รายงานด้านความมั่นคงพระศาสนา และข้อมูลพฤติกรรมล้มล้างพระธรรมวินัย ? ชาวไทยควรศึกษา


วันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ เข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณพระเทพสารเวที เลขานุการในสมเด็จพระสังฆราช ถวายรายงานด้านความมั่นคงพระศาสนา และข้อมูลพฤติกรรมล้มล้างพระธรรมวินัย 

  วิเคราะห์ข้อสังเกต 7 ประการ
ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ต่อการจัดตั้งพุทธสภาของกรมการศาสนา
และพฤติกรรมล้มล้างพระธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า โดยไม่ปฎิบัติตามพระลิขิต ของ สมเด็จพระสังฆราช กรณีอาบัติปาราชิก พระธัมมชยโย
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 นายอำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เกี่ยวกับการจัดตั้งพุทธสภาของกรมการศาสนา ซึ่งนายอำนาจได้แสดงข้อขัดแย้งเป็นจำนวน 7 ข้อ ด้วยกัน ได้แก่
1.    เมื่อตั้งพุทธสภาเป็นองค์กรของภาคเอกชนส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่กลับตั้งวัฒนธรรมจังหวัดเป็นเลขาธิการคณะกรรมการระดับจังหวัด และรองอธิบดี ศน. เป็นเลขาธิการคณะกรรมการระดับชาติ ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ เพราะองค์กรเอกชนต้องมีการเลือกเลขาธิการกันเอง ไม่ใช่ให้ทางราชการเข้าไปกำหนด

2. มีการตั้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเป็นที่ปรึกษาพุทธสภาในระดับจังหวัด ผอ.พศ. เป็นที่ปรึกษาพุทธสภาระดับชาติ หากจังหวัดไม่ได้รับความร่วมมือเป็นที่ปรึกษาให้ ทาง ศน. จะทำอย่างไร

3. การประกาศจัดตั้งพุทธสภาอาศัยกฎหมายอะไรรองรับ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายอะไรรองรับ

4. การดำเนินงานของ พศ.
 กับ ศน. มีความทับซ้อนกันอยู่ในรูปแบบพัฒนากิจการด้านพระพุทธศาสนา และยังไม่มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนเลย แต่ก็มีการจัดตั้งพุทธสภาขึ้นมาทำหน้าที่เดียวกันนี้อีกต่อไปหากมีกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างมหาเถรสมาคม (มส.) พศ. และพุทธสภา อะไรจะเกิดขึ้น

5. การทำงานพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยพุทธบริษัท 4 คือ พระสงฆ์ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา แต่การจัดตั้งพุทธสภาเป็นองค์กรเอกชน เป็นการทำงานของอุบาสก อุบาสิกา ส่วนการทำงานของพระสงฆ์มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และ มส. อีกส่วนหนึ่ง
 เหมือนเป็นการแยกพุทธบริษัท 4 ออกจากกัน

6. การจัดตั้งพุทธสภาจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการแล้วในเดือน ก.พ.-มี.ค.นี้ และมีการให้พระสงฆ์เป็นรองประธานพุทธสภา
 แต่ มส. ซึ่งดูแลพระสงฆ์ยังไม่ได้รับทราบ พิจารณาหรือเห็นชอบด้วย จะดำเนินการต่อไปได้อย่างไร พระสงฆ์จะกล้ามาร่วมทำงานด้วยหรือไม่

7. ถ้ามีการตั้งวัฒนธรรมจังหวัดเป็นเลขาธิการคณะกรรมการระดับจังหวัด และรองอธิบดี ศน. เป็นเลขาธิการ คณะกรรมการระดับชาติโดยตำแหน่ง หากวัฒนธรรมจังหวัดหรือรองอธิบดี ศน. นับถือศาสนาอื่น โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดภาคใต้จะทำอย่างไร

ในฐานะที่ ผู้เขียน ได้ติดตามข่าวสารงานของคณะสงฆ์มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี เป็นอย่างน้อย และได้เห็นทั้งสิ่งที่เป็นปรกติและผิดปรกติในพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ได้นำเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาเสนอโดยตลอด จึงขอแสดงความเห็นต่อข้อสังเกตของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติข้างต้นนั้นไว้ดังนี้
คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 1 : เมื่อตั้งพุทธสภาเป็นองค์กรของภาคเอกชนส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่กลับตั้งวัฒนธรรมจังหวัดเป็นเลขาธิการคณะกรรมการระดับจังหวัด และรองอธิบดี ศน. เป็นเลขาธิการคณะกรรมการระดับชาติ ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ เพราะองค์กรเอกชนต้องมีการเลือกเลขาธิการกันเอง ไม่ใช่ให้ทางราชการเข้าไปกำหนด
มุมมองของพระมหานรินทร์ : ข้อแรกนี้ทางสำนักพุทธฯชี้ประเด็นว่า "พุทธสภาเป็นองค์กรเอกชน แต่ทำไมถึงเอาข้าราชการมาเป็นเลขาธิการทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ" คำตอบก็น่าจะเป็นกรณีเดียวกับมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ขึ้นต่อรัฐบาลไทย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยอำนาจของรัฐในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง ดังนั้น จึงกำหนดให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และเมื่อมีการตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาขึ้นมาแล้วมีการโอนงานของกรมการศาสนามาเป็นของสำนักพุทธฯ ก็ต้องเปลี่ยนให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง ส่วนอธิบดีกรมการศาสนาก็เป็นเพียงอธิบดีกรมการศาสนา คือมีเพียงชื่อว่าทำงานศาสนา แต่เนื้องานหลักๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้นถูกโอนมาไว้ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจนเกลี้ยง เหลือเพียงงานพระราชพิธี งานศาสนพิธี พอเป็นกระสายเท่านั้น แต่ตรงนี้ถ้าจะพูดแล้วก็ต้องว่ากันไปถึงกระบวนการการเกิดขึ้นของสำนักพุทธฯ รวมทั้งท่าทีของรัฐบาลไทยต่อการจัดตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นมาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำนักพุทธฯถามก็คือว่า เมื่อเป็นองค์กรเอกชน แล้วเหตุไฉนจึงเอารองอธิบดีกรมการศาสนาและวัฒนธรรมจังหวัดมาเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพุทธสภา ตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่า ทางกรมการศาสนาจัดตั้งพุทธสภาขึ้นมา โดยเลียนแบบการจัดตั้งมหาเถรสมาคมนั่นเอง คือมหาเถรสมาคมมีธรรมนูญปกครองตนเองที่เรียกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ถ้าจะกำหนดให้มีเลขาธิการเป็นพระสงฆ์หรือเป็นเอกชนก็ทำได้ แต่ถามว่าทำไมต้องเอาอธิบดีกรมการศาสนาซึ่งเป็นข้าราชการกินเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนมาเป็นเลขาธิการ แม้แต่เลขาธิการในปัจจุบันคือ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น ก็หาใช่เอกชนไม่ หากแต่เป็นข้าราชการสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนั้น คำถามนี้จึงมีความหมายว่า พุทธสภาที่จัดตั้งขึ้นนั้นเป็นองค์กรใหญ่ที่จะมาทำงานแข่งกับมหาเถรสมาคม แต่นั่นยังมิสำคัญเท่ากับว่า มีการแย่งเอาบุคคลากรที่ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของมหาเถรสมาคมไปเป็นของพุทธสภา เพราะถ้าพิจารณาพุทธบริษัท 9 กลุ่ม ที่เรียกว่า "นวภาคี" ที่ทางกรมการศาสนาประกาศดึงตัวไปร่วมงานสร้างพุทธสภาด้วยกัน อันได้แก่
 1. ภาคีเครือข่ายภาคพระสงฆ์   2. สตรี   3. องค์กรการกุศล 4. ชุมชน     5. ภาคธุรกิจ      6. ภาควิชาการและวิชาชีพ
7. สื่อมวลชน     8. ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
9. เด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมงานด้านพระพุทธศาสนา
 ก็จะเห็นได้ว่า "ครอบจักรวาล" แถมยังกว้างไกลไปถึงต่างประเทศหรือทุกมุมโลก เพราะปัจจุบันนั้น กรมการศาสนามีสมาชิกวิสามัญอยู่มากมายหลายประเทศ สมาชิกที่ว่านั้นได้แก่ พระสงฆ์และคฤหัสถ์ผู้ได้รับรางวัลเสมาธรรมจักรทองคำ ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ประมาณว่ามีถึง 3,000 รูป/คน และจะเพิ่มมากขึ้นถึงเกือบ 200 รูป/คน ในทุกปี บุคคลเหล่านี้เป็นระดับหัวหน้าของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศและทั่วโลก เมื่อถูกดึงมาเป็นภาคีของพุทธสภา ย่อมจะมีพลังทั้งทางด้านสติปัญญาและการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีพระสงฆ์หลายรูปที่เรียกได้ว่า "เป็นพระนอกมหาเถร" คือถึงแม้จะอยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคม แต่ไม่มีตำแหน่งในทางการสงฆ์ หากแต่มีบทบาทในการทำงานเป็นการส่วนตัวจนโดดเด่น ดังนั้น ถึงแม้จะมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางในสังคม แต่ไม่มีพื้นที่ทำงานในมหาเถรสมาคม เพราะมหาเถรสมาคมจะพิจารณายศถาบรรดาศักดิ์ให้ก็ต่อเมื่อต้องเป็นผู้ช่วยหรือเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ทั้งนี้ต้องมีทีท่าว่าพินอบพิเทาเข้าไปสนองงานคณะสงฆ์ผ่านเจ้าคณะผู้ปกครองในระดับสูงของมหาเถรสมาคมด้วย จึงจะถือว่ามีคุณสมบัติเป็นเบื้องต้นในการพิจารณาให้สมณศักดิ์ของมหาเถรสมาคม กลุ่มพระสงฆ์เหล่านั้นจะเรียกว่าบุคคลชายขอบก็ใช่ที่ เพราะทำงานพระศาสนาเหมือนกัน อาจจะได้ผลไม่ด้อยหรืออาจจะมากกว่าพระสงฆ์ในสังกัดของมหาเถรสมาคมด้วยซ้ำไป แต่เพราะมหาเถรสมาคมได้วางนโยบายโดยพฤตินัยว่า "จะต้องยินยอมเป็นข้ารับใช้และไม่มีปากมีเสียงใดๆ จึงจะพิจารณาสมณศักดิ์ให้" เรื่องนี้มิได้มีในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แต่ว่ามหาเถรสมาคมได้สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเอง เพราะถือว่าตัวเองมีอำนาจในการบริหารกิจการพระศาสนา โดยมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เป็นใบเบิกทางของการใช้อำนาจอย่างฟุ่มเฟือยในปัจจุบัน พระสงฆ์เหล่านั้นย่อมจะใช้เวทีเปิดที่ชื่อว่า "พุทธสภา" แห่งนี้เป็นที่ทำงานแข่งขันกับมหาเถรสมาคม แม้จะไม่ประกาศแยกตัว แต่ก็ไม่ร่วม เรียกง่ายๆ ว่าเป็นเส้นขนาน นานๆ เข้าก็อาจจะแซงหน้ามหาเถรสมาคมได้
 ในอดีตนั้นเคยมีการตั้งองค์กรขึ้นมาแข่งกับมหาเถรสมาคม (คณะสงฆ์เดิม) เช่น
การตั้งคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ตอนนั้นมีการต่อต้านจากพระในนิกายเดิม (สยามวงศ์) ไม่ยอมให้มีนิกายใหม่ แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง พระสงฆ์นิกายเดิมจึงไม่สามารถจะต้านทานได้ พระสงฆ์ราชาคณะที่มีอุดมการณ์ต่างทยอยสึกกันไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบรมราชโองการ "ห้ามพระราชาคณะสึก" ในปี พ.ศ.2397 มีความว่า มีพระบรมราชโองการมา ณ พระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสสั่ง กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ให้มีหมายประกาศไป แก่พระราชาคณะเปรียญทั้งปวงให้รู้ว่า
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระราชาคณะ-เปรียญสึกน้อย ไม่มากนัก ในเดี๋ยวนี้พระราชาคณะเปรียญสึกมาก มีบาญชีได้ถึง 60 เศษ แปลกกว่าแต่ก่อน
ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าพระราชาคณะ-เปรียญสึกออก จะโปรดฯ ให้เป็นไพร่หลวงโรงพิมพ์แล้วจะได้จำไว้กว่าจะได้นายประกัน เมื่อได้นายประกันแล้ว จะให้เข้าเดือนทำการพิมพ์ ถ้าไปเดินกับข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยตำแหน่งใดๆ ให้มากราบทูลขอก็มิได้พระราชทานเลย แล้วจะลงพระราชอาญาแก่ผู้ที่ไปเดิน 50 ที ขอพระราชาคณะเปรียญทั้งปวง จงได้รู้ดังคำประกาศนี้ทั่วทุกๆ องค์ตามรับสั่ง..
นี่คือการใช้พระราชอำนาจบีบให้พระสงฆ์นิกายเดิมต้องยินยอมรับการเกิดขึ้นของคณะธรรมยุติกนิกาย และในรัชกาลต่อมา (ร.5) เมื่อทรงประกาศใช้กฎหมายคณะสงฆ์ที่เรียกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ.121 จึงมีการเพิ่มเติมคณะธรรมยุติกนิกายเข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมหาเถรสมาคม แน่นอนว่าคณะธรรมยุตเกิดก่อนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ.121 ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เรียกได้ว่า "นิกายเถื่อน" แต่สมัยนั้นใครจะกล้าเรียกเช่นนั้น เพราะแค่ลาสิกขาก็ยังต้องติดคุกติดตะราง สรุปว่า ธรรมยุตแจ้งเกิดสำเร็จ แถมยังสามารถขี่มหานิกายได้อีก เพราะอาศัยพระราชอัธยาศัยทรงเลือกให้พระสงฆ์นิกายธรรมยุตขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนื่องนานถึง 80 ปี จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 สมเด็จพระวันรัต (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม มหานิกาย จึงมีโอกาสได้ขึ้นครองตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2481

2. การประกาศแยกตัวของคณะสงฆ์สันติอโศก ในปี พ.ศ.2532 ตอนนั้น มหาเถรสมาคมประกอบด้วยมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ได้รวมกันทำปกาสนียกรรมและปัพพาชนียกรรมขับไล่สันติอโศกซึ่งมี "พระโพธิรักษ์"เป็นหัวหน้า ว่ามิใช่พระในคณะสงฆ์ไทยอีกต่อไป ส่งผลให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามหาเถรสมาคมมีอำนาจในการสั่งสึกพระโพธิรักษ์ได้ พระโพธิรักษ์จึงต้องเปลี่ยนสีจีวรให้เป็นสีดำพร้อมกับเปลี่ยนคำนำหน้าว่า "สมณะ" เพื่อจะเลี่ยงผิดกฎหมายว่าด้วยการแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุสงฆ์ ตอนนั้นสันติอโศกไม่สามารถแยกนิกายใหม่ได้สำเร็จ ทั้งนี้เพราะมิได้มีอำนาจมากระดับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหนุนหลัง แม้ว่าจะมี พลตรีจำลอง ศรีเมือง และพรรคพลังธรรม เป็นกองกำลังทางด้านการเมืองก็ตาม แต่เมื่อมาชนกับมหาเถรสมาคมอันมีพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครองแล้วก็พ่ายแพ้ไป อย่างไรก็ตาม ถึงปัจจุบันสันติอโศกก็หาได้หยุดความเคลื่อนไหวในการสถาปนาลัทธินิกายใหม่แต่อย่างใดไม่ เห็นได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดยประมาณ หลังสุดก็ยังเป็นกองเสบียงให้แก่ม็อบของพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธฯอ้าย ซึ่งประกาศจะโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ให้ได้ภายในหนึ่งวัน แม้จะไม่สำเร็จ แต่พลพรรคสันติอโศกก็กลับไปพักพลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องนี้ผู้คนอาจจะมองเห็นว่า สันติอโศกไม่มีพิษสงอะไร เพราะทำการล้มเหลว แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่า สันติอโศกมีแต่ได้กับได้ เพราะได้ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองระดับ "เป็นกบฎล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ" โดยที่ไม่มีใครกล้าจับ เพราะถ้าล้มล้างรัฐบาลสำเร็จก็จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการจัดตั้งรัฐบาล ทำนองคนเสื้อแดงทวงบุญคุณรัฐบาลปัจจุบันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่แม้จะไม่สำเร็จ ก็ยังสามารถแสดงแสนยานุภาพให้คนได้เห็นว่า "กูแน่" เพราะนึกอยากจะไล่รัฐบาลเมื่อไหร่ก็มากันง่ายๆ เหมือนนึกหิวขึ้นมาก็วิ่งไปเซเว่นอีเลฟเว่นฉะนั้น ที่สำคัญก็คือ เป็นการประกาศให้ชาว กทม. ได้รับรู้รับทราบว่า กลุ่มสันติอโศกยังอยู่ มิได้ล้มตายหายไปไหน หนำซ้ำเมื่อมีการชูสโลแกน "รักในหลวง-ต่อต้านคนที่คิดทำลายสถาบัน" มาเป็นนโยบายในการต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งปี 2549 ส่งผลให้สันติอโศกได้รับการยอมรับจากชาวกรุงเทพฯมากขึ้น ถึงกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยหลายคนเกิดความเห็นว่า "พระสงฆ์ในสังกัดมหาเถรสมาคมใช้ไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นพระจีวรแดง สนับสนุนทักษิณและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่มีพฤติกรรมทำลายสถาบัน" ดังนั้นจึงหันไปสนับสนุนกลุ่มสันติอโศกแทน ก้าวย่างของโพธิรักษ์ในการนำพลพรรคสันติอโศกเข้าสู่สมรภูมิทางการเมืองในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาจึงนับว่าแหลมคม และมีแต่ได้กับได้ ไม่เคยเสียอะไรเลย เพียงแต่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดคือยึดกุมอำนาจรัฐไว้ในมือเท่านั้น หากว่าวันใดสันติอโศกสามารถเป็นสมองและกองกำลังล้มล้างรัฐบาลคนเสื้อแดงลงได้ วันนั้นก็เชื่อได้ว่า "เกิดนิกายสงฆ์ใหม่ขึ้นในประเทศไทย" แน่นอน คอนเฟิร์ม !

3. การสยายอำนาจของวัดพระธรรมกาย ซึ่งถูกคณะสงฆ์ไทยดำเนินการสอบสวนเอาผิดว่าด้วยการสอนวิปริตผิดไปจากพระบาลีเดิมว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" ในปี พ.ศ.2542 ตอนนั้นวัดพระธรรมกายใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ปรับบทบาทจากการแข่งขันมาเป็นผู้สนับสนุนงานของมหาเถรสมาคม โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และกรรมการมหาเถรสมาคม องค์อุปัชฌาย์ของพระธัมมชโยเป็นตัวเชื่อม สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมนักธรรม-บาลี จนมีสถิติสอบได้ "สูงสุด" ในบรรดาสำนักเรียนวัดต่างๆ ในประเทศไทย ต่อมาเมื่อไฟใต้ลาม ธรรมกายก็สร้างนโยบายคล้ายๆ "วัดช่วยวัด" ออกโครงการบิณฑบาตพระหนึ่งพันรูป นำเอาข้าวสารอาหารแห้งลงไปช่วยวัดในสามจังหวัดภาคใต้ และเมื่อโครงการนี้จุดติดเพราะไม่มีใครติดใจ ก็ขยายเป็นโครงการบิณฑบาตพระหนึ่งหมื่นรูป สามหมื่นรูป จนถึงหนึ่งแสนและล้านรูป ข้าวสารอาหารแห้งที่ประชาชนสนใจในวัตถุประสงค์ "ช่วยพระภาคใต้" นำมาใส่บาตรนั้นมากเกินไป วัดในสามจังหวัดภาคใต้รับไม่ไหว ธรรมกายก็เผื่อแผ่เอาไปแจกแก่ชาวบ้านร้านตลาด รวมทั้งทหารตำรวจอย่างต่อเนื่อง แหมขนาดหมาได้กินข้าวยังรู้บุญคุณคน แล้วนี่คนกินข้าวคน ถ้าไม่รู้คุณคนก็จะถูกตราหน้าว่า"เนรคุณ" บุญคุณของธรรมกายนั้นแผ่ไพศาลไปทั่ว
สามจังหวัดภาคใต้ ขนาดว่าถ้าเอาเสาไฟลงสมัครรับเลือกตั้งในนามธรรมกาย รับรองว่านอนมากว่าประชาธิปัตย์อีก หรือถ้าจะมองอีกมุมหนึ่งก็คือว่า เวลานี้ฐานเสียงในสามจังหวัดภาคใต้นั้นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัดพระธรรมกายไปแล้ว พรรคการเมืองใดต้องการคะแนนเสียงในพื้นที่ดังกล่าวต้องวิ่งไปวัดพระธรรมกาย หรืออีกนัยหนึ่ง พรรคเพื่อไทยอาศัยวัดพระธรรมกายเป็นกองหน้าเข้าไปหาคะแนนเสียงในสามจังหวัดภาคใต้ โดยมีโครงการบิณฑบาตเป็นตัวเปิดทาง

เมื่อคุมชาวพุทธในสามจังหวัดภาคใต้ได้ โดยอาศัยช่องว่างคือความหย่อนยานของมหาเถรสมาคมแล้ว ธรรมกายก็หันมาหาตลาดเมืองหลวง เนื่องเพราะกรุงเทพมหานครนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างของประเทศไทย เห็นว่านับตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา สันติอโศกได้พลิกบทบาทจากผู้รับมาเป็นผู้รุก เข้าร่วมเป็นภาคีทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างออกหน้าแต่ว่าไม่ผิด เพราะถูกกีดกันว่ามิใช่พระภิกษุสงฆ์ ดังนั้นจะอ้างเอาพระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ มาเป็นตัวบทลงโทษสันติอโศกก็ไม่ได้ ปล่อยให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายและศีลธรรมขนาดใหญ่ ให้โพธิรักษ์ทำงานการเมืองได้อย่างเจ้าพ่อเรียกพี่ ธรรมกายเห็นว่าถ้าไม่เข้ากรุงเทพมหานครเสียแต่ตอนนี้ ก็อาจจะเสียทีแก่สันติอโศกได้ ดังนั้นจึงหันเข็มทิศโครงการตักบาตรพระล้านรูปเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร และต่อยอดเป็นโครงการธุดงค์ธรรมชัย ทั้งนี้เพื่อชิงพื้นที่ใน กทม. อันเป็นเมืองหลวง ไม่ให้สันติอโศกจัดคอนเสิร์ตมอมเมาชาวเมืองหลวงแต่เพียงวงเดียว

ถามว่าการมาของธรรมกายในโครงการต่างๆ เหล่านั้น มหาเถรสมาคมรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ ?

คำตอบก็คือ โครงการของธรรมกายไม่เคยผ่านการเห็นชอบของมหาเถรสมาคม แต่..แต่ก็มีกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต รวมทั้งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศไปร่วมด้วยช่วยกันอย่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีมติมหาเถรสมาคมรองรับกิจกรรมของธรรมกาย แต่การที่พระสังฆาธิการตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับกรรมการมหาเถรสมาคมไปร่วมงานธรรมกายนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า มหาเถรสมาคมสนับสนุนวัดพระธรรมกายโดยพฤตินัย ถ้าเรียกเป็นภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ก็ว่า "เนียน" เพราะปล่อยเสรีให้พระในสังกัดมหาเถรสมาคมไปร่วมกิจกรรมดังกล่าวอย่างครึกโครม
อีกด้านหนึ่งนั้น มีกระแสข่าวว่า วัดพระธรรมกายได้เดินเข้าสู่แวดวงการเมืองอย่างเต็มตัว ทั้งนี้นับแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปปาฐกถาที่สภาธรรมกายสากลในวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2549 ต่อจากนั้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคณะ คมช. ปฏิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549ส่งผลให้กลับประเทศไทยไม่ได้อีกจนบัดนี้ แต่เวลาที่อยู่ในเมืองนอกนั้น ปรากฏภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา และบุตรสาวบุตรชาย ชวนกันเข้าวัดพระธรรมกายเป็นหลายครั้ง
ในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ในปี พ.ศ.2554 ที่ผ่านมานั้น มีข่าวว่า "พ่อใหญ่" แห่งสำนักจานบิน ได้ส่งอาณัติสัญญาณไปยังกัลยาณมิตรทั่วโลก ให้ระดมกำลังกันช่วยให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเพื่อจะได้ตั้งรัฐบาล พ่อใหญ่ยังได้ส่ง "น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล" อดีตรองนางสาวไทย ในฐานะอัครสาวิกาของธรรมกาย ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งด้วย โดยนัยยะก็คือว่า วัดพระธรรมกายมีตัวแทนในพรรคเพื่อไทยแล้ว นั่นคือ ลีลาวดี วัชโรบล ความเป็นเอกภาพ-เอกีภาพ ระหว่างพรรคเพื่อไทย (ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กับวัดพระธรรมกาย (ธัมมชโย-ทัตตชีโว และลีลาวดี) นั้น ส่งผลอย่างทันตาเห็น เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรี ไปร่วมงานตักบาตรพระล้านรูปของวัดพระธรรมกาย ปูพรมทั่วกรุงเทพฯถึง 6 จุดด้วยกัน ระหว่างวันที่ 10 มี.ค. -25 มี.ค. 2555 เบื้องหน้านั้นผู้เขียนเล่าไปแล้ว แต่เบื้องหลังการจัดงานนั้นน่าสนใจว่าใครเป็นคนประสานงาน ถ้าไม่ใช่ "ลีลาวดี" และใครเป็นคนบงการ ถ้าไม่ใช่ "ทักษิณ ชินวัตร" แถมยังมีการสร้างโครงการธุดงค์ธรรมชัย ปิดถนน ปูพรม โรยดอกไม้ ให้พระธุดงค์เดินผ่านกรุงเทพฯ โดยประกาศว่าจะทำทุกปีเพื่อให้เป็นประเพณีไทยสมัยใหม่ เรื่องแบบนี้ถ้ารัฐบาลไม่เป็นใจจะจัดได้หรือ ?
สรุปตรงนี้ว่า มีการแย่งชิงพื้นที่เมืองหลวงระหว่างนักบวช 2 สำนักใหญ่ๆ ได้แก่ สันติอโศกและธรรมกาย ซึ่งต่างก็มีภาคีอันได้แก่กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยและพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นแรงหนุน
และมองให้เห็นว่า มหาเถรสมาคมเจ้าของพื้นที่เดิมนั้น ได้แต่มองตาปริบๆ ปล่อยปละละเลยให้นักเลงโตสองก๊กยกพลเข้าห้ำหั่นกันกลางกรุง โดยมหาเถรสมาคมนั้นทำทีเป็น "ปากว่าตาขยิบ" ถือหางธรรมกายให้ซัดกับสันติอโศก เพราะหานักมวยฝีมือระดับเดียวกันได้ยาก ธรรมกายเลยพลิกบทบาทจาก "ผู้ร้าย" กลายเป็น"พระเอก" ในบัดดล ดังกรณีที่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้รับการเสนอจากมหาเถรสมาคมให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระเทพมหาญาณมุนี" เมื่อวันที่ ธันวาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา
แต่..เชื่อหรือว่า ถ้าชนะศึกจนได้เป็นนายพลแล้ว ธัมมชโย จะยอมกดค่าตัวเป็นเพียงแค่ "เบี้ย" หรือ "ม้าใช้"ให้แก่มหาเถรสมาคมอีกต่อไป เห็นเสือหมอบก็นึกว่าเสือไหว้ จะเข้าใจอย่างนั้นนะหรือ ?
เพราะในมติมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีรายงานความคืบหน้าของการสร้างพระไตรปิฎกฉบับวัดพระธรรมกายต่อมหาเถรสมาคมด้วย โดยมิทราบว่าทางมหาเถรสมาคมได้แต่งตั้งกรรมการควบคุมดูและและตรวจสอบโครงการนี้แต่อย่างใด ได้ยินก็เพียงเสียงคำรามของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้ออกมากล่าวเมื่อมีข่าวว่าวัดพระธรรมกายดำเนินการจัดทำพระไตรปิฎกเป็นของตนเองว่า "ห้ามสอนว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" แล้วเสียงนั้นก็ลอยหายไปกับสายลม
มันหมายถึงอะไร  ? อ๋อก็หมายถึงว่า วัดพระธรรมกายมีพระไตรปิฎกเป็นของตนเองแล้ว เป็นวัดแรกในโลกด้วยซี ขนาดคณะสงฆ์ไทยตั้งกันมานมนานนับพันปี ยังไม่มีวัดไหนทำได้เลย
นั่นก็คือปัญหาทางด้านการบริหารการปกครองของคณะสงฆ์ไทย รวมทั้งบทบาทของมหาเถรสมาคมต่อพุทธศาสนิกชนชาวไทย
ทีนี้ว่า การเกิดขึ้นของสภาพุทธในคราวนี้มีนัยยะที่แปลกออกไป คือมีการชูหลักการหรูๆ ให้ดูสวยงามจำนวน 4 ข้อใหญ่ ได้แก่
1. เพื่อเป็นพุทธานุสรณ์ ฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
2. ร่วมรณรงค์ให้มีการรวมพลังชาวพุทธ สร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมของชาติ ร่วมเป็นเครือข่ายสมาชิกพุทธสภา3. ร่วมเป็นกำลังสนับสนุนให้เกิดพุทธสภาอย่างมีประสิทธิภาพ และ
4. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพุทธสภาที่จะส่งเสริมให้ชาวพุทธในชุมชนดำรงความดี และสร้างความมั่นคงบทบาทชาวพุทธให้เกิดความรู้รักสามัคคี
หลักการทั้งสี่เหล่านี้มองดูแล้วแทบไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลย มันเหมือนกับคำขวัญวันเด็กเท่านั้น แต่สำหรับพุทธสภาที่จะตั้งขึ้นนี้มิได้มีสถานะเช่นนั้น หากแต่จะเป็นองค์กรทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ระดับมหาเถรสมาคมและรัฐบาลต้องเกรงใจ และจะอยู่ได้นาน เพราะมีงบประมาณจากกระทรวงวัฒนธรรมอุดหนุนเป็นจำนวนมหาศาล
 ที่ว่าจะกระทบต่อความมั่นคงของมหาเถรสมาคมนั้น เพราะสาเหตุว่า
มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรปิด มีการแต่งตั้งและบริหารงานกันเป็นการภายใน ไม่มีการเลือกตั้งผู้บริหาร แต่ใช้ระบบสืบทอดอำนาจกันทำนองสมบูรณาญาสิทธิราช แม้จะไม่มีกฎหมายว่าด้วยการสืบทอดอำนาจของเจ้าคณะใหญ่ แต่เจ้าคณะใหญ่ก็มีอำนาจวางตัวแทนไว้ก่อนสิ้นอำนาจปกครองและบริหารกิจการคณะสงฆ์ หมายถึงเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์สามเณรเพียง 300,000 รูปเท่านั้น พุทธศาสนิกชนคนไทยไม่มีใครรู้จักมหาเถรสมาคมเลย ถือว่ามีตลาดอันแคบมาก
พุทธสภา เป็นเวทีเปิด เปิดให้สมาชิกทุกฝ่ายทั้งในและนอกประเทศได้มีโอกาสเข้าไปแสดงความคิดเห็น เป็นสมาชิก และร่วมกิจกรรม ที่มาของผู้บริหารก็คือผ่านการเลือกตั้งจากสมาชิก และอาจจะมีการกำหนดเทอมในการดำรงตำแหน่งด้วย เปิดโอกาสให้ทั้งพระสงฆ์สามเณรทั้งประเทศและทั่วโลก รวมทั้งพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า ได้เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน ทำนองปกครองร่วมกัน เป็นการเปิดตลาดศาสนาขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา แน่นอนว่าย่อมจะใหญ่กว่าสังฆสภาที่ก่อตั้งโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ด้วยซ้ำ เพราะสังฆสภาก็เป็นเพียงสภาของพระสงฆ์เท่านั้น
สรุปว่า ถ้าตั้งพุทธสภาขึ้นมาได้ ก็จะดึงเอามวลชนชาวพุทธทุกระดับไปไว้ที่พุทธสภาหมด และเมื่อนั้นบทบาทของพุทธสภาก็จะล้ำหน้ามหาเถรสมาคม เพราะพุทธสภามี "สื่อมวลชน" เข้าไปเป็นภาคีหนึ่ง ซึ่งจะเป็นกระบอกเสียงให้แก่พุทธสภาทางสื่อทุกช่องทาง ขณะที่มหาเถรสมาคมไม่มีภาคีที่ว่านี้ ทั้งนี้เพราะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์นั้นเขียนไว้ตกยุคแล้ว
อีกภาคีที่น่ากลัวก็คือ "สตรี" ซึ่งมีวลีว่า "สตรีคือศัตรูของพรหมจรรย์" จึงเข้าใกล้พระใกล้เจ้าได้ยาก มีการเรียกร้องให้พระสงฆ์ไทยสามารถบวชพระภิกษุณีและสามเณรีให้แก่สตรีไทย แต่มหาเถรสมาคมก็ยึดมั่นในพระธรรมวินัยของเถรวาท ยืนกรานไม่ยอมบวชให้ แถมสมเด็จพระสังฆราชยังได้ออกคำสั่งทำนองเป็นกฎหมายอีกด้วยว่า


คำสั่งสมเด็จพระสังฆราช
ประกาศ
ห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต
     หญิงซึ่งจักได้สมมติตนเป็นสามเณรี โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น สำเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีมีพรรษา 12 ล่วงแล้วเป็นปวัตตินี คือเป็นอุปัชฌาย์ ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุเป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว เมื่อนางภิกษุณีผู้รักษาขนบธรรมเนียมสืบต่อสามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี เป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี ผู้นั้นชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ฯ เพราะเหตุนี้ ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย บวชหญิงเป็นภิกษุณี เป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรี ตั้งแต่นี้ไป ฯ
ประกาศแต่ วันที่ 18 มิถุนายน 2471
กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
(สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ

หมายเหตุ ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่มที่ 16 หน้า 157
นั่นคือปมด้อยของสตรีไทยในพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า คนที่ทำบุญสุนทานทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามากที่สุดนั้นก็คือ "สตรี" มิใช่ "บุรุษ" ที่ว่านี้มีสถิติทั้งคนเข้าวัดและบริจาคทำบุญ กล่าวให้ชัดเลยก็ได้ว่า สตรีคือกำลังของพระพุทธศาสนาที่มากและมั่นคงที่สุด แต่น่าจะได้รับการส่งเสริมมากที่สุดกลับได้รับการกีดกันมากที่สุด เป็นเรื่องมหัศจรรย์ วันนี้ เมื่อมีเวทีเปิด คือพุทธสภา เชื่อแน่ว่าสตรีไทยมากมายคงจะเข้าไปเป็นสมาชิก เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อพระพุทธศาสนา ที่ไม่เคยหาได้ในประเทศไทยนับตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา เราอาจจะได้เห็นดาวสภาเป็นสุภาพสตรี มีบทบาททำงานทั้งในและต่างประเทศ และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ พุทธสภาจึงน่าจะเป็น "คำตอบดีที่สุด" ของสตรีไทยในสมัยปัจจุบัน และถ้าพุทธสภามีอำนาจมากขึ้น สตรีไทยก็อาจจะใช้มติของพุทธสภานี่แหละ บีบรัฐบาลให้ออกกฎหมายเปิดช่องให้สตรีไทยสามารถบวชเป็นภิกษุณีและสามเณรีได้โดยไม่ผิดกฎหมายคณะสงฆ์ แน่นอนว่าถ้าทำได้ก็ไม่ต้องแคร์มหาเถรสมาคมอีกต่อไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในโลกใบนี้ ขอเพียงมีโอกาส
ภาพรวมที่ผู้เขียนนำเสนอมานี้ก็สรุปอยู่ที่ว่า พุทธสภาจะมีบทบาทโดดเด่นและกว้างขวางกว่ามหาเถรสมาคมแน่นอน เพราะดึงเอาทั้งพระสงฆ์สามเณรทั่วสังฆมณฑลไปเป็นแนวร่วม รวมทั้งภาคีอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่มีกำลังระดับพรรคการเมืองทั้งนั้น
ทีนี้ว่า เมื่อทราบว่าพุทธสภาจะมาเป็นคู่แข่งของมหาเถรสมาคม โดยที่คนของมหาเถรสมาคมก็ไปสนับสนุนส่งเสริมหรือถูกดึงไปร่วมงานพุทธสภาด้วยนั้น ถามว่ามหาเถรสมาคมจะทำอย่างไร จะห้ามไม่ให้เปิดพุทธสภาได้ไหม ถ้าว่าห้ามไม่ได้ แต่จะห้ามพระสงฆ์สามเณรไม่ให้ไปร่วมงานกับพุทธสภา เพื่อให้พุทธสภาขาดภาคีสำคัญไป ได้หรือไม่ ?
คำตอบก็คือว่า คงยาก เพราะว่าพุทธสภาก่อตั้งโดยหน่วยงานของรัฐ คือกรมการศาสนา และกรมการศาสนานั้นสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม อันขึ้นตรงต่อรัฐบาลไทย ทั้งบุคคลากรที่จะมาสนองงานพุทธสภาและงบประมาณสนับสนุนนั้นก็ตัดมาจากงบประมาณกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลไทยจะเป็นผู้ตัดสินใจ "ให้มาก-ให้น้อย" เป็นด่านสุดท้าย หมายถึงว่าพุทธสภาจะเป็นหน่วยงานใหม่ที่รัฐบาลไทยสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำงานพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เพราะอย่าลืมว่า แม้แต่มหาเถรสมาคมเองก็ต้องพึ่งพารัฐบาลไทยในแทบทุกด้าน เมื่อรัฐบาลจะเปิดเวทีพุทธขึ้นมาเป็นพุทธสภา ถ้ามหาเถรสมาคมบอยคอต ก็จะเป็นการประกาศสงครามกับรัฐบาล ซึ่งถ้าการบอยคอตของมหาเถรสมาคมมีผล ก็อาจจะส่งส่งผลให้รัฐบาลล้ม แต่ถ้าการบอยคอตของมหาเถรสมาคมไม่มีผล มหาเถรสมาคมก็จะถูกรัฐบาลดองเค็ม ไม่สนับสนุนส่งเสริม หรือหันไปส่งเสริมพุทธสภาให้มีบทบาทล้ำหน้ามหาเถรสมาคม เมื่อนั้นก็จะไปกันใหญ่ ดังนั้น มหาเถรสมาคมจะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดี ผลีผลามไม่ได้ นัยยะนี้ก็หมายถึงว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งยังต้องขึ้นตรงต่อรัฐบาลผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทุกสมัย แม้จะไม่เห็นด้วยกับการเกิดขึ้นรวมทั้งบทบาทของพุทธสภา แต่ก็ไม่น่าจะทำอะไรได้ และดูเหมือนว่า ด้วยความเกรงว่าการแสดงออกจะประเจิดประเจ้อมากเกินไป นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพุทธฯ ซึ่งถูกยกขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาพุทธสภา ที่เรียกว่าเทกระโถนนั้น ได้แอบหลบอยู่หลังม่าน ยุให้นายอำนาจ บัวศิริ รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ไปประชุมแทน และออกมาให้ข่าวทำนองไม่เห็นด้วยกับการตั้งพุทธสภาขึ้นมา ถือว่าเล่นเป็น

คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 2 : มีการตั้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเป็นที่ปรึกษาพุทธสภาในระดับจังหวัด ผอ.พศ. เป็นที่ปรึกษาพุทธสภาระดับชาติ หากจังหวัดไม่ได้รับความร่วมมือเป็นที่ปรึกษาให้ ทาง ศน. จะทำอย่างไร
มุมมองของพระมหานรินทร์ : ถามแบบนี้เขาเรียกว่า ตีปลาหน้าไซ หรือไม่ก็ร้อนตัวก่อนไข้ อะไรทำนองนั้น เพราะเหตุการณ์นั้นมันยังไม่เกิด จริงอยู่ ทางสำนักพุทธฯมีสิทธิ์ถาม แต่ทางกรมการศาสนาจะให้คำตอบได้อย่างไรในเมื่อเหตุการณ์มันยังไม่เกิด อาจจะจำลองเหตุการณ์บางอย่างในอดีตมาตอบก็ได้ว่า ถ้าว่าเป็นจริง คือไม่ได้รับความร่วมมือจากบุคคลที่แต่งตั้ง ซึ่งอาจจะไม่ทั้งหมด หมายถึงว่ามีบางคนที่ไม่ยอมทำหน้าที่ เมื่อนั้นก็ต้องละเว้นไว้ก่อน หรืออาจจะมีมาตรการกำราบให้เชื่อง แต่ถ้าสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งสำนักพุทธฯส่วนกลาง พากันบอยคอตพุทธสภาของกรมการศาสนากันหมด เมื่อนั้นทางพุทธสภาแต่เพียงลงมติ "ปลด" สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสาขาในต่างจังหวัดทั้งหมดจากที่ปรึกษา ก็หมดปัญหาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางกรมการศาสนาคงจะมองเห็นแล้วว่า องค์กรสำคัญที่มีบทบาททางศาสนาสามารถจะถ่วงพุทธสภาให้แท๊งค์ได้ในขณะยังไม่เกิดนั้นก็เห็นจะมีเพียง "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" เพียงหนึ่งเดียว จึงชิงประกาศตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดให้เป็นที่ปรึกษาพุทธสภาจังหวัด และยกตำแหน่งที่ปรึกษาพุทธสภากรุงเทพฯอันเป็นศูนย์กลางให้แก่ "ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" แต่ถึงกระนั้น นกรู้ระดับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีหรือจะพอใจกับตำแหน่ง "เทกระโถน" ดังกล่าว เพราะตำแหน่งที่ปรึกษามันก็มิได้มีอิทธิพลอะไรเลย หนำซ้ำถ้ายอมรับตำแหน่งนี้ก็เท่ากับยอมรับว่า "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นภาคีอันดับที่ 10 ของพุทธสภา" แม้ว่าจะไม่ได้ใส่ชื่อไว้ในลิสต์ของภาคี แต่ก็ซ่อนไว้ในรูปแบบของการยกให้เป็นที่ปรึกษาดังกล่าวแล้ว หรือมองภาพให้เห็นง่ายๆ ว่า ตามโครงสร้างของพุทธสภาที่ว่านี้ มีการดึงเอาทั้งมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าไปเป็นภาคี รวมกับอีก 9 ภาคีที่ออกนาม ทีนี้ว่าถ้าตั้งสำเร็จ พุทธสภาก็จะเป็นองค์กรทางศาสนาใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพราะรวบเอาทั้งมหาเถรสมาคมและสำนักพุทธฯมาเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา แนบข้างไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหน จะจูบก็ไม่ให้จูบ จะถีบก็ไม่ให้ถีบ บีบรัดกันไปจนหมดแรง เกมนี้ก็ต้องยอมรับว่า ดร.ปรีชา มาเหนือเมฆ ยกตำแหน่งให้แก่ศัตรูคู่สถาบัน แต่พอเปิดดูในใบตราตั้งนั้นกลับยกให้เป็นเพียง "เทกระโถน" ก็สมแล้วที่ทางสำนักพุทธฯจะรีบตั้งคำถาม ว่าถ้าไม่ยอมรับตำแหน่งที่ปรึกษาจะมีปัญหาหรือไม่ แหมถามแค่นี้ก็มีปัญหาแล้วล่ะค่ะ
 คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 3 : การประกาศจัดตั้งพุทธสภาอาศัยกฎหมายอะไรรองรับ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายอะไรรองรับ
มุมมองของพระมหานรินทร์ : แหมข้อนี้มันก็เหมือนการกำเนิดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้นแหละ มันต้องมีกระบวนการจีบบ่าวจีบสาว ถ้าตกลงปลงใจจะอยู่กินเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว จึงค่อยยกขันหมากไปหมั้นหมายให้ผู้ใหญ่รับรู้ ทีนี้ว่าถ้าเด็กรักกันแล้ว กีดกันอย่างไรก็ไม่มีผล ทำนองเดียวกัน เมื่อมีมวลชนเป็นฐานสนับสนุนอย่าอย่างเป็นกอบเป็นกำแล้ว ทางกรมการศาสนาก็จะนำไปเสนอให้รัฐมนตรีพิจารณา "อนุมัติ" จากนั้นก็จะเริ่มกระบวนการทางกฎหมาย ของพวกนี้ไม่ยากหรอก ที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายมีถมไป

คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 4 : การดำเนินงานของ พศ. กับ ศน. มีความทับซ้อนกันอยู่ในรูปแบบพัฒนากิจการด้านพระพุทธศาสนา และยังไม่มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนเลย แต่ก็มีการจัดตั้งพุทธสภาขึ้นมาทำหน้าที่เดียวกันนี้อีก ต่อไปหากมีกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างมหาเถรสมาคม (มส.) พศ. และพุทธสภา อะไรจะเกิดขึ้น
มุมมองของพระมหานรินทร์ : ข้อขัดแย้งกับมหาเถรสมาคมนี้มีแน่นอน เพราะความแตกต่างกันทั้งด้านเป้าหมายและวิธีการระหว่างมหาเถรสมาคม (รวมทั้งสำนักพุทธฯ) กับพุทธสภา (ของกรมการศาสนา) เพราะพุทธสภานั้นจะกลายเป็นเวทีเปิดให้ใครก็ได้ที่เป็นพุทธฯ สามารถเข้าไปใช้บริการในด้านต่างๆ ตั้งแต่เสนอ สนอง เรียกร้อง ต้องการ ฯลฯ ทำนองรัฐสภาไทย เรียกได้ว่าครอบจักรวาล แค่ข่าวสดๆ หรือข่าวลือ ก็สามารถยื่นกระทู้ถามได้ในพุทธสภา เพียงแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นๆ เช่นกรณีปัญหาไฟใต้ เป็นต้น หนึ่งในนั้นย่อมจะหนีไม่พ้น "บทบาทของมหาเถรสมาคม" ที่จะนำมาวิจารณ์กันสนุกปาก ถ้ามหาเถรสมาคมอ้างว่าไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการปัญหานั้นๆ ได้ ทางพุทธสภาก็อาจจะฉวยโอกาสตั้งกรรมการเข้าไปศึกษาปัญหาและวิธีการแก้ไข แล้วส่งมอบให้มหาเถรสมาคมหรือรัฐบาลไทยแก้ไขกันต่อไป นั่นหมายถึงว่ามหาเถรสมาคมจะกลายเป็นเพียง "ลูกไล่" ของพุทธสภา ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะว่าบทบาทของพุทธสภาจะครอบงำมหาเถรสมาคมจนมิด ปัจจุบันนี้ยังเป็นแค่แดนสนธยา ต่อไปก็อาจจะกลายเป็นเวทีมิดไนท์ก็เป็นได้ นี่เพียงแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น
 คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 5 : การทำงานพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยพุทธบริษัท 4 คือ พระสงฆ์ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา แต่การจัดตั้งพุทธสภาเป็นองค์กรเอกชน เป็นการทำงานของอุบาสก อุบาสิกา ส่วนการทำงานของพระสงฆ์มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และ มส. อีกส่วนหนึ่ง เหมือนเป็นการแยกพุทธบริษัท 4 ออกจากกัน
 มุมมองของพระมหานรินทร์ : ข้อนี้ดูเหมือนว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเข้าใจอะไรผิด เพราะเคยชินกับระบบเก่าๆ มานาน การทำงานของพระพุทธศาสนาที่ว่าต้องประกอบด้วยพุทธบริษัททั้ง 4 เหล่านั้นก็ถูก แต่วิธีการที่ผ่านมานั้น มหาเถรสมาคมใช้วิธีสั่งงานผ่านคณะสงฆ์ แล้วให้คณะสงฆ์เป็นผู้นำเอาพุทธบริษัทอีก 2หรือ 3 เหล่าเข้ามาร่วม แบบว่าเดินนำหน้า ถ้าไม่เดินหรือไม่อยากเดินก็อ้างว่าไม่มีอำนาจ ไม่ใช่ธุระ หรือไม่ว่าง ก็ว่ากันไป แต่สำหรับพุทธสภานั้นเปิดเวทีให้พุทธบริษัททั้ง 4 เหล่าได้เข้ามาทำงานในลักษณะเป็นภาคีมีสัดส่วนชัดเจน และให้มีบทบาทในรูปแบบที่เรียกว่าแนวร่วม ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าพระสงฆ์จะมีบทบาทสู้ฆราวาสได้หรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่า แม้ว่าจะเป็นสภา แต่ถ้าพระสงฆ์จะแอ๊คชั่นเกินสมณสารูปก็อาจจะเสียภาพพจน์ได้ เพราะผ้าเหลืองนั้นเป็นต้นทุนทางสังคมอันสูงส่งอยู่แล้ว เถียงผ้าลายเมื่อใดเป็นเสียหายทันที นี่คือภาพรวม
ประเด็นตรงนี้เห็นจะมีเพียงจุดเดียวคือว่า การแบ่งภาคีในพุทธสภาออกเป็น 9 สาย หนึ่งในนั้นมีพระสงฆ์ได้รับเกียรติให้เป็นภาคีหนึ่งด้วย แม้ว่าจะยกให้เป็นภาคีอันดับที่ 1 ดูแล้วตัวเลขน่ะสวย แต่ในเวลาเข้าสู่พุทธสภาแล้ว เขามิได้นับตัวเลข หากแต่นับกันที่บทบาท อดีตนั้นพระสงฆ์เป็นองค์เทศน์และโยมเป็นคนยกมือไหว้ฟัง แต่ในพุทธสภาบทบาทอาจจะพลิก คืออาจจะมีคนเถียงพระ หรือพระต้องนั่งฟังโยมสอน  แน่นอนว่าเป็นการลดบทบาทของพระสงฆ์ในมหาเถรสมาคมซึ่งเคยเป็นปูชนียบุคคลให้เหลือเพียง "ภาคีสมาชิก" ในพุทธสภา แบบนี้ก็น่าน้อยใจ เพราะถ้าเถียงแพ้โยมในพุทธสภา จะกลับไปขึ้นธรรมาสน์เทศน์ในวัดก็คงยากแล้วล่ะ เผลอๆ อาจจะมีพระผูกคอตายเพราะอายโยมก็เป็นได้ เพราะในสมัยที่มีสังฆสภานั้น ก็เกิดกรณีลูกศิษย์เถียงอาจารย์ แต่อาจารย์เถียงสู้ลูกศิษย์ไม่ได้ สุดท้ายต้องยุบสังฆสภาให้กลายเป็นมหาเถรสมาคมถึงปัจจุบัน
คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 6 : การจัดตั้งพุทธสภาจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการแล้วในเดือน ก.พ.-มี.ค.นี้ และมีการให้พระสงฆ์เป็นรองประธานพุทธสภา แต่ มส. ซึ่งดูแลพระสงฆ์ยังไม่ได้รับทราบ พิจารณาหรือเห็นชอบด้วย จะดำเนินการต่อไปได้อย่างไร พระสงฆ์จะกล้ามาร่วมทำงานด้วยหรือไม่
มุมมองของพระมหานรินทร์ : เรื่องทราบหรือไม่ทราบ คือเรื่องรายงานมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับการตั้งพุทธสภาขึ้นมานี้ ดูไปก็ไม่มีอะไร เพราะทางกรมการศาสนาคงเห็นตัวอย่างแล้วว่า มีหลายงานของทางวัดพระธรรมกายซึ่งอ้างว่าคณะสงฆ์ไทยและมหาเถรสมาคมรับรอง แต่ก็ไม่เห็นมีมติมหาเถรสมาคมออกมาอย่างเป็นทางการ หนำซ้ำทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมยังประกาศตัวตนว่าเป็นภาคีของวัดพระธรรมกายด้วยซ้ำไป ขนาดสำนักพุทธฯซึ่งเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่งยังแบ่งภาคไปทำงานกับวัดพระธรรมกายได้ การตั้งพุทธสภาขึ้นมาโดยที่ไม่ผ่านมหาเถรสมาคมก็มิใช่เรื่องประหลาดอันใด นายปรีชาเองก็ประกาศแล้วว่า จะรีบรายงานให้มหาเถรสมาคมรับทราบ แต่ถ้าจะถามถึงว่า พระสงฆ์ในสังกัดมหาเถรสมาคมจะกล้ามาร่วมงานกับพุทธสภาหรือไม่ แหมก็ดูตัวอย่างวัดพระธรรมกายสิ มีเงินจ้าง เอ๊ย ถวายซะอย่าง พระไทยวัดไหนมั่งไม่มา

คำถามของสำนักพุทธฯ ข้อที่ 7 : ถ้ามีการตั้งวัฒนธรรมจังหวัดเป็นเลขาธิการคณะกรรมการระดับจังหวัด และรองอธิบดี ศน. เป็นเลขาธิการ คณะกรรมการระดับชาติโดยตำแหน่ง หากวัฒนธรรมจังหวัดหรือรองอธิบดี ศน. นับถือศาสนาอื่น โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดภาคใต้จะทำอย่างไร
มุมมองของพระมหานรินทร์ : เรื่องคนศาสนาอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นวัฒนธรรมจังหวัดนั้นก็อาจจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งน่าสนใจ ในอดีตตอนที่ยังไม่มีสำนักพุทธฯ และกรมการศาสนายังเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมอยู่นั้น ก็เคยปรากฏว่ามีชาวมุสลิมได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรงนี้ก็อาจจะนำเอากรณีในอดีตนั้นมาเป็นตัวอย่างสำหรับแก้ไข และคงมิใช่แก้แค่สามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น หากแต่จังหวัดอื่นๆ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นชาวพุทธทั้งหมดหรือไม่
 เห็นได้ว่า การก่อตัวและเกิดขึ้นของพุทธสภาในเวลานี้ ถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ในรอบ 2500 ปี อาจจะพลิกบทบาทให้พระพุทธศาสนาพุ่งทะยานไปสู่ความเจริญและมั่นคงยิ่งขึ้น หรืออาจจะกลายเป็นเวทีสร้างความแตกแยกให้แก่พุทธบริษัททั้งสี่ก็ไม่มีใครรู้ เพราะเหตุปัจจัยในภายหน้านั้นยากนักที่จะหยั่งถึง
เช่นกรณีที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนพุทธสภาผ่านกรมการศาสนา โดยเป็นผู้กำหนดงบประมาณ ถ้ารัฐบาลเข้ามาก้าวก่ายพระพุทธศาสนาโดยใช้พุทธสภาเป็นเครื่องมือ ถ้ารัฐบาลนั้นนิยมส่งเสริมมหาเถรสมาคมก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้ารัฐบาลนั้นไม่นิยมส่งเสริมมหาเถรสมาคม แบบนี้ก็ถือว่าอันตราย เพราะการเมืองไทยมิได้มีเพียงพรรคเดียว เหมือนกรณีเสื้อเหลือง-เสื้อแดงในปัจจุบันวันนี้
นี่ยังมินับถึงว่า ผู้มีอิทธิพลอื่นๆ เช่น ธรรมกาย สันติอโศก มจร. มมร. หรือเครือข่ายอื่นใด จะวางแผนเข้ายึดครองพุทธสภาเพื่อให้เป็นปากเป็นเสียงแทนตนเอง ทำนองสร้างเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา นั่นก็เท่ากับว่าเอาพุทธสภาไปเป็นสภาการเมือง เป็นเรื่องของผลประโยชน์ไปเสียแล้ว พวกนี้น่าห่วงกว่าเรื่องความซ้ำซ้อนของงานกับมหาเถรสมาคมเป็นไหนๆ

จึงขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า เพราะว่ามหาเถรสมาคมไม่สามารถจะทำงานเกินขอบเขตและจารีตประเพณีที่เคยทำมาได้ ส่งผลให้กิจการคณะสงฆ์ถดถอย มีผู้มีอิทธิพลสร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมา แล้วสามารถเข้าไปแย่งชิงพุทธศาสนิกชนได้เป็นกอบเป็นกำ ดังเช่นธรรมกายและสันติอโศก หากปล่อยไว้เช่นนี้ เชื่อว่าไม่เกิน 20 ปีจากนี้ไป ไม่ธรรมกายก็สันติอโศกจะเข้ามาเป็นองค์กรทางศาสนาทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย เมื่อนั้นมหาเถรสมาคมก็หมดบทบาทไปโดยปริยาย ดังนั้น การเกิดขึ้นของพุทธสภาในวันนี้ จึงเป็นจังหวะดีที่ชาวพุทธส่วนใหญ่อยากเห็น เป็นเรื่องที่เกินกำลังจะฉุดดึงเสียแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จะเปิดตลาดให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรี หรือว่าจะปิดตลาดไว้ แล้วยกให้ธรรมกายหรือสันติอโศกครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ก็เลือกเอา
พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
10 กุมภาพันธ์ 2556
09
:00 P.M. Pacific Time.

ไม่เห็นด้วย !


กฤษฎีกาแย้ง พรบ.อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา

ระบุ "เป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มากกว่าเพิ่มอำนาจให้แก่พระพุทธศาสนา"
จึงเห็นว่าน่าจะแก้ไข พรบ. 2505 จะเหมาะสมกว่า

เห็นด้วยว่า ถ้าจะให้จัดตั้งสำนักงานอุปถัมภ์คุ้มครองพุทธศาสนา ภายใต้บังคับบัญชาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น มันจะมีอำนาจมากเกินไป ยิ่งกว่าเสือติดปีกทีเดียวล่ะฮ่ะ


อา..อ้าปากเห็นลิ้นไก่เลยล่ะงานนี้ เพราะกฤษฎีกาชี้ว่า การตั้งสำนักงานอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นมา ภายใต้การดูแลของสำนักพุทธฯนั้น เป็นการขยายอำนาจเกินขอบเขต มิน่า ครั้งก่อน เมื่อกรมการศาสนาประกาศจัดตั้ง "พุทธสภา"ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาถึงได้ออกมาคัดค้านเสียงโหยหวนเชียว ตีตราว่า"ทำสังฆเภท" วันนี้จึงถึงบางอ้อว่า สำนักพุทธฯก็ไม่เบาเหมือนกัน กะจะกินรวบ-ควบคุมพุทธศาสนาทั้งประเทศไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียว ทำงานศาสนาแต่แสวงหาอำนาจ แบบนี้ไงถึงได้สาละวันเตี้ยลง เข้าตำรา "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง"

 คณะกฤษฎีกาคว่ำร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ค้านตรากฎหมายฉบับใหม่ แต่เห็นควรให้นำไปบัญญัติเพิ่มเติมใส่ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์

วันนี้ (2 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  จากการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมนำเสนอร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา จำนวน 3 ฉบับให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ร่างพ.ร.บ.อุปถัมภ์ฯ มีการส่งร่างมาหลายฉบับ จึงได้ส่งต่อไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ขณะนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวแล้ว และเห็นว่าควรให้นำบทบัญญัติในส่วนที่กำหนดแนวทางเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และการกำหนดให้มีคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไปบัญญัติเพิ่มเติมใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 จะเหมาะสมกว่าการตรากฎหมายขึ้นมาใหม่
 ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า คณะกรรมการกฤษฎีกายังให้ความเห็นว่า ในเรื่องการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้น ภายใต้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นั้น หาก พศ. พิจารณาเห็นว่าภารกิจและอำนาจหน้าที่ของ พศ. ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2549 ยังไม่สามารถดำเนินการตามภารกิจในเรื่องการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้ ทาง พศ. ก็อาจจัดให้มีหน่วยงานภายในเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการในเรื่องดังกล่าวต่อไป



ข่าว : เดลินิวส์
กันยายน 2556

พฤติกรรมล้มล้างพระธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า โดยไม่ปฎิบัติตามพระลิขิต ของ สมเด็จพระสังฆราช  
 กรณีอาบัติปาราชิก  พระธัมมชยโย
ยักยอกเงินบริจาควัด ปาราชิก แต่ ไม่ยอมสึก??? มหาเถรสมาคม ไม่ทำหน้าที่ตาม พระธรรมวินัย และ รัฐธรรมนูญ จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดหน้าที่ของประชาชนไทย ไว้ในหมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย ดังนี้ 
1. บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ (มาตรา 70)[7] โดยมีเจตนารมณ์ เพื่อกำหนดให้เป็นหน้าที่ของบุคคลทุกคนในการพิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ปาราชิก
คำว่า ปาราชิก สันนิษฐานว่าแปลว่า ผู้แพ้อาจหมายถึง ผู้แพ้แก่วิถีชีวิตการเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาปาราชิกเป็นอาบัติขั้นที่ร้ายแรงที่สุด ภิกษุไม่ว่ารูปใด ถ้าหากอาบัติถึงขั้นปาราชิกแล้วจะสิ้นสภาพการเป็นภิกษุทันที แม้ว่าจะยังครองผ้าเหลืองหรือปฏิบัติตนอย่างภิกษุอื่นๆ อยู่ก็ตาม ภิกษุที่รู้ตนเองว่าอาบัติปาราชิกแล้วสามารถลาสิกขาไปใช้ชีวิตอยู่อย่างฆราวาสทั่วไปได้ แต่หากยังคงดื้อครองผ้าเหลืองหลอกให้ผู้คนกราบไหว้อยู่อีก ก็จะยิ่งเป็นบาปหนาที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ

อาบัติปาราชิกมี ๔ ประการ ได้แก่ การเสพเมถุน การลักทรัพย์ การฆ่ามนุษย์ และการอวดอัตริมนุสธรรม


๑. การเสพเมถุน คือ การร่วมประกอบกิจกรรมทางเพศไม่ว่าจะกระทำกับผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือกระทำกับสัตว์ก็ตาม ปาราชิกข้อการเสพเมถุน บางทีก็เรียกกันว่า ปฐมปาราชิก แปลว่า ปาราชิกข้อแรก

๒. การลักทรัพย์ คือ การนำทรัพย์ของผู้อื่นไปเป็นของตนโดยเจตนา ในเมืองไทยกำหนดว่า การลักทรัพย์มีมูลค่าตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป เป็นการผิดหรือเป็นอาบัติขั้นปาราชิก การเจตนาแอบอ้างความคิดหรือผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน หรือการเบียดบังเอาเงินในกองทุนที่มีผู้ศรัทธาถวายเป็นทานเพื่อใช้ในกิจของสงฆ์ หรือกิจของศาสนามาใช้ส่วนตัว ก็ถือว่าเป็นอาบัติปาราชิกเช่นกัน
๓. การฆ่ามนุษย์ คือ การเจตนาทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ไม่ว่าจะลงมือฆ่าเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่าให้ก็ตาม ถือเป็นความผิดปาราชิกข้อที่ ๓ ทั้งสิ้น
๔. การอวดอุตริมนุสธรรม คือ การพูดอวดผู้อื่นว่าตนได้บรรลุธรรมะระดับสูง เช่น บรรลุโสดาบัน บรรลุอรหันต์ เป็นต้น ไม่ว่าตนจะได้บรรลุธรรมตามที่ตนได้อวดอ้างไปจริงหรือไม่ก็ตาม

อาบัติปาราชิก หากผิดแม้แต่เพียงข้อเดียวก็ถือว่าภิกษุผู้อาบัติสิ้นสภาพการเป็นภิกษุแล้ว แม้จะไม่มีใครล่วงรู้หรือจับได้ก็ตาม การกราบไหว้บูชาภิกษุที่อาบัติปาราชิก นอกจากจะไม่เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ยังผิดมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ที่ว่า บูชาบุคคลที่ควรบูชาอีกด้วย

ข้อมูล :: - http://www.sakulthai.com/
ศาลสั่งจำหน่ายคดีวัดพระธรรมกาย หลัง อสส.ยื่นคำร้อง ขอถอนฟ้องพระธัมมชโยกับศิษย์ ฐานยักยอกเงินบริจาควัดกว่า 35 ล้าน ยกเหตุจำเลยคืนเงินวัดกว่า 950 ล้าน ทั้งยังเผยแผ่ศาสนาตามพระไตรปิฎก ตามพระลิขิตพระสังฆราชแล้ว ขณะที่คดีธรรมกายอีก 3 สำนวน อัยการพร้อมยุติคดีสั่งไม่ฟ้อง

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ศาลโดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ มีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องในคดีดำหมายเลขที่11651/2542 และคดีดำหมายเลข 14735/2542 ที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สิทธิพล อายุ 62 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร อายุ 57 ปี ลูกศิษย์คนสนิท เป็นจำเลยที่ 1-2

ทั้งนี้ เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น

โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์ และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายมูล จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2
และเงินจำนวน 29,877,000 บาท ไปซื้อที่ดินเนื้อที่ 902 ไร่เศษ ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร และ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ. เพชรบูรณ์ โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2
คดีนี้เรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 สรุปว่า ตามที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 และวันที่ 16 ธันวาคม 2542 ตามลำดับ โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง
ร่วมกันกระทำผิด

โจทก์ขอเรียนว่า การดำเนินคดีนี้สืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 กับพวก ไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีว่า ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสั่งสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือนแตกแยกออกไปกลายเป็นสองฝ่าย มีความเข้าใจความเชื่อถือ พระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้องคือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที ไม่ได้คิดให้มีโทษเพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่า ในชั้นต้นหากมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่ เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระคืนให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอม เป็นพระด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา

บัดนี้ข้อเท็จจริงในการเผยแผ่คำสอน ปรากฏจาก อธิบดีกรมการศาสนา ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม และ เจ้าคณะภาค 1 ว่า ในปัจจุบันจำเลยที่ 1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ตรงตามพระไตรปิฎก และนโยบายของคณะสงฆ์??? ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก

สำหรับในด้านทรัพย์สินนั้น ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ กับพวก จึง เป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว???

ขณะเดียวกัน ขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั้งในและต่างประเทศ ที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ

อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา ขอศาลโปรดอนุญาต เมื่อศาลได้สอบถามว่าจำเลยทั้งสองจะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองแถลงว่า ไม่คัดค้าน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ก่อนศาลมีคำพิพากษา โดยอ้างเหตุดังข้างต้น เมื่อจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านที่โจทก์ถอนฟ้อง จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองและจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความของศาลอาญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ได้มีการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการสืบพยานจำเลย ซึ่งที่ผ่านมามีการสืบพยานไปแล้วเกือบ 100 ครั้ง เหลือการสืบพยานอีกเพียง 2 ครั้ง ในวันที่ 23-24 สิงหาคม นี้ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อธิบดีอัยการคณะกรรมการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า การถอนฟ้องคดีก่อนศาลจะมีคำพิพากษา สามารถทำได้ ซึ่งในอดีตอัยการสูงสุด เคยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแล้วเช่น ความผิด พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ คดีกบฏ ผู้ก่อการร้าย

สำหรับคดียักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย ที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญามีเพียง 2 คดีเท่านั้น คงเหลือสำนวนคดียักยอกทรัพย์ที่รอการสั่งคดีในชั้นอัยการอีก 3 สำนวนได้แก่
- 1.
คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ นางกมลศิริ คลี่สุวรรณ และนายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค ลูกศิษย์คนสนิท เป็นผู้ต้องหา ซึ่งถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันเบียดบังนำเงินวัดจำนวน 95 ล้านบาทเศษไปซื้อที่ดิน
- 2.
คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ นางสงบ ปัญญาตรง นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค และนายชาญวิทย์ ชาวงษ์ ลูกศิษย์คนสนิท เป็นผู้ต้องหา เบียดบังเงินจำนวน 845 ล้านบาทเศษและ
-3.
คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ร่วมกับนายเทิดชาติ ศรีนพรัตน์ นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค และนางอมรรัตน์ สุวิพัฒน์ หรือสีกาตุ้ย ลูกศิษย์คนสนิท ผู้ต้องหา ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยเมื่ออัยการสูงสุดมีนโยบายให้ถอนฟ้อง การสั่งคดีของพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ก็จะต้องมีความเห็นให้ยุติการสั่งคดีไว้ เนื่องจากการดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งนี้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 78 และ 128 โดยเมื่อยุติการสั่งคดีก็ต้องถือว่าคดีนี้สิ้นสุดลงตามกระบวนการทางกฎหมายทันที ซึ่งจำเลยทั้งสองได้คืนที่ดินและเงินที่ก่อความเสียหายรวมมูลค่า 959,300,000 บาท ให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว
พระอักษร สมเด็จพระสังฆราช
ฉบับที่ ๑. หากพระรูปใด บิดเบือนพระธรรม กล่าวหาพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำ สงฆ์ให้แตกแยกเป็น 2 ฝ่ายถือเป็นกรรมหนักสุด ทางศาสนาเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้ง ปัจจุบันและอนาคตที่หนัก
          ๒. พระรูปใด ได้ทรัพย์สิน ระหว่างที่บวชเพื่อความถูกต้อง ก็ต้องโอน สมบัติทั้งหมดเป็นของวัด

ฉบับที่ ๒
"ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่
หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "

ฉบับที่ ๓
"
การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน"

ฉบับที่ ๔ในกรณีเกี่ยวกับ เรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม "

ฉบับที่ ๕" ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟังรับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 "

สะเก็ดข่าวศาสนาตลอดปี 2549 โดย...ปี้ส่าง
อัยการสูงสุดถอนฟ้องธัมมชโย
เป็นข่าวใหญ่โตสุดท้ายก่อนอวสานรัฐบาลทักษิณ ถูกจัดเรตติ้งเป็นข่าวดังอันดับ 2 ของประเทศไทย ในปี 49 ความดังที่ว่านี้มีหลายสาเหตุ ทั้งจากเหตุที่ท่านธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย มีทรัพย์สินมากที่สุดถึงหลายหมื่นล้าน กิ่งก้านสาขาก็มากมายทั้งในและต่างประเทศ มีการออกนิตยสาร สื่อสาร เว๊บไซต์ แม้กระทั่งมีดาวเทียมเป็นของตนเอง พระธัมมชโยไม่ต้องอาศัยใครช่วยโฆษณาก็สามารถออกอากาศได้ตามใจปรารถนา ศาสนิกหรือก็ล้นวัด ขนาดว่าที่ดินนับพันๆ ไร่ที่ซื้อไว้นั้น เชื่อไหมว่าจัดงานใหญ่เข้าจริงๆ ปรากฏว่า "ไม่พอจอดรถ" ถ้าไม่มีชนักติดหลังเรื่อง สร้างสัทธรรมปฏิรูปเมื่อปี 2542 แล้วละก็ ธัมมชโยคงลอยไกลไปจนถึงระดับสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกันนั่นทีเดียว แต่โบราณว่า ถ้าบุญญาวาสนาไม่ถึงก็อย่าเขย่งเท้าเดินเลย ปวดเสียเปล่า ประเดี๋ยวเขาก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า ดังนั้น เรื่องนี้ต้องขยาย...

กล่าวกันตามที่เห็นและเป็นไป ปี้ส่างมิได้มีอคติกับท่านธัมมชโยเป็นการเฉพาะ ผลงานการสร้างวัดก็ดี สำนักเรียนก็ดี หนังสือหนังหาก็ดี ที่วัดพระธรรมกายทำออกมานั้น ยอมรับว่าดูดีกว่าผลงานของวัดในประเทศไทยหลายหมื่นวัด อาจจะรวมทั้งวัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุ วัดสระเกศ พวกนี้ด้วย แต่ที่ต้องออกมาตราหน้าอย่างรุนแรง ก็เพราะพฤติกรรมของคณะวัดพระธรรมกาย ต่อกรณี ที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน นครปฐม ท่านได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีที่วัดพระธรรมกายได้ออกเอกสารระบุว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" นั่นแหละ

ในฐานะที่พระธัมมชโยเป็นถึงพระราชาคณะเจ้าอาวาสมีพระมากที่สุดในประเทศไทย ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่า "เป็นนักปราชญ์" ในทางพระศาสนาด้วยผู้หนึ่ง ซึ่งคุณสมบัติดังว่ามานี้ เมื่อมีหนังสือท้วงติงจาก พระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ซึ่งท่านได้เขียนอย่างสุภาพ ยกหลักฐานต่างๆ ทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เป็นต้น มาเทียบเคียงเพื่อให้สาธุชนได้ใช้ตรวจสอบลัทธิธรรมกาย ตอนนั้น เราคาดหวังว่าจะได้เห็น "การชี้แจงอย่างสุภาพเหมาะสมกับภูมินักปราชญ์เจ้าสำนักใหญ่ระดับโลกของ
พระธัมมชโย"
แต่เปล่าเลย ธัมมชโยนอกจากจะมุดหัวอยู่แต่ในกุฏิ ไม่ยอมชี้แจงแถลงไขในเรื่องที่ตัวเองกระทำลงไปแล้ว ยังให้สมุนบริวารออกเอกสารโจมตีพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์อย่างข้างๆ คูๆ ใช้นามแฝงว่า "ชมรมสามเหล่าทัพ" บ้าง ว่า "ดร.เบญจ์ บาระกุล" บ้าง ส่วนตัวเองนั้นก็ใส่แว่นตาดำนั่งรถเข็นไปขึ้นศาล อ้างว่าป่วย ! แสดงความอ่อนแอให้คนเห็นในท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเกี่ยวกับตัวเองและสำนักเรียน ไม่มีความองอาจ ขาดความเป็นนักปราชญ์หรือผู้ดี ไม่มีการกระทำอย่างลูกผู้ชาย นี่แหละคือตัวจริงเสียงจริงของธัมมชโย ซึ่งต้องกับโบราณภาษิตที่ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" แต่สถานการณ์สำหรับธัมมชโยนั้นกลับกลายเป็นสร้าง "โมฆบุรุษ" ไปอย่างที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก

พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.9
วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
บุคคลที่พระธัมมชโยและเหล่ากัลยาณมิตรต้องคิดถึงไปจนวันตาย


หลังจากตะลอนขึ้นศาลสงฆ์และศาลอาญามาตั้งแต่ปี 2542นั้น ธัมมชโยก็ให้เหล่ากัลยาณมิตรวัดพระธรรมกายออกมาส่งเสียง "ขอความเป็นธรรม" เป็นระยะๆ อ้างว่าทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติศาสนามามากมาย ควรจะนิรโทษกรรมท่านธัมมชโยเสีย แต่กระพรวนบนคอแมวนั้น นอกจากจะหาหนูใจกล้านำไปผูกได้ยากแล้ว หนูตัวที่จะนำกระพรวนออกก็ยิ่งหาได้ยากกว่า ดังนั้นคดีดัง "ธรรมกาย" เมื่อเข้าสู่ศาลอาญาแล้ว ตามหลักก็จำเป็นต้องดำเนินการไปจนสิ้นสุดกระบวนการ ซึ่งประมาณว่า คดีนี้จะสิ้นสุดในประมาณปลายปี 2549 แต่จะออกลูกผีหรือลูกคนก็ไม่มีใครทายใจศาลอาญาได้

การที่คดีอาญาของพระธัมมชโยจะเดินไปสุดทางนั้น แปลได้ 2 ความหมาย คือ1.ถ้ารอด ก็เท่ากับว่าธัมมชโยเสมอตัว แต่ที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมานานถึง 7 ปีนั้น ก็นับว่าเป็นเคราะห์กรรมมหันต์ และ 2.ถ้าศาลพิพากษาว่าธัมมชโยผิด ก็หมายถึงว่าต้องติดคุก ซึ่งพระที่ต้องคดีอาญาถึงติดคุกนั้นตามกฎหมายไม่สามารถจะเอาเข้าคุกทั้งผ้าเหลืองได้ ต้องเปลื้องผ้าเหลืองออกเสียก่อน หมายถึงว่า พระธัมมชโยต้องสึกสถานเดียว !
แต่ปัญหามันมิได้มีเพียงเท่านั้น เพราะท่านธัมมชโยนั้นเป็นถึงระดับปรมาจารย์ เป็นผู้ก่อตั้งวัดจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก วัดพระธรรมกายตั้งแต่เกิดจนโตขึ้นมาได้ทุกวันนี้นั้นก็เพราะท่านธัมมชโย การจับพระธัมมชโยสึกจึงเป็นการทำลายวัดพระธรรมกายจนถึงรากถึงโคน เพราะถ้าไม่มีพระธัมมชโย รับรองว่ากัลยาณมิตรคุมกันไม่ติดแน่ แต่ในฐานะที่วัดพระธรรมกายนั้นใหญ่โตรโหฐาน มีสาวกนับแสน การจะจับเจ้าสำนักสึกจึงมิใช่เรื่องง่าย รับรองว่าจลาจลแน่ แต่เหนือนิติศาสตร์ก็ยังมีรัฐศาสตร์ ซึ่งตรงนี้อัยการสูงสุดได้นำมาทำเป็นลูกกุญแจดอกที่สอง สำรองไว้ไขความสำหรับการไว้ชีวิตพระธัมมชโยและคณะวัดพระธรรมกายในครั้งนี้

ความเก่งกาจระดับซูเปอร์เซียนของทีมกฎหมายวัดพระธรรมกายนั้น ต้องขอยกนิ้วให้ว่า "ยอดเยี่ยมระดับโลก" ขอโฆษณาไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ถ้าใครไหนต้องคดีอะไร ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ก็ขอให้ไปติดต่อท่านธัมมชโยเพื่อขอให้ทีมทนายมาช่วยว่าความให้ เพราะไม่น่าเชื่อว่า เรื่องใหญ่ระดับประเทศนั้น ทนายความทีมนี้สามารถปลดชนวนระเบิดปรมาณูลูกใหญ่ ขนาดสามารถทำลายอาณาจักรธรรมกายหลายหมื่นล้าน ให้หมดฤทธิ์ลงได้อย่างง่าย โดยใช้กุญแจดอกที่ชื่อว่า "สมานฉันท์" ผ่านมือนักปลดชนวนคดีทางการเมืองชื่อก้องโลก "ทักษิณ ชินวัตร" ทีมกฎหมายวัดพระธรรมกาย ใช้ตรรกวิทยาที่ว่า ในเมื่อไม่มีหนูตัวไหนเป็นใจอยากไปปลดกระพรวนบนคอแมวออก ก็เห็นจำเป็นต้องใช้หนูตัวเดิมที่เอากระพรวนผูกคอแมวไว้นั่นแหละ ซึ่งในการฟ้องร้องต่อศาลอาญานั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด อัยการสูงสุดจึงถูกกำหนดให้เป็นหนูตัวที่ต้องไปดึงเอากระพรวนบนคอแมวคือศาลอาญาออกมา เพราะผู้ผูกย่อมรู้ทางแก้ และสมการนี้แหละที่ทำให้วงการนักกฎหมายไทยต้องตะลึงเป็นคำรบสอง รองมาจากคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผ่านมาด้วยวาทะว่า "บกพร่องโดยสุจริต" นั่นเอง

ลำดับเหตุการณ์ระทึกใจในการ "ปลดชะนวนระเบิดวัดพระธรรมกาย" นั้นมีดังนี้

1.
วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานีมีการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไปเป็นองค์ปาฐก
2.
วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญารัชดา โดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งอนุญาตให้ "ถอนฟ้อง" คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และลูกน้องคนสนิท ตกเป็นจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ เงินบริจาควัดมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท

โดยศาลอ้างเหตุผลว่า
1.
เพราะว่าจำเลยได้คืนทรัพย์สนที่ฉ้อโกงมาจากวัดพระธรรมกาย จำนวน 1,000 ล้านบาท คืนให้แก่วัดหมดแล้ว2. ถ้าหากดำเนินคดีนี้ให้สิ้นสุด อาจจะเกิดความแตกแยกระหว่างพุทธศาสนิกชน ที่สังคมตั้งคำถามก็คือว่า การที่อัยการออกหน้าดึงเรื่องกลับมาจากศาลในครั้งนี้ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ส่งสัญญาณให้แล้ว ลำพังอัยการจะกล้าหาญกระทำการเองหรือ หรือ ถ้าคิดจะทำ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้คดีค้างคาศาลมานานถึง 7 ปีได้อย่างไร และทำไม พอทักษิณกลับจากวัดพระธรรมกายได้ เพียง 35 วัน ศาลก็ออกนั่งบัลลังก์สั่งถอนคดีตามคำขอของอัยการ?????

ปิดท้ายรายการด้วย นายถวิล สมัครรัฐกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ออกมาประกาศว่า "เมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดีอาญาแล้ว คดีทางสงฆ์ก็ถือว่าสิ้นสุดไปด้วย" แปลว่า สำเร็จ พระธัมมชโยพ้นบ่วงกรรมแล้ว บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย โดยไม่ต้องผ่านศาลไหนให้ตัดสินทั้งสิ้น ใช้ระบบ "ลอบบี้" หรือวิ่งเต้นมันจนวินาทีสุดท้ายนี่แหละ ตำราจีบของแม๊กอินทอชเขาว่า "ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก" และมันก็เป็นทฤษฎีที่ยังเวิร์คอยู่ ใครไม่เชื่อก็ดูเอาเองเถิด

เรื่องนี้ในแวดวงพุทธศาสนิกชนคนไทยที่สนใจเรื่องหวยเรื่องเบอร์มากกว่าเรื่องพระธรรมวินัย ก็คงไม่มีใครคิดว่า "มันสลักสำคัญอะไร" เรื่องหลวงพี่น้ำฝนศิษย์หลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดนห้ามให้หวยนั้นยังใหญ่กว่าเสียอีก เรื่องสำคัญระดับ "นักปราชญ์ทะเลาะกัน" นี้ จึงมีเพียงนักปราชญ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจให้ความสำคัญ เชื่อไหมว่าถ้าปี้ส่างไม่นำเรื่องนี้มาฉายซ้ำ หลายคนดูเหมือนจะลืมเลือนไปแล้ว ที่ต้องบันทึกร่วมไว้ในหน้าเดียวกันก็คือว่า ผลงานการหลุดคดีนี้ของพระธัมมชโยนั้น นักปราชญ์ทางศาสนาเขาจัดให้เป็นผลงาน "โบว์ดำ" ชิ้นสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณก่อนจะสิ้นอำนาจด้วย




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ