ศาลฎีกาฯตัดสินคดีทุจริตรถ-เรือดับเพลิง จำคุก"ประชา มาลีนนท์"12ปี (จารึกประวัติศาสตร์)


ศาลฎีกาฯตัดสินคดีทุจริตรถ-เรือดับเพลิง จำคุก"ประชา มาลีนนท์"12ปี


ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 10 ก.ย. นายธานิศ เกศวพิทักษ์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.5/2554 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด หรือ STEYR-DAIMLER-PUCH Spezial fahrzeug AG&CO KG (ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว) และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 จากกรณีการจัดซื้อรถ และเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ตามโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย กทม.มูลค่า 6,687,489,000 บาท
เมื่อถึงเวลานัดปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และ 4 ไม่ได้เดินทางมาศาล โดยศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษา 3 ชั่วโมงครึ่ง
โดยองค์คณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมติเสียงข้างมากให้จำคุก นายประชา จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 12 ปี ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542  มาตรา 12 และ  13 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด และจำคุก 10 ปี พล.ต.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4  ตาม พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน มาตรา 12  จากกรณีที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการผลักดันให้เร่งรัดสั่งซื้ออุปกรณ์ครุภัณฑ์บรรเทาสาธารณภัยตามโครงการพัฒนาระบบและบริหารการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. เมื่อปี 2547 ไม่ชอบ โดยฝ่าฝืนมติ ครม.และข้อบัญญัติของการบริหารราชการ กทม. และ ระเบียบการจัดซื้อ จนทำให้การสั่งซื้อสินค้าเอื้อประโยชน์กับบริษัทสไตเออร์ จำเลยที่ 5 ซึ่งมีการสั่งซื้่อราคาแพง และ บริษัทสไตเออร์ฯได้รับประโยชน์ 48.77 % เมื่อเทียบกับราคาที่กรมบรรเทาสาธารณภัยของกระทรวงมหาดไทยจัดซื้ออุปกรณ์ประเภทเดียวกันที่ผลิตและจัดจำหน่วยภายในประเทศไทย  โดยการจัดซื้อจากการผลักดันของจำเลยที่ 2 และ  4 ก็ไม่ได้เปรียบเทียบราคาสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่นกระทั่งทำให้มีการจัดซื้อสินค้าด้วยวิธีการพิเศษและส่งผลให้จำเลยที่ 5 รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวอันเป็นการกีดกันทางการค้าและการเสนอราคาแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม
ส่วนการกระทำของนายโภคิน จำเลยที่ 1  นายวัฒนา จำเลยที่ 3   และ นายอภิรักษ์ จำเลยที่ 6 นั้นเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่มิชอบในโครงการดังกล่าวจึงพิพากษายกฟ้อง โดยศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่สอง เพื่อติดตามตัวมาบังคับคดีรับโทษ และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 4 ให้ติดตามตัวมารับฟังคำพิพากษาในวันที่ 16 ต.ค.นี้ เวลา 09.30 น. พร้อมปรับนายประกัน 2,000,000 บาท
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้นายประชาเคยไม่มารับฟังคำพิพากษาแล้วหนึ่งครั้ง ศาลจึงเลื่อนอ่านคำพิพากษามาหนึ่งเดือน และ ในครั้งนี้ก็ยังไม่มา ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง
ภายหลังการอ่านคำพิพากษา นายอภิรักษ์  ให้สัมภาษณ์ว่า ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ และทีมทนายความของพรรคที่ให้การช่วยเหลือและให้กำลังใจมาตลอด ซึ่งตนยังเชื่อในกระบวนการยุติธรรมที่แสดงให้เห็นว่าความจริงยังปรากฏในสังคม ขณะที่นายโภคิน กล่าวว่า ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม ส่วนบทบาททางการเมืองของตนขณะนี้ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ หากพรรคจะมอบหมายให้ทำอะไรก็ยินดี
http://www.dailynews.co.th/politics/232089

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง