ตรวจสอบทรัพย์สินพระ จารึกประวัติศาสตร์ไทยให้โลกรู้
"ตรวจสอบทรัพย์สินพระ"
บทบรรณาธิการข่าวสด
ถ้าเจอล่ะ จะทำอย่างไร จับสึกหรือไร หรือว่ายึดทรัพย์เข้าหลวง
ลองที่วัดบวรนิเวศวิหารกับวัดสระเกศก่อนก็ได้ ท่านอาจจะยากจน จนต้องเอามาเป็นตัวอย่างของพระเณรทั้งประเทศเลยทีเดียว ดีไหมครับท่านเจ้าคุณเสนาะ ?
แต่อุ๊ย ! เขียนแบบนี้ก็สะเทือนทั้งประเทศไทยยิ่งกว่า "ป่าช้าแตก" เลยซีฮะ เพราะเขาเล่าลือกันว่า พระระดับรองสมเด็จฯ กรรมการมหาเถรสมาคม หลายรูปนั้น รวยเงินถุงเงินถัง ระดับ 10 ล้านนั้นจิ๊บๆ เพราะออกงานทีรับครั้งละ50,000 อัพ คิดเหนาะๆ เดือนละเท่าไหร่ ไม่นับเงินเดือนอีกมหาศาล ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ได้เสีย เพราะใช้เงินวัดจ่าย บางรายซื้อไร่นาสาโทไว้เป็นร้อยเป็นพันไร่ บางรายมีรถเก๋งยี่ห้อหรูอยู่เป็นสิบๆ คัน ญาติโกโหติกาหรือก็ล่ำซำไม่ต่ำกว่าเณรคำเท่าใดนัก มิน่า เวลามีปัญหาขึ้นมา กรรมการมหาเถรทั้งหลายก็กระมิดกระเมี้ยนเป็นนางอาย กลัวถูกตรวจสอบนั่นเองแหละโยม
ปล. สิบตรวจเยี่ยว ก็สู้หนึ่งตรวจบัญชีไม่ได้ ต่อไปอาจจะมีรายการจัดอันดับพระไทยรวยที่สุด มีรถแพงที่สุด มีไร่นามากที่สุด มีรายได้มากที่สุด ฯลฯ พระวัดไหนไม่เคยออกบิณฑบาตเลยตลอดชีวิต ฯ
ตรวจสอบชาวพุทธ
บทบรรณาธิการ : ข่าวสด
|
ข่าวอื้อฉาวในวงการพุทธศาสนาที่ยืดยาวต่อเนื่องมากว่าสัปดาห์ กรณีการแสดงออก ที่ไม่เหมาะแก่สมณสารูปของผู้นุ่งห่มเหลืองบางราย ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์และข้อถกเถียงหลายประการขึ้นในสังคมไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว แทนที่จะหมกซุกเอาไว้ใต้พรม อันจะยิ่งทำให้ปัญหาหมักหมมและเน่าเหม็นจนยากแก่การแก้ไขยิ่งขึ้นในอนาคต สังคมไทยกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเรื่อง ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา และมีการเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาหรือชำระสะสางพระศาสนาไม่ให้ราคีคาวความมัวหมองเข้ามาแปดเปื้อนได้อย่างหลากหลาย นี่ย่อมเป็นการผดุงศาสนาในทางที่ถูก ที่ควร นอกจากการวิจารณ์ถึงการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ยังเปิดประเด็นการวิพากษ์ไปถึงญาติโยมทั้งหลายผู้อยู่รอบข้างพระภิกษุว่าจะต้องกลับมาตรวจสอบตนเองอย่างตรงไปตรงมาด้วยว่ามีส่วน ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นด้วยมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะการบริจาคทรัพย์สินที่เกินแก่ความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญกิจของสงฆ์ให้กับพระภิกษุ หากไม่มีการให้และไม่มีการรับในสิ่งที่ไม่เหมาะสมแต่ต้น ปัญหาหรือความอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันย่อมไม่เกิดขึ้น ก็เป็นอีกประเด็นที่ควรรับฟังและพิจารณา นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้เสนอด้วยว่า หากจะตรวจสอบการแสดงออกที่ไม่เหมาะแก่สมณสารูปแล้ว ไม่ควรจำกัดอยู่แต่เฉพาะบางกลุ่มหรือบางราย หากจะต้องใช้หลักการเดียวกันนี้ในการตรวจสอบวงการพระพุทธศาสนาอย่างถ้วนทั่ว โดยเฉพาะกับกลุ่มคณะที่มากด้วยอิทธิพลทั้งทางทรัพย์สิน และมีเครือข่ายโยงใยทางการเมือง เพราะการที่พระพุทธเจ้าบัญญัตินามผู้บวชในพุทธศาสนาว่า "ภิกษุ" ที่แปลว่า "ผู้ขอ" ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงหลักการของผู้สละ ผู้ลด ละ เลิกการสะสมทรัพย์สิน เพื่อให้โปร่งเบาสบาย และเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม บางกลุ่มบางคนที่บวชแล้วกลับเน้นการสะสม ยังจะนับเป็นภิกษุได้หรือไม่? |
จับตาเครื่องบินอรหันต์
จะหันหัวไปทางใด !
1. กลับไทย แต่ถูกดำเนินคดี
2. หนีไปสหรัฐอเมริกา เพราะว่ามีบ้านอยู่ที่นั่น แหละอาจจะมีกรีนคาร์ดเข้าเมืองแล้วด้วย
หลักฐานชั้นแรก จากศูนย์ควบคุมพระภิกษุและสามเณรไปต่างประเทศ (ศตภ.) วัดสังเวชวิศยาราม ระบุว่า "บักเณรคำ" หรือ "พระวีรพล สุขผล"สังกัดวัดพะรเจ้าใหญ่องค์ตื้อ จังหวัดอุบลราชธานี มิใช่ศรีสะเกษ ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ ครั้งล่าสุด วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ดังนั้นตรงนี้ค่อนข่างแน่นอนว่า "บักเณรคำ" นั้น สังกัดวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อุบลราชธานี
เครื่องบินเจ๊ตจะหันหัวไปไหน สวรรค์หรือว่านรก ?
แหล่งข่าวกล่าวว่า ตามเวลาแล้ว เณรคำมีวีซ่าอยู่ในประเทศฝรั่งเศสถึงแค่วันที่ 21 มิถุนายน 2556 นี้เท่านั้น หากเลยไปแล้วถือว่าอยู่เกินเวลา (Over Stay)เกิดปัญหาแน่ ดังนั้น หลังจากวันที่ 21 มิ.ย.เป็นต้นมา เณรคำเริ่มมีปัญหาเรื่องวีซ่าแล้ว
ต่อไป จะกลับไทยหรือไปอเมริกา ถ้ากลับเมืองไทย ก็เตรียมใจเจอกับข้อหาหลายร้อยกระทง แบบว่าสู้คดีมะรุมมะตุ้มยืดเยื้อนานหลายปีแล้ว และเมื่อนั้น ทางมหาเถรสมาคมอาจจะใช้อำนาจ ม.21 สั่งให้อรหันต์เณรคำสึก เหมือนกรณีพระยันตระในอดีต ถ้าไม่ทำตามก็เจอคดีอาญา แบบว่ารอดยากส์ ดังนั้น ก่อนกลับก็ต้องคิดให้ดี เพราะต่อไปนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว คนไทยเขารู้ทันอรหันต์มะละกอแล้ว
ถ้าไม่กลับไปจะไปไหน ? แหล่งข่าวระบุว่า "น่าจะไปอเมริกา" เพราะว่ายังมีสมุนที่จงรักภักดี มีบ้าน มีรถ และมีสมบัติที่ซุกซ่อนไว้อีกมากมาย ที่สำคัญก็คือ ไอ้กันมันไม่สนใจว่าจะดีเลวมาจากไหน ขอให้มีเงินหรือมีคนหนุนให้อยู่ ก็อยู่ต่อไปได้ เหมือนพระยันตระที่ยังสุขกายสบายใจในเมืองนี้
ใช่แต่เท่านั้น บักเณรคำยังมีพันธมิตรในสหรัฐอเมริกาอีกถึง 2 วัด คอยให้ความช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ดังนั้น ถ้าไม่กลับไทยแล้ว ก็เชื่อแน่ว่า อรหันต์เณรคำต้องมาอเมริกา เพราะเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยที่สุด
อ่านว่า "ทางสองแพร่ง" ฮ่ะ
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม รายงาน
24 มิถุนายน 2556
มุกใหม่เซียงเมี่ยงคำ !
"สร้างบ้านให้พระน้องชาย พอไม่แต่งก็เลยทิ้ง"
อืม ! สงสัยเงินโคตรพ่อโคตรแม่มันมั๊ง ตั้งหลายล้าน นึกอยากจะทิ้งก็ทิ้ง ถ้าเป็นจริงก็ระยำเรียกพี่เลยเชียวล่ะ
แรกนั้นลูกศิษย์ก็บอกว่า "ไม่ใช่ของหลวงปู่เณรคำแน่นอน แต่เป็นของพระองค์อื่นมั๊ง เพราะตอนที่สร้างนั้นหลวงปู่ยังไม่ดัง จึงไม่มีเงินและไม่มีทางสร้างได้"
แต่วันนี้ก็รับใกล้ชิดเข้ามาอีกนิดว่า "เป็นบ้านที่หลวงปู่สร้างไว้จริงๆ แต่สร้างให้พระน้องชายไว้เป็นเรือนหอ พอไม่แต่งหลวงปู่ก็เลยทิ้ง" แหมสำนวนศิษย์อรหันต์นี่ระยำตำบอนได้สะเด็ดจริงๆ ไม่นึกว่าอรหันต์เขาสอนศิษย์ได้ดีปานนี้
บ้านปริศนา ราคาหลายล้าน ที่ยังหาเจ้าของไม่ได้ อูย !ชาวศรีสะเกษนี่รวยเนอะ เอาเงินไปให้พระสร้างบ้านทิ้งๆ ขว้างๆ
รุ่นสร้างเรือนหอให้น้อง
วันนี้ 24 มิ.ย. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ดร.สุขุม วงศ์ประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ พร้อมด้วย ดร.ธีรเดช เพชรกุล ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม เครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม และคณะ ได้เดินทางมาเพื่อกราบไหว้พระแก้วมรกตจำลอง เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมกับได้เดินทางไปเยี่ยมนางลอน มนัส ที่ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชน กรณีที่หลวงปู่เณรคำไม่ได้ดำเนินการขอสร้างวัด โดยจะเดินหน้าดำเนินการขอจัดตั้งวัดเอง จากนั้น ดร.สุขุมและคณะได้เดินทางไปที่บ้าน ม. 5 ต.รุ่งระวี อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมสอบถามเจ้าของบ้านถึงเรื่องราวที่เป็นข่าว นำเสนอทางสื่อมวลชนว่า ได้มีพระรูปหนึ่งมาสร้างบ้านให้หญิงสาวที่มาติดพัน
ซึ่ง ดร.สุขุม วงศ์ประสิทธิ เปิดเผยว่า ที่เดินทางมาวันนี้ นอกจากมาไหว้พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ นอกจากนั้น ยังมีจุดมุ่งหวังที่จะให้ปัญหาทุกอย่างได้รับการคลี่คลาย ซึ่งปัญหาที่มีอยู่เวลานี้มีมากมาย อย่างการจะสร้างวัดต้องหลอมรวมจิตใจกันหลายๆ ฝ่ายจึงจะสำเร็จ ตอนจะสร้างพระแก้วมรกตยังหลอมรวมกันได้ ตอนนี้ อุบาสกอุบาสิกาได้แตกแยกกันออกเป็นสองเสี่ยง ตนจึงจะต้องมาคลี่คลายตรงนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ชาวพุทธที่ติดตามข่าวสารของหลวงปู่เณรคำ รอฟังอยู่ว่าเรื่องราวความจริงจะคลี่คลายอย่างไร
ดร.สุขุม กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องต่างๆ ของหลวงปู่เณรคำ ที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้นั้น หลวงปู่ท่านมีศิล 227 ข้อ จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ แต่ก็ได้พิสูจน์ไปหลายเรื่องแล้วว่า พระธรรมวินัยก็ไม่ได้ชี้ว่าท่านผิดข้อไหน กฎหมายก็ไม่ได้ชี้ว่าท่านผิดประการใด สังคมออนไลน์ทุกวันนี้มีแต่ข่าวโคมลอยทั้งนั้นเลย การที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ มาจากการนำภาพไปโพสต์ในเว็บไซต์ ถ้าทำในทางที่สร้างสรรค์ เสนอคลิปการแสดงธรรมของท่านที่ลึกซึ้ง ทำให้ญาติธรรมสามารถเปลี่ยนจิตใจ ทำให้พลเมืองไทยเป็นคนดีได้ ถ้าเสนอในด้านบวกตนว่าจะเกิดประโยชน์มาก
ด้านนางลอน มนัส กล่าวว่า ยืนยันว่า จะไม่มีการขอที่ดินคืน เพราะได้ถวายให้กับวัดแล้ว ซึ่งเป็นที่ดินซึ่งมีการซื้อจากเจ้าของที่ต้องการขายหลายราย และตอนซื้อนั้น ทุกฝ่ายก็เห็นชอบให้โอนเป็นชื่อตน เพราะตนเป็นผู้อุปัฏฐากวัด แต่ยังไม่ได้มีการโอนไปเป็นของวัด เนื่องจากยังไม่มีใครมาร้องขอให้โอน ก็จึงได้ปล่อยให้เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้
ส่วนที่บ้านของนายถวิล จันพะวา ที่ อ.เกลี้ยง ดร.สุขุมและคณะได้เดินทางไปเพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เป็นข่าวเสนอทางสื่อมวลชน เพื่อสอบถามความจริง ซึ่งนายถวิลและลูกชายได้กล่าวกับ ดร.สุขุม ว่า บ้านที่เห็นนั้น หลวงปู่ได้มาสร้างให้น้องชายของท่านซึ่งได้บวชเป็นพระเช่นเดียวกัน และได้มาติดพันลูกสาว แต่ตอนหลังได้เลิกร้างกันไปก็เลยได้หยุดสร้าง
ส่วนที่บ้านของนางลอน มนัส พ.ต.อ.ภุชงค์ วรรณา ผกก.สภ.กันทรารมย์ก็ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความปลอดภัยให้นางลอนและครอบครัวอยู่ หลังจากที่ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่า มีโทรศัพท์มาข่มขู่ พร้อมกันนี้ พ.ต.อ.ภุชงค์ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมนางลอนและเจ้าหน้าที่ ที่ไปดูแลความปลอดภัยด้วย
ข่าว : คมชัดลึก
25 มิถุนายน 2556
วันก่อนปฏิเสธว่า"ไม่มีทาง หลวงปู่ไม่สร่างแน่นอน" กรณีที่มีการค้นพบบ้านหลังหนึ่งที่อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเจ้าของที่ดินระบุว่ามีพระรูปหนึ่งอ้างว่าชื่อหลวงปู่เณรคำ มาสร้างไว้เมื่อปี 2546 นั้น นายถาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำตัวหลวงปู่เณรคำฉัตติโก กล่าวว่า ยืนยันว่าหลวงปู่เณรคำ ไม่ได้เป็นผู้สร้างบ้านหลังดังกล่าวแน่นอน เพราะเมื่อปี 2546 หลวงปู่เณรคำยังอายุเพียง 24 ปี และเริ่มมีผู้ศรัทธา รวมทั้งบริจาคเงินให้วัดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และช่วงที่มีการบริจาคเงินมาที่วัดป่าขันติธรรมมากที่สุดคือช่วงปี 2552-2553ดังนั้นช่วงปี 2546 หลวงปู่เณรคำ จึงยังไม่สามารถสร้างบ้านให้ใครได้แน่นอน และเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลบ้านหลังดังกล่าวมีพระสร้างขึ้นมาจริง แต่เป็นพระรูปอื่นไม่ใช่หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก |
วันนี้ยอมรับครึ่งหนึ่งว่า"หลวงปู่สร่าง แต่สร้างให้น้องชาย"
นายถวิลและลูกชายได้กล่าวกับ ดร.สุขุม ว่า บ้านที่เห็นนั้น หลวงปู่ได้มาสร้างให้น้องชายของท่านซึ่งได้บวชเป็นพระเช่นเดียวกัน และได้มาติดพันลูกสาว แต่ตอนหลังได้เลิกร้างกันไปก็เลยได้หยุดสร้าง
|
ดังนั้น ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร แถกันอย่างไร
มันก์คือการสมยอมและสุมหัวกันปล้นประชาชนนี่เอง |
อย่างฮา !
ไม่เคยจำพรรษา แต่ทอดกฐินทุกปี
ถามว่าถูกธรรมถูกวินัยหรือไม่ฮะ สมเด็จพระวันรัต ?
พระอรหันต์ของธรรมยุตเขาปฏิบัติเยี่ยงนี้นะหรือ ?
ภาพโปสเตอร์โฆษณางานกฐินของเณรคำ
ทั้งๆ ญาติโยมก็ยืนยันว่า อรหันต์หมาหลงองค์นี้ไม่เคยจำพรรษาที่วัดป่าขันติธรรม แต่กลับทำพิธีทอดกฐินได้อย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ธรรมยุตเป็นประจำทุกปี ก็น่าศรัทธาในความเคร่งครัดของคณะสงฆ์ธรรมยุตสายพระอาจารย์มั่นนะ เคร่งครัดที่สุดในโลกเชียวล่ะ
อุว้าว !มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จวัดเถื่อนขันติธรรมด้วย
ขายแดกทุกรูปแบบเลยมึง
มาดไม่ธรรมดา
เพราะสมุนบอกว่า
"หลวงปู่ไม่เคยใช้สินค้าทันสมัย"
ใครๆ ก็เชื่อ !!
อย่ายุ่ง !
สมเด็จพระวันรัตสะบัดสำนวนใส่นักข่าว
สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร
เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเณรคำกำมะลอ
"เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต" เผยปมหลวงปู่เณรคำ "เขากำลังจัดการกันอยู่"
ตามที่ พระครูวัชรสิทธิคุณ เลขานุการเจ้าคณะจ.ศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ได้ออกมากล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีหลวงปู่เณรคำว่า ที่ตั้งขึ้นทำได้แค่รวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดย รายงานไปยังพระธรรมฐิติญาณ เจ้าคณะภาค 10 ฝ่ายธรรมยุต และสมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต แล้วนั้น เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถามความคืบหน้ากรณีหลวงปู่เณรคำ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อสมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต โดยสมเด็จพระวันรัต ได้ตอบเพียงสั้นๆว่า มาสนใจอะไรกับเรื่องนี้ เขากำลังจัดการกันอยู่
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามต่อสมเด็จพระวันรัต ในกรณีหลวงปู่เณรคำในเรื่องอื่นๆ สมเด็จพระวันรัต ก็ยังคงไม่มีการตอบคำถามแต่อย่างใด
ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามไปยัง พระครูวัชรสิทธิคุณ เกี่ยวกับกระแสข่าวลือว่า หลวงปู่เณรคำเคยสึกและกลับมาบวชใหม่ว่า เคยได้รับทราบเรื่องนี้หรือไม่ พระครูวัชรสิทธิคุณ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ และขอยืนยันว่า การสอบข้อเท็จจริงต่างๆ คงต้องรอหลวงปู่เณรคำ กลับมาก่อน
ข่าว :คมชัดลึก
25 มิถุนายน 2556
วัดหมาหลง !
ผู้ใหญ่บ้านแฉ กรรมการวัดเณรคำไม่มีคนในพื้นที่เลย
มีแต่หมาหลงจากต่างถิ่น มาทำธุรกิจกันเต็มวัด
ได้เงินแล้วก็เผ่น ชาวบ้านได้แต่มองตาปริบๆ
มิน่า บักเณรคำมันถึงไปตั้งบริษัทขายพระอยู่สมุทรสาคร
นายบุดสี โพธิ์ขาว ผู้ใหญ่บ้านยาง หมู่ที่ 1 ตำบลยาง อำเภอกันทรารมย์ เปิดเผยว่า เมื่อปี 2537 หลวงปู่เณรคำ ได้มาอยู่ในป่าช้า เพื่อที่จะมาสร้างสำนักสงฆ์ ชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยพากันขับไล่ออกจากป่าช้า จึงได้ปรึกษาคณะกรรมการหมู่บ้าน และคณะกรรมการวัด จากนั้นได้มาขอซื้อที่ดินนางทองมี ซึ่งมีที่ดินอยู่ข้างป่าช้าพอดี ซึ่งนางทองมี ก็มาวัดตลอด และลูกชายบวชอยู่ที่วัดนี้ด้วย จึงได้ถวายที่ดิน 14 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา ให้ โดยคณะกรรมการวัดได้ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินเอง และให้นางลอน มาถือกรรมสิทธิ์ร่วมไว้ เพราะนางลอน เป็นโยมอุปัฏฐากอยู่ พอวัดมีเงินก็ได้ไปให้นางทองมี แต่นางทองมี ไม่รับ จึงได้ลงมติที่จะสร้างบ้านนางทองมีใหม่
"จากนั้นอยู่ๆ มาวัดก็สร้างพระหลายองค์ สถานที่จึงคับแคบลง จึงได้ซื้อที่ดินเพิ่มจากชาวบ้าน จนล่าสุดได้ขอซื้อที่ดิน 10 ไร่ จากนางทองมี ซึ่งที่อยู่ด้านข้างวัดทิศใต้หลังพระแก้วมรกต นางทองมีตกลงที่จะขายให้ล้านเศษ แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน นางทองมีก็มาเสียชีวิต ที่ดินตกเป็นของ 3 พี่น้องลูกนางทองมี อันได้แก่ นายสุดิย์ - น.ส.ฐิติมา และน.ส.เบญจมาภรณ์ วุฒิยาสาร ซึ่งทุกคนก็ยอมขายตามคำสั่งแม่ไว้ แต่ขณะนี้ยังค้างจ่ายเงินกันอยู่บางส่วน ดังนั้นนางลอน แทบไม่มีสิทธิ์ที่จะมาขอที่ดินคืนเพื่อไปจดตั้งวัดเอง เพราะวัดโดยคณะกรรมการซื้อที่ดินมาเอง ไม่ได้เอามาจากนางลอน ที่ตนมาพูดร่วมกับหลานๆ ก็เพื่อที่จะให้ความจริงกระจ่าง ไม่ได้เข้าข้างใคร" นายบุดสี กล่าว
นายบุดสี กล่าวต่อว่า เดิมชาวบ้านก็มาวัดกันปกติ มาช่วยกันบูรณะวัด สร้างศาสนา แต่พอระยะหลังมีญาติโยมจากต่างแดนมาไกลจำนวนมาก ชาวบ้านก็เริ่มที่จะถอยออกไป ประกอบกับหลวงปู่เณรคำก็ไม่ค่อยที่จะอยู่ประจำที่วัด พอดังมากก็มีกิจนิมนต์มาก เดินทางไปตลอดทั้งใน และนอกพรรษา อันเป็นเป้าหมายของการโจมตี บ้างก็ว่ามาเฉพาะช่วงมีงาน เสร็จแล้วก็หอบเงินไป บ้างก็ว่าเป็นพระ แต่ทำตัวไม่สำรวม ระยะหลังพอดังแล้ว ชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ มาพบก็ลำบาก ไม่มีเวลา มีเฉพาะแขกวีไอพี อันที่จริงชาวบ้านยาง เราก็ต้องการพระที่อยู่วัด จำพรรษาอยู่วัด พาชาวบ้านสวดมนต์ ถือศีลปฎิบัติธรรม ยิ่งระยะหลัง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา พระหลวงปู่เณรคำแทบไม่อยู่วัดเลย ไปตลอดไม่รู้ไปไหน มาเฉพาะงาน เสร็จงานก็ไป มาบางครั้งก็มาเครื่องบิน มาลงที่หน้าวัด เสร็จงานก็ขึ้นเครื่องไปทันที อย่างนี้เป็นต้น ชาวบ้านแบบบ้านนอกเราบ้านยาง เขาก็ไม่คุ้นเคย จึงได้พากันห่างวัดไป ยิ่งมีข่าวไม่ดีเช่นนี้ ชาวบ้านก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย บ้างก็บอกว่าให้นิมนต์หลวงปู่เณรคำไปอยู่ที่อื่น บ้างก็บอกว่าอยู่ต่อก็ได้ แต่ต้องให้ชาวบ้านได้มารับรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วย และอยากให้หลวงปู่อยู่วัดประจำ พาชาวบ้านปฎิบัติธรรมเช่นเมื่อก่อนสมัยที่ยังไม่ดังเช่นนี้ ตนก็ไม่รู้จะทำเช่นไร เพราะคณะกรรมการวัดขณะนี้แทบไม่มีชาวบ้านเป็นเลย มีมาแต่จากที่อื่น เหมือนมายืมสถานที่วัด จัดงานเพื่อเอาเงินทำบุญแล้วก็พากันไปเท่านั้น
นายบุดสี กล่าวต่อว่า เดิมชาวบ้านก็มาวัดกันปกติ มาช่วยกันบูรณะวัด สร้างศาสนา แต่พอระยะหลังมีญาติโยมจากต่างแดนมาไกลจำนวนมาก ชาวบ้านก็เริ่มที่จะถอยออกไป ประกอบกับหลวงปู่เณรคำก็ไม่ค่อยที่จะอยู่ประจำที่วัด พอดังมากก็มีกิจนิมนต์มาก เดินทางไปตลอดทั้งใน และนอกพรรษา อันเป็นเป้าหมายของการโจมตี บ้างก็ว่ามาเฉพาะช่วงมีงาน เสร็จแล้วก็หอบเงินไป บ้างก็ว่าเป็นพระ แต่ทำตัวไม่สำรวม ระยะหลังพอดังแล้ว ชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ มาพบก็ลำบาก ไม่มีเวลา มีเฉพาะแขกวีไอพี อันที่จริงชาวบ้านยาง เราก็ต้องการพระที่อยู่วัด จำพรรษาอยู่วัด พาชาวบ้านสวดมนต์ ถือศีลปฎิบัติธรรม ยิ่งระยะหลัง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา พระหลวงปู่เณรคำแทบไม่อยู่วัดเลย ไปตลอดไม่รู้ไปไหน มาเฉพาะงาน เสร็จงานก็ไป มาบางครั้งก็มาเครื่องบิน มาลงที่หน้าวัด เสร็จงานก็ขึ้นเครื่องไปทันที อย่างนี้เป็นต้น ชาวบ้านแบบบ้านนอกเราบ้านยาง เขาก็ไม่คุ้นเคย จึงได้พากันห่างวัดไป ยิ่งมีข่าวไม่ดีเช่นนี้ ชาวบ้านก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย บ้างก็บอกว่าให้นิมนต์หลวงปู่เณรคำไปอยู่ที่อื่น บ้างก็บอกว่าอยู่ต่อก็ได้ แต่ต้องให้ชาวบ้านได้มารับรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วย และอยากให้หลวงปู่อยู่วัดประจำ พาชาวบ้านปฎิบัติธรรมเช่นเมื่อก่อนสมัยที่ยังไม่ดังเช่นนี้ ตนก็ไม่รู้จะทำเช่นไร เพราะคณะกรรมการวัดขณะนี้แทบไม่มีชาวบ้านเป็นเลย มีมาแต่จากที่อื่น เหมือนมายืมสถานที่วัด จัดงานเพื่อเอาเงินทำบุญแล้วก็พากันไปเท่านั้น
สำหรับงาน ทำบุญห่มผ้าพระพุทธรูป พระแก้วมรกต องค์จำลองใหญ่ที่สุดในโลก ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 30 มิถุนายน นี้ ซึ่งยังไม่ได้รับการติดต่อจากหลวงปู่เณรคำว่าจะกลับมาร่วมงานเหมือนทุกปีหรือไม่ แต่ทางคณะกรรมการวัดส่วนหนึ่งก็ยังเดินหน้าต่อในการจัดเตรียมงานต่อไป
ข่าว :คมชัดลึก
25 มิถุนายน 2556
ยึกลักติดกึก ยักลึกติดกัก !
พระแก้วเณรคำติดสำนักพระราชวัง
หากไม่ได้ขออนุญาตสร้างก็อาจจะต้องทุบทิ้ง
ปกข่าว-ข่าวสด
ปกข่าว- คมชัดลึก
แฉซ้ำ ! หลวงปู่เณรคำ สร้างบ้านให้สีกา-ไม่ขออนุญาตสร้าง พระแก้วมรกต
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์
อดีตพ่อตาหลวงปู่เณรคำแฉ หลวงปู่สร้างบ้านให้สีกาที่ได้เสียกันมานานแล้ว เผยขับรถเบนซ์มาหาและชอบดื่มเหล้าเมาสุรา ด้าน พศ. เผย หลวงปู่เณรคำ ไม่ได้ขออนุญาตสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ ขณะที่กรมศิลป์เตรียมส่งหนังสือแจ้งให้มาขออนุญาตจัดสร้างพระแก้วมรกตให้ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2556 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่บ้านหลังหนึ่ง ใน อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ หลังจากได้รับแจ้งว่าหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก พระสงฆ์ที่กำลังตกเป็นข่าวฉาวอยู่ในขณะนี้ ได้ไปสร้างบ้านไว้ที่นั่น 1 หลังให้กับสีกา
เมื่อไปถึงพบบ้านหลังใหญ่ลักษณะชั้นครึ่งปลูกอยู่ด้านหลังบ้านหลังเล็กที่อยู่ติดถนน โดยบ้านหลังใหญ่อยู่ลึกเข้าไปห่างจากถนนประมาณ 100 เมตร ซึ่งสร้างไปได้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อคำนวนด้วยสายตาคาดว่า หยุดสร้างไปนานไม่ต่ำกว่า 2 ปี
จากการสอบถาม นายถวิล จันพะวา เจ้าของที่ดิน เล่าว่า หลวงปู่เณรคำ แห่งสำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้สร้างไว้ โดยหลวงปู่เณรคำได้มาติดพันลูกสาวตนเมื่อประมาณปี 2546 ขณะที่เดินทางมาหาที่จะสร้างวัดป่า และได้รู้จักกับลูกสาว ซึ่งขณะนั้นลูกสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จนกระทั่งได้เสียกัน พร้อมกับมาสร้างบ้านไว้ให้ โดยบ้านหลังนี้หมดเงินประมาณ 2 ล้านกว่าบาทแล้ว และหลวงปู่ได้รับปากกับตนว่า จะอยู่ในผ้าเหลืองอีก 3 ปี แล้วจะสึกมาอยู่กินกับลูกสาวตน แต่เมื่อครบ 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่ยอมสึก ยืดเวลาไปอีกเรื่อย ๆ ลูกสาวตนก็ต้องการที่จะมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ไปไหนมาไหนจะได้ไม่อายเขาแต่พระบ่ายเบี่ยงมาเรื่อย จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาก็หายหน้าไปเลย ไม่ได้ให้เงินมาสร้างบ้านต่อและทิ้งลูกสาวตนไป ลูกสาวตนจึงแต่งงานกับผู้ชายอีกคน
นอกจากนี้ นายถวิล กล่าวด้วยว่า เท่าที่ดูจะชอบดื่มเหล้าด้วย เวลามาหาลูกสาวจะขับรถเบนซ์มาเอง และมีเหล้าติดมาครั้งละ 2-3 ขวดทุกครั้ง บางครั้งขับรถมาในสภาพเมาจนต้องหามลงจากรถเลยก็มี
ขณะที่ทางด้าน นายถาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำตัวหลวงปู่เณรคำฉัตติโก ได้กล่าวปฏิเสธว่า หลวงปู่เณรคำไม่ได้เป็นผู้สร้างบ้านหลังดังกล่าวแน่นอน เพราะเมื่อปี 2546 หลวงปู่เณรคำยังอายุเพียง 24 ปี และเริ่มมีผู้ศรัทธา รวมทั้งบริจาคเงินให้วัดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และช่วงที่มีการบริจาคเงินมาที่สำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรมมากที่สุดคือช่วงปี 2552-2553 ดังนั้นช่วงปี 2546 หลวงปู่เณรคำจึงยังไม่สามารถสร้างบ้านให้ใครได้แน่นอน และเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลบ้านหลังดังกล่าวมีพระสร้างขึ้นมาจริง แต่เป็นพระรูปอื่นไม่ใช่หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก
ส่วนกรณีที่สำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรมได้มีการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองนั้น พระพุทธมณีมหารัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 61 รายการ ที่มีระเบียบว่า การจำลองจะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากรและจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นสำนักพระราชวัง แต่จากการตรวจสอบไปยังทะเบียนของสำนักช่างสิบหมู่ พบว่า ทางสำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรมไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตเข้ามา อีกทั้งทางสำนักพระราชวังยังได้หารือมายังกรมศิลปากรว่า ให้ช่วยดูแลการจำลองพระพุทธรูปสำคัญเพราะปัจจุบันมีการนำไปจัดสร้างโดยไม่ได้ผ่านการรับอนุญาตมากขึ้น อย่างไรก็ดี ระเบียบดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดโทษ เนื่องจากไม่ได้เป็นข้อกำหนดในพระราชบัญญัติ
ทั้งนี้ ในเว็บไซต์หลวงปู่เณรคำดอทคอม อ้างถึงเหตุในการจัดสร้างพระแก้วมรกตจำลองใหญ่ที่สุดในโลก โดยอิงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่า "คืนวันอาทิตย์ที่ 4 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาตี 2 ท้าวสักกะเทวราช มหาราชองค์อินทร์ มหาราช จอมเทวดา ผู้ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย ได้มาอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่เณรคำ นำพาสาธุชนได้ร่วมกันสร้างองค์พระแก้วมรกตจำลอง หน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร โดยมหาราชองค์อินทร์จะเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้ราบรื่น ให้แล้วเสร็จด้วยพลังใจ พลังจิตอันยิ่งใหญ่ ทั้งเทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย" โดยพระแก้วมรกตองค์นี้ หลวงปู่เณรคำระบุว่าจะใช้เงินที่จะรับบริจาคจากญาติโยมเป็นงบประมาณในการก่อสร้างถึง 150 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการสร้างพระแก้วมรกตโดยไม่ขออนุญาตนี้ ก็ทำให้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ออกมาระบุว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งทำหนังสือ เพื่อแจ้งให้วัดป่าขันติธรรมรับทราบว่าการดำเนินการจัดสร้างดังกล่าวไม่ถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว ซึ่งทางสำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี ซึ่งกำกับดูแลพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ จ.อำนาจเจริญ จ.มุกดาหาร และ จ.ยโสธร จะนำหนังสือฉบับนี้ไปให้วัดป่าขันติธรรม ภายในวันที่ 26 มิถุนายน เพื่อให้ทางวัดเร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้ โดยต้องทำเรื่องขออนุญาตให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ อธิบดีกรมศิลปากร ยังระบุด้วยว่า ทางกรมไม่มีอำนาจสั่งห้าม หรือชะลอการจัดสร้างดังกล่าว เพราะไม่ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนไว้
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์
อดีตพ่อตาหลวงปู่เณรคำแฉ หลวงปู่สร้างบ้านให้สีกาที่ได้เสียกันมานานแล้ว เผยขับรถเบนซ์มาหาและชอบดื่มเหล้าเมาสุรา ด้าน พศ. เผย หลวงปู่เณรคำ ไม่ได้ขออนุญาตสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ ขณะที่กรมศิลป์เตรียมส่งหนังสือแจ้งให้มาขออนุญาตจัดสร้างพระแก้วมรกตให้ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2556 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่บ้านหลังหนึ่ง ใน อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ หลังจากได้รับแจ้งว่าหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก พระสงฆ์ที่กำลังตกเป็นข่าวฉาวอยู่ในขณะนี้ ได้ไปสร้างบ้านไว้ที่นั่น 1 หลังให้กับสีกา
เมื่อไปถึงพบบ้านหลังใหญ่ลักษณะชั้นครึ่งปลูกอยู่ด้านหลังบ้านหลังเล็กที่อยู่ติดถนน โดยบ้านหลังใหญ่อยู่ลึกเข้าไปห่างจากถนนประมาณ 100 เมตร ซึ่งสร้างไปได้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อคำนวนด้วยสายตาคาดว่า หยุดสร้างไปนานไม่ต่ำกว่า 2 ปี
จากการสอบถาม นายถวิล จันพะวา เจ้าของที่ดิน เล่าว่า หลวงปู่เณรคำ แห่งสำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้สร้างไว้ โดยหลวงปู่เณรคำได้มาติดพันลูกสาวตนเมื่อประมาณปี 2546 ขณะที่เดินทางมาหาที่จะสร้างวัดป่า และได้รู้จักกับลูกสาว ซึ่งขณะนั้นลูกสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จนกระทั่งได้เสียกัน พร้อมกับมาสร้างบ้านไว้ให้ โดยบ้านหลังนี้หมดเงินประมาณ 2 ล้านกว่าบาทแล้ว และหลวงปู่ได้รับปากกับตนว่า จะอยู่ในผ้าเหลืองอีก 3 ปี แล้วจะสึกมาอยู่กินกับลูกสาวตน แต่เมื่อครบ 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่ยอมสึก ยืดเวลาไปอีกเรื่อย ๆ ลูกสาวตนก็ต้องการที่จะมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ไปไหนมาไหนจะได้ไม่อายเขาแต่พระบ่ายเบี่ยงมาเรื่อย จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาก็หายหน้าไปเลย ไม่ได้ให้เงินมาสร้างบ้านต่อและทิ้งลูกสาวตนไป ลูกสาวตนจึงแต่งงานกับผู้ชายอีกคน
นอกจากนี้ นายถวิล กล่าวด้วยว่า เท่าที่ดูจะชอบดื่มเหล้าด้วย เวลามาหาลูกสาวจะขับรถเบนซ์มาเอง และมีเหล้าติดมาครั้งละ 2-3 ขวดทุกครั้ง บางครั้งขับรถมาในสภาพเมาจนต้องหามลงจากรถเลยก็มี
ขณะที่ทางด้าน นายถาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำตัวหลวงปู่เณรคำฉัตติโก ได้กล่าวปฏิเสธว่า หลวงปู่เณรคำไม่ได้เป็นผู้สร้างบ้านหลังดังกล่าวแน่นอน เพราะเมื่อปี 2546 หลวงปู่เณรคำยังอายุเพียง 24 ปี และเริ่มมีผู้ศรัทธา รวมทั้งบริจาคเงินให้วัดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และช่วงที่มีการบริจาคเงินมาที่สำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรมมากที่สุดคือช่วงปี 2552-2553 ดังนั้นช่วงปี 2546 หลวงปู่เณรคำจึงยังไม่สามารถสร้างบ้านให้ใครได้แน่นอน และเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลบ้านหลังดังกล่าวมีพระสร้างขึ้นมาจริง แต่เป็นพระรูปอื่นไม่ใช่หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก
ส่วนกรณีที่สำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรมได้มีการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองนั้น พระพุทธมณีมหารัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 61 รายการ ที่มีระเบียบว่า การจำลองจะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากรและจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นสำนักพระราชวัง แต่จากการตรวจสอบไปยังทะเบียนของสำนักช่างสิบหมู่ พบว่า ทางสำนักสงฆ์วัดป่าสันติธรรมไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตเข้ามา อีกทั้งทางสำนักพระราชวังยังได้หารือมายังกรมศิลปากรว่า ให้ช่วยดูแลการจำลองพระพุทธรูปสำคัญเพราะปัจจุบันมีการนำไปจัดสร้างโดยไม่ได้ผ่านการรับอนุญาตมากขึ้น อย่างไรก็ดี ระเบียบดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดโทษ เนื่องจากไม่ได้เป็นข้อกำหนดในพระราชบัญญัติ
ทั้งนี้ ในเว็บไซต์หลวงปู่เณรคำดอทคอม อ้างถึงเหตุในการจัดสร้างพระแก้วมรกตจำลองใหญ่ที่สุดในโลก โดยอิงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่า "คืนวันอาทิตย์ที่ 4 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาตี 2 ท้าวสักกะเทวราช มหาราชองค์อินทร์ มหาราช จอมเทวดา ผู้ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย ได้มาอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่เณรคำ นำพาสาธุชนได้ร่วมกันสร้างองค์พระแก้วมรกตจำลอง หน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร โดยมหาราชองค์อินทร์จะเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้ราบรื่น ให้แล้วเสร็จด้วยพลังใจ พลังจิตอันยิ่งใหญ่ ทั้งเทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย" โดยพระแก้วมรกตองค์นี้ หลวงปู่เณรคำระบุว่าจะใช้เงินที่จะรับบริจาคจากญาติโยมเป็นงบประมาณในการก่อสร้างถึง 150 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการสร้างพระแก้วมรกตโดยไม่ขออนุญาตนี้ ก็ทำให้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ออกมาระบุว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งทำหนังสือ เพื่อแจ้งให้วัดป่าขันติธรรมรับทราบว่าการดำเนินการจัดสร้างดังกล่าวไม่ถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว ซึ่งทางสำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี ซึ่งกำกับดูแลพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ จ.อำนาจเจริญ จ.มุกดาหาร และ จ.ยโสธร จะนำหนังสือฉบับนี้ไปให้วัดป่าขันติธรรม ภายในวันที่ 26 มิถุนายน เพื่อให้ทางวัดเร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้ โดยต้องทำเรื่องขออนุญาตให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ อธิบดีกรมศิลปากร ยังระบุด้วยว่า ทางกรมไม่มีอำนาจสั่งห้าม หรือชะลอการจัดสร้างดังกล่าว เพราะไม่ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนไว้
ข่าว :ข่าวสด
25 มิถุนายน 2556
วัดขันติธรรม-ศูนย์รวมของเถื่อน !
อรหันต์เถื่อน - ไม่มีสังกัดแน่นอน
วัดเถื่อน - ไม่ยอมตั้งเป็นวัด เพื่อเลี่ยงภาษี
พระแก้วเถื่อน - ไม่ได้รับอนุญาตสร้าง
แถมสมุนเณรคำยังตลบแตลงแบบเถื่อนๆ อีก ตอแหลแม้กระทั่งชูสองนิ้วแปลว่า "ซื้อสองชิ้น" ล่าสุดวันนี้ นายก อบต. โนนสัง เผยชาวกันทรารมย์ทนพฤติกรรมอัปรีย์ของบักเณรคำไม่ได้อีกต่อไป ไม่แน่..อาจจะมีม็อบต่อต้านอรหันต์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกด้วย รับรองว่าดังกว่าพระแก้วองค์ใหญ่ที่สุดในโลกเลยเชียวล่ะ
นายทองวรรณ จิตโชตินายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสัง
อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
ศรีสะเกษ - นายก อบต.โนนสัง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เผยสาวสวยเอี่ยวพระดังมีฐานะร่ำรวยเร็วแบบติดจรวด ซื้อสดที่ดิน 7 ไร่ใกล้สำนักสงฆ์ขันติธรรม และมีบ้านหรู 15 ล้านในกรุง พร้อมได้ลูกชายปริศนา 1 คนทั้งที่ยังไม่แต่งงาน ขณะข้าราชการและผู้นำชุมชนท้องถิ่นเมินเข้าร่วมกิจกรรมทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ เตรียมหารือแก้ไขปัญหา เหตุทำให้ชื่อเสียง อ.กันทรารมย์เสียหาย
วันนี้ (24 มิ.ย.) นายทองวรรณ จิตโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โนนสัง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ตนได้เข้าไปให้กำลังใจ นางลอน มนัส เจ้าของที่ดินสำนักสงฆ์ขันติธรรมมาแล้วในวันที่เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กันทรารมย์ เนื่องจากถูกโทรศัพท์ข่มขู่อุ้มฆ่า โดยได้แจ้งกับนางลอนว่ากลุ่มประชาชนชาว อ.กันทรารมย์ และบรรดาผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกคนพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มที่หากไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกข่มเหงรังแกจากกลุ่มลูกศิษย์พระดังรูปหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งนางลอนก็ได้ขอบคุณที่ผู้นำท้องถิ่นจะให้ความช่วยเหลือ
นายทองวรรณกล่าวต่อว่า กรณีสำนักสงฆ์ขันติธรรมนั้น ชาวบ้านในเขต อ.กันทรารมย์ รับไม่ได้ เนื่องจากปกติการจัดงานต่างๆ ของวัดทุกแห่งจะมีการปักธงชาติ และธงธรรมจักร แต่พระดังแห่งนี้ปักธงที่มีตราสัญลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งตนไม่ค่อยเห็นชาวบ้านในเขต อ.กันทรารมย์เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือข้าราชการทุกส่วน นายก อบต.ทุกตำบล รวมทั้งนายก อบต.ดู่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในเขต ต.ดู่ อ.กันทรารมย์ ซึ่งอยู่ใกล้สำนักสงฆ์ขันติธรรม ก็ไม่มีใครเข้าไปร่วมกิจกรรมหรือทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งนี้แต่อย่างใด พูดได้ว่ามีชาว อ.กันทรารมย์น้อยมากที่เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งนี้
นายทองวรรณกล่าวต่อว่า เมื่อประมาณปี 2551 ป้าของตนได้เข้าไปถวายสำรับพระรูปหนึ่งที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏว่าได้เจอสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดนอนเดินออกมาจากห้องของพระชื่อดังรูปหนึ่ง ซึ่งป้าของตนรู้จักผู้หญิงคนดังกล่าวดีว่าชื่ออักษรย่อ “ม” เป็นสาวสวยที่มีบ้านอยู่ไม่ไกลจากสำนักสงฆ์ขันติธรรม และเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มชาวบ้านใกล้สำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างกว้างขวาง ขณะนี้สาวสวยคนดังกล่าวยังไม่ได้แต่งงานแต่มีลูกชาย 1 คน ปัจจุบันเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (ป.2) โรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่ง และสาวสวยคนนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากทั้งที่ไม่ได้มีอาชีพการงานอะไรแต่มีเงินสดซื้อที่ดิน 7 ไร่ใกล้กับสำนักสงฆ์ และมีบ้านขนาดใหญ่มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาทในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ
นายทองวรรณกล่าวต่อว่า ทุกครั้งที่สำนักสงฆ์ขันติธรรมจัดงานทอดกฐินจะมีการจัดทำต้นกฐินจำนวน 9 ต้น สูงต้นละ 9 เมตร ต้นหนึ่งๆ ไม่รู้ว่าได้เงินกี่ล้านบาท และปีล่าสุดจัดทำต้นกฐินกว่า 36 ต้นได้เงินจำนวนมาก แต่ไม่ทราบว่าเงินทอดกฐินและเงินบริจาคเก็บรักษาอย่างไร นำเอาไปใช้อะไรบ้าง ซึ่งตนเห็นว่าการจัดงานทุกอย่างของสำนักสงฆ์แห่งนี้เป็นธุรกิจไปหมด แม้แต่พวกเราเข้าไปปักป้ายจัดงาน รวมทั้งทำงานต่างๆ ภายในสำนักสงฆ์ก็ต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายวันและรายเดือน อีกทั้งไม่เคยเห็นพระสำนักสงฆ์แห่งนี้ออกบิณฑบาต แต่จะจ้างแม่ครัวมาทำอาหารถวายพระสงฆ์โดยตรง
“พวกเราที่เป็นกลุ่มผู้นำท้องถิ่นได้มีการประชุมพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเห็นว่า พระชื่อดังไม่ใช่พระอีกต่อไป เพราะไม่เหมือนกับพระทั่วไปที่ชาวบ้านเคารพนับถือ ซึ่งพวกเราผู้นำท้องถิ่นทั้ง อ.กันทรารมย์จะมีการประชุมหารือกันเกี่ยวกับพระดังในเรื่องนี้ เพราะทำให้ชื่อเสียงของ อ.กันทรารมย์ ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก” นายทองวรรณกล่าว
วันนี้ (24 มิ.ย.) นายทองวรรณ จิตโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โนนสัง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ตนได้เข้าไปให้กำลังใจ นางลอน มนัส เจ้าของที่ดินสำนักสงฆ์ขันติธรรมมาแล้วในวันที่เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กันทรารมย์ เนื่องจากถูกโทรศัพท์ข่มขู่อุ้มฆ่า โดยได้แจ้งกับนางลอนว่ากลุ่มประชาชนชาว อ.กันทรารมย์ และบรรดาผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกคนพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มที่หากไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกข่มเหงรังแกจากกลุ่มลูกศิษย์พระดังรูปหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งนางลอนก็ได้ขอบคุณที่ผู้นำท้องถิ่นจะให้ความช่วยเหลือ
นายทองวรรณกล่าวต่อว่า กรณีสำนักสงฆ์ขันติธรรมนั้น ชาวบ้านในเขต อ.กันทรารมย์ รับไม่ได้ เนื่องจากปกติการจัดงานต่างๆ ของวัดทุกแห่งจะมีการปักธงชาติ และธงธรรมจักร แต่พระดังแห่งนี้ปักธงที่มีตราสัญลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งตนไม่ค่อยเห็นชาวบ้านในเขต อ.กันทรารมย์เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือข้าราชการทุกส่วน นายก อบต.ทุกตำบล รวมทั้งนายก อบต.ดู่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในเขต ต.ดู่ อ.กันทรารมย์ ซึ่งอยู่ใกล้สำนักสงฆ์ขันติธรรม ก็ไม่มีใครเข้าไปร่วมกิจกรรมหรือทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งนี้แต่อย่างใด พูดได้ว่ามีชาว อ.กันทรารมย์น้อยมากที่เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งนี้
นายทองวรรณกล่าวต่อว่า เมื่อประมาณปี 2551 ป้าของตนได้เข้าไปถวายสำรับพระรูปหนึ่งที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏว่าได้เจอสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดนอนเดินออกมาจากห้องของพระชื่อดังรูปหนึ่ง ซึ่งป้าของตนรู้จักผู้หญิงคนดังกล่าวดีว่าชื่ออักษรย่อ “ม” เป็นสาวสวยที่มีบ้านอยู่ไม่ไกลจากสำนักสงฆ์ขันติธรรม และเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มชาวบ้านใกล้สำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างกว้างขวาง ขณะนี้สาวสวยคนดังกล่าวยังไม่ได้แต่งงานแต่มีลูกชาย 1 คน ปัจจุบันเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (ป.2) โรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่ง และสาวสวยคนนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากทั้งที่ไม่ได้มีอาชีพการงานอะไรแต่มีเงินสดซื้อที่ดิน 7 ไร่ใกล้กับสำนักสงฆ์ และมีบ้านขนาดใหญ่มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาทในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ
นายทองวรรณกล่าวต่อว่า ทุกครั้งที่สำนักสงฆ์ขันติธรรมจัดงานทอดกฐินจะมีการจัดทำต้นกฐินจำนวน 9 ต้น สูงต้นละ 9 เมตร ต้นหนึ่งๆ ไม่รู้ว่าได้เงินกี่ล้านบาท และปีล่าสุดจัดทำต้นกฐินกว่า 36 ต้นได้เงินจำนวนมาก แต่ไม่ทราบว่าเงินทอดกฐินและเงินบริจาคเก็บรักษาอย่างไร นำเอาไปใช้อะไรบ้าง ซึ่งตนเห็นว่าการจัดงานทุกอย่างของสำนักสงฆ์แห่งนี้เป็นธุรกิจไปหมด แม้แต่พวกเราเข้าไปปักป้ายจัดงาน รวมทั้งทำงานต่างๆ ภายในสำนักสงฆ์ก็ต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายวันและรายเดือน อีกทั้งไม่เคยเห็นพระสำนักสงฆ์แห่งนี้ออกบิณฑบาต แต่จะจ้างแม่ครัวมาทำอาหารถวายพระสงฆ์โดยตรง
“พวกเราที่เป็นกลุ่มผู้นำท้องถิ่นได้มีการประชุมพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเห็นว่า พระชื่อดังไม่ใช่พระอีกต่อไป เพราะไม่เหมือนกับพระทั่วไปที่ชาวบ้านเคารพนับถือ ซึ่งพวกเราผู้นำท้องถิ่นทั้ง อ.กันทรารมย์จะมีการประชุมหารือกันเกี่ยวกับพระดังในเรื่องนี้ เพราะทำให้ชื่อเสียงของ อ.กันทรารมย์ ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก” นายทองวรรณกล่าว
http://www.alittlebuddha.com/ข่าว : ผู้จัดการ
25 มิถุนายน 2556
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ