู่สวรรค์ชั้นเดียวที่เป็นที่อยู่ของเทวบุตร และเทวบุตรมาร ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะชอบมาผจญผู้ที่จะทำความดีต่างๆ
ประวัติ
จิตรกรรมตอนมารผจญ ศิลปะพม่าพระยาวสวัตตีมารยกทัพมารจำนวนมากมายเหลือประมาณเพื่อขัดขวางการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระสิทธัตถะ แต่ในที่สุดก็พ่ายแก่อำนาจความสัตย์และทานบารมีของพระสิตธัตถะ โดยทรงอ้างพระแม่ธรณีมาเป็นพยาน
ในอดีตชาติเคยได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต พระยามารได้ครองทิพยสมบัติอยู่ที่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี โดยสวรรค์ชั้นนี้จะมีเทพ และมารอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ทั้งคู่จะไม่มายุ่งกันเลย
หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน กำลังทรงค้นพบอริยสัจ และทรงกำลังจะก้าวล่วงจากอุปจารสมาธิไปถึงอัปปนาสมาธิ (ฌาน 1) พระยามารมีความเห็นว่า พระพุทธเจ้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะทำให้คนสำเร็จมรรคผลเข้าสู่พระนิพพานกันหมด ไม่เหลือวิญญาณไปขึ้นสวรรค์ จึงต้องยกทัพมากำหลาบ[2] แต่ถูกน้ำจากมวยผมของพระแม่ธรณีพัดไป จนในที่สุดพระยามารก็ยอมแพ้ ในภายหลังพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงพยากรณ์เอาไว้ว่า พระยามารจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระธรรมสามี"
พระยามารเคยรบกวนงานฉลองพระธาตุของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ถูกพระอุปคุตเถระสร้างความอับอายโดยการจับมัดไว้ที่เขาพระสุเมรุ ภายหลังปรารถนาพุทธภูมิ และเป็นยอมศิษย์ของพระอุปคุต
*********************

19• พระยาวสวัตตีเทวราช
พระยาวสวัตตีเทวราช เป็นเทวราชผู้ปกครองเหล่าเทวดาในสวรรค์ชั้นที่ โดยปกครองเหล่าเทวดา ร่วมกับพระยาวสัตตีมาราธิราช ซึ่งเป็นผู้ปกครองเหล่ามาร
********************

20• เทวนพเคราะห์
1.พระอาทิตย์ (เทวนาครีसूर्यสูรยะเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง มีอำนาจเหนือกว่าเทวดานพเคราะห์ทั้งหลาย ในคติไทย พระอาทิตย์ถูกสร้างขึ้นมาจากราชสีห์ ตัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีแดง แล้วเสก ได้เป็นพระอาทิตย์ มีสีวรกายแดง ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และแสดงถึงสระทั้งหมดในภาษาบาลี (อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ)
พระอาทิตย์ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางก้าวร้าวรุนแรง นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ หรือมีพระอาทิตย์สถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์รุนแรง ตัดสินใจไว เฉียบขาด รักอิสระ แต่ซื่อสัตย์ ตามนิทานชาติเวร พระอาทิตย์เป็นมิตรกับพระพฤหัสบดี และเป็นศัตรูกับพระอังคาร
ในโหราศาสตร์ไทย พระอาทิตย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๑ (เลขหนึ่งไทยและด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากราชสีห์ ตัวนี้เอง จึงทำให้มีกำลังพระเคราะห์เป็น สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ก็คือ ปางถวายเนตร
นอกจากราชสีห์แล้ว พระอาทิตย์ยังมีราชรถเทียมม้าขาว ๗ ตัวโดยมีสารถีชื่ออรุณ เป็นเทวพาหนะอีกอย่าง
2.พระจันทร์ (เทวนาครีचंद्रเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระจันทร์ถูกสร้างขึ้นมาจากเทวธิดา (นางฟ้า๑๕ องค์ บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีขาวนวล แล้วเสกได้เป็นพระจันทร์ มีสีวรกายขาวนวล ทรงอาชา (ม้าเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออก และแสดงถึงอักษรวรรค กะ(ก ข ค ฅ ฆ ง )
พระจันทร์ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลในทางนุ่มนวลอ่อนโยน นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันจันทร์ หรือมีพระจันทร์สถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์อ่อนโยน เพ้อฝัน รวนเร (แต่อาจมีเล่ห์เหลี่ยมมากตามนิทานชาติเวร พระจันทร์เป็นมิตรกับพระพุธ และเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี
ในโหราศาสตร์ไทย พระจันทร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๒ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากนางฟ้า ๑๕ องค์ จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๕ สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันจันทร์ก็คือ ปางห้ามสมุทร
3.พระอังคาร (เทวนาครีमंगलมังคละเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระอังคารถูกสร้างขึ้นมาจากมหิงสา (ควาย) 8 ตัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีชมพูหม่น แล้วเสกได้เป็นพระอังคาร มีสีวรกายชมพู ทรงมหิงสาเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และแสดงถึงอักษรวรรค จะ (จ ฉ ช ฌ ญ)
พระอังคาร เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางรุนแรงและเร่าร้อน นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันอังคาร หรือมีพระอังคารสถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์มุทะลุ ตึงตัง ชอบใช้กำลัง ใจร้อน ตามนิทานชาติเวร พระอังคารเป็นมิตรกับพระศุกร์ และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์
ในโหราศาสตร์ไทย พระอังคารถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากมหิงสา 8ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอังคารก็คือ ปางไสยาสน์ และภายหลังมี ปางลีลา เพิ่มอีกหนึ่งปาง
4.พระพุธ (เทวนาครีबुधเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระพุธถูกสร้างขึ้นมาจากคชสาร (ช้าง) 17 เชือก บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีเขียวใบไม้ แล้วเสกได้เป็นพระพุธ มีพระวรกายเขียว ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศใต้ และแสดงถึงอักษรวรรค ฏะ ใหญ่ (ฏ ฐ ฑ ฒ ณ)
พระพุธเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลในทางอ่อนโยนไพเราะ นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันพุธ หรือมีพระพุธสถิตร่วมกับลัคนา มักชอบพูดชอบเจรจา สุขุมรอบคอบ แต่ตื่นกลัวง่าย ตามนิทานชาติเวร พระพุธเป็นมิตรกับพระจันทร์ และเป็นศัตรูกับพระราหู
ในโหราศาสตร์ไทย พระพุธถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากคชสาร 17เชือก จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 17 สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพุธก็คือ ปางอุ้มบาตร
5.พระพฤหัสบดี (เทวนาครีबृहस्पतिเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาจากฤษี ๑๙ ตน บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีเหลืองส้ม แล้วเสกได้เป็นพระพฤหัสบดี มีสีวรกายส้มแดง ทรงมฤค (กวางเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และแสดงถึงอักษรวรรค ปะ(บ ผ พ ภ มพระพฤหัสบดีจัดว่าเป็นครูของเทวดาทั้งหลาย จึงนิยมทำพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดี
พระพฤหัสบดีเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลดังเช่นนิสัยแห่งพระฤษี นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันพฤหัสบดี หรือมีพระพฤหัสบดีสถิตร่วมกับลัคนา มักทำอะไรด้วยความระมัดระวัง สุขุมรอบคอบ เมตตาปรานีต่อผู้อื่น ตามนิทานชาติเวร พระพฤหัสบดีเป็นมิตรกับพระอาทิตย์ และเป็นศัตรูกับพระจันทร์
ในโหราศาสตร์ไทย พระพฤหัสบดีถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๕ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากฤษี ๑๙ ตน จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๙ สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีก็คือ ปางสมาธิ
6.พระศุกร์ (เทวนาครีशुक्रเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระศุกร์ถูกสร้างขึ้นมาจากคาวี (วัว) 21 ตัว (บางตำรากล่าวว่าสร้างจากเทพยาธร-ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีฟ้าอ่อน แล้วเสกได้เป็นพระศุกร์ มีสีวรกายฟ้า ทรงคาวีเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศเหนือ และแสดงถึงเศษวรรคที่ 2 (ส ห ฬ อพระศุกร์จัดเป็นครูของพวกยักษ์ ซึ่งตรงข้ามกับพระพฤหัสบดีที่เป็นครูของเทพ พระศุกร์ เป็น บุตร ของ พระฤๅษีภฤคุ กับ นางชยาติ และ เป็น สาวกเอก ของ พระศิวะ วิมาน อยู่ทาง ศิวโลก ด้านทิศเหนือ
พระศุกร์เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลในทางอ่อนหวาน แต่ค่อนข้างไปทางใฝ่ต่ำ นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันศุกร์หรือมีพระศุกร์สถิตร่วมกับลัคนา มักมีกิริยาน่ารัก อ่อนหวาน ชอบงานศิลปะทุกประเภท ตามนิทานชาติเวร พระศุกร์เป็นมิตรกับพระอังคารและเป็นศัตรูกับพระเสาร์
ในโหราศาสตร์ไทย พระศุกร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากคาวี 21 ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 21 สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันศุกร์ก็คือ ปางรำพึง ใน มหาภารตะ พระศุกร์ เป็นศัตรู กับ ท้าวยยาติ ลูกเขย ของ พระศุกร์ คือ ท้าวยยาติ นั้น เห็น พระศุกร์ เป็นเพียง ฤๅษี นักบวช คนหนึ่ง จึงได้พูดจาสบประมาท ดูถูก พระศุกร์ และแล้ว ฤๅษีนารทมุนี ได้นำความไปฟ้อง พระศุกร์ พระศุกร์ โกรธ มากมากจึงสาป ท้าวยยาติ ให้ ท้าวยยาติ เป็น คนหลังค่อม และ ลูกหลานต้องฆ่ากันตาย และ ต้องมีตระกูล หนึ่งต้อง สูญพันธุ์ ไม่มีผู้สืบสกุล จนทำให้ เกิด มหาสงครามทุ่งกุรุเกษตร 18 วัน ก็ คือ ปาณฑพ และ เการพ และ ตระกูล ที่สูญพันธุ์ไร้ผู้สืบสกุล ก็ คือ สกุลเการพ ในเวลาต่อมา
7.พระเสาร์ (เทวนาครี:शनिศนิเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระเสาร์ถูกสร้างขึ้นมาจากพยัคฆ์ (เสือ) 10 ตัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีดำ แล้วเสกได้เป็นพระเสาร์มีสีวรกายดำคล้ำ ทรงพยัคฆ์เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และแสดงถึงอักษรวรรค ตะ เล็ก (ต ถ ท ธ น)
พระเสาร์เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางรุนแรง นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันเสาร์หรือมีพระเสาร์สถิตร่วมกับลัคนา มักมีกิริยาดุดัน แข็งแรง กล้าได้กล้าเสีย บุคลิกเคร่งขรึม ตามนิทานชาติเวร พระเสาร์เป็นมิตรกับพระราหูและเป็นศัตรูกับพระศุกร์
ในโหราศาสตร์ไทย พระเสาร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากพยัคฆ์ 10ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 10 สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์ก็คือ ปางนาคปรก
8.พระราหู (เทวนาครีराहुเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย
กำเนิดของพระราหูมีอยู่ด้วยกัน2ตำนานด้วยกันคือ 1.พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก 12 หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงสุบรรณ (ครุฑเป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพและแสดงถึงเศษวรรคที่ 1 (ย ร ล ว) 2.พระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค
พระราหูเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา พระราหูเป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับพระพุธอันมีเหตุตามนิทานชาติเวร
ในอดีตชาติ พระราหูได้เกิดมาเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับเทวดานพเคราะห์อีก2องค์ คือ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ โดยพระราหูเกิดเป็นน้องสุดท้อง ครั้งหนึ่ง พระราหูได้ร่วมทำบุญถวายพระที่มารับบิณฑบาตร่วมกับพี่ทั้ง2คน พระอาทิตย์ตักบาตรในครั้งนั้นด้วยภาชนะทอง พระจันทร์ตักบาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูตักบาตรด้วยภาชนะที่ทำมาจากกะลามะพร้าว เมื่อทั้ง3พี่น้องได้มาเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ พระอาทิตย์จึงมีรัศมีและวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำ พระจันทร์มีรัศมีและวรรณะเป็นสีขาวสว่างดุจเงิน และพระราหูมีรัศมีและวรรณะเป็นสีนิลออกไปทางทองแดง (แต่ในบางตำราก็ว่ากายของพระราหูนั้นมีสีดำบ้าง สีทองบ้าง แตกต่างกันไป)
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุ พระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอัมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งล่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่9แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ จากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์ แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ
ในโหราศาสตร์ไทย พระราหูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก12 หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 12
8.พระเกตุ (เทวนาครีकेतुเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย พระเกตุถูกสร้างจากหางของพระราหู เนื่องจากพระราหูแอบไปขโมยน้ำอมฤตที่เทวดาได้กวนไว้ดื่ม พระอินทร์โกรธจึงขว้างจักรตัดเอวพระราหู เดชะฤทธิ์น้ำอมฤต พระราหูจึงไม่ตาย และกลับไปยังวิมานเดิม หางที่ขาดนั้นเองก็กลายเป็นพระเกตุ ประจำในทิศท่ามกลาง ให้ผลเป็นกลาง ๆ ในการพยากรณ์ จึงไม่นิยมพิจารณาพระเกตุมากนัก
ในโหราศาสตร์ไทย พระเกตุถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๙

******************

21• พระพาย (เทวนาครี:वायु วายุ)
เป็นบุตรของพระกัศยปเทพบิดร และนางทิติ มีหน้าที่ให้ลมแก่สามโลก ในมหาภารตะ พระพายเป็น บิดาของภีมะ และใน รามเกียรติ์พระพายเป็นบิดาของ หนุมาน
กำเนิดของพระพาย เช่นเดียวกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ที่มีมานานก็มีหลายตำนาน ...มีกำเนิดจากพระกัศยปเทพบิดร และ นางทิติ ซึ่งในเรื่องได้เล่าไว้ว่า เป็นโอรส ของพระกัศยปเทพบิดร กับนางอทิติ เมื่อ พระอินทร์ กับบริวารชิงสวรรค์ดาวดึงส์ไปครองพวกอสูรต้องลงไปอยู่ ณ อสูรพิภพ นางทิติสงสารโอรสของตนจึงทูลขอโอรส องค์ใหม่ที่เก่งกว่าพระอินทร์ เพื่อจะได้แก้แค้นให้พวกอสูร....สำหรับ กำเนินอื่น ๆ นั้นเท่าที่ค้นคว้ามา บางตำนานว่าพระพายออกมาจากลมหายใจของบุรุษ ตามคำภีร์วิษณุปุราณะว่า พระพายเป็นกษัตริย์แห่งคนธรรพ์ สำหรับรูปร่างลักษณะของพระพาย มีแตกต่าง หลากหลายออกไป ในคัมภีร์ไตรเทพกล่าวว่า พระพาย เป็นเทพที่มีกายสีขาวลักษณะงดงามยิ่งนัก บางตำนานว่าเสื้อทรงสีน้ำเงิน
*****************

22• พระพิรุณ (สันสกฤตवरुण)
เป็นเทพแห่งฝน เป็นโลกบาลทิศประจิม ผิวสีขาวผ่อง ถือบ่วงบาศและอาโภค ทรงจระเข้เป็นพาหนะ ในหนังสือพระนลคำหลวง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเกล่าว่า พิรุณเป็นนามของพระสุริยะ เป็นลูกนางอทิติ พระวรุณย่อมรู้ว่าผู้ใดทำอะไร ย่อมรู่ว่าผู้ใดกระพริบตากี่ครั้ง ใครทำบาป เมื่อมีผู้ทำบาปพระวรุณจักใช้บ่วงคล้องผู้นั้นไปหาพญายมราชเพื่อนำไปลงทัณฑ์ ในพระเวทเรียก เจ้าฟ้าอันอยู่ทั่วไป ภายหลังได้ฉายาว่า สินธุปติ แปลว่าเจ้าน้ำทั่วไป ในมหาภารตะกล่าวว่าพระพิรุณเป็นบุตรพระฤๅษีกรรทม พรหมบุตร พระวรุณในความเชื่อของคนไทยว่าเป็นผู้ให้ฝนให้น้ำ ถือพระขรรค์ ทรงพญานาค
****************

23• พระอัคนี (สันสกฤตอคฺนิอัคนิ अग्नि)
เป็นเทพในศาสนาฮินดู โดยเป็นเทพแห่งไฟ พระอัคนีมี ๓ พระรูปทรงได้แก่ อัคนี วิทยุต(สายฟ้าและดวงอาทิตย์
พระอัคนีมี ๒ หรือ ๗ พระหัตถา๒ พระศิระ และ ๓ พระบาท ในแต่ล่ะพระศิระพระองค์ทรงมี ๗ พระชิวหาซึ่งลุกเป็นไฟซึงพระองค์ทรงใช้เลียเนย (กีที่นำมาถวายให้ พระอัคนีมีพาหนะเป็นแกะตัวผู้ หรือรถลากม้าที่ลากโดยม้าอัคนี อาวุธของพระองค์คือ ขวาน คบไฟ สายลูกประคำ และหอกอัคนี
จากตามที่ค้นพบหลักฐานเก่าที่สุดคือในสมัยพระเวท มีคัมภีร์กล่าวว่า พระอัคนีเป็นบุตรของพระแม่ธรณี มีพระบิดาชื่อว่า พระทยาอุส ซึ่งเป็นผู้ครองชั้นฟ้าเก่าที่สุดของศาสนาพราหมณ์
***************

24• พระเสื้อเมือง
มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบกทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากอริราชศัตรูมารุกราน เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๙๓ ซม.
องค์จตุคาม คือ พระเสื้อเมือง จตุ หมายถึง สี่ คาม (คาม-มะเขตคาม หมายถึง อาณาเขตหรือบ้าน เมื่อรวมกันนัยความหมายที่มากกว่าความเป็นทิศทั้ง ของบ้าน หรืออาณาเขต คือทิศทั้งสี่ซึ่งหมายถึงทิศที่มีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ดูแลอยู่ ความหมายของจตุคามจึงเป็น ตำแหน่งของผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศมีท้าวจตุมหาราช ปกป้องคุ้มครองดูแล พระเสื้อเมืองจึงมีความหมายที่ควรเป็นตำแหน่งๆหนึ่ง เพียงแต่ปราชญ์โบราณของเมืองสมมติขึ้นเป็นท้าวจตุคาม ผู้เป็นใหญ่ใน ทิศ
องค์รามเทพ คำว่า ราม มีรากฐานมาจากพระราม ที่หมายถึงพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ คำว่าเทพ ก็คือเทวดา นัยความหมายคือเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นสมมติเทพเมื่อองค์รามเทพเป็นพระทรงเมือง คำว่าทรงเมืองพ้องกับคำว่า ครองเมือง นั่งเมือง หรือผู้ปกครองบ้านเมืองซึ่งก็คือเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์
***************

25• พระทรงเมือง
มีหน้าที่รักษาการปกครองและกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุข เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๘๘ ซม.
***************
26• พระกาฬไชยศรี
เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๘๖ ซม.
***************
27• เจ้าเจตคุปต์
เป็นเทพารักษ์แกะสลักด้วยไม้ ปิดทอง สูง 133 ซมเป็นบริวารพระยม มีหน้าที่จดความชั่วร้ายของชาวเมืองที่ตายไปและอ่านประวัติของผู้ตายเสนอพระยม
****************

28• พระวิศวกรรม
หรือเรียกได้อีกหลายชื่อว่า พระวิษณุกรรม พระวิสสุกรรม พระเวสสุกรรม หรือ พระเพชรฉลูกรรม เป็น เทวดานายช่างใหญ่ของพระอินทร์ ตามตำนานกล่าวว่า เป็นผู้สร้างเครื่องมือ สิ่งของต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น และเป็นแบบอย่างให้กับมนุษย์สืบมา
พระวิศวกรรมรับเทวโองการต่าง ๆจากพระอินทร์ เพื่อสร้าง อุปกรณ์ สิ่งของ อาคาร ต่าง ๆ มากมาย เป็นผู้นำวิชาช่าง มาสอนแก่มนุษย์ นับแต่นั้นมามนุษย์จึงรู้จักการสร้างและใช้งานสิ่งของต่าง ๆ จนมีการพัฒนารูปแบบมาจนถึงปัจจุบันนี้
ช่างไทยแขนงต่าง ๆ ให้ความเคารพบูชาพระวิศวกรรมในฐานะครูช่าง หรือเทพแห่งวิศวกรรมของไทย โดยเรามักพบเห็นรูปจำลององค์ท่านได้บ่อย ๆ ตามสถานศึกษาทางช่างทุกสถาบัน โดยนิยมสร้างอยู่สองท่า คือ ท่าประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือ ผึ่ง (จอบสำหรับขุดไม้)และอีกข้างถือ ดิ่ง และท่าประทับยืนมือขวาถือไม้เมตรหรือไม้วา มือซ้ายถือลูกดิ่งและไม้ฉาก
ที่มาขององค์พระวิษณุกรรมทั้ง ท่านี้ พอขยายความได้ว่า หากสถาบันใดเปิดสอนวิชาชีพช่างก่อสร้าง มักอยู่ในท่ายืนมือถือลูกดิ่งและไม้เมตรหรือไม้วาอันเป็นเครื่องมือของช่างก่อสร้างมาแต่สมัยโบราณซึ่งช่างทั้งหลายทราบดีว่าเป็นเครื่องมือสำหรับวัดระยะ วัดความเที่ยงตรง แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นยังแฝงไปด้วยปรัชญาในการดำเนินชีวิต คือความแม่นยำ เที่ยงตรง ไม่เอนเอียงในทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นที่มาของช่างที่ดี คือความมีคุณธรรมประจำใจ หากสถาบันใดเปิดสอนวิชาชีพสาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ช่างก่อสร้างอยู่ด้วย มักจะใช้ท่านั่ง เข้าใจว่าผู้สร้างคงจะชี้ให้เห็นเด่นชัดถึงสถาบันผู้ผลิตช่างก่อสร้าง อันเป็นช่างเก่าแก่มีมาแต่ก่อนแล้ว
****************

29• พระไพศรพณ์
คือ เป็นเทวดา สัญญลักษณ์ของอัยการ มือขวาถือตระบอง มือซ้ายยกเสมอหน้าอกแสดงการห้ามปรามมิให้(เทวดา)ทำผิด เนื่องจากมีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยยุติธรรมในสวรรค์

****************


30• รายชื่อพระฤาษีตามระดับชั้น
1.พระประชาบดี (เทวฤษีที่เป็นพระผู้สร้างนั้นในมานวธรรม ศาสตร์กล่าวว่ามี ๑๐ ตน คือ
1. มรีจิ
2. อัตริ
3. อังคีรส (ฤาษีพฤหัส)
4. ปุลัสยตะ
5. ปุลหะ
3. กรตุ
7. วสิษฐ
8. ประเจตัส หรือ ทักษะ
9. ภฤคุ
10. นารท

2.พระฤษีชั้นพรหม พระฤษีในชั้นพรหมนั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้
พระฤษีพรหมเมศร์
พระฤษีพรหมมา
พระฤษีพรหมมุนี
พระฤษีพรหมนารถ
พระฤษีพรหมวาลมีกิ
พระฤษีภาริทวาช
พระฤษีเคาตม (ไทยเรียกโคดม)
พระฤษีกัศยป
พระฤษีวิสวามิตร
10 พระฤษีพรหมบุตร
11 พระฤษีพรหมประทาน
12 พระฤษีพรหมปรเมศฎ์
13 พระฤษีพรหมประสิทธิ์
14 พระฤษีพรหมนิมิตร
15 พระฤษีวิสิษฐ์ (วสิษฐ)
16 พระฤษีพรหมมินทร์
17 พระฤษีพรหมโลก
18 พระฤษีพรหมโลกา
19 พระฤษีพรหมจักร
20 พระฤษีอคัสตยะ
21 พระฤษีกาลสิทธิ
22 พระฤษีพรหมจุลี
23 พระอาฬารดาบสกาลามโคตร
24 พระฤษีเศรษฐบุตร (ในรามเกียรติ์เรียกว่าพระฤษีโคบุตร)
25 พระฤษีสนัตกุมาร
26 พระฤษีวิภาณฑก
27 พระฤษีสัตยพรหม
28 พระฤษีพรหมเก้าหน้า

.พระฤษีชั้นเทพ พระฤษีชั้นเทพนั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้
พระฤษีนารายณ์
พระฤษีนาเรศร์
พระฤษีอิศวร
พระฤษีพิฆเนศ
พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์
พระฤษีปัญญาสด
พระกบิลฤาษี (พระฤาษีตาไฟ)
พระฤษีหน้าวัว (พระโคนนทิ)
พระฤษีหน้าเนื้อ
10 พระฤษีปัญจสิขร (หรือพระประคนธรรพบางทีเรียกว่า พระประโคนทัพ)
11 พระฤษีบรมโกฏิ
12 พระฤษีประลัยโกฏิ
13 พระฤษีนารอด
14 พระฤษีหน้าเสือ (ท้าวหิมวัต)
15 พระฤษีกษิโรธ
16 พระฤษีอุศนัศ (พระศุกร์)
17 พระพุธเทวฤษี
18 พระฤษีอสิต
19 พระฤษีโลมศ(ไทยเรียกราเมศ)
20 พระฤษีทุรวาส
21 พระฤษีอคัสตยะ หรืออคัสติ
22 พระภรตมุนีมหาฤษี
23 พระฤษีอังคีรส (ฤาษีพฤหัส)
24 พระฤษีตาทิพย์
25 พระฤษีอังคต
26 พระฤษีสิงหล
27 พระฤษีปรเมศ
28 พระฤษีประไลยโกฏิ
29 พระฤษีสิงขรณ์
30 พระมหาเทพฤษีเทวราตมุนี
31 พระฤษีคิชฌกูฎ
32 พระฤษีหน้าเสือ (กาลสิทธิ์)
33 พระฤษีอัษฎง
34 พระฤษีประตาภา(หน้ากวาง)
35 พระฤษีอุตริ(หน้าลิง)
36 พระฤษีหน้าแพะ(พระทักษะประชาบดี)
37 พระฤษีกษยศฤงค์หรือพระฤษีหน้าเนื้อ..(อิสีสิงค์)
38 พระฤษีโพธิสัตว์
39 พระฤษีจตุทิพยเนตร
40 ปู่เจ้าสมิงพราย

.พระฤษีชั้นมนุษย์(ชั้นดินพระฤษีชั้นมนุษย์ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน เช่น
พระฤษีโกเมน
พระฤษีโกเมท
พระฤษีโกมุท
พระฤษีสัตตบุตร
พระฤษีสัตบัน
พระฤษีสัตบงกช
พระฤษีโคบุตร
พระฤษีโคดม
พระฤษีสมมิตร
10 พระฤษีลูกประคำ
11 พระฤษีสุตะ
12 พระฤษีศิลาท
13 พระฤษีไชมินี
14 พระฤษีมารกัณเฑยะ
15 พระฤษีวยาสมุนี
16 พระฤษีอรรคต
17 พระฤษีรามเทพมุนี
18 พระฤษีสุขวัฒน์
19 พระฤษีชนกจักรวรรดิ
20 พระฤษีนาวัน
21 พระฤษีไพรวัน
22 พระดาบสสินี ฤษีหน้ากวาง(สีดา)
23 พระฤษีโคศก
24 พระฤษีวชิระ
25 พระฤษีอุศัพเนตร *
26 พระฤษีนาไลย *
27 พระฤษีสุกทันต์ หรือพระฤษีฟันขาว*
28 พระฤษีโยฮัน หรือ นักบุญเซ็นต์จอห์น
29 พระฤษีพุทธชฎิล
30 พระฤษีมาฆะ
31 พระฤษีหลีเจ๋ง
32 พระฤษีสมิทธิ *
33 พระฤษีพยาธิประลัย *
34 พระฤษีอัลลกัปปกะ
35 พระฤษีอะแหม่
37 พระฤษีโควินท์
38 พระฤษีศรภังค์
39 พระฤษีอจนคาวี
40 พระฤษียุทธอักขระ
41 พระฤษีทะหะ
42 พระฤษียาคะ
43 พระฤษีโรมสิงห์
44 พระฤษีวตันตะ
45 พระฤษีวิสุทธิ
46 พระฤษีสุเมธ
47 พระฤษีครรคยมุนี
48 พระฤษีวาปุระมุนี
49 พระฤษีมุสิกมุนี
50 พระฤษีทธิวามุนี
51 พระฤษีคาวินท์
52 พระฤษีอินทรปัต
53 พระฤษีกสิรมุนี
54 พระฤษีวชิรามุนี
55 พระฤษีวาโปนะมุนี
56 พระฤษีมกันติมุนี
57 พระฤษีสัตยพรต
58 พระฤษีประทิศไพ
59 พระฤษีบรมโกฏิ
60 พระฤษีชลหุ
61 พระฤษีตาวัว*
62 พระฤษีภรัทวาชะ *
63 พระฤษีอาเตรยะ *
64 พระฤษีธันวันตรี*
65 พระฤษีชาวาลี
66 พระฤษีตุลสิทาส
67 พระฤษีสิงคาน
68 พระฤษีไตรภพ
69 พระฤษีไกรสรณ์
70 พระฤษีคงทน
71 พระฤษีสัมริด
72 พระมหาฤษีอาเยมันตะระ
73 พระฤษีบัพพะตัง *
74 พระฤษีอุธา *
75 พระฤษีบุพเทวา *
76 พระฤษีบุพพรต *
77 พระฤษีมหิทธิกรรม *
78 พระฤษีมุรทาธร *
79 พระฤษีสิทธิดาบศ *
80 พระฤษีวิมุติ
81 พระฤษีสุรินทระ
82 พระฤษีสิงขะ *
83 พระฤษีอมรประสิทธิ์*
84 พระฤษีสัชชนาลัย*

.พระฤษีชั้นอสูร พระฤษีชั้นอสูรก็มีตามรายชื่อดังนี้
ท่านท้าวคีรีเนศร์
ท่านท้าวเวสสุวัณ
ท่านท้าวหัสกัณฑ์
ท่านท้าวหิรัญพนาสูร (ท้าวหิรัญฮู เป็นชื่อที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียก เมื่อครั้ง ทรงเสด็จประพาสมณฑลพายัพ ในปี พ..2449 ขณะที่ยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ)
พระฤษีพิลาภ
พระฤษีพิรอด
ท้าวพลีหิรัญยักษ์
อนันตยักษ์
วาณุราช
10 วาหุโลม






ขอบคุณ ที่มาครับ

http://board.palungjit.com
http://montradevi.makewebeasy.com/index.php?type=webboard&add=2&update=1&id=36179



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ