เปิดประวัติพระแก้วบักเณรคำ "พระอินทร์เสด็จมาอาราธนาองค์หลวงปู่เณรคำให้สร้าง"


เปิดประวัติพระแก้วบักเณรคำ

"พระอินทร์เสด็จมาอาราธนาองค์หลวงปู่เณรคำให้สร้าง"

จะๆ แบบนี้ ยังมีอะไรไม่ชัดเจนอีกหรือฮะ ท่านสมเด็จพระวันรัต




ประวัติพระแก้ว
จาก..หลวงปู่เณรคำ ดอทคอม



คืนวันอาทิตย์ ที่ 4 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาตี 2 ท้าวสักกะเทวราช มหาราชองค์อินทร์ มหาราช จอมเทวดา ผู้ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย ได้มาอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่เณรคำ นำพาสาธุชน ได้ร่วมกันสร้างองค์ พระแก้วมรกตจำลอง หน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร โดยมหาราชองค์อินทร์ จะเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้ราบรื่น ให้แล้วเสร็จด้วยพลังใจ พลังจิตอันยิ่งใหญ่ ทั้งเทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย

“ได้ถึงกาลอันสมควรแล้ว ที่พระคุณเจ้าจะต้องทำการสร้างสิ่งที่เคารพบูชาอันยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งอันควรในการสักการะบูชาของเหล่าอินทร์ พรหม เทวดา มนุษย์ทั้งหลาย เนื่องจากปัจจุบันในโลกมนุษย์ ชนทั้งหลายได้มีใจห่างเหินจากธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาเป็นอย่างมาก พระคุณเจ้าผู้เจริญ บารมีพระคุณเจ้ามีพอแก่การสร้างมาแล้ว พอแก่การทำให้อายุ พระศาสนาวัฒนาถาวรแล้ว แม้อายุยังน้อย แต่ได้บำเพ็ญสมณธรรมมามากต่อมากชาติจนนับไม่ถ้วน จนถึงชาติปัจจุบัน การสร้างบารมีของพระคุณเจ้ามีมามากแต่ชาติปางก่อน จึงไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ ขอพระคุณเจ้าจงตริตรองด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่เองเถิด เมื่อถึงกาลนี้ข้าพเจ้าจึงได้เสด็จลงมาด้วยปรารถนาจะขออาราธนานิมนต์พระคุณ เจ้าผู้เจริญ ได้นำพามวลมนุษย์ชนทั้งหลาย สร้างองค์พระแก้วมรกตรัตนปฏิมากรจำลองคล้ายองค์จริง เพื่อเป็นพุทธบูชา ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐในไตรโลกทั้งหลาย และเพื่อยังอายุพระศาสนาให้วัฒนาถาวรยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อสืบทอดอายุพระศาสนาให้ครบ 5,000 ปี เพื่อเป็นที่อันควรสักการะบูชา ของอินทร์ พรหม เทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย”

อานิสงส์ของการสร้างองค์พระแก้วมรกต

จิตใจของมนุษย์ชนทั้งหลาย จะเข้าถึงพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดามากยิ่งขึ้น และบุคคลใดได้สร้างจักมีใจอันผ่องแผ้ว มีกุศลถึงพร้อม บารมีจากการสร้างย่อมประจักษ์เด่นชัด อย่างทวีคูณมหาศาล ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อันเป็นสุคติภูมิ จักถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาล และหากยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน จักได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลสัมมาทิฐิ ที่เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ และ เจริญในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกชาติ

เมตตาธรรมของหลวงปู่เณรคำ

หลวงปู่ เณรคำ ท่านมีเมตตาธรรมต่อสานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทุกท่าน อยากให้ทุกคนได้เข้าถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ ท่านจึงได้นำเอาแนวทางการปฏิบัติ ที่ท่านเคยบำเพ็ญมาตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน มาสอนให้เราท่านทั้งหลาย ออกจากความยึดมั่นถือมั่น ในร่างกายและจิตใจ สอนให้เป็นผู้มีปัญญารู้แจ้ง ตามหลักการปฎิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้น ตามธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

ธรรมะและแนวทางการปฏิบัติ ที่หลวงปู่ได้เมตตานำมาสอนนั้น เป็นแนวทางลัดในการปฏิบัติ ให้บรรลุธรรมกันได้ง่ายขึ้น สามารถเข้ากับจริตของทุก ๆ คน ทุก ๆ จิตใจ ถ้ามีความเพียร ถ้ามีความศรัทธา ในองค์พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ความเพียรและความศรัทธาที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงนั้น จะเป็นกำลังผลักดันให้เรามีตบะเดชะในใจ สามารถบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นมรรคเป็นผลได้ในที่สุด นี่แหละ คือ เมตตาธรรมอันยิ่งใหญ่ ที่หลวงปู่ท่านได้หยิบยื่นให้แก่เราท่านทั้งหลาย

หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก สร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเป็นพุทธบูชา ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ


หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ได้เมตตาเล่าต่อไปว่า ท้าวสักกะเทวราช หรือมหาราชองค์อินทร์ จะเป็นผู้ช่วยดลบันดาลให้การก่อสร้างราบรื่น ให้แล้วเสร็จด้วยพลังใจ พลังจิตอันยิ่งใหญ่ ทั้งเทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย และไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องทุนทรัพย์ เพราะจะมีคนนำมาถวายให้เอง หลังจากนั้นก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ในวันรุ่งขึ้นได้มีผู้ชายคนหนึ่งเดินทางมาหาพร้อมกับถวายถุงกระดาษสีน้ำตาลให้ และเมื่อก้มเปิดดูปรากฏว่าเป็นธนบัตรจำนวนมาก แต่เมื่อเงยหน้าจะถามผู้ชายคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และ 2 วันต่อมาได้รับกิจนิมนต์ไปงานศพของญาติโยม และพบว่าเป็นงานศพของชายผู้นั้น จึงเกิดอัศจรรย์ใจขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเงินที่บรรจุภายในถุงกระดาษที่ได้รับมามีมากถึง 950,000 บาท จึงได้เริ่มที่จะก่อสร้างพระแก้วมรกตที่วัดป่าขันติธรรมทันที โดยตั้งปณิธานว่าจะสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งงบประมาณการก่อสร้างเฉพาะองค์พระแก้วมรกตกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งก็มีบรรดาญาติโยมบริจาคทุนทรัพย์มาร่วมก่อสร้างจำนวนมาก และการก่อสร้างได้ดำเนินไป โดยใช้หยกเขียวแท้หุ้มองค์พระแก้วมรกต ซึ่งหยกเขียวเป็นหยกอิตาลี สั่งซื้อนำเข้าจากประเทศอินเดียดินแดนต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา หยกถือเป็นรัตนชาติอีก 1 ชิ้นที่มีความงดงาม การก่อสร้างพระแก้วมรกตด้วยหยกเขียวครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นแหล่งรวบรวมหยกครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย โดยขนาดของพระแก้วมรกตองค์จำลองมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ฐานสูงจากพื้นดิน 7 เมตร และตั้งแต่ฐานถึงเศียรของพระแก้วมรกตมีความสูง 18.5 เมตร หน้าตักกว้าง 15 เมตร ส่วนฐานความสูง 7 เมตร จะเน้นสถาปัตยกรรมร่วมยุคร่วมสมัย โดยจะรวมสถาปัตยกรรมของทุก ๆ ภาคของประเทศไทยไว้ ให้มีความสวยงามมีชีวิตชีวา โดยให้สื่อความหมายถึง พุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธามั่นคง เด็ดเดี่ยว ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า




ประวัติบักเณรคำ
จาก..หลวงปู่เณรคำ ดอทคอม





พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ มีนามเดิมว่า “วิรพล สุขผล” ถือกำเนิดที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 เป็นบุตรคนที่ 4 ของคุณพ่อรัตน์ สุขผล และคุณแม่ สุดใจ สุขผล มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เป็นผู้ชายหมด เมื่อองค์หลวงปู่เณรคำบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนา ว่า “ฉัตติโก” “พระอาจารย์ วิรพล ฉัตติโก”

พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ได้มีปฎิปทาตั้งมั่นตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กอายุ 6 ขวบ ได้มีศรัทธาในการปฏิบัติจิต บำเพ็ญภาวนากรรมฐานมาโดยตลอด ทุกวันพระจะหยุดเรียน และนุ่งขาวห่มขาวเข้าไปถือศีลบำเพ็ญภาวนาในวัด ตั้งแต่เช้าจรดค่ำจะมีอิริยาบถแห่งการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด ไม่มีด่างพร้อย ไม่มีการพลั้งเผลอแม้แต่น้อย ทั้งวันจะเดินจงกรมสลับกับการนั่งภาวนาใต้ร่มไทร ช่วงกลางวันจะไปนอนในป่าช้า ตรงที่เป็นโบกปูนใช้สำหรับเผาผี โดยไม่เคยมีความกลัวหรือหวั่นวิตกอะไร จิตนั้นนิ่งโดยตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยบำเพ็ญมาก่อนในชาตินี้ ในปัจจุบันชาติเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ผลของการปฏิบัติมันก็เกิดขึ้นทันที นี่เป็นสัญญาณบ่งบอก เป็นหมายเหตุบอกถึงความจริงในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนว่า “แม้เราบำเพ็ญในชาตินี้หรือว่าชาติไหนๆ ผลของการปฏิบัติบำเพ็ญนั้นมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่เสื่อมไปไหน” วัน ธรรมดาก็ไปโรงเรียน พอพักเที่ยงจะไปนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ เลิกเรียนจะเข้าไปไหว้พระก่อนกลับจากโรงเรียน และเดินจงกรมกลับบ้านทุกวันเป็นกิจภายใน ที่ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวเอง


พอเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา ท่านคิดอยู่เสมอว่า “ถ้าเสร็จ จาก ภารกิจทางโลกแล้ว เราจะไม่กลับมา ทางโลกอีก เราคงเคยเกิดมาหลายชาติแล้ว เราคงพอแก่การเกิดได้แล้วในชาตินี้ เห็นอะไรก็เกิดความสลดสังเวชไปหมด จึงเป็นแนวทางทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เรารู้มาก่อน เห็นมาก่อน ตั้งแต่อดีตชาติ เหมือนกับเราจะได้ต่อเติมเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรมการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้ หลุดพ้น” เลิกเรียนจึงไปปักกลด นั่งบำเพ็ญภาวนาที่อยู่ที่กระต๊อบกลางน้ำ ที่ปลายนาของโยมพ่อโยมแม่ทุกวัน วันพระจะถือกลดไปโรงเรียนด้วย พอเลิกเรียนจะเข้าไปปักกลดบำเพ็ญภาวนาที่วัด บางครั้งก็ไปปักกลดนั่งบำเพ็ญภาวนา อยู่ที่กระต๊อบกลางน้ำที่ปลายนาของโยมพ่อโยมแม่ทั้งคืนจนสว่าง ปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตร


จากการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องมาตลอด จนกระทั่งอายุได้ 13 ขวบ ครั้งหนึ่งขณะนั่งบำเพ็ญภาวนาที่กระต๊อบกลางน้ำนั้น ตัวของท่านลอยขึ้น พอมาเดินจงกรมอยู่บนคันนา ก็เดินเหนือพื้นดินโดยเท้าไม่ได้แตะพื้นดินเลย และอีกครั้งหนึ่งท่านได้นั่งบำเพ็ญภาวนานานติดต่อถึง 5 ชั่วโมง จนถึงเวลาประมาณ ตี 2 จะไปอาบน้ำในบ่อน้ำ พอลุกจากที่นั่งภาวนาตัวเบา……….หวิว เหมือนกับว่าเท้าไม่ได้แตะฝุ่นละอองบนพื้นเลย เดินลงไปในบ่อน้ำก็ไม่จมน้ำ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ เกิดกำลังใจ ยิ่งทำให้เร่งความเพียรหนักขึ้น และเป็นหนทางให้ออกบวช

ครั้นอายุได้ 15 ปี ท่านได้ออกบวชเป็นสามเณร ที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านหลวงปู่โชติ อาภัคโค เป็นอุปัชฌาย์ บรรพชาเสร็จแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ระยะหนึ่ง

จากนั้นเดินทางจาริกธุดงค์ ปักกลดอยู่ถ้ำภูตึก บ้านคุ้มปากมูล อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ขณะนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกนั้น มีงูเหลือมตัวหนึ่งเลื้อยมาพาดขา พาดตักบ้าง บางคืนนอนอยู่ งูเหลือมจะเลื้อยมาขดอยู่บนหน้าอก หนักมาก แต่จิตไม่มีการวิตกกังวลหรือกลัวอันใดเลย เพราะชีวิตนี้บูชาคุณพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด พระธรรมเป็นใหญ่ที่สุด


พระอริยสงฆ์เป็นใหญ่ที่สุด ตอนนั้นคิดแต่ว่า เราต้องทำหน้าที่ให้ถึงพระพุทธเจ้า ทำให้ถึงพระธรรม ทำให้ถึงซึ่งความเป็นพระอริยสงฆ์ ความกลัวทั้งหลายจึงไม่มี และได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกนั้นคนเดียวนานถึง 3 เดือน


ต่อจากนั้นก็ลงจากถ้ำภูตึกไป และจาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าเริ่มเห็นสิ่งอัศจรรย์เยอะแยะมากมายเกิดขึ้น เช่น สิ่งลี้ลับต่างๆ ที่คนทั่วไปมองไม่เห็น มองเห็นมุมโลกสองมุม คือ มุมมืดและมุมสว่างแห่งการเวียนว่ายตายเกิด มองเห็นสวรรค์ มองเห็นอบายภูมิ ประกอบด้วยนรก เปรตและอสุรกาย และเริ่มออกทำการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน







พรุ่งนี้ดีเดย์ !

2 เรื่องใหญ่เข้าคณะกรรมาธิการศาสนา

1. เซี่ยงเมียงเณรคำ ข้อหาหลอกลวงประชาชน
2. เซียงเมียงน้ำฝน ข้อหานำเข้ารถหรูหลบเลี่ยงภาษี







จับตา! 'กมธ.วุฒิฯ' ถก 'เณรคำ' 27 มิ.ย. นี้



26 มิ.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2556 เวลา 14.00 น.คณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของของพระสงฆ์ 2 กรณี ได้แก่ กรณีพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) วัดป่าขันติธรรม จังหวัดศรีสะเกษ นั่งเครื่องบินเจ็ทมีภาพถ่ายนอนคู่กับสีกา และใช้สิ่งของมียี่ห้อราคาแพง และกรณีพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม มีรถยนต์ราคาแพง ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 310 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3หมายนี้ถ้าจะเล่นเป็นข่าวก่อนได้



ข่าว : คมชัดลึก
26 มิถุนายน 2556


พระแก้วมรกตเหงา !

บักเณรคำเบี้ยวไม่มาห่มผ้าหน้าฝนซะแล้ว


บักเณรคำอ้าง "ติดกิจนิมนต์ฝรั่งเศส" มาร่วมงานไม่ได้

หุหุ เรื่องตอแหลนี่ไม่มีใครเท่าไอ้อรหันต์กำมะลอตัวนี้เลยนะ ก็ขนาดงานวัดของตัวเองแท้ๆ วางกำหนดการไว้ตั้งนาน แต่มันกลับบอกว่า "มีกิจนิมนต์สำคัญกว่า" กลัวถูกนิมนต์เข้าห้องขังมากกว่ามั๊ง ถ้างั้นก็ให้มันอยู่ฝรั่งเศสไปจนถึงชาติหน้าเลย








อ้างยังติดกิจนิมนต์ที่ฝรั่งเศส "หลวงปู่เณรคำ" เลื่อนบินกลับ ไทยไม่มีกำหนด ส่ง "หลวงปู่ปานขาว" เป็นประธานพิธีห่มผ้าหน้าฝนพระแก้วมรกตจำลองที่วัดป่าขันติธรรมแทน โวอาจมีอภินิหารเจ้าสำนักนั่ง ฮ.มาลงที่วัดในวันงานก็ได้ บุกสำรวจสาขาวัดสระแก้ว พบชาวบ้านรื้อถอนป้ายสาขาไปแล้ว เตรียมตั้งวัดใหม่ ยื่น ปปง.ตรวจสอบทรัพย์สิน-เส้นทางเงินพระดังพร้อมลูกศิษย์ 

 

"เณรคำ" ไม่มาพิธีห่มผ้าพระแก้ว

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 มิ.ย. ที่สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ หรือหลวงพ่อปานขาว เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณาราม ประเทศฝรั่งเศส พร้อมนายสุขุม วงประสิทธิ ประธานองค์กรเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ศิษย์พระวิรพล สุขผลหรือหลวงปู่เณรคำ และคณะ ร่วมกันเปิดแถลงข่าว



พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ กล่าวว่า ตามที่วัดป่าขันติธรรม จะจัดพิธีห่มผ้าฤดูฝน พระแก้วมรกตจำลอง องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ใน วันที่ 27-30 มิ.ย.นี้ หลวงปู่เณรคำมีหนังสือสั่งการให้อาตมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพุทธ ศาสนิกชน และประชาชนทั่วไปร่วมกันห่มผ้าฤดูฝนแด่พระแก้วมรกตจำลองแทน ส่วนหลวงปู่เณรคำตอนนี้อยู่ที่วัดโพธิญาณาราม ประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลับมา แต่ยังไม่ชัดเจน ถ้าเผื่อมีกิจนิมนต์ที่ประเทศฝรั่งเศสต่ออีกก็จะยังไม่กลับ


"ไม่แน่ถ้าเผื่อมีอภินิหารวันนั้นอาจจะมีเฮลิคอปเตอร์พาหลวงปู่มาลงที่นี่ในวันที่ 30 มิ.ย. ก็ได้" หลวงพ่อปานขาวกล่าว


นายสุขุมแถลงว่า ตามภาพที่ได้มีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต เป็นภาพที่ตัดต่อขึ้นมา ภาพการขึ้นเครื่องบินส่วนตัวตามที่มีการกล่าวอ้างนั้น เป็นเครื่องบินเช่าเหมาลำของบริษัทเอ็มเจ็ท ส่วนภาพการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก็เป็นเครื่องเช่าเหมาลำของบริษัทบางกอกเฮลิคอปเตอร์ ที่กัปตันขอทำสติ๊กเกอร์ไปติดเพื่อเป็นมงคล เรื่องกระเป๋าหลุยส์วิตตองและเครื่องใช้อื่นๆ มีผู้ถวายให้ ไม่ได้ถือใช้เป็นอาจิณจนกระทั่งไม่เหมาะสมตามที่กล่าวหา


 




"เอาโฉนดวัดคืนมา"
ยายลอนให้เวลา 15 วัน ไม่งั้นจะไปขอออกฉบับใหม่

 

เผยโฉนดที่ดินตั้งวัด-รวม 63 ไร่

เมื่อเวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอ.กันทรารมย์ เพื่อสอบถามถึงที่มาที่ไปที่ดินของวัดป่าขันติธรรม โดยนายสุมนชาติ ธีระสูตร เจ้าพนักงานที่ดินได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเอกสารโฉนดที่ดินของวัด ก็พบว่าที่ดินของวัดทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 63 ไร่

นายสุมนชาติ ธีระสูตร เจ้าพนักงานที่ดิน เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบตามแผนที่ระวางแล้ว ที่ดินของวัดป่าขันติธรรม มีเนื้อที่ทั้งหมด 63 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา โดยแยกเป็น 12 แปลง มีโฉนดชื่อของนางลอน มนัส รวมทั้งหมด 5 แปลง เนื้อที่ 12 ไร่ 3 งาน 19 ตารางวา ชื่อของนายสุตีย์ วุฒิยาสาร น.ส.ฐิติยา วุฒิยาสาร และน.ส.เบญจมาภรณ์ วุฒิยาสาร โฉนดมี 3 ชื่อ จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา และชื่อนางทองมี วุฒิยาสาร จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 9 ไร่ นอกจากนั้นเป็นที่ดินของคนอื่นๆ

"ยายลอน" ขอโฉนดคืนใน 15 วัน


ด้านนางลอน มนัส กล่าวว่าเมื่อช่วงประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา หลวงปู่เณรคำ แจ้งให้ตนนำเอาโฉนดทั้งหมดไปให้ โดยแจ้งว่าจะเก็บโฉนดเอาไว้เองจึงได้นำเอาโฉนดที่เป็นชื่อของตน จำนวน 3 ฉบับ ถวายให้หลวงปู่เณรคำโดยตรง แต่ว่าไม่ได้เซ็นมอบอำนาจให้หลวงปู่เณรคำแต่อย่างใดจนถึงบัดนี้ หลังจากที่หลวงปู่เณรคำได้โฉนดไปแล้วก็ไม่ได้ดำเนินการสร้างวัดแต่อย่างใด ดังนั้น ตนกับครอบครัวญาติพี่น้อง จึงมีความประสงค์ที่จะขอโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับคืนเพื่อที่จะได้นำเอามาประกอบหลักฐานในการขอตั้งวัดให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป โดยขอให้หลวงปู่เณรคำนำโฉนดของตนทั้ง 3 ฉบับมาคืนให้ตนภายใน 15 วัน คือภายในวันที่ 11 ก.ค. 2556 หากไม่นำเอามาคืนภายในกำหนด จะถือว่าโฉนดสูญหายทั้งหมดและจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อขอโฉนดแทนใบเดิมต่อไป






"ไม่เหมาะครับ ไม่เหมาะ"
นพรัตน์จีบปากจีบคอ
"พระไม่เหมาะเป็นพรีเซนเตอร์"

ทำได้แค่นั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ



พศ. ชี้ไม่เหมาะ-เป็นพรีเซ็นเตอร์


วันเดียวกัน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีหลวงปู่เณรคำเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาเครื่องฟอกอากาศ ชักชวนญาติโยม ให้ซื้อไปถวายพระ ว่า ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการนำรูปภาพพระรูปดังกล่าวที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมมาเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตอย่างมากมาย จนกลายเป็นข่าวฮือฮาสร้างความเสียหายแก่วงการสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง สำหรับคลิปหลวงปู่เณรคำเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาเครื่องฟอกอากาศ ตนยังไม่ได้ดู จึงไม่ทราบรายละเอียด คงต้องไปดูเพื่อให้ทราบถึงที่มาเสียก่อน แต่สำหรับพระสงฆ์การเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้า คงจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก คงต้องขอวิงวอนให้ชาวพุทธใช้วิจารณญาณในการชมภาพต่างๆ ที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจจะเกิดผล กระทบต่อศรัทธาประชาชนได้

นายนพรัตน์กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบหลวงปู่เณรคำ ว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องอื้อฉาวของหลวงปู่เณรคำ พศจ.ศรีษะเกษ ได้ติดตามเรื่องราวอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งสั่งการให้นายวิรอด ไชยวรรณา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีษะเกษ รายงานความคืบหน้าที่เกิดขึ้นเป็นระยะ รวมทั้งได้สั่งการให้เข้าไปช่วยเหลือคณะกรรมการสอบ สวนข้อเท็จจริงหลวงปู่เณรคำ ที่เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต แต่งตั้งขึ้น ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องในวงการคณะสงฆ์และมีเรื่องเงินเป็นจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง คงต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกระยะหนึ่ง


 

ข่าว : ข่าวสด
26 มิถุนายน 2556



ไม่อาวเณรคำแล้ว !
ชาวสระแก้วรื้อป่ายสาขาวัดป่าขันติธรรม
สาขาอื่นก็คงจะทยอยรื้อเรื่อยๆ ไปจนถึงฝรั่งเศส


400 สาขา ไม่มีที่จอดเลยลูกพี่ มีแต่ที่ลาดยาว
เห็นทีต้องกลับฝรั่งเศสซะแย้ว



สระแก้วรื้อป้ายสาขาขันติบารมี

เมื่อเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังสำนักสงฆ์วัดป่าขันติบารมี สาขาที่ 201 ม.18 ต.ทุ่งมหาเจริญ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว พบว่าด้านหน้าไม่มีป้ายชื่อแต่อย่างใด พบเพียงพระเรืองฤทธิ์ อินทวังโส ผู้ดูแล จากการสอบถามทราบว่าสำนักสงฆ์แห่งนี้ เดิมชื่อวัดป่าขันติบารมี สาขาที่ 201 จริง แต่ตอนนี้ที่เป็นข่าวอื้อฉาวออกมา ชาวบ้านได้พากันมาปลดป้ายชื่อลง สำนักสงฆ์แห่งนี้มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 10 ไร่เศษ ทั้งวัดมีอาตมาและสามเณร เพียง 2 รูปเท่านั้น


พระเรืองฤทธิ์เล่าว่า เมื่อปี 2552 มีชาวบ้านได้มอบที่ดินเพื่อสร้างเป็นวัด โดยมีอาตมาเป็นผู้ที่ริเริ่ม ผู้ที่มอบที่ดินแห่งนี้คือนายกฤษณา เสาวบุตย์ เจ้าของที่ดิน ก็ได้ไปเจอกับหลวงปู่เณรคำ จึงเกิดศรัทธาขึ้น พร้อมได้นิมนต์ให้หลวงปู่เณรคำมาเปิดสาขาที่วัดแห่งนี้ และเมื่อปลายปี 2552 หลวงปู่เณรคำก็มาโดยเฮลิคอปเตอร์ลงที่หน้าวัด มีลูกศิษย์ลูกหา ติดตามมาเป็นจำนวนมาก ต่อมาปี 2553 ก็กลับมาทอดผ้าป่าอีกครั้ง และเปิดป้อมตำรวจบริเวณสี่แยกบ้านคลองใหญ่ ครั้งนั้นมารถเป็นขบวนยาว ลูกศิษย์มากมายเช่นเดิม


"ต่อมาอาตมาเห็นว่าระยะหลังชักไม่ค่อยดีแล้ว ลูกศิษย์แบ่งแยกกันโดยมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงได้ลาออกไปจำพรรษาที่วัดอื่นตั้งแต่ปลายปี 2553 แล้ว ครั้งนั้นพระสุทธิ ปัญญาธโร ขึ้นเป็นพระประธานสำนัก สงฆ์แห่งนี้ต่อ ต่อมา กลางปี 2555 ชาวบ้านก็กลับมานิมนต์อาตมากลับมาอยู่ดูแลวัดเช่นเดิม สำหรับสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดภายในวัดแห่งนี้ ก่อสร้างมาตั้งแต่อาตมาอยู่เก่าแล้ว ก็ยังไม่เห็นหลวงปู่เณรคำนำปัจจัยอะไรมาสร้างวัดแห่งนี้เลย" พระเรืองฤทธิ์ระบุ


ไม่เอาแล้วเณรคำ-ตั้งชื่อวัดใหม่

ด้านนายชนะ พันธ์สิง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 18 บ้านแสนสุขกล่าวว่า ตั้งแต่แรกๆหลวงปู่เณรคำบอกจะมาสร้างวัด สร้างถาวรวัตถุ เวลาวันงานในครั้งนั้นได้จำหน่ายวัตถุมงคลมากมาย ลูกศิษย์ลูกหา ต่างมาทำบุญ ก็ไม่เห็นท่านจะนำเงินมามอบให้วัดเลย เอาไปหมด กุฏิหลังไม้สักหลังนี้ก็เป็นเงินของชาวบ้านแถวนี้ทั้งนั้น ศาลารวมใจ ก็เงินทอดกฐินผ้าป่าของชาวบ้าน ตนเห็นแต่แรกแล้วว่าท่านจะมาพูดแต่เรื่องหาเงินไปบำรุงที่วัดโน้นเพื่อจะสร้างพระแก้วมรกต และจะยกยอแต่คนมีเงินเท่านั้น จะเข้าหาได้ง่าย พอตนพูดมากกรรมการวัดเลยแตก อีกทั้งยังจะขับตนออกจากผู้ใหญ่บ้านทีเดียว อีกอย่างที่ชาวบ้านไม่ค่อยพอใจคือ เวลามีงานบุญ สงกรานต์ เข้าพรรษา ออกพรรษา พระสุทธิ ปัญญาธโร ที่หลวงปู่เณรคำแต่งตั้งเป็นประธานสงฆ์ ก็ไม่ค่อยจะอยู่วัด จะเดินทางไปแต่วัดใหญ่ ชาวบ้านจะมาทำบุญ ก็ไม่มีพระ ชาวบ้านจึงเริ่มเสื่อมศัทธาหลวงปู่เณรคำ ซึ่งท่านมาเพียง 3 ครั้งเท่านั้น ตั้งแต่ปลายปี 2553 ก็ไม่เคยเห็นมาอีกเลย พอมีข่าวของหลวงปู่เณรคำชาวบ้านเลยกลับมาดีกันและได้พากันไปปลดป้ายออก โดยจะประชุมชาวบ้านและกรรมการวัดอีกครั้ง เพื่อที่จะตั้งชื่อวัดแห่งใหม่ พร้อมทั้งจะดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อขอเป็นวัดที่ถูกต้องต่อไป


 ตะลึง !

บักเณรคำจ่อออกเหรียญมอมเมาประชาชนเพียบ


ชื่อสุดเท่ห์

"รวยไม่มีเหตุผล"

ปล่อยของล็อตนี้หมดก็สบายไปอีกสิบชาติ
แบบว่าไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเลย



รวยไม่มีเหตุผล = ซวยไม่มีเหตุผล





เปิดจองด่วน ช้าอาจหมดตัว !



อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม
25 มิถุนายน 2556



สมบัติเณรคำกระจาย !


สอบพบสมบัติพันล้าน "เณรคำ" ตกอยู่ในมือกลุ่มศิษย์ใกล้ชิด แปลว่า.. ถ้าบักเณรคำมีอันเป็นไป ก็กลายเป็นของลูกศิษย์ไป เพราะอ้างว่า เป็นของลูกศิษย์เอาไว้ถวายพระอาจารย์ใช้ แล้วจะมีปัญญาอะไรไปทวงคืนให้แก่วัดหรือผู้บริจาค งานนี้แหละ แสดงให้เห็นว่า ลำพังตัวบักเณรคำกำมะลอนั้นไม่อันตรายเท่าใดนักหรอก เป็นแต่เพียง "หุ่นเชิด" ของขบวนการนรกที่ต้มตุ๋นชาวไทยทั่วประเทศเท่านั้น มิน่า นับตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้นมา ยังไม่เคยเห็นหน้าบักเณรคำโผล่มาให้สัมภาษณ์เลย มีแต่สมุนหน้าโจรเท่านั้นที่กระเหี้ยนกระหือรือโต้ข่าววันละสามเวลา กลัวบักเณรคำตายก่อนละสิท่า เพราะถ้าอาจารย์เป็นอะไรไป โครงการพันล้านที่กะจะโกงประเทศไทยให้พุงกางของขบวนการเปรตนี้ก็จะอวสานลงทันที

นี่คือความจริงที่รัฐบาลไทยต้องเปิดหน้ากากออกมาให้จงได้ ไม่ว่าไอ้-อีพวกนี้จะเป็นสีใดก็ตาม !




เรารักเณรคำ เพราะเณรคำทำให้เรารวย



ดร.อำนาจ บัวศิริ
รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ



ดร.อำนาจ รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ระบุ "สอบสมบัติเณรคำยาก เพราะมีนอมินีถือครองไว้หมด" แปลว่า ถึงรู้ก็ทำอะไรไม่ได้..


นายอำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ศรีสะเกษ ว่าขณะนี้จะต้องรอให้หลวงปู่เณรคำเดินทางกลับมาจากต่างประเทศก่อนจึงจะสอบสวนรายละเอียดได้ เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ และได้รับความสนใจจากประชาชน จึงต้องมีการสอบถามข้อเท็จจริงจากฝ่ายของหลวงปู่เณรคำด้วย เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่รอบด้าน แต่ตนคิดว่าคงเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะเอาผิดกับฝ่ายของหลวงปู่ได้ครบทุกประเด็น เนื่องจากหลายเรื่องพบว่าหลักฐานอ่อนมาก เช่น เรื่องการครอบครองรถหรูนั้น คณะกรรมการที่สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติตั้งขึ้นมา ตรวจสอบพบว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นผู้ถือครอง จึงไม่สามารถเอาผิดกับหลวงปู่ได้ รวมถึงเรื่องเส้นทางการเงินที่ตรวจสอบได้ยาก เพราะขณะที่ประชาชนบริจาคไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่ามีเงินเข้า-ออกจากบัญชีเท่าไหร่ และคาดว่าอาจจะแยกกันไว้หลายบัญชีอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ดินที่มีข่าวว่า นางลอนเจ้าของที่ดินออกมาระบุว่าได้บริจาคที่ดินเพื่อใช้สร้างวัดให้แก่หลวงปู่เณรคำ ซึ่งบัดนี้ได้ผ่านมาร่วม 10 ปีแล้ว เรื่องนี้เจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ที่จะขอที่ดินคืน เพราะเลยเวลาการขออนุญาตสร้างวัดแล้ว แต่หากเจ้าของที่ดินหรือทางสำนักสงฆ์ขันติธรรมจะดำเนินการสร้างวัดขึ้นมาใหม่ จะต้องยื่นเรื่องเพื่อขออนุญาตใหม่อีกครั้ง โดยที่ดินดังกล่าวนั้นยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทางฝ่ายหลวงปู่เณรคำแต่อย่างใด เพราะคณะกรรมการได้ตรวจสอบแล้วพบว่ายังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของเดิมคือนางลอน ส่วนเรื่องที่มีการขู่เอาชีวิตจากฝ่ายลูกศิษย์วัดนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจต่อไป



ข่าว : ไทยโพสต์
26 มิถุนายน 2556


โกง 30 ล้าน !

ศิษย์เณรคำแจ้งดำเนินคดีอดีตกรรมการวัด

อา..มหกรรม "ทุบทำลาย" พระแก้วใหญ่สุดในโลกเริ่มแล้ว ผลบุญที่ทำไว้กับอรหันต์กำมะลอนั้นมาถึงไวเหลือเกิน ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าก็เห็นทันตา !





พระอินทร์เสด็จมาอาราธนาให้หลวงปู่สร้าง
ก็จึงไม่ต้องขออนุญาตสำนักพระราชวัง
เพราะใครจะใหญ่กว่าพระอินทร์ จริงไหมโยม ?




ทำไปเถิดโยม เพราะไม่ว่าใครแจ้งความจับใคร มันก็ทำในนามวัดป่าขันติธรรมทั้งสิ้น มีอรหันต์เณรคำเป็นผู้ริเริ่มโครงการ (ตามที่ได้นิมิตในญาณโตงเตง) รอดูพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ก็ต้องมีอีกฝ่ายออกมาแจ้งความกลับกรรมการชุดใหม่ เพราะเชื่อแน่ว่า มันต้องกินกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ฝ่ายเณรคำนั้นยิ่งหนักหนากว่า เพราะครอบครองเงินบริจาคมหาศาล รวมทั้งการตั้งบริษัทขายพระเครื่องไว้ที่สมุทรสาครอีกต่างหาก นี่แหละคือจุดจบของบักเณรคำอย่างแท้จริง เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้ชาวโลกเห็นว่า "ไอ้ที่อ้างๆ ว่าเป็นผู้วิเศษมหัศจรรย์อะไรต่างๆ นั้น ล้วนเป็นสิ่งตอแหลทั้งสิ้น เพราะแค่การเงินยังไม่สามารถควบคุมได้ นับประสาอะไรกับเรื่องสวรรค์นิพพาน มันเหลวไหลทั้งเพ"





ศิษย์หลวงปู่เณรคำเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กล่าวหาอดีตกรรมการฝ่ายการเงินวัดป่าขันติธรรม ยักยอกเงินกว่า 30 ล้าน... 
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 มิ.ย. 56 ที่ สภ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ นายเทพพนม นามดี อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101 ม.16 ต.สลักได อ.เมือง จ.สุรินทร์ และนายธีรสิทธิ์ แก้วขาว อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 678 ม.17 ต. นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.ภิรมย์ ยศอาลัย พงส.สภ.กันทรารมย์ เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายโกวิทย์ โกมณเฑียร กรรมการฝ่ายการเงินของมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต วัดป่าขันติธรรม พร้อมพวก ในข้อหายักยอกทรัพย์ของมูลนิธิฯ

นายเทพพนม กล่าวว่า เนื่องจากมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิตวัดป่าขันติธรรมได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 เมื่อปลายปี 2555 ปรากฏว่า นายโกวิทย์ไม่สามารถชี้แจงงบการเงินของมูลนิธิฯ ได้ นอกจากนั้น นายโกวิทย์พร้อมพวกยังมีพฤติกรรมไม่สุจริต ร่วมกันยักยอกเงินของมูลนิธิฯ ไปเป็นของตนเอง เช่น การปลอมลายเซ็นประธานมูลนิธิฯ ไปเบิกเงินธนาณัติ และธนาคาร, จัดซื้อวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ต่างๆ ราคาเกินจริง ซึ่งทำให้มูลนิธิฯ เสียหายไปกว่า 30 ล้านบาท ดังนั้น ตนจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับนายโกวิทย์พร้อมพวก ในข้อหายักยอกทรัพย์ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นจะมีการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำเพื่อดำเนินการต่อไป



ข่าว : ไทยรัฐ
26 มิถุนายน 2556

ข่าว : ข่าวสด
26 มิถุนายน 2556

ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ4 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:16

    ก็ช่วยกันยกเองนี่... จำไว้ใครอวดอ้างมีคุณวิเศษ ชั่งใจก่อนปักใจ โดนกันมาหลายกระทอกแย้ว....ไม่รู้จักจำพระแท้ยังมีเยอะ พระเละเทอะ ไม่มีหมดยุค
    พอทำท่าจะเงียบ..เดี๋ยวมันก็คิดมุกใหม่มาอีก เนียนขึ้นอีก พวกเมาบุญ ซื้อบุญด้วยสินทรัพย์ทองเงิน อย่างตื่นกระแส กระหือรือ จะเอาสวรรค์ทิพยะวิมาน อันนี้
    ไม่น่าซื้อได้ด้วยเงินนะโยม ไตร่ตรองดูละกัน อย่างหลงทางเมาบุญผิดๆ จนห่างจากแก่นแท้ของพระศาสนา ทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์ บาทเดียวก็บรรลุได้

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ4 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:19

    เดี๋ยวกลับ โยม..ยอดขายเครื่องฟอกฯยังไม่ทะลุเป้า

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง