ประวัติศาสตร์ พฤติกรรมล้มล้างพระธรรมวินัย ของมหาเถรและนักการเมือง ? "สมรู้ร่วมคิดกับบักเณรคำ" ช่วยแชร์เพื่อปกป้องพระศาสนาครับ

ข้อมูลพฤติกรรมการล้มล้างพระธรรมวินัย ที่เกิดขึ้นในสถาบันพระศาสนาของชาติไทย

  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้ง "มหาเถรสมาคม" ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นรัฐบาลคณะสงฆ์ปกครองและบริหารกิจการพระศาสนา ต่างพระเนตรพระกรรณ แต่ทุกวันนี้แทบไม่เห็นมีบทบาทอะไรเป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วแก่ชาวไทยและชาวโลก
มหาเถรสมาคม หรือ มส. หากจะเปรียบเทียบกับการปกครองทางโลกก็คือ คณะรัฐมนตรีของคณะสงฆ์นั่นเอง
เพราะมหาเถรสมาคม นับเป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ ที่มีอำนาจ หน้าที่ ในการปกครองคณะสงฆ์ทั้งประเทศให้อยู่ในพระธรรมวินัย ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยอำนาจ หน้าที่ที่สำคัญของมหาเถรสมาคม คือ
  1. ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
  2. ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร
  3. ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์
  4. รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา ? แต่ไม่ทำหน้าที่ ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะสึกออกไปให้หมด เพื่อปกป้องรักษาสถาบันพระศาสนาของชาติไว้


1.ในหลายปีมานี้ มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา
       
       แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้านๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
       
       เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศ ให้ได้รู้ทั่วกันว่า การกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้ กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
1. วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี มีการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหนาพรรคไทยรักไทย ไปเป็นองค์ปาฐก
2. วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญารัชดา โดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งอนุญาตให้ "ถอนฟ้องคดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และลูกน้องคนสนิท ตกเป็นจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ เงินบริจาควัดมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
โดยศาลอ้างเหตุผลว่า
1. เพราะว่าจำเลยได้คืนทรัพย์สนที่ฉ้อโกงมาจากวัดพระธรรมกาย จำนวน 1,000 ล้านบาท คืนให้แก่วัดหมดแล้ว
2. ถ้าหากดำเนินคดีนี้ให้สิ้นสุด อาจจะเกิดความแตกแยกระหว่างพุทธศาสนิกชน
       ที่สังคมตั้งคำถามก็คือว่า การที่อัยการออกหน้าดึงเรื่องกลับมาจากศาลในครั้งนี้ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" ส่งสัญญาณให้แล้ว ลำพังอัยการจะกล้าหาญกระทำการเองหรือ หรือถ้าคิดจะทำ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้คดีค้างคาศาลมานานถึง 7 ปีได้อย่างไร และทำไม พอทักษิณกลับจากวัดพระธรรมกายได้เพียง 35 วัน ศาลก็ออกนั่งบัลลังก์สั่งถอนคดีตามคำขอของอัยการ 

และแล้ววันสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มาถึง แต่จะถึงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็ไม่มีใครรู้ วันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในหลายประเทศ จุดหมายสุดท้ายก่อนจะกลับไทยก็คือ มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ทว่า ในเวลา 18.00 น. วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549  คณะนายทหารอันมีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้า ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ประกาศยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณผ่านทีวีทุกช่อง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเคว้งคว้างเดินทางไปพักที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะบินไปๆ มาๆ ระหว่างอังกฤษ-จีน-สิงคโปร จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมิมีทีท่าว่าจะได้กลับประเทศไทย (กรรมที่ทำกับ สถาบัน) ที่มาข้อมูลที่ทั่วโลกทราบ http://www.alittlebuddha.com/html/Special%20Event/Special%20news2549.html

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา

ข้อมูลที่ขอให้ชาวพุทธทั่วประเทศได้ศึกษาความจริง ของทั่งสองท่านนี้ ถ้าชาวไทยไม่กล้าออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และปกป้องสถาบัน พระศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการทำล้ายสถาบันใดสถาบันหนึ่ง ก็ทำให้สิ้นชาติไทยได้ 
ศึกษาข้อมูล วิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงสถาบันพระศาสนา ในประวัติศาสตร์ ได้ที่https://docs.google.com/file/d/0B_nOh0gPsWNSUkVWRG9aQ3pkbmc/edit
ช่วยแบ่งปันได้เพื่อสร้างบุญบารมี ถวายสมเด็จพระสังฆราช ครับ

ภาพแห่งความสกปรกโสมมของคณะสงฆ์ธรรมยุตสายอีสาน


ภาพพระธรรมฐิติญาณ รับบรรณาการรถป้ายแดง และร่วมงานบักเณรคำต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า "พระธรรมฐิติญาณมีส่วนได้ส่วนเสียในคดีเณรคำ" แต่สมเด็จพระวันรัตก็ยังตั้งให้เป็นประธานกรรมการสอบสวน จึงสะบัดสวน "แถ" ออกมาอย่างหน้าด้านๆ ผ่านสื่อ หุหุ ไม่น่าเชื่อนะ ว่ากินข้าวมาจนหัวหงอกหัวขาว ไม่รู้เลยหรือว่าอะไรคือธรรม อะไรคือวินัย รู้แต่ว่า "รถใหม่ราคาเท่าใด-ใครให้กู" เท่านั้นเองหรือ โอ้หนอ คณะธรรมยุติกนิกายของในหลวง ร.4 ที่ทรงอุตส่าห์สร้างขึ้นมา เพื่ออภิวัฒน์พระพุทธศาสนา วันนี้กลับกลายเป็นตัวทำลายพระพุทธศาสนาเองซะแล้ว เพราะแค่เอาพระธรรมฐิติญาณซึ่งรับส่วยจากบักเณรคำมาเป็นประธานสอบ มันก็ผิดหลักการทางกฎหมายแล้ว อย่านับถึงพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเลย ความจริงแล้ว พระธรรมฐิติญาณต้องถูกดำเนินคดีในฐานะ "สมรู้ร่วมคิดกับบักเณรคำ" ทำการฉ้อโกงประชาชน ด้วยซ้ำ วันนี้ คดีที่มีพระธรรมฐิติญาณเป็นประธานสอบนั้น ถือว่าเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น เพราะเอาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีมาเป็นประธานสอบ มันก็โกงตั้งแต่ก่อนสอบสิฮะ
โปลิศจับขโมย !

กรรมาธิการศาสนาสุดงง โครงการหมื่นล้านบักเณรคำ ไม่มีกรรมการโครงการ มีแต่โอนเงินเข้าบัญชีอรหันต์อืม..น่านนะซีนะ คนไทยเราก็ศรัทธางมงายแบบนี้แหละ เพียงแค่อ้างว่า "ข้าเป็นอรหันต์" เท่านั้น จะทำอะไรก็ได้ มิน่าถึงมีคนชอบแอบอ้างกันนัก แต่อย่างไรก็ตาม ต่อนี้ไปก็ต้องเป็นภาระของเจ้าหน้าที่ ปปง. ในการสืบสวนสอบสวนหาที่ไปที่มาของบรรดาทรัพย์สินที่ "แก๊งบักเณรคำ" ทำการต้มตุ๋นคนไทยมายาวนาน และเมื่อนั้นเราอาจจะได้เห็นอรหันต์ติดคุกนานถึง 10,000 ปี



Catch me if you can !



"หลวงปู่เณรคำ" หนียาว ลูกศิษย์แถลงอ้างติดภารกิจนิมนต์ต่างประเทศจึงยังไม่กลับไทย เล่นมุขอาจมีอภินิหารขึ้นฮ.มาลงที่วัด ขณะที่"ยายลอน"ประกาศขอโฉนดที่ดินคืนภายใน 15 วันไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

วันที่ 26 มิ.ย.56 กรณีพระวีระพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ถูกสังคมออนไลน์ระบุว่าเป็นพระสงฆ์องค์เดียวกันกับที่อยู่ในคลิปฉาวขณะกำลังนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวและมีเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวใช้บินไปรับกิจนิมนต์ในที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศและใช้ของหรูหราฟุ่มเฟือยราคาแพง ติดหรูจนเกินกว่าวัตรปฏิบัติของสงฆ์ผู้ละจากกิเลสและหลังจากนั้นก็มีการแฉเกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัวของเณรคำออกมาเรื่อย ๆ รวมทั้งการไม่ไปยื่นจดทะเบียนขอตั้งวัดให้ถูกต้องตามกฎหมายสงฆ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งการรับบริจาคที่ดินเพื่อตั้งวัดก็ไม่ได้ทำตามความต้องการญาติโยมที่บริจาคที่ดินให้จัดตั้งวัด กลายเป็นที่จับตาและวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมไทยในขณะนี้



ข่าว : สยามรัฐ
27 มิถุนายน 2556




สายตรง !

พุทธอิสระต่อสาย "แม่บุญธรรม" เณรคำ

ออกปากชัดถ้อยชัดคำ เรียกอรหันต์เณรคำ "มัน"
แปลว่า สิ้นเยื่อขาดใย





"หลวงปู่พุทธะอิสระ" ออกโรงแฉพระดัง เปิดสปีกเกอร์ปลายสายอ้างเป็นแม่บุญธรรม เผยขั้นตอนเลือกซื้อ ฮ. ราคา 80 ล้าน เครื่องบินส่วนตัว แถมเตือนทิ้งท้ายระวังถูกแฉกลับ...

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มิ.ย. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เปิดให้สื่อมวลชลสัมภาษณ์ถึงกรณีที่แสดงธรรมประจำวันอาทิตย์ ณ ห้องปิ่นเกล้า ปิ่นเกล้าสโมสร กรมแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดยคลิปดังกล่าว หลวงปู่พุทธะอิสระได้กล่าวพาดพิงถึง หลวงพ่อเกษม จิณฺณสีโล แห่งสำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ว่าเป็นพระที่ไม่รู้ซึ้งในศาสนา พร้อมทั้งท้าดวลไมค์เทศน์คนละตัว

ทั้งนี้ เมื่อพบหลวงปู่พุทธะอิสระกำลังสนทนาทางโทรศัพท์กับสีกา โดยให้ลูกศิษย์คนสนิทเป็นผู้ถือโทรศัพท์ โดยเปิดลาวด์สปีกเกอร์ มีการสนทนาพาดพิงหลวงปู่ชื่อดังที่มีข่าวฉาวดังนี้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรโยมก็ออกมายืนยัน ปล่อยให้ปล้นศาสนาอยู่ได้อย่างไร ที่จริงทำให้ศาสนาเสียหายมาไม่ใช่ปีนี้ปีเดียว เพราะโกหกตั้งแต่เริ่มต้นว่าเป็นชาติสุดท้าย ทุกอย่างก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ ไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยกัน ซื้อกระเป๋าหลุยส์ ออกตังค์ให้เขาด้วยหรือเปล่า เสียงจากหญิงปลายสายตอบว่า "ลูกสาวออกตังค์ แม่ไม่ได้ออก"

หลวงปู่ กล่าวว่า เป็นคนบอกว่าจะซื้อให้มันหรือว่ายังไง เสียงจากหญิงปลายสายตอบว่า "มันจะเอา" หลวงปู่ กล่าวว่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้ จะว่าตนจะไม่มีส่วนรับผิดชอบได้อย่างไร ตอนนี้มันปล้นสะดมไปทั่ว ที่จริงมันหมดความเป็นพระไปตั้งแต่มันพูดว่า มันเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายด้วยซ้ำ ระยะเวลาที่ผ่านมา ที่มันเอาเงินชาวบ้านมา เสียงจากหญิงปลายสายตอบว่า "อย่าเลยหลวงปู่ เดี๋ยวเค้าตอกกลับมา"

หลวงปู่ กล่าวต่อว่า ไม่กลัว ถ้าพระศาสนาต้องเสียหาย ยอมตาย แล้วโยมจะปล่อยให้มันทำลายศาสนาอยู่ได้อย่างไรโยมแม่ ขนาดเคยจะยอมเขียนพินัยกรรมให้ด้วย เสียงจากหญิงปลายสายตอบว่า "ที่สำคัญคือเงินในบัญชี ต้องมาตรวจสอบว่ามีที่มาจากไหน ไม่ใช่ว่าจะมาพูดปาวๆ"

หลวงปู่ กล่าวต่อว่า ที่ไม่ให้มีการสร้างวัด เพราะว่ากลัวจะมีการตรวจสอบเครื่องบินที่บอกว่าเช่ามาก็ไปเซ็นเช็คที่บ้านมาไม่ใช่เหรอ ไหนวันนั้นบอกว่าจะมาเซ็นเช็คให้ที่บ้าน เสียงจากหญิงปลายสายระบุว่า "ไม่ใช่วันนั้น เค้าเอาตัวอย่างเฮลิคอปเตอร์มาให้ดูหลายรุ่น รุ่นละ 80 ล้าน เค้าบอกว่าก็ลองไปคิดดูก่อน แต่เรื่องที่ซื้อเครื่องบิน เขาไปซื้อกันที่มาเลย์ มีคนบอกว่าลำเล็ก 17 ล้าน เดี๋ยวหลวงปู่นะฟังดิฉันก่อนนะ ถ้าหลวงปู่ไปขุดคุ้ยเขา หลวงปู่จะถูกย้อนศรนะ ที่หลวงปู่ทำยาสมุนไพร"

หลวงปู่ กล่าวว่า จะเดือดร้อนอะไร ในเมื่อทำยารักษาคน เมื่อสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระภิกษุรักษาโรคได้อยู่แล้ว เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงฉันเลย ฉันไม่มีบัญชีประจำตัวอยู่แล้ว เป็นประธานมูลนิธิ ไม่รู้เหรอว่าฉันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ปัญหาคือว่า เวลานี้ลูกชายจะทำอย่างไร อย่าปล่อยให้กัดกินพระพุทธศาสนา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นี่คือบางช่วงบางตอนในการสนทนา โดยหญิงคนดังกล่าวได้อ้างว่าเป็นแม่บุญธรรมของหลวงปู่ชื่อดังที่มีข่าวฉาว.


ข่าว : ไทยรัฐ
27 มิถุนายน 2556



อย่างแรง !

สมุนบักเณรคำแถสุดๆ

เป็นเพื่อนกับพระอินทร์ = มีเพื่อนชื่ออิน

หุหุ บักด็อกเตอร์ตัวนี้มันน่าจะไปเล่นตลกแข่งหม่ำจ๊กมกนะ รับรองว่ามหาสมปองอาย




นายสุขุม วงศ์ประสิทธิ์
อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม. หมายเลข 19

ก็ไม่รู้ว่าทำมาหากินอะไร เอาเงินที่ไหนมาเล่นการเมือง ? โชคดีที่คนกรุงเทพฯ ไม่มีใครเชื่อน้ำยาสมุนอริยะหมอนี่





กดที่ภาพเพื่อชม "นายอิน" เพื่อนของบักเณรคำ



ดร.สุขุม วงประสิทธิ์ ผู้แทนหลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า ตามที่ได้มีข่าวหลวงปู่เณรคำไปอย่างกว้างขวาง ตนขอชี้แจงเป็นรายกรณี คือ หลวงปู่เณรคำอุปสมบทถูกต้องสมบูรณ์ ส่วนชื่อหลวงปู่เณรคำ เป็นคำเรียกของชาวบ้าน ที่เรียกสามเณรที่ดีที่จะเรียกว่า เณรคำ ซึ่งก่อนเกิดเหตุได้มีตัวแทนเข้าชี้แจงต่อสำนักพระพุทธศาสนา ที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงบางประการ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ จึงไม่ได้ชี้แจงข้อสงสัย ส่วนเรื่องเครื่องบินนั้นเป็นเครื่องบินเช่าลำ ในขณะที่กระเป๋าแบรนด์เนมก็ไม่ใช่ของสะสม จึงไม่ผิดเรื่องความประพฤติของสงฆ์ ทั้งนี้เรื่องแว่นตาดำ เป็นเพราะหลวงปู่เณรคำได้อ๊อกเหล็ก จึงรับแสงจ้าไม่ได้ ส่วนเรื่องที่บอกว่าเป็นเพื่อนกับพระอินทร์นั้น เรื่องจริงคือ ท่านเป็นเพื่อนกับพระชื่ออินทร์ อย่างไรก็ตาม ขอวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องให้มาช่วยกันดูแลศาสนา ตนเชื่อว่า วันนี้ที่เกิดขึ้นบางภาพบางเรื่องเกิดมา 5 ปีแล้ว มีการสอบสวนไปแล้วว่าไม่ใช่ภาพจริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองว่ามีเรื่องผลประโยชน์ขัดแย้งทางบารมีหรือไม่ จึงมีการนำภาพเมื่อ 5 ปีก่อนมาเสนออีก ทั้งนี้ หลวงปู่เณรคำจะเดินทางกลับมาหรือไม่อยู่ที่ปฎิหาริย์ ถ้าลูกศิษย์สามัคคีกันปฎิหาริย์จะเกิด อย่างไรก็ตามหลวงปู่เณรคำเป็นพระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ



ข่าว : คมชัดลึก
27 มิถุนายน 2556





"อวดอุตริบ่อยๆ"


รองเจ้าคณะจังหวัดโคราชระบุพฤติกรรมบักเณรคำ

ประกาศรวมตัว 32 อำเภอ ตรวจสอบพฤติกรรมเณรคำ

ต่อไปนี้จะมาทำอัปรีย์ในพื้นที่โคราชไม่ได้อีกต่อไปแล้ว




แซมเปิ้ลพฤติกรรมอุตริของบักเณรคำ
(กดที่ภาพเพื่อชม)



พระราชวิมลโมลี รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า เนื่องจากวัดในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มีมากกว่า 2,500 วัด และยังมีสำนักสงฆ์ รวมทั้งสำนักปฏิบัติธรรมอีกจำนวนมากกว่า 700 แห่ง จึงเป็นเรื่องยากที่คณะสงฆ์จะดูแลวัดต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างทั่วถึง และกำลังมีปัญหาเรื่องการปกครองวัดสาขาสำนักสงฆ์ และสำนักปฏิบัติธรรม เนื่องจากไม่ยอมขึ้นตรงต่อการปกครองของคณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมา เมื่อมีการประชุม ชี้แจงกฎระเบียบต่างๆ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมของคณะสงฆ์จังหวัดก็จะไม่เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้หากมีการประพฤติปฏิบัติตนผิดวินัย ก็ไม่สามารถเรียกมาว่ากล่าวตักเตือนได้ โดยอ้างว่าเป็นวัดสาขาของวัดนั้นๆ ต้องเป็นผู้มีอำนาจของวัดต้นสังกัดเท่านั้นที่จะสั่งการได้ ทำให้การปกครองคณะสงฆ์มีปัญหามาก ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของวงการปกครองคณะสงฆ์ ที่มหาเถระสมาคมต้องหาทางแก้ปัญหา เพราะในระเบียบของการตั้งวัด ไม่เคยมีเรื่องของการตั้งสาขาระบุไว้

ส่วนกรณีของหลวงปู่เณรคำนั้น ก็เคยเดินทางมาแสดงธรรมที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นประจำทุกปี ในช่วงเทศกาลวิสาขบูชา ซึ่งเป็นเทศกาลงานบุญที่จัดใหญ่ที่สุดของจังหวัดนครราชสีมา โดยครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ได้เดินทางมาด้วยรถยนต์โรลส์รอยซ์คันหรู และมีรถนำขบวนกว่า 20 คัน ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมของสมณะเพศ รวมทั้งเรื่องของการแสดงธรรมแต่ละครั้ง ก็มีการพูดอวดอุตริมนุษยธรรมอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต่อไปนี้ทางคณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมา จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุด เพื่อทำการตรวจสอบพฤติกรรมของพระสงฆ์เหล่านี้ พร้อมทั้งเตรียมสั่งการให้เจ้าคณะอำเภอทั้ง 32 อำเภอ ทำการตรวจสอบสาขาของวัดต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน นำเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถระสมาคม และจะตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้กับมหาเถระสมาคม ว่าจะแก้ไขปัญหาการตั้งสาขาของวัดเหล่านี้อย่างไร เพื่อไม่ให้การปกครองคณะสงฆ์มีปัญหาเหมือนปัจจุบัน



ข่าว : คมชัดลึก
27 มิถุนายน 2556




เผยโฉม !

"นายวิรพล สุขผล"


แต่..อ๊ะๆ พระอรหันต์มีบัตรประชาชนด้วยนะ
ทำไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 สามปีมาแล้วจ๊ะ
หัวหมอนะไอ้หมอนี่ เตรียมหนีตั้งแต่ 3 ปีมาแล้ว




บัตรประจำตัวประชาชนของพระอรหันต์ ไหนๆ ก็ไม่ได้มาเกิดอีกแล้ว เป็นมันซะเลย ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งนาย






เปิดหนังสือและสังกัดบักเณรคำ


"วัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ"
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

ไม่ใช่วัดป่าขันติธรรม ศรีสะเกษ นะจ๊ะโยม





วันนี้ (26 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้ทำการตรวจสอบหนังสือสุทธิ ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญ อันแสดงความบริสุทธิ์แห่งสมณเพศ ของพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา แสดงสังกัดคณะและสังกัดวัด ของพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ พบหนังสือสุทธิเลขที่ 17/2547 ลงวันที่ 12 เม.ย.2549 ลงนามโดยพระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี (ธ) ระบุรายละเอียดว่า หลวงปู่เณรคำสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.2549 จนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังพบว่า หลวงปู่เณรคำ ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชน ที่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ ที่ว่าการอำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ในชื่อ นายวิรพล สุขผล ระบุที่อยู่บ้านเลขที่ 158 หมู่ 10 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2553

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า อาจไม่เป็นไปตามระเบียบราชการ เพราะหนังสือกรมการปกครอง ที่ มท 0309.2/ว 7552 ลงวันที่ 26 มิ.ย.2550 เรื่อง แนวทางปฏิบัติกรณีพระภิกษุสามเณร ขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ระบุชัดว่า หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วปรากฏว่า สำเนาทะเบียนบ้านที่พระภิกษุสามเณรนำมาแสดง เป็นสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน ให้แนะนำพระภิกษุสามเณร ให้แจ้งย้ายที่อยู่จากทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน เข้าทะเบียนบ้านฉบับของวัด แล้วขอให้แก้ไขคำนำหน้านาม หรือสมณศักดิ์ โดยวงเล็บชื่อตัว ชื่อสกุล ต่อท้ายสมณศักดิ์ ให้ถูกต้องตรงกันกับที่ระบุ ในหนังสือสุทธิของพระภิกษุสามเณร แล้วจึงจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนให้


ข่าว : เดลินิวส์
27 มิถุนายน 2556



เล่นลิ้น !

พระธรรมฐิติญาณสะบัดสำนวนอริยะ

"ถ้า..ถือว่า ถ้าไม่..ไม่ถือว่า"


แหมสำนวนเทศน์แบบนี้น่าจะได้รถใหม่ป้ายแดงเป็นรางวัลอีกซักคันนะ บอกเลยครับท่าน บักเณรคำยินดีถวายอยู่แล้ว ถ้ารอดคดีคราวนี้ จะเอาเครื่องบินเจ๊ตก็ยังได้เลย เณรคำเปไม่อั้น !





พระธรรมฐิติญาณ (ศรีจันทร์)
 เจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย จ.ร้อยเอ็ด เจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุต





ภาพแห่งความสกปรกโสมมของคณะสงฆ์ธรรมยุตสายอีสาน


ภาพพระธรรมฐิติญาณ รับบรรณาการรถป้ายแดง และร่วมงานบักเณรคำต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า "พระธรรมฐิติญาณมีส่วนได้ส่วนเสียในคดีเณรคำ" แต่สมเด็จพระวันรัตก็ยังตั้งให้เป็นประธานกรรมการสอบสวน จึงสะบัดสวน "แถ" ออกมาอย่างหน้าด้านๆ ผ่านสื่อ หุหุ ไม่น่าเชื่อนะ ว่ากินข้าวมาจนหัวหงอกหัวขาว ไม่รู้เลยหรือว่าอะไรคือธรรม อะไรคือวินัย รู้แต่ว่า "รถใหม่ราคาเท่าใด-ใครให้กู" เท่านั้นเองหรือ โอ้หนอ คณะธรรมยุติกนิกายของในหลวง ร.4 ที่ทรงอุตส่าห์สร้างขึ้นมา เพื่ออภิวัฒน์พระพุทธศาสนา วันนี้กลับกลายเป็นตัวทำลายพระพุทธศาสนาเองซะแล้ว เพราะแค่เอาพระธรรมฐิติญาณซึ่งรับส่วยจากบักเณรคำมาเป็นประธานสอบ มันก็ผิดหลักการทางกฎหมายแล้ว อย่านับถึงพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเลย ความจริงแล้ว พระธรรมฐิติญาณต้องถูกดำเนินคดีในฐานะ "สมรู้ร่วมคิดกับบักเณรคำ" ทำการฉ้อโกงประชาชน ด้วยซ้ำ วันนี้ คดีที่มีพระธรรมฐิติญาณเป็นประธานสอบนั้น ถือว่าเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น เพราะเอาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีมาเป็นประธานสอบ มันก็โกงตั้งแต่ก่อนสอบสิฮะ เชื่อหรือว่างาช้างจะงอกออกจากปากสุนัข ?






ความคืบหน้าการเผยแพร่คลิปหลวงปู่เณรคำมีการเทศน์ว่า เห็นสวรรค์คุยกับพระอินทร์ว่าเข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมเข้าขั้นอาบัติปาราชิกหรือไม่ วันนี้(วันที่ 26 มิ.ย.) พระธรรมฐิติญาณ (ศรีจันทร์) เจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย จ.ร้อยเอ็ด ในฐานะเจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุต ที่กำกับดูแลหลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า กรณีคลิปหลวงปู่เณรคำ หรือพระวิรพล สุขผล เทศน์แล้วบอกว่าเห็นสวรรค์ คุยกับพระอินทร์ว่า เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่นั้น หากเห็นจริงก็ถือว่าไม่อวดอุตริฯ หากเห็นไม่จริงก็ถือว่า อวดอุตริฯ เหมือนกรณีหลวงตาบัว ท่านเห็นจริงรู้จริง นั้นถือว่า ไม่ได้อวดอุตริฯ ถ้าไม่รู้จริงแล้วพูดออกมาถือว่า อวดอุตริฯ ส่วนการตรวจสอบว่า เห็นจริงหรือไม่จริง ก็ต้องไปดูแนวทางปฏิบัติของหลวงปู่เณรคำประกอบว่าเป็นไปอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการอวดอุตริมนุสธรรมมีโทษถึงขั้นไหน พระธรรมฐิติญาณ กล่าวว่า การอวดอุตริมนุสธรรม มีโทษถึงขั้นอาบัติหนัก คือ อาบัติปาราชิก ส่วนเรื่องเทศน์ทางคลิป หรือมีภาพรังสีแผ่ว่ามีบารมีสูงสุดของหลวงปู่เณรคำออกมานั้น หากทำได้จริงถือว่าไม่ผิด หากทำไม่ได้แต่ไปสร้างเรื่องว่าทำได้ถือว่าผิด ซึ่งการตรวจสอบก็ต้องดูแนวทางปฏิบัติของท่านว่า เป็นไปตามหลักของพระพุทธศาสนาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพูดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ต่อประชาชนผิดหรือไม่ พระธรรมฐิติญาณ กล่าวว่า ถ้าท่านเป็นไม่ผิด หากไม่เป็นผิด แต่ในพระธรรมวินัยได้กำหนดไว้ว่า พระอรหันต์พูดกับพระภิกษุด้วยกันได้ แต่ห้ามพูดกับอนุปสัมบัน คือ คนที่ไม่เป็นพระ ถือว่าผิดพระธรรมวินัย ส่วนเรื่องการตั้งสำนักสงฆ์ของวัดป่าขันติธรรม จะใช้คำว่าสำนักสงฆ์ไม่ได้ ต้องใช้คำว่า ที่พักสงฆ์ หากยังไม่มีการขออนุญาตจัดตั้งให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่วัดป่าขันติธรรมเขียนไว้ว่า สำนักสงฆ์ อาจจะใช้ตามภาษานิยม ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะต้องอยู่ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบอีกครั้ง


ข่าว : เดลินิวส์
27 มิถุนายน 2556


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ