ระบบ "เช้าชามเย็นชาม" มาก่อนนั่นเอง สำนักพุทธฯวันนี้จึงเป็นแดนสนธยาของประเทศไทยตัวจริงเสียงจริง
แบ่งใหม่ แต่..ไม่มีอะไรใหม่ !
ครม.แบ่งงานสำนักพุทธฯใหม่
แบ่งไปแบ่งมาก็ไม่มีอะไรใหม่
แบบนี้เขาเรียกว่า เหล้าเก่าในขวดใหม่
กินเข้าไปก็ "เมาและเหม็น" เหมียนเดิม
สามผู้ยิ่งใหญ่ในทางศาสนาและการเมือง
ข่าวจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล รายงานว่า เมื่อวันที่ 9ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีวาระพิจารณาหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นมีเรื่อง "ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ" ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บรรจุอยู่ในวาระที่ 2 ด้วย
โดยคณะรัฐมนตรีมีมติ "เห็นชอบ" ให้แบ่งส่วนราชการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสียใหม่ ปรับเพิ่มจากเดิมมี 9 หน่วยงาน เพิ่มขึ้นอีก 1 หน่วยงาน ได้แก่ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถูกเพิ่มเข้ามาเป็นกองที่ 10 ส่วนกองแรก หรือกองที่ 1 ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่า "กองกลาง" ก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ เป็น "สำนักงานเลขานุการกรม" ส่วนอีก 7 กองนอกนั้นยังคงชื่อและภารกิจไว้เหมือนเดิม
จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมเพื่อปรับปรุงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในครั้งดี ก็ไม่มีอะไรใหม่เลย ไม่ว่าจะเป็นด้านการปรับโครงสร้างหรือการกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ในการบริหารงาน เพื่อสนองงานพระพุทธศาสนาให้พัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม ขณะที่องค์กรอิสระอื่นๆ อาทิเช่น วัดพระธรรมกาย ของธัมมชโย สำนักวัดนาป่าพงของพระคึกฤทธิ์ วัดอ้อน้อยของพุทธะอิสระ สวนโมกข์ ของพระสุเทพเป็นต้น ต่างก็ระดมสรรพกำลังสร้างงานและสร้างอิทธิพลกันอย่างออกหน้า ทว่า มหาเถรสมาคมก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ดี รวมทั้งรัฐบาลไทย ทำได้แค่เพียง "นั่งมองหน้าตาปริบๆ" ไม่มีกำลังวังชาจะพัฒนาสร้างงานใดๆ ขึ้นมา ครั้นเกิดปัญหาในองค์กรใหม่ๆ เหล่านั้นให้มหาเถรสมาคมวินิจฉัย มหาเถรสมาคมก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอต่อการจัดการ ทั้งนี้เพราะองค์กรอิสระเหล่านั้น มีผู้มีอิทธิพลทางการเมืองหนุนหลัง และถูกปล่อยปละละเลยจากองค์กรกลางนามว่า "มหาเถรสมาคม" มาจนนานเกินแก้นั่นเอง
สำหรับ "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" แล้ว ก็ยิ่งหมดน้ำยา เพราะว่านับตั้งแต่ส่วนหัว คือตัวผู้อำนวยการ ซึ่งช่วงหลังมานี้ หันมายกลูกหม้อ คือข้าราชการประจำเลื่อนขึ้นมาดำรงตำแหน่ง จึงเชื่องเหมือนแมว ไม่กล้าพูดกล้าทำอะไร เกรงใจทั้งรัฐบาล ทั้งมหาเถรสมาคม ทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั่วไทย เขาจูงจมูกให้ไปทางไหนก็จำเป็นต้องไป เพราะชาชินกับระบบ "เช้าชามเย็นชาม" มาก่อนนั่นเอง สำนักพุทธฯวันนี้จึงเป็นแดนสนธยาของประเทศไทยตัวจริงเสียงจริง
ยิ่ง นายพนม ศรศิลป์ ผอ.คนปัจจุบัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกวันนี้ท่องอยู่คาถาเดียว คือ"รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี" รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ไปทางไหนก็พนมมือไว้เป็นเทวดาหน้าโบสถ์ ขึ้นนั่งเก้าอี้ ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ไม่ทันก้นอุ่น ก็ประกาศ "ตั้งโฆษกสำนักพุทธฯ" ให้พูดแทนตัวเอง ทั้งๆ ที่เรื่องสำคัญๆ เกี่ยวกับมหาเถรสมาคมนั้น ควรที่ ผอ.สำนักพุทธฯ จะต้องออกมาพูดด้วยตนเอง เพื่อเป็นการเคารพต่องานพระพุทธศาสนาอันทรงเกียรติ และต่อตำแหน่ง "เลขาธิการมหาเถรสมาคม" นายพนมเป็นคนแรกที่แหกประเพณีในประวัติศาสตร์เลขาธิการมหาเถรสมาคม ที่ไม่ยอมทำหน้าที่อันสำคัญนี้ นี่ไงถึงบอกว่า นายพนมเป็นคนกะล่อน ตำแหน่งนั้นอยากได้ หัวหน้าก็อยากเป็น แต่งานไหนอันตรายก็ไม่กล้าออกหน้า โบ้ยให้ลูกน้องออกรับแทน มันก็สมน้ำหน้า "บิ๊กตู่" ที่สู้อุตส่าห์ยึดอำนาจเข้ามา และก็ทำได้แค่นี้ แค่ถ่วงเวลาประเทศไทยและพระพุทธศาสนาให้คนด่าเล่น ปล่อยให้องค์กรอื่นๆ แทรกซึมไปเรื่อยๆ พอหมดอำนาจและปลดปล่อยประเทศไทยไป ก็คงได้เห็นว่า "ลอยเคว้ง" เป็นเรือไร้หางเสือกลางทะเล
ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม รายงาน
10 ธันวาคม 2557
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ