ประวัติศาสตร์ "โผเจ้าคุณ" : "ประโยชน์พวกพ้องพี่น้องกู" /ละโมบนิยม/ต่อระบบสมณศักด์ ในการปกครองสงฆ์ไทย -โมไนย พจน์-


 เห็นภาพข่าวเกี่ยวกับการตั้งสมณศักดิ์ ประจำปี 2556 ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ (หนังสือพิมพ์ "โผเจ้าคุณ" คมชัดลึก 18 ต.ค.2556) อาจจะเรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นประเทศกาลประจำปีของคณะสงฆ์ไทย "ตั้ง-เลื่อน-ยก" ที่ต้องมีการเสนอชื่อโปรดเกล้า พระผู้ที่สมควรจะได้รับสมณศักดิ์  ที่เรียกว่่า "เจ้าคุณ" ในช่วงวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ เพื่อพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งลำดับต่อไป แต่ที่ให้สนใจเป็นพิเศษหน่อย ก็คือภาพข่าวเกี่ยวกับการได้มาึ  หรือกลุ่มก้อนของบุคคล หรือคณะุบุคคล ในการได้มาซึี่งสมณศักดิ์  ที่ดู ๆ ไป ก็ยังคงรูปแบบเดิม ๆ โลกทัศน์เดิม ๆ ไม่เปลี่ยนแแปลง ที่ยังใช้ "สูตร" เดิม ๆ หรือ "โลกทัศน์" เดิม ๆ ในการให้ได้มาซึ่ง ยศ ตำแหน่ง อำนาจ ผ่านพฤติกรรมที่เรียกว่า ระบบอำนาจนิยม พวกนิยม จังหวัดนิยม ซึ่งในความเป็นจริงควรหมดไป แต่มีคน "ตกยุค" ยังคิดว่านี่คือระบบที่สุดยอด นอนกกกอด เสพสม อยู่กับแนวคิดเดิม เราจึงเห็นโผ (ตามภาพข่าว) ของระบบ พวกนิยม ความละโมบ ในวัดตัวเอง พวกตัวเองอยู่ในภาพข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่ปรากฏต่อสาธารณะ (หนังสือพิมพ์ "โผเจ้าคุณ" คมชัดลึก 18 ต.ค.2556) 
          
          ตอนแรกก็เฉย ๆ ไม่ได้คิดจะเขียนถึงอะไรเกี่ยวกับพระสงฆ์องค์เจ้ากับระบบสมณศักดิ์ แต่เมื่อพิจารณาดูโผตามที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ ก็อดไม่ได้ จะเข้าทำนอง “สอ-เอือ-ก” ก็คงไม่ผิด  จึงคิดว่า  “ควรพูดถึง” ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าไม่เห็นด้วย กับพฤติกรรมการกระทำที่บกพร่อง ทางอำนาจหน้าที่และตำแหน่ง เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่องค์กรแห่งคุณธรรมกลายเป็นผู้ไร้ระบบคุณธรรมเสียเอง แล้วจะสอนใคร หรือเป็นที่พึ่งของใครที่ไหนได้เล่า นั่นคือความรู้สึกส่วนตัวจึงต้องมาเขียน
        แล้วจะเขียนถึงอย่างไร ?
         ก็ต้องมองไปเฉพาะเหตุการณ์นี้ ที่เป็นภาพข่าวปรากฏต่อสาธารณะอยู่แล้ว
          การแต่งตั้งสมณศักดิ์เกี่ยวอะไรกับเหตุต้องพูด ง่าย ๆ คือ ถ้าระบบการให้คุณ ให้โทษ เพื่อสร้างเสริมแรงใจในการทำงาน รวมทั้งการให้โทษมีความผิดพลาด ทำให้ระบบอื่น ๆ รวนไปหมด หรือรวนทั้งระบบ แปลง่ายอีกหน่อยก็คือเป็นพฤติกรรมความหายนะเชิงระบบที่เกิดขึ้นในสถาบันศาสนากำลังเกิดขึ้น การที่สถาบันศาสนา ที่มีบทบาท หน้าที่ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทางด้านจริยธรรม ความดี (โดยหลักต้องเป็นอย่างนั้น) การันตีความเป็นมนุษย์ให้มีคุณค่าในสังคม แต่ในทางกลับกัน ถ้าตัวองค์กรแห่งความดี บิดเบี้ยวเสียเองแล้ว ระบบการให้คุณค่าผิดไป จนมีภาพลักษณ์เป็นคนของใคร เข้าหาวิ่งเต้นหรือไม่ รวมทั้งมีกระสุนดินดำที่เรียกว่า “เงิน”  จ่ายกับใคร ในรูปของการสนับสนุนกิจกรรม มุทิตาสักการะ หรือการจัดงานสวดฉัน บ่อย ๆ จะได้ไหมว่า ระบบคุณธรรมล้มเหลว  การให้คุณ ให้โทษ ก็จะล้มเหลว ผิดหลักการและเจตนารมณ์อย่างนั้นหรือไม่ ?
                 เมื่อกฎถูกเลือกปฏิบัติ  ผู้สร้างกฎโดยเจ้าคณะผู้ปกครอง และกลายเป็นผู้ทำลายกฎเสียเอง เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้าเป็นพฤติกรรมการกระทำที่ผิด แนวคิดทางพระพุทธศาสนา มองว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เสรีภาพ ความเสมอภาคตามกฏแห่งชาติ  รวมทั้งการที่พระพุทธเจ้าตั้งพุทธศาสนาเพื่อชนทุกหมู่กลุ่ม จะตีความได้ไหมว่าพระพุทธเจ้ายังไม่เลือกปฏิบัติ ไม่พรรคเล่นพวก  แต่ทำไมคนที่เป็นสาวก สมาทานตามหลักพุทธ กลับกระทำตรงกันข้าม  ?
            โผสมณศักดิ์ ที่ข้าพเจ้าเห็น คือ เงาของผู้ให้ ผู้พิจารณาให้  ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะสมเด็จ เจ้าคณะใหญ่หนต่าง ๆ ภาพลักษณ์จึงออกมาเป็น “เด็กใคร-ลูกน้องใคร-สายใคร” แต่ไม่ได้เกิดจากความสามารถและสมควรแก่การยกย่อง ในผลแห่ง การปฏิบัติตามภาระหน้าที่ หรือ“บารมี” ธรรมที่สะสมมาแต่อย่างใด  แต่กลับเป็นเพราะผลของการให้ต่างตอบแทนในเชิงระบบ ที่เรียกว่า "ทักษิณา-มุทิตาสักการะ-สวด-ฉัน-ดับเทียนชัย-นั่งปรก" ฯลฯ ซึ่งมันก็คือ "่ส่วย" ในอีกรูปแบบหนึ่ง เราจึงเห็นผู้ที่ได้เป็นพระ ในสายในเครือ ในก๊ก ในเหล่า คำว่าพระราชาคณะ แปลว่า คณะของพระราชา ก็คงไม่ผิด ถ้าจะเปลี่ยนเป็น สมเด็จพระราชาคณะไปอีกหน่อย ก็จะเป็น พระราชาคณะขององค์ที่เป็นสมเด็จ รองสมเด็จ  กรรมการมหาเถรสมาคม หรือหมู่พวก อย่างนั้นหรือไม่ ? ภาพของการได้สมณศักดิ์ จึงเป็นวัดปากน้ำและพวก, วัดไตรมิตรและพวก, วัดยานาวาและพวก วัดบวรนิเวศและพวก หรือวัดของกรรมการมหาเถรสมาคมในฐานะผู้มีสิทธิ์ออกเสียงและพวก อย่างนั้นหรือไม่ ?
                หรือข้าพเจ้าคิดไปเอง ?

ชั้น/ยศ
ธรรมยุต
มหานิกาย
หนกลาง
หนตะวันออก
หนใต้
หนเหนือ
วิเทศ*
สมเด็จ
-
-
-
-
-
-
-
พรหม
1
1
2




ธรรม
1
3
 1
1
1
1

เทพ
2
5
4
1

1
1
ราช
3
11
8
2
1
2
 1
สามัญ
13
31
20
11
4
3
6
รวม
20
51
 35
15
6
7
8
รวม
71
ตารางนี้ต้องการบอกว่า  ผู้ที่ได้ยศและตำแหน่งตามสายงานของการปกครอง ซึ่งไม่แปลก  แต่ที่แปลกจะเห็นเฉพาะ วัดที่สนิทสนม ฝักใฝ่ กรรมการมหาเถร เจ้าคณะใหญ่ และเจ้าคณะภาค อาจเรียกได้ว่า เจ้าคณะและพวก  ได้ยศ ได้ตำแหน่ง ที่อวยกันอยู่กับหมู่กลุ่มและคนใกล้ชิด 
            * (ต่างประเทศ)                 
วัดปากน้ำ
วัดสระเกศ
วัดพิชัย
วัดสามพระยา
วัดยานนาวา
วัดประยูร
วัดบวรฯ
วัดไตรมิตรฯ
1
1
1
1
1
1
2
2
เจ้าคุณในวัดต่าง ๆ เป็นของกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งสิ้น  ได้มากน้อย ต่างกันในแต่ละปี  แต่ในทุก ๆ ปี ต้องมีชื่อวัดเหล่านี้ปรากฏ ยังไม่นับบริวารว่านเครือในชื่อวัดเดียวกับวัดสมเด็จ หรือได้ฐานานุกรมในสมเด็จ รองสมเด็จ กรรมการมหาเถรสมาคมอีกหลายท่าน ฯลฯ
         ดังกรณีตัวอย่าง ของพระราชคณะชั้นธรรม ที่ "พระธรรมภาวนาวิกรม วิ."วัดไตรมิตรวิทยาราม ที่เพิ่งได้พระราชาคณะชั้นธรรมเมื่อ 5 ธ.ค.2554 แต่ด้วยอยู่ในวัดเดียวกับว่าที่สมเด็จ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม  ?  เมื่อถึงวันที่  5 ธ.ค.2556 ได้รับเลื่อนเป็น “รองสมเด็จ” ใช้เวลา 2 ปีในการดำรงตำแหน่ง ก้าวกระโดดมา นอกจากนี้ ยังมีพระราชาคณะ 1 รูป (พระมหามงคล ป.ธ.9)  ยังไม่นับรวม ปรากฏการณ์ 3 ตำแหน่ง คือ (1) เจ้าคณะภาค 8 แทนภาค 8 เดิมที่ไปเป็น (2) เจ้าคณะหนใหญ่ แถมยังตั้งอดีตเลขาเจ้าคณะภาค 8 วัดเดียวกันเป็น (3) รองเจ้าคณะภาคอีก 1 ตำแหน่ง ถามว่าโดยสิทธิ์ทำได้ไหม ก็คงตอบได้ แต่มันดู “พร่อง” คุณธรรมของการได้มาซึ่งตำแหน่งอย่างไรไม่ทราบ ? ตำแหน่งทั้งหมดนี้กระจุก  อยู่ที่เดียวกันทั้งหมด  เราไม่ได้อิจฉาในบุญญาธิการของพระคุณท่านหรอกเกล้ากระผมไม่ได้ขัดแย้งหรือเห็นต่าง แต่ให้รู้สึก “หดหู่” ขึ้นมาเฉย ๆ วัฒนธรรมองค์กรถ้าเป็นแบบนี้ และยอมรับว่ามันทำได้  ในแบบ มือใครยาวสาวได้สาวเอา ปาดหน้า เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งก่อนหน้านี้มีหรือเป็นหรือไม่ ก็ต้องตอบว่ามันก็เคยเป็นมาก่อนหน้านี้อย่างยาวนาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไม่งั้นจะมีคำว่า “อย.” (พระสงฆ์จากจังหวัดอยุธยาที่เป็นพระชนชั้นปกครอง) ในระบบคณะสงฆ์หรือ แต่ความจริงนี้ มันสะท้อน ให้เห็นว่าการที่เราเรียกตัวเอง  “องค์กรทางศาสนา” ที่จะมีหน้าที่ผลิตชุดคุณธรรม ศีลธรรม (ศาสนา) ชี้หลักการที่ถูกต้องให้กับสังคม แต่ภาพที่ปรากฏมันมีผลตรงกันข้าม ? 
          ในทัศนะข้าพเจ้า คิดว่า การที่พวกท่านสวาปาม ต่อยศ ตำแหน่ง ประหนึ่งเคยถูกกระทำในอดีต คือจะได้ แล้วไม่ได้ ถูกปาดหน้า ข้ามหัวแย่งชิง ประหนึ่งฝังรอยแค้นไว้ให้จำ กับพฤติกรรม “เลว” ในอดีตแต่เมื่อตัวเองสบโอกาส กลับลืมความรู้สึกที่เคยเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วมาสร้างตัวเป็นผู้กระทำการเสียเอง แล้วองค์กรที่ชื่อ “พระพุทธศาสนา” โดยมีพระคุณท่านเป็นผู้นำองค์กรระดับสูง หรือถูกวางตัวให้เป็นผู้นำระดับสูง จะนำพาผู้มาบวช ในชื่อ  “ศาสนทายาท” หรือชาวพุทธ ได้แสวงหา “พุทธะ” ที่ไหนกันได้เล่า เมื่อพวกท่านกระทำการกันแบบนี้เสียแล้ว เพราะสิ่งที่พวกท่านกระทำอยู่มันเหมือนกับว่าองค์กรศาสนาเป็นของพวกท่าน เป็นของวัดท่าน และที่สำคัญพฤติกรรม และการกระทำของพวกท่านได้สร้างพฤติกรรมช้ำ ๆ เดิม ๆ ในแบบ “พร่อง” คุณธรรม จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร เราจึงเห็นพฤติกรรมกระโดดข้ามหัว ปาดหน้า เล่นพรรคเล่นพวก กันอย่างออกหน้าออกตาอย่างนั้นหรือไม่ ? ต่อกรณีภาพข่าวเกี่ยวกับสมณศักดิ์ที่ข้าพเจ้าเห็นทางหน้าหนังสือพิมพ์
ชื่อ
ยศ-ตำแหน่งเดิม
ได้เมื่อ
ยศ-ตำแหน่งที่ได้
เมื่อ
พระพรหมเวที
เจ้าคณะภาค 8

เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก
20 สิงหาคม 2556
พระเทพมุนี(เก็ง อาสโภ)
 รองเจ้าคณะภาค 8

เจ้าคณะภาค 8
10 ตุลาคม 2556
พระราชเมธี (วิชา อภิปญฺโญ)
 เลขา ฯ เจ้าคณะภาค 8

 รองเจ้าคณะภาค 8
21 ตุลาคม 2556
พระธรรมภาวนาวิกรม
 พระราชาคณะชั้นธรรม
พระธรรมภาวนาวิกรม
5 ธ.ค.54 
พระพรหมมังคลาจารย์
พระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ
5 ธันวาคม 2556
พระมหามงคล โสตถิพโล
พระมหา /ป.ธ.9

พระราชาคณะชั้นสามัญ
5 ธันวาคม 2556
 สมเด็จพระราชาคณะ (องค์ต่อไป)
 รองสมเด็จ
 สมเด็จพระราชาคณะ
หมายเหตุ :ทุกรูปอยู่วัดเดียวกันทั้งหมด และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส /และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรทุกรูป แบบนี้จะแปลได้ไหมว่า เล่นพรรคเล่นพวก เห็นแก่ได้ ฉกฉวย และกระโดดข้ามหัว
          ดังนั้นพฤติการณ์ของการแต่งตั้ง เลื่อน สถาปนาพระราชาคณะ ที่ปรากฏในภาพข่าวเราจึงเห็นพฤติกรรม ที่พอจำแนกได้ คือ
           1.โผเจ้าคุณกับพฤติกรรมกระโดดข้ามหัว หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระทำที่สะท้อนถึงความเห็นแก่ได้ โดยไม่สนใจใครมาก่อนมาหลัง ความรู้ความสามารถ ทั้งที่ในความเป็นจริงระบบคณะสงฆ์ให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส กลายเป็นว่าพฤติกรรมการข้ามหัว โดยไม่สนใจใคร วัดเดียวกัน ครูอาจารย์เดียว จังหวัดเดียวกัน อุปัชฌาย์เดียวกัน เท่ากับว่าระบบดังกล่าวส่งผลเป็นพฤติกรรมเลวร้ายทางศาสนา เราจึงเห็นการแต่งตั้งรองเจ้าคณะภาค ในวัดเดียวกันเพื่อรักษาฐานอำนาจไว้ โดยดูจากประสบการณ์การผ่านงาน ต้องบอกว่าไม่มีประสบการณ์การเป็นเจ้าคณะจังหวัดตามระเบียบที่กำหนดไว้ของบุคคลที่จะเป็นเจ้าคณะภาค (อนุโลมเข้ากับรองเจ้าคณะภาค) เราจึงเห็นการตั้งเจ้าคณะจังหวัด รองจังหวัด โดยไม่เคยเป็นเจ้าคณะอำเภอ เพื่อเอาคนของตัวเองไปเป็นใหญ่ แต่ประสบการณ์และวิสัยทัศน์การทำงานไม่ได้ จึงกลายเป็นว่าบริหารก็ไม่ได้  สั่งการก็ไม่ได้ เพราะข้ามหัว  คนที่ถูกข้ามก็ไม่ยอมรับการสั่งการ เพราะไม่มีประสบการณ์ จึงเท่ากับว่าองค์กรที่ใหญ่โตมโหฬาร มีบุคลากรในตำแหน่ง 3.5 หมื่น แต่ระบบการบริหาร ทั้งให้คุณ ให้โทษ ที่เรียกว่า "สมณศักดิ์" ล้มเหลว
          2. โผเจ้าคุณกับพฤติกรรมปาดหน้า ข้าจะเอา หมายถึง บางท่าน ครองอัตราสมณศักดิ์ (ชั้ยยศ) มา 20 ปี จนปัจจุบัน ยังไมได้เกิด ไม่ได้เลื่อน ไม่ได้รับการพิจารณา ทั้งที่ทำงานเพื่อคณะสงฆ์และกิจการพระศาสนาเหมือนกัน จึงเห็นพฤติกรรมปาดหน้า เพราะผู้ใหญ่กว่าอยากได้ สมเด็จ ฯ โปรด  กรรมการมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้ว  เราจึงเห็นบางคนปี สองปี เลื่อน ทั้งที่กฎที่ทุกคนรับรู้ร่วมกันว่าต้องได้รับการพิจารณาจากขึ้นล่าสุดมาไม่น้อยกว่า 5 ปี บางครั้งอาจบอกว่าในเมื่อถึงฤดูโยกย้ายแต่งตั้ง ไม่มีคนที่เหมาะสม จึงใช้กฎตามแต่พิจารณาหรือตามแต่เหมาะสม กฎแห่งการเลือกปฏิบัติ จึงถูกงัดมาเป็นยันกันผี ใช้ในการเลือกปฏิบัติ ทั้งที่ในความเป็นจริง กฎเหล่านี้ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติ หรือใช้ปฏิบัติเมื่อตอนที่กรูจะเอา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พฤติกรรม “ปาดหน้า” จึงปรากฏในโผ หรือฝุ่นตลบก่อนจบที่บัญชีนี้
           3. โผเจ้าคุณกับพฤติกรรม "หมู่ กลุ่ม คณะ นิยม" หรือ เล่นพรรคเล่นพวก กล่าวคือ เมื่อดูจากสายวัด คือวัดที่ได้รับสมณศักดิ์  (วัดกรรมการมหาเถรสมาคม) สายงาน (หนต่าง ๆ ภาคต่าง ๆ) ตามสายการปกครอง แล้วเหมือนมีคนอยู่ไม่กี่กลุ่มในองค์กรพระศาสนานี้ ที่ควรจะได้รับการยกย่องปูนบำเหน็จ หรือสมควรแก่การกล่าวถึงยกย่อง หรือให้ความสำคัญ จึงกลายเป็นว่า เมื่อตรวจดูสายงานวัดสมเด็จ วัดของคณะกรรมการมหาเถรสมาคมเราก็เห็นคนในสายงานของวัดเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้ง เราจึงเห็นพระในวัดสายงาน ชื่อเดียวกับวัดของสมเด็จ ได้สมณศักดิ์พระราชาคณะกันเป็นเป็นท่องเป็นแถว เกิดคำถามต่อไปว่า กิจการพระศาสนาและคณะสงฆ์มีอยู่แค่นี้หรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ปกครองกันเองอยู่ด้วยกัน อวยกันไปเองล่ะ   ซึ่งผิดหลักการบริหารในการคัดสรรทรัพยากรมนุษย์มาตอบสนอง หรือบริหารองค์กร ทั้งระบบการปกครองคณะสงฆ์ที่สามารถทำให้เป็นระบบเปิดได้ กลายเป็นว่า เป็นระบบปิด ไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันและเลือกสรรอย่างเป็นระบบเพียงพอ จึงทำให้เห็น การเติบโตของพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เติบโตได้ยศได้ตำแหน่ง เพราะอยู่วัดใหญ่ ใกล้นาย หิ้วย่ามตามก้น เลือกเอาก่อน แต่ประสิทธิภาพรอยหยักในสมองและวุฒิภาวการณ์นำเท่ากับพลทหาร หรือน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาเป็นผู้นำ เราจึงเห็นการปกครอง บริหารแบบผิดฝาผิดตัว จนกระทั่งกลายเป็นความเสื่อมสะสมในองค์กร คนนำก็ไม่รู้จะนำไปทางไหน คนตามก็ไม่อยากจะตาม ซึ่งพฤติการณ์เหล่านี้คงเป็นเหมือนกันทั่วประเทศ อันเกิดจากพฤติกรรมการเล่นพรรคเล่นพวกกระมัง ?
          4. วัฒนธรรมองค์กรต้นแบบที่   ไม่ควรเอาแบบ หมายถึง องค์กรใดก็ช่าง ถ้ามีพฤติกรรมหรือการกระทำดั้งข้อ 1-3 ตามที่กล่าวมา ก็จะกลืนกลายเป็นความเสื่อมในตัวองค์กร กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ที่สมควรประณาม เพราะเป็นพฤติกรรมและการกระทำ ที่เห็นแก่ตัว แล้วใช้ฐานของระบบมารองรับพฤติกรรมและการกระทำเชิงหมู่กลุ่ม และหมู่พวก ทั้งยังส่งผลกระทบเป็นความเสื่อม ต่อระบบในระยะยาว  จนกระทั่งกลายเป็นระบบที่เลว ควรที่จะปรับปรุงเพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า หรือกำจัดออกไปจากระบบคณะสงฆ์
           ดังนั้นเมื่อดูจากชื่อของผู้ได้รับการสถาปนาแต่งตั้ง ก็ให้ชวนสงสัยว่า ทำไมการแต่งตั้งจึงมีแต่วัดปากน้ำและพรรคพวก วัดไตรมิตรวิทยาราม และพรรคพวก (ที่เพ่งได้รับตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกมา-รองเป็นเจ้าคณะภาค-เลขาภาค เป็นเจ้ารอง-เป็นชั้นพรหม-เป็นเจ้าคุณ วัดเดียวเล่นไป 4-5 ตำแหน่ง)วัดสระเกศและพรรคพวก วัดบวรนิเวศและพรรคพวก วัดพิชัยญาติการาม หรือวัดกรรมการมหาเถรและพรรคพวกกลายเป็นว่าลูกน้องและคนของตัวเองได้ดิบได้ดีกันใหญ่ มันเข้าทำนองที่เอ็งข้าไม่ว่า แต่ที่ข้าขอเอามั่ง เลยกลายเป็นระบบปาดหน้า ข้ามหัว ไร้คุณธรรม เล่นพรรคเล่นพวกไปอย่างนั้นหรือไม่ ? นี่ไม่ได้ ตำหนิ ว่า หรือเพ่งโทษแต่อย่างใด แต่เป็นการตั้งคำถามกับระบบการปกครองสูงสุด เพราะถ้าระบบดี องค์กรปกครองนี้จะอยู่ไปอีกหลายร้อยปี จนกว่าพระพุทธศาสนาจะสูญหายไปจากประเทศไทย แต่ถ้าไม่ใช่ผลมันจะเป็นอย่างไร ? ระบบ “รอให้ผมตายก่อน” มันคือวัฒนธรรม “อัตตาธิปไตย” ที่ฝังอยู่ในระบบคณะสงฆ์ ระบบสายใครสายมัน มันคือระบบ “คณาธิปไตย” แห่งการเล่นพรรคเล่นพวก จนกระทั่งปัจจุบัน แล้วถามว่าคุณูปการของระบบ “กูคือศูนย์กลาง” มันเป็นอย่างไร ใครยังจดจำบ้าง พวกท่านที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างเก่งเต็มที่ก็คงไม่เกิน 100 ปี แต่ระบบที่จะเป็นตัวส่งต่อไปในรุ่นต่อไปจะยังคงอยู่
              ข้าพเจ้าไม่ได้คิดต่าง แตกแยก หรือต่อต้าน เพียงแต่ว่าพวกท่าน "สมสู่" กันจนเสร็จแล้ว กับโผสมณศักดิ์ คงห้ามไม่ได้ หรือคัดค้านไม่ได้ เพราะมันผ่านไปแล้ว แต่ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เห็นพฤติกรรมและการกระทำ พร้อมกับทานหลักการบางอย่างที่พวกท่านถือสมาทาน ร่วมกับข้าพเจ้าแล้วไม่เห็นสมคล้อยกันแต่ประการใด จึงเลือกที่จะคิดแบบนี้ เห็นแบบนี้ และเขียนสะท้อนทัศนะแบบนี้   
         ท่านจะห้ามมิให้ข้าพเจ้าคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะเอกสิทธิ์ ของข้าพเจ้าได้รับการองรับด้วยพระธรรมวินัย และความเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่พวกท่านมี เพียงแต่พวกท่านสมาทานแล้วไม่ปฏิบัติแล้วจะมาบังคับให้ข้าพเจ้าเชื่อตามได้อย่างไร ? ฉะนั้นพฤติกรรมและการกระทำของพวกท่าน "เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด" ไม่ได้สง่างาม สะอาด บริสุทธิ์ ที่จะต้องยกย่องสรรเสริญตามด้วยไม่  
         กราบเรียนพระคุณท่านว่าข้าพเจ้าคิดอย่างนี้และเห็นอย่างนี้  ต่อโผในระบบสมณศักดิ์
         ด้วยความเคารพ
          ควรมิควรสุดแต่จะพิจารณา
(WB : 20/10/2556)

------------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธองค์ับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
 
            “ภิกษุทั้งหลาย    เพราะเหตุนั้น    เราจะบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย    โดย
อาศัยอำนาจประโยชน์    10    ประการ    คือ
            1.    เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์
            2.    เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์
            3.    เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก
           4.    เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม
            5.    เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน
            6.    เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต
            7.    เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส
            8.    เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของคนที่เลื่อมใสแล้ว
            9.    เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม 
           10.    เพื่อเอื้อเฟื้อวินัย
 
   ข้อ  1,2  ทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมคือสงฆ์
   ข้อ  3,4  ทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่บุคคล
   ข้อ  5,6  ทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่ความบริสุทธิ์หรือแก่ชีวิต
   ข้อ  7,8  ทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน
   ข้อ  9,10  ทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา
   ข้อ  10  คำว่า  “เพื่อเอื้อเฟื้อวินัย”  หมายถึง  เพื่อเชิดชู  ค้ำจุน  ประคับประคองพระวินัย  4  อย่าง  คือ    สังวรวินัย  ปหานวินัย  สมถวินัย  บัญญัติวินัย  (วิ.อ.  1/39/236-237)
------------------------------------------------ 
ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง มีขึ้น มีลง เป็นของธรรมดา 
เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกมรณภาพ 
        1.วัดไตรมิตรวิทยาราม ประจำีปี 2556  [หลังการมรณภาพของสมเด็จพระพุฒาจารย์ แห่งวัดสระเกศ ในฐานะประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  และอีกหลายตำแหน่ง  โดยเฉพาะตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก" ก็ว่างลงด้วย และำตำแหน่งนั้นได้ตกมายัง พระพรหมเวที  เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ในฐานะเจ้าคณะภาค 8  ไปด้วย  เรียกว่าควบตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม และว่าที่สมเด็จพระราชาคณะ ที่ว่างลงในคราวเดียวกัน 2 ตำแหน่ง คือ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์์ที่มรณภาพไปเมื่อ สิงหาคม 2556  (เรียกด้วยภาษาง่ายว่า อำนาจบารมี "ล้น" ที่จะสามารถเนรมิตใด ๆ ก็ได้ในผืนพิภพพระพุทธศาสนา คณะสงฆ์ ในประเทศไทย)  ที่มา หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก 20 สิงหาคม 2556 ที่มา  www.wattraimitr-withayaram.com ] 
          2.วัดไตรมิตรวิทยาราม ประจำปี 2556 [พระธรรมภาวนาวิกรม ได้รับสถาปนาเป็น พระพรหมมังคลาจารย์

          พระเดชพระคุณ พระธรรมภาวนาวิกรม วิ. (ธงชัย ธมฺมธโช ป.ธ.๖) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร, ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 8 ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์, ประธานมูลนิธิร่มฉัตร, ผู้ช่วยแม่กองธรรมสนามหลวง กำกับดูแลฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ได้รับสถาปนาแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง (รองสมเด็จพระราชาคณะเดิม) ในราชทินนามที่ "พระพรหมมังคลาจารย์" ซึ่งจะเข้ารับพระราชทานสถาปนาแต่งตั้งในวันที่ 5 ธันวาคม 2556 นี้ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง อันยังความปลื้มปิติใจมายังบรรดาศิษยานุศิษย์ทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่มา  www.wattraimitr-withayaram.com ที่มา : Facebook วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม.
               3.วัดไตรมิตรวิทยราม ประจำปี 2556  [มหาเถรสมาคม (มส.) รอบวาระปกติ ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จ.นครปฐม ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ที่ประชุม มส. มีมติแต่งตั้งพระเดชพระคุณ พระเทพมุนี (เก็ง อาสโภ) อายุ 72 พรรษา 51 วิทยาฐานะ ป.ธ.9 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม รองเจ้าคณะภาค ๘ ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 8 แทนพระเดชพระคุณ พระพรหมเวที กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งได้รับพระบัญชาให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมานั้น  ที่มา  www.wattraimitr-withayaram.com  ที่มา : Facebook วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม.]         
           4. วัดไตรมิตรวิทยาราม ประจำปี 2556 [เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพระราชเมธี (วิชา) อภิปญฺโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 8 แทนพระเทพมุนี ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะภาค 8 ที่มา  www.wattraimitr-withayaram.com ที่มา : Facebook วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม.]

           6.วัดไตรมิตรวิทยาราม ประจำปี 2556 [เจ้าคุณใหม่!! พระมหามงคล ป.ธ.๙ เป็น พระศรีวีรมุนี

          พระมหามงคล โสตฺถิมงฺคโล ป.ธ.๙ (นาคหลวง) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพระปริยัติธรรมวัดธรรมบันดาล อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อันเป็นศูนย์พระปริยัติธรรมสาขาหนึ่งของวัดไตรมิตรวิทยารามนั้น ได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนนามที่ "พระศรีวีรมุนี" โดยพระราชทานแต่งตั้งในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ นี้ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง อันยังความปลื้มปิติใจมายังบรรดาศิษยานุศิษย์ทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่มา  www.wattraimitr-withayaram.com ที่มา : Facebook วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม.]
           ภาพที่เห็นทั้งหมด  5 รูป 6  สถานะทั้งตำแหน่งและยศ [1/.เจ้าคณะใหญ่ แทนตำแหน่งที่ว่างลง  2/.เจ้าคณะภาค 8 แทนรูปที่ 1 ที่เลื่อนไปดำรงเจ้าณะใหญ่หนตะวันออก 3/. รองเจ้าคณะภาค 8 แทนรูปที่ 2 ที่เลื่อนไปเป็นเจ้าคณะภาค 8  4/. พระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาเป็นชั้นธรรม เมื่อ 5 ธ.ค.2554 5/.พระราชาคณะชั้นสามัญ 6/.ว่าที่สมเด็จพระราชาคณะที่จะพ่วงไปกับเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก] เป็นภาพพระในวัดเดียวกันทั้งหมด "วัดไตรมิตรวิทยาราม" ไม่เรียกว่า "คณาธิปไตย" เล่นพวก เล่นพร้อง จะเรียกว่าอะไร จะเข้าทำนองประโยคตลกกร้ายที่เราได้ยินในวงการศาสนามาช้านานที่ว่า "วัด.....มีแต่หมาเท่านั้นไม่ได้เป็นเจ้าคุณ" ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ไม่ทราบจึงเป็นที่มาของตลกร้ายนี้ แต่ยุคสมัยนี้ข้าพเจ้าเห็นที่วัดแห่งนี้ กำลังละโมบ เกินไป  มันไม่ถูกต้อง  หรือพวกท่านคิดแบบรวมศูนย์ว่า วัดนี้บริหารกิจการพระศาสนาดีที่สุดอย่างไร ? ดังนั้น ระบบ "เฮ็งซวย" ในวงการพระศาสนา ที่ "พร่ำพูด" คำว่าคุณธรรม ธรรมาภิบาล  หลักพอเพียง  แต่พฤติกรรม มันสวนกับหลักการทางพระพุทธศาสนาที่พวกท่านสอนกันเหลือเกิน นี่มันเข้าที่มึงที่กู และจะฝังรอยแค้นให้กับคนรุ่นต่อไป ให้มีพฤติกรรม "เยี่ยงโจร" ปล้นเอาทุกอย่างที่ "กรู" อยากได้ โดยไม่สนใจ ก่อนหลัง ความเหมาะสม "หายนะ" ในวงการพระศาสนาไหมแบบนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นความเสื่อมสะสมได้ไหม ? ฝากไ้ว้ให้พิจารณา 
          พระพุทธศาสนาไม่ใช่ของวัดไตรมิตร หรือวัดคณะกรรมการมหาเถรสมาคมท่านใดท่านหนึ่งไม่  พวกท่านจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะมา "ปล้น" เอาความชอบเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ได้พิจารณาถึงความเป็นจริงอย่างสมเหตุสมผล ทั้งพฤติกรรมเหล่านี้มันได้ทำลายหลักการทั้งคุณธรรม จริยธรรม ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ไปทั้งหมด หรือจะมีเหตุผล "เถียง" ชี้แจ้ง โปรดแสดงให้ประจักษ์ด้วยเถิด "มวลมหาประชาพระรอรับสดับ" 

         
          *********************




ภาพข่าวที่เกี่ยวข้อง 

http://www.oknation.net/blog/Bansuan/2013/11/25/entry-1

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ