"จัดหนัก" เพราะถ้าใครได้ขึ้นปกระดับนี้ และมีข้อมูลอยู่ใน page ประวัติศาสตร์ จารึกวัดบวรนิเวศ ประวัติศาสตร์ความมั่นคงพระศาสนา ก็คงจะตีตราประทับระดับ "นักโทษประหาร" ไปชั่วชีวิต มหาเถระควรศึกษา ?

ตูมสนั่น !

น้ำฝนขึ้นปก ASTV-ผู้จัดการ รายสัปดาห์

สนธิ ลิ้มทองกุล ศิษย์พุทธะอิสระ จัดให้


ไม่ใช่จัดแค่ธรรมดา หากแต่ต้องบอกว่า "จัดหนัก" เพราะถ้าใครได้ขึ้นปกระดับนี้ ก็คงจะตีตราประทับระดับ "นักโทษประหาร" ไปชั่วชีวิต งานนี้ เห็นทีบิดาแห่งการ"ขอขมากรรม" ผู้ยกก้นตนเอง "ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบ" นามว่า "น้ำฝน" คงต้องพลิกตำราหลวงพ่อพูล เพื่อทำพิธีใหม่เสียแล้ว



 

ปก ASTV-ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ ล่าสุด







ASTV ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ - เพิ่งผ่านพ้นข่าวฉาวกับกรณีรถยนต์สุดหรูเลี่ยงภาษี“จาร์กัวร์ แพนเธอร์” ไปอย่างกระท่อนกระแท่นและยังไม่ทันสะเด็ดน้ำเท่าใดนัก หลวงพี่คนดังแห่งเมืองนครปฐม “พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตฺติจิตฺโต” หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ก็ก่อเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว
      
คราวนี้ หลวงพี่คนดังอ้างว่า ได้รับการแต่งตั้งจาก 
“พระราชรัตนมุนี” วัดพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ให้เป็นหัวหน้าคณะพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ แห่งจังหวัดนครปฐม เข้าไปที่วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งมี หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม จำพรรษาอยู่ที่นั่น เพื่อให้พระ 46 รูป ในวัดอ้อน้อย ตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด ซึ่งทางวัดอ้อน้อยไม่ยินยอม จนปรากฏตามสื่อต่างๆ ในทุกแขนง
      
ทั้งนี้ เนื่องเพราะอากัปกิริยาที่หลวงพี่น้ำฝนแสดงต่อ 
พระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ขณะเข้าไปที่วัดอ้อน้อยเต็มไปด้วยความแอ็กอาร์ตและกร่าง ชนิดที่หลายคนสงสัยในความเป็นพระว่ายังคงมีอยู่หรือไม่ แถมหลวงปู่พุทธะอิสระยังแฉกลับด้วยว่า ทีมงานของหลวงพี่น้ำฝนซึ่งเป็นวัยรุ่นที่เดินทางมาด้วยนั้น มี 1 คน ที่มีประวัติพัวพันกับยาเสพติดอีกต่างหาก
 
งานนี้ นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม ถึงกับพูดไม่ออก จนต้องยอมรับว่า “การไปตรวจปัสสาวะที่วัดอ้อน้อยแล้วมีสื่อและวัยรุ่นประมาณ 4-5 คนไปด้วยนั้น ผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่า หลวงพี่น้ำฝนนำสื่อและวัยรุ่น 4-5 คนไปด้วย ที่ผ่านมาเวลาไปตรวจวัดอื่นๆ ก็ไปเฉพาะพระวินยาธิการ กรณีดังกล่าวไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง”
      
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่แปลกใจที่หลวงปู่พุทธะอิสระจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้หลวงพี่น้ำฝนอย่างดุเดือด ชนิดที่เจตนาใช้คำว่า 
“นายน้ำฝน” เป็นสรรพนามแทนตัว เนื่องจากเห็นว่า การที่หลวงพี่น้ำฝนบุกมาที่วัดอ้อน้อยครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปโดยกุศลเจตนา หากแต่มีวาระซ่อนเร้นที่เป็นไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ โดยต้นสายปลายเหตุคาดว่าน่าจะมาจากกรณีที่หลวงปู่พุทธะอิสระ เคยแสดงความคิด ต่อกรณีที่หลวงพี่น้ำฝนครอบครองรถยนต์หรูยี่ห้อ จาร์กัวร์ แพนเธอร์
      
“หาเล่ห์ที่จะเล่นงาน เชื่อได้โดยสุจริตใจในพฤติกรรมของเจ้าคณะปกครองจังหวัดนครปฐมกับ 
นายน้ำฝน ว่า น่าจะอาศัยอำนาจมติคณะสงฆ์มาเล่นงาน ปกติการตรวจปัสสาวะพระ ได้สอบถามไปทางเจ้าคณะปกครอง ทั้งระดับตำบลและระดับอำเภอว่า มีมติให้พระวินยาธิการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม ดำเนินการ แต่ต้องแจ้งให้พระปกครองระดับตำบลและพระปกครองในระดับอำเภอทราบ แล้วต้องขออนุญาตสมภารก่อน ถ้าสมภารไม่อนุญาต ก็ไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจของสมภาร เพราะเจ้าพนักงานโดยกฎหมายเป็นพระปกครองชั้นต้น ส่วนกลุ่มวัยรุ่นที่มาด้วยกับคณะที่จะมาตรวจฉี่โดยอ้างว่า กลุ่มวัยรุ่นนั้นเป็นลูกศิษย์ของนายน้ำฝน โดยหนึ่งในนั้นมี 1 คนที่มีประวัติพัวพันกับยาเสพติด บ้านอยู่ที่หนองแขม” หลวงปู่พุทธะอิสระตอบโต้
      
ทั้งนี้ หลวงพี่น้ำฝน คงหลงลืมไปว่า ตำแหน่งพระวินยาธิการนั้น แม้จะได้รับการแต่งตั้งโดยมีหนังสือยืนยันจากเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมจริง 
แต่ตำแหน่งพระวินยาธิการเป็นเพียงตำแหน่งที่มิได้มีกฎหมายฉบับใดในประเทศไทยรองรับ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 
      
แน่นอน การที่หลวงพี่น้ำฝนรับบทเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมอย่างเป็นทางการเท่านั้น หากแต่สาเหตุที่หลวงพี่น้ำฝน 
“แอ็กอาร์ต” ไม่ต่างอะไรจาก “เป็ดเหลิม” พ่อไอ้ปื๊ด ผู้ยิ่งใหญ่แห่งย่านบางบอน ก็เพราะเส้นทางความเป็นมาของหลวงพี่คนดังนั้นไม่ธรรมดา โดยศัพท์ในยุทธจักรดงขมิ้นรู้จักกันดีกับคำว่า “ดวง” เนื่องจากถือเป็นคัมภีร์แห่งความก้าวหน้าเลยก็ว่าได้
      
ทั้งนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้าที่หลวงพี่น้ำฝนจะบรรพชาอุปสมบทเป็นพระ และมาฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์เกจิอาจารย์ชื่อดังอย่าง
“หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม” และกลายเป็นเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมนั้น เขาเคยอยู่กับนักการเมืองแห่งจังหวัดนครปฐมมาก่อน ซึ่งแม้หลวงพี่น้ำฝนจะก้าวสู่ร่มกาสาวพัสตรแล้ว ก็ตามสายสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างกันก็มิได้จางหายไป
      
ไม่เช่นนั้นแล้ว คดีรถหรูที่หลวงพี่น้ำฝนถูกกล่าวหาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษคงไม่จบง่ายๆ และไม่เงียบหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ 
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันชัดเจนว่า “เป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายแน่นอน เพราะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงพิกัดกรมศุลกากร อีกทั้งเลขตัวถัง เครื่องยนต์และเกียร์ยังเป็นเลขซีรีส์เดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นรถคันเดียวกัน”
      
ใครๆ ก็รู้ว่า 
“บ้านใหญ่แห่งนครปฐม” นั้น ทรงอำนาจ อิทธิพลและบารมีมากแค่ไหน ไม่เชื่อลองถาม “พี่อ้อน” ดูก็น่าจะได้รับคำตอบที่ครบถ้วนบริบูรณ์
      
แถมที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นและเขียนตัวโตๆ กำกับไว้ก็คือ ตำแหน่งพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ของหลวงพี่น้ำฝนนั้น ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นตำแหน่ง ฐานานุกรมของ 
“พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร)” หรือเจ้าคุณเสนาะ รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถรสมาคม อดีตเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
      
และพระพรหมสุธีผู้นี้ ก็คือตัวเต็งที่นอนมาในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศองค์ใหม่ และยังได้รับการคาดหมายด้วยว่า จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปใหม่ แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในการสถาปนาเลื่อนตั้งสมณศักดิ์ ประจำปี 2556 ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ แม้ว่าจะมีอาวุโสเป็นลำดับที่ 5 รองจากพระธรรมปัญญาบดี เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ พระพรหมเวที เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา และพระพรหมคุณาภรณ์ (เจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตฺโต) ประธานสงฆ์วัดญาณเวสกวัน ซึ่งเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะทั้งหมดก็ตาม
       
นี่คือ ความไม่ธรรมดา ของหลวงพี่น้ำฝน ที่สังคมอาจจะยังไม่รับรู้      
และหลายคนยังจำได้ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อคราวที่เกิดปัญหาว่าด้วยตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม หรือวัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยคราวนั้นพระสงฆ์วัดโสธรและพุทธศาสนิกชนแตกกันเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งหนุน ฝ่ายหนึ่งต่อต้านการแต่งตั้งเจ้าอาวาสว่าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีด้วยฝีมือใคร
       
เพราะครานั้น หลวงพี่น้ำฝน ได้สำแดงความเป็นขาใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง
      
ไม่เชื่อลองถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ดูก็ได้
      
นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่เพียงระดับประเทศเท่านั้น ระดับจังหวัด หลวงพี่น้ำฝน ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ว่ากันว่า ระดับบิ๊กของคณะสงฆ์ของจังหวัดนครปฐมนั้น ก็มิใช่ได้มาโดยโชคช่วย หากแต่ได้มาเพราะ “ดวง” ล้วนๆ และเป็นดวงที่เกิดจากฝีมือของหลวงพี่น้ำฝนล้วนๆ ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ทำไมหลวงพี่น้ำฝนจึง ได้รับการให้กำลังใจอย่างท่วมท้นเช่นนี้
      
นอกจากนั้น ถ้าหากตรวจสอบประวัติของหลวงพี่น้ำฝน โดยเฉพาะในเว็บไซต์ของวัดไผ่ล้อมเองก็จะเห็นว่า มุ่งเน้นไปที่การโฆษณาเดรัจฉานวิชาเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น 
“เรียนเขียนผ้ายันต์เสาเอก เรียนสมาธิน้ำหมากทาพระ สมเด็จ เรียนวิชาทำรัก-ยม เรียนวิชาทำกุมารทอง เนื้อดิน 7 ป่าช้า เรียนวิชาสร้างหนุมาน เรียนวิชาลงนะหน้าทอง จันทร์มหาเสน่ห์ เรียนวิชาเจิมนะเมตตามหามงคล เรียนวิชาสวดสะเดาะเคราะห์เสริมบารมี เรียนวิชาเขียนยันต์ตะกรุดโสฬส”
       
ถามว่า สิ่งเหล่านี้คือคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่หรือไม่
      
คำตอบนอกจากมิใช่แล้วยังถือเป็นเดรัจฉานวิชาที่มีแต่ทำให้พุทธศาสนิกชนไม่อาจหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา และไม่สามารถยกระดับจิตไปสู่ความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้
      
ซ้ำร้ายวิชาที่หลวงพี่น้ำฝนโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่
      
ขณะเดียวกัน ถ้าใครที่เคยไปวัดไผ่ล้อมก็จะพบว่า เต็มไปด้วยร้านขายวัตถุมงคลสารพัดชนิด แถมยังมีชายฉกรรจ์รูปร่างหน้าตาหน้ากลัวเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด

ส่วนด้านหลังวัดก็มีอพาร์ตเมนต์ให้คนเช่า ซึ่งต้องถามหลวงพี่น้ำฝน ว่าใครเป็นเจ้าของ
      
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงพี่น้ำฝนไม่เป็นสองรองใครในแวดวงดงขมิ้น ทั้งในระดับจังหวัด ระดับประเทศ ระดับอาณาจักร และระดับศาสนจักร

แถมใน “ย่าม” ของหลวงพี่น้ำฝน ก็มี “ของดี” ที่ไม่ธรรมดา ติดตัวเอาไว้ อีกต่างหาก      
ดังนั้น จึงคงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะกล่าวว่า 
หลวงพี่น้ำฝน คือ “ขาใหญ่แห่งซุ้มนครชัยศรี” ตัวจริง เพราะเขา “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
      
และอยากทราบว่า ภิกษุที่เป็นวินยาธิการนั้น เมื่อ 
“ภิกษุรู้อยู่ว่า ตนครอบครองวัตถุหนีภาษีอยู่โดยความเป็นเจ้าของ ต้องอาบัติอะไรมิทราบ” !!!


จารึกวัดบวรนิเวศ ประวัติศาสตร์ความมั่นคงพระศาสนา


ข่าว : ผู้จัดการ

7 กันยายน 2556

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ