ภัยต่อความมั่นคงสถาบันพระศาสนา ที่มหาเถรสมาคมไม่ดำเนินการ?
ไม่จบ !
มหาเถรฉี่ไม่สุด แก้ปัญหาไม่สะเด็ดน้ำ
ล่าสุดปัญหาคึกฤทธิ์ลาม
กลุ่มพุทธ "พสธ" ร้องสำนักนายกฯจัดการ
ก็หมายถึงว่า มหาเถร ไม่ได้แอ้ม
อะแฮ่ม ! เป็นไงครับท่านมหาเถรสมาคมทั้งหลาย โดยเฉพาก็คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้เล่นบท "ซานตาครอส" มีอะไรๆ ก็โอเคเบตง แล้ววันนี้เป็นไง ปัญหาที่ปล่อยให้คาราคาซังมันได้ขมวดปมเป็นปัญหาใหญ่ ลุกลามไปจนถึงญาติโยมผู้รักศาสนา เห็นว่าแนวทางของ "นายคึกฤทธิ์" นั้น เป็นเดียรถีย์ในรูปแบบใหม่ เข้ามาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา โดยอ้างว่า "ตนเองรู้พุทธวจนะมากที่สุดในโลก ใครเถียงตัวเองก็คือคนค้านพระพุทธเจ้า" อ้างแม้กระทั่งว่า "พุทธวจนะมีที่มาจากเสาอโศก" คึกฤทธิ์เดินสายด่ากราด "คัมภีร์อรรถกา-ภาษาบาลี-พิธีกรรมชาวพุทธ" หรือแม้แต่ "มหาวิทยาลัยสงฆ์" ทั้งสองแห่ง ซึ่งก่อตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนบาลีนั้นก็พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือพระเจ้าทรงธรรม ทรงโปรดให้ตั้งสถานการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณรขึ้นมาในวัดพระศรีสรรเพชญ ทรงโปรดให้ทำการสอนและวัดผลที่นั่น จนเป็นที่มาของคำว่า "สอบธรรม-สอบบาลีสนามหลวง" แต่ทั้งหมดทั้งมวล ถูกนายคึกฤทธิ์นำมาปู้ย่ำปู้ยี ตีความว่า "นอกพระธรรมวินัย" ทั้งสิ้น แต่น่าเชื่อว่า องค์กรมหาเถรสมาคม รวมทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสภามหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง คือ มจร. และ มมร. กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนยอมให้นายคึกฤทธิ์นั่งอยู่บนไหล่แล้วฉี่รดใส่ยังงั้นแหละ
ครั้งก่อนตอนเรื่องดัง มีกรณีให้วินิจฉัยใหญ่ๆ 3 ประเด็น คือ
1. คึกฤทธิ์ ตัดลัดสวดพระปาติโมกข์ เหลือสวดเพียง 150 ข้อ เป็นการแยกทำสังฆกรรมกับพระสงฆ์ไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าธรรมยุตหรือมหานิกาย ถือได้ว่าเป็นการทำสังฆเภทอย่างชัดเจน
2. คึกฤทธิ์ ทำการตัดพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เลือกเอาเฉพาะที่ตนเองเห็นว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า (พุทธวจน) แล้วทำเป็นรูปเล่มขึ้นมาใหม่ ถือว่าเป็นการตัดต่อพระไตรปิฎกเอาตามอำเภอใจ เป็นการทำลายเอกสารทางพระพุทธศาสนาอันดั้งเดิม เป็นภัยใหญ่และร้ายแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
3. พฤติกรรมการสอนของคึกฤทธิ์ ซึ่งกระทำโดยวิธีการ "ดูหมิ่นเหยียดหยามคณะสงฆ์ไทย" ก็นับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมา ว่าไม่ศึกษาพุทธวจนะ แต่ศึกษาวิชาเดียรถีย์ ภาษาบาลีไม่มีประโยชน์ สวดพระอภิธรรมเป็นการเห่าหอนเหมือนหมา แสดงกริยาอาการ "อันธพาล" ในร่างของคนห่มผ้าสีกรัก ชี้นำญาติโยม ให้ดูหมิ่นพระภิกษุสามเณรทั้งประเทศ
ปัญหาทั้งสามด้านเหล่านี้ นายคึกฤทธิ์เดินสายพูดทำลายคณะสงฆ์ไทยมาหลายปี และหลายพื้นที่ แทบจะเรียกว่าทั่วประเทศ รวมทั้งการสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ ในรูปแบบของเอกสารทั้งที่เป็นรูปเล่ม และทำเป็นไฟล์หรือวีดีโอส่งผ่านเครือข่ายออนไลน์ เช่น ยูทูป เป็นต้น สามารถรับข่าวสารได้ทั่วโลก
และกล้าพูดได้ว่า วันนี้ ไม่มีพื้นที่ใดในประเทศไทยที่ไม่มีสัญญาณไวไฟ ซึ่งสามารถต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อรับทราบข้อมูลผ่านสื่อแทบทุกประเภทได้ แต่ถามว่า ทำไมมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถึงไม่ทราบ หรือไม่รู้ปัญหาอย่างครอบคลุม
มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง คือ มหาจุฬาฯ (มจร.) กับมหามกุฏฯ (มมร.) ซึ่ง มจร. นั้น อธิการบดีมีตำแหน่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะภาค 2อีกด้วย ในฐานะที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของคณะสงฆ์ไทย เป็นผู้นำทางด้านสติปัญญา มีบุคคลากรทั้งทางด้านนักธรรม บาลี และสาขาวิชาอื่นๆ อีกมากมายเป็นกองทัพย่อมๆ แต่เหตุอันใดจึงไม่แสดงออกซึ่ง "ความเป็นผู้นำ" ในทางพระศาสนา ปล่อยให้นายคึกฤทธิ์ "ตีกินประเทศไทย" อยู่ฝ่ายเดียว หนำซ้ำ มจร. กลับไปร่วมเป็นภาคีในโครงการ "ชวนน้องท่องพุทธวจน" ของวัดนาป่าพงด้วย ครั้นเรื่องดังขึ้นมา จึงขอถอนตัวในภายหลัง ทำนองเสียค่าโง่ โดนนายคึกฤทธิ์หลอกออกมหาลัย
มมร. ก็ไม่ต่างกัน เพราะเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุต หลังจากเกิดปัญหาว่าด้วยตำแหน่ง "อธิการบดี" ของพระเทพปริยัติวิมลแล้ว มมร. ก็เหมือนจะลดบทบาทของตัวเองลง ปล่อยให้มหาจุฬาฯออกหน้าในทางวิชาการ หรือแม้แต่ในการปกครอง คณะธรรมยุต ภายใต้การนำของ "สมเด็จพระวันรัต" วัดบวรนิเวศ ก็ปล่อยให้มหานิกายเป็นฝ่ายเล่นการเมือง ทำนองว่า เวลานี้สมเด็จวัดปากน้ำ ได้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็ปล่อยให้ท่านบริหารไป คิวใครก็คิวมัน ทั้งที่เรื่องพระธรรมวินัยนั้น มิใช่หน้าที่ของนิกายใดนิกายหนึ่ง หรือของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกนิกายและทุกคน ที่เป็นชาวพุทธ จะต้องศึกษาและปกป้องหลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งบรรพบุรุษไทยได้สั่งสมมาไว้ในรูปแบบของ "พระไตรปิฎก" ซึ่งได้ข้อยุติร่วมกันมานาน ว่าคณะสงฆ์ไทยใช้พระไตรปิฎกชุดนี้ มี 45 เล่ม ใครจะตัดลัดหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างไรไม่ได้เด็ดขาด
แต่..ก็ไม่เห็นใครทำอะไร มีแต่คนกินตำแหน่ง แต่ไม่มีคนทำงาน มมร. ไม่ออกหน้าต่อสู้ก็ยังไม่ว่ากระไร แต่มองไปท้ายแถวก็ยังไม่เห็นสมาชิก "มมร" แม้แต่พระหน่อหนึ่ง จึงรู้สึกแปลกใจว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไว้ทำไม ?
เมื่อมีคนโจทย์ฟ้องเรื่องคึกฤทธิ์ในเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมานั้น ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แจ้งแก่มหาเถรสมาคมเพียงประเด็นเดียว คือ"การสวดพระปาติโมกข์เพียง 150 ข้อ" ซึ่งมหาเถรสมาคมก็เปิดประชุมกันในวันที่ 20 สิงหาคม เคี้ยวหมากยังมิทันแหลก ก็พ่นน้ำหมากออกมาว่า "คึกฤทธิ์ยังไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนา เพราะว่าอ่านหนังสือคนละเล่ม ขอให้สวด 227 ข้อ ก็จบ" และหลังจากนั้นก็มีภาพ "คึกฤทธิ์คลานเข่า" เข้าวัดปากน้ำ ถวายสักการะสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เหมือนกับว่า หมอบราบคาบแก้วแล้ว
แต่ในความจริงแล้ว คึกฤทธิ์หาได้สำนึกผิดไม่ ยังคงเดินหน้าเผยแพร่ "ลัทธิพุทธวจน" อย่างหนัก ล่าสุดถึงกับตั้ง "กองกำลังอารักขาตถาคตภาษิต" มุ่งหมายเผยแพร่ในสถาบันการศึกษาระดับชาติ มีการลงเอ็มโอยูอย่างเป็นทางการอีกด้วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา (วานนี้) มีพุทธบริษัทกลุ่มหนึ่ง ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้สอบสวนพฤติกรรมของนายคึกฤทธิ์ และคณะ ซึ่งกำลังทำลายพระไตรปิฎก อรรถกา ฎีกา และภาษาบาลี
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีตัวแทนจากมหาเถรสมาคม จากสำนักพุทธฯ หรือจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้งสองแห่ง เข้าร่วมในคณะ พสธ. ด้วยเลย หนำซ้ำ นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักพุทธฯ เมื่อได้ยินข่าว ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองว่า "ยังไม่ทราบเรื่อง ถ้าจะดำเนินการสอบสวนทางคณะสงฆ์ ก็คงต้องให้ต้นสังกัดเป็นผู้ดำเนินการ ตาม พรบ.คณะสงฆ์" พูดแบบภาษานักฟุตบอลก็คือ "นอนรอให้บอลมาเข้าตีน" บอลเข้าตีทีก็เตะที ถูกผิดก็ไม่สน
แจกป้ายหมู่บ้านศีลห้า หน้าที่หลักของสมเด็จวัดปากน้ำ
พฤติการณ์เช่นนี้ ชี้ได้สองทาง คือ
1. มหาเถรสมาคม มหาวิทยาลัยสงฆ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กร เป็นหน่วยงาน ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ ไม่ได้ใส่ใจในการจะสอดส่องดูแลปัญหาพระศาสนา ว่าด้วยพระธรรมคำสอนเลย ทั้งๆ ที่แต่ละหน่วยงานก็มีสมาชิก มีเครือข่าย หรือมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ทุกจังหวัด การไม่รับรู้ของ 3 หน่วยงานเหล่านี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างที่สุด และอันตรายที่สุดด้วย เพราะเมื่อกลไกของรัฐไม่ทำงาน ก็เหมือนคนป่วย ถ้าไม่รีบรักษาให้หายจนกลับมาทำงานได้ดังปรกติ ก็เตรียมตัวตายในไม่ช้า อย่างน้อยก็อาจจะพิการไปชั่วชีวิต
2. องค์กรชาวพุทธฯ ที่ชื่อว่า คณะพุทธบริษัทสภา (พสธ.) ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักนายกรัฐมนตรี บ่งชี้ว่า ชาวพุทธฯ ไม่ให้ความเชื่อถือในองกรหลักทั้ง 3 อันได้แก่ มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง จึงข้ามหัวไปรายงานให้สำนักนายกรัฐมนตรีทราบ ถึงสำนักนายกรัฐมนตรีรับเรื่องแล้วแทงเรื่องมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และทางสำนักพุทธฯ นำเรื่องเข้าแจ้งในมหาเถรสมาคม จนกระทั่งมหาเถรสมาคมสั่งตั้งกรรมการสอบ เรื่องก็จะกลายเป็นว่า มหาเถรสมาคม กลายเป็นลูกไล่ให้แก่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากกรณี สตง. ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังสมเด็จวัดปากน้ำ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เรื่องพฤติกรรมของเจ้าคุณเสนาะ ไม่ให้ความร่วมมือตรวจสอบบัญชีวัดสระเกศ และสมเด็จวัดปากน้ำก็เรียกสมเด็จวัดพิชัยญาติมารับทราบ เพื่อให้ไปตักเตือนเจ้าคุณเสนาะต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ก็อันตรายเช่นกัน เพราะถ้าชาวพุทธฯไทยไม่เชื่อมั่นในองค์กรสงฆ์ มหาเถรสมาคมๆ ก็ตกอยู่ในสภาพใกล้ล้มละลายเข้าไปทุกที
ก็นี่แหละฮะ ว่าอะไรคืออะไร และสุดท้าย บทบาทขององค์กรหลัก ก็ลดน้อยถอยลง จนชาวพุทธหรือแม้กระทั่งพระภิกษุสามเณรเอง ก็แทบจะหมดสิ้นศรัทธาต่อองค์กรที่ชื่อว่า "มหาเถรสมาคม" เพราะอืดอาดยืดยาด ทำอะไรไม่ทันการณ์ ยกเว้นแต่เรื่องเดียว คือ ตำแหน่งว่างเมื่อไหร่เป็นแย่งกันทันที
กรณี "นายคึกฤทธิ์" ครั้งนี้ ถือว่าเป็นภัยอันตรายใหญ่หลวงต่อพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยๆ ที่บรรพบุรุษได้สั่งสมกันมานานหลายพันปี เพราะสร้างความแตกแยกร้าวลึกลงไปถึงประชาชนคนไทยทั่วประเทศ แต่พระพุทธศาสนาจะป่นปี้ก็หาใช่ใครอื่น นอกจากจะเป็นฝีมือของ "มหาเถรสมาคม" ภายใต้บริหารของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และประธานกลุ่มธรรมกาย นั่นเอง เพราะมีอำนาจ แต่ไม่ยอมใช้อำนาจนั้นให้เป็นประโยชน์
ร้องสำนักนายกฯเอาผิดคึกฤทธิ์
วันที่ 25 ธันวาคม 2557 เวลาประมาณ 13.30 น. ที่อาคาร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ห้องประชุม 2 ได้มี พระภิกษุ และ กลุ่มประชาชน ใช้ชื่อว่า คณะพุทธบริษัทสภา (พสธ.) ได้เข้ายื่น เรื่อง เพื่อร้องเรียน ต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อร้องเรียน เกี่ยวกับ พฤติกรรม การเผยแพร่ พระธรรมคำสอน ของพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง โดยมี ท่านจำเริญ ยุติธรรมสกุล รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มารับเรื่องร้องเรียน
ท่านรองปลัด ฯ ได้ นิมนต์พระคุณเจ้าและตัวแทนคณะ พสธ. ประมาณสามสิบรูป/คน ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนัก ตามที่รัฐบาลปรารภมา (ไม่ให้กลายเป็นม๊อบ) ขึ้นไปที่ ชั้น 2 ห้องประชุม 2 ทางคณะ พสธ. ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและความประสงค์ พร้อมทั้ง ยื่นเอกสารหลักฐาน แสดงเหตุปัจจัย ประเด็นเรื่องที่ร้องเรียน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ต้องการรักษาพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการที่พระคึกฤทธิ์ กล่าวถึงพระราชพิธีหลวง.
พร้อมกันนี้ ครูนัท ผู้แทน พสธ. ได้ชี้แจง เรื่องร้องเรียน ให้นักข่าว ช่อง 9 อสมท และผู้สื่อข่าว ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับทราบความเป็นมาท่านจำเริญ ยุติธรรมสกุล รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้ เพื่อดำเนินการประสานงานแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อไป
ที่มา : PANTIP
26 ธันวาคม 2557
รวยอ่ะ !
เงินเก่ายังไม่คืน แต่มีเงินซื้อที่ดินผืนใหม่
ธรรมกายเจรจาซื้อที่ดินศุภชัยที่ถูกอายัดทรัพย์
ใช้ในโครงการสร้างเจดีย์ทัตตชีโว
จิ๊บๆ แค่ 40 ล้าน !
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2557 นายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานคณะกรรมการดำเนินการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น นำคณะกรรมการและที่ปรึกษาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อกราบนมัสการ พระภาวนาวิริยคุณ หรือหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย การเข้าพบหลวงพ่อทัตตชีโวครั้งนี้ นายเผด็จได้หารือ 2 ประเด็น คือ 1. การคืนเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่นายศุภชัยนำมาบริจาคให้กับวัดพระธรรมกายและพระ 2 รูป จำนวน 819 ล้านบาท และ 2. กรณีวัดพระธรรมกายติดต่อขอซื้อที่ดินของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีคำสั่งอายัดไว้
แหล่งข่าวจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เปิดเผยว่า เรื่องการเจรจา “ขอคืนเงิน” ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่นายศุภชัยบริจาคให้กับวัดพระธรรมกายจำนวน 819 ล้านบาท ประเด็นนี้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับวัดพระธรรมกายวันที่ 19 มกราคม 2558 จึงยังไม่ได้มีการหารือกับหลวงพ่อทัตตชีโวในประเด็นนี้ ส่วนกรณีสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลราชวิถีฟ้องวัดพระธรรมกาย ในฐานะผู้ฝากเงินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกว่า 200 ล้านบาท ทางวัดพระธรรมกายจะไม่เจรจาไกล่เกลี่ยกับสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลราชวิถี แต่จะขอเจรจากับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโดยตรง
ส่วนกรณีวัดพระธรรมกายขอซื้อที่ดินของนายศุภชัยที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษอายัดทรัพย์นั้น แหล่งข่าวสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกล่าวว่า ผลการเจรจาประเด็นนี้เป็นที่น่าพอใจ โดยวัดพระธรรมกายตกลงในหลักการเบื้องต้นว่าจะซื้อที่ดินของนายศุภชัยที่ถูกดีเอสไอสั่งอายัดและจ่ายเงินตรงให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งขั้นตอนการซื้อ-ขายที่ดินแปลงนี้คือ 1. สำรวจที่ดินร่วมกัน 2. ประเมินราคาซื้อ-ขายที่ดินตามมาตรฐานกรมที่ดินและราคาตลาด 3. สรุปเอกสารกฎหมายที่นายศุภชัยต้องยินยอมให้นำที่ดินที่ถูกอายัดมาขายให้กับวัดพระธรรมกาย โดยนำเงินค่าที่ดินไปชำระคืนให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น คาดว่าการซื้อ-ขายจะเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 รวมทั้งจะมีการสรุปข้อตกลงเรื่องการคืนเงินบริจาคจำนวน 819 ล้านบาท ไปพร้อมๆ กัน
สำหรับความเป็นมาของที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีที่นายศุภชัยซื้อเอาไว้หลายแปลง มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อนำไปบริจาคให้วัดพระธรรมกายก่อสร้างพระมหาเจดีย์ทัตตชีโว แต่ยังไม่ทันได้บริจาค ปรากฏว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) มีคำสั่งอายัดเสียก่อน ขณะที่วัดพระธรรมกายได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว แต่มาติดปัญหาที่ดินถูกอายัด ไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ จึงต้องมาเจรจาขอซื้อที่ดินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยทางวัดจะขอเรี่ยไรเงินจากผู้มีจิตศรัทธามาซื้อที่ดินแปลงนี้ทั้งหมด
นายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานคณะกรรมการดำเนินการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีทางแพ่งว่า ขณะนี้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นได้ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งนายศุภชัยและพวก 18 คน รวมเป็นมูลค่า 14,811 ล้านบาท รวมทั้งฟ้องวัดธรรมกาย กรณีนายศุภชัยนำเงินสหกรณ์ฯ ไปบริจาคให้วัด 937 ล้านบาท โดยจะเริ่มกระบวนการเจราจาไกล่เกลี่ยทุกคดีในเดือนมกราคม 2558 เฉพาะกรณีวัดพระธรรมกาย นัดเจรจาวันที่ 19 มกราคม 2558 ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าเงินที่นายศุภชัยนำไปบริจาคให้วัดพระธรรมกายอยู่ที่ไหน วัดนำไปใช้จ่ายอย่างไร คงต้องรอผลการเจรจา หากเจรจาไม่สำเร็จ ก็ต้องสู้คดีกันต่อไป
ที่มา : THAI PUBLICA
26 ธันวาคม 2557
http://www.alittlebuddha.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ