เปิดใจท่านนายกและหัวหน้าคณะคสช. ความจริงในประวัติศาสตร์ชาติไทย

“ถ้าผมทำ 22 พฤษภา จัดระเบียบไม่ได้ ผมก็กลายเป็นกบฏ แล้วผมได้อะไรขึ้นมา อยากให้ทุกคนรู้จิตใจผม เพราะผมปล่อยไปไม่ได้ ผมสงสารลูกหลานในวันข้างหน้า เขาจะอยู่ยังไง ประเทศไทยจะเข้มแข็งได้อย่างไร”

การแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 3 เดือน(25 ธันวาคม) ของ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาหลายช่วงหลายตอนสะท้อนความรู้สึกลึกๆในใจของพลเอกประยุทธ์ หลังการปฏิวัติ 22 พฤษภาคม และการเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

“พลเอกประยุทธ์” เปิดประเด็นชี้แจงเรื่องวันเลือกตั้ง “เราจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ ไม่อยากให้พูดคำนี้ วันนั้น วันนี้ เดือนนี้ แต่ทุกอย่างกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว ไปดูว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร ท่านทำสำเร็จตรงไหนก็ตรงนั้น เร็วที่สุดก็เร็วที่สุด ผมไม่ได้ไปยืดเยื้อ ดึงเวลา”

“ฉะนั้น อยู่ที่พวกท่านทุกคน ไม่ใช่โยนกลับมาที่ผมคนเดียว ผมเข้ามาเป็นกรรมการ เข้ามาเป็นครูใหญ่ มาแนะนำทำให้เกิดความรวดเร็วขึ้นในการทำงาน อาจจะมีความเป็นทหาร มีความรวดเร็วอยู่บ้าง บางครั้งก็อาจจะไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่สั่งอะไรลงไป ผมก็นอนไม่หลับ กว่าจะคิดศึกษารายละเอียดออกมาได้ ผมก็ต้องทำการบ้านเยอะพอสมควร”

“อย่ากังวลว่าเราจะใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน หรือชื่อเสียงของประเทศชาติในสายตาภายนอก วันนี้เราจำเป็นต้องแก้ปัญหาภายในประเทศของเราให้ได้เพื่อยืนหยัดอยู่ในเวทีนานาชาติได้ในวันข้างหน้า”

สำหรับผลงาน 3 เดือน นายกฯระบุว่า “เราทำงาน 3 ระยะ คือ 1.ระยะเร่งด่วน 2.ระยะกลาง และ3.ระยะยาวอย่างยั่งยืน การทำงานต้องประสานทั้ง 3 ระยะนี้ให้ได้ ขณะนี้เราอยู่ระยะที่ 2 คือระยะที่มีการปฏิรูปห้วงที่ 1 ใน 3 เดือนแรก ฉะนั้นเรามีเวลาอีกไม่มากที่จะทำทั้งหมด” 

“วันนี้บ้านเมืองเรามีความสงบสุขพอสมควร แต่เป็นกายภาพ ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีประท้วง แต่ต้นเหตุแห่งความขัดแย้งยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล อาวุธสงคราม ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังไม่ยุติ ก็แก้อะไรไม่ได้เหมือนเดิม ผมแค่รักษาสภาพไว้ให้ได้เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ในอนาคต หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ”

นายกฯ เชื่อว่า “วันนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบ ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ หรืออยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่คนว่าจะใช้กฎหมาย ใช้รัฐธรรมนูญ ให้เกิดความสงบสุขหรือไม่สงบสุข อยู่ที่การบริหารราชการแผ่นดิน และคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน นำพาประเทศไปให้ได้”

“ถ้าท่านทำทุกอย่างเหมือนที่ผมทำ คือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง 19 กระทรวง หรือกี่กรม กี่กอง ต้องดูว่าประชาชนอยากได้อะไร ขาดอะไร เหลื่อมล้ำอะไร ก็ไปดูปัญหาเหล่านั้น แล้วเอาขึ้นมาเป็นโจทย์ แล้วคิดวิธีการ แต่ต้องสื่อสาร2ทาง ประสานงานใกล้ชิด”

“ถ้าทุกคนคิดอย่างผมได้ ก็จะคิดคำตอบออกหมดว่าเราจะทำอย่างไร บางคนผมได้รับร้องเรียน แต่ก็ยังไม่เชื่อนะ ว่าข้าราชการบางคนรอเวลาว่าเมื่อไหร่จะไป คิดอย่างนี้ผมคิดว่าไม่ใช่คนไทย แต่ผมจะมีวิธีการตรวจสอบ ข้าราชการไม่ต้องนิ่งนอนใจ ต้องร้อนใจแบบผมว่าวันหน้าท่านจะอยู่กันยังไง ฉะนั้นใครก็ตามที่รอเวลา เฉื่อยแฉะ ผมไม่ปล่อยให้ท่านรออยู่แล้ว”

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เปิดใจว่า “...ผมไม่มีต้นทุนในการทำงาน ไม่เสียเงินสักสลึงเข้ามาทำงาน ฉะนั้นผมไม่ต้องการเอากำไรจากใคร ผมยืนยันว่า ผมเข้ามาด้วยความตั้งใจ ทุกคนที่เข้ามาทำงานตั้งใจ ผมเข้ามาด้วยชีวิต แต่ผมอาจจะแตกต่าง อาจจะมีความรู้ ความสามารถไม่เท่าพี่ๆ แต่ผมเอาชีวิตเข้ามา”

“ถ้าผมทำ 22 พฤษภา จัดระเบียบไม่ได้ ผมก็กลายเป็นกบฏ แล้วผมได้อะไรขึ้นมา อยากให้ทุกคนรู้จิตใจผม เพราะผมปล่อยไปไม่ได้ ผมสงสารลูกหลานผมในวันข้างหน้า เขาจะอยู่ยังไง ประเทศไทยจะเข้มแข็งได้อย่างไร”

ก่อนหน้านี้ในฐานะฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้บัญชาการทหารบก ก็ดู สนับสนุนรัฐบาลทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะรัฐบาลใครก็ตาม จะถูกจะผิด จะดีไม่ดี เราก็อยู่ในบทบาทที่เหมาะสมของเรามาโดยตลอด

“แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็น มันก็จำเป็น ผมกราบเรียนทุกคนให้ทราบว่า ผมไม่เคยขัดแย้งกับใคร เพียงแต่ต้องเข้ามาเพื่อระงับความขัดแย้ง ระงับอันตรายที่จะเกิดขึ้น ทุกคนอาจไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พูดจาหาเหตุให้เกินเลยหรือเปล่า ผมว่าไปดู อาวุธสงครามเยอะแยะไปหมด จับไม่รู้เท่าไหร่ หลายอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม”

“เรื่องเหล่านี้อย่าลืม อย่าลืมว่ามีของเหล่านี้อยู่ มีคนเหล่านี้อยู่ พวกไหน พวกใคร ไม่ทราบ ไปสอบสวนกันมา ให้กระบวนการยุติธรรมไล่ออกมาให้ได้ เดี๋ยวก็จบ ใครจะผิดจะถูก ก็ว่ากันมา เลิกเสียที แต่ถ้าให้เสียหายทั้งระบบ ผมยอมไม่ได้” นายกฯกล่าว

นายกฯ ยังบอกว่า “...วันนี้ต้องทำให้เกิดความชัดเจนขึ้นในช่วงที่รัฐบาลนี้เขามาทำงาน จะผิดจะถูก ดีไม่ดีก็บอกมา ทุกวันนี้ฟังจนนอนไม่หลับ เมื่อคืนไม่ได้นอนสักชั่วโมง เพราะคิดว่าจะพูดอะไรที่จะสร้างความเข้าใจให้คนในประเทศได้ ทำอย่างไรให้ข้าราชการเข้าใจ ให้พี่ๆในรัฐบาลเดินหน้ากันให้ได้

“แต่ถ้าทุกคนตั้งแง่ความขัดแย้งกันอยู่ มันไปไม่ได้ ปฏิรูปก็ไปไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง แล้ววางโรดแมปอย่างที่ผมวาง วันนี้ผมอยู่ในระยะเวลาสั้น จะมาปรับกระทรวง ปรับทบวง โน่น รัฐบาลหน้าท่านเลือกเขามา ให้เขาทำ”

“วันนี้เอาของเดิมที่มีอยู่ ทำให้ได้ก่อน ว่าเราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ร่วมมือกัน วันนี้ที่ทำมา 3 เดือน เรายังทำให้อีก 3 ชาติ ไม่ใช่แค่ 3 เดือน 3 ปี กี่รัฐบาลก็ทำไม่จบ จากนี้ไป 3 เดือนข้างหน้า จะกำหนดจุดที่ต้องการ ทุกกระทรวงต้องทำตามให้ได้ ให้เห็นให้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลง อะไรที่ทำได้ ก็ให้เร่งทำ เช่น มาตรการทางภาษี”

“แต่อะไรที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนก็ชะลอได้ รวมถึงการปรับงบประมาณลง เพื่อนำไปสร้างโครงการที่จะเกิดประโยชน์ เช่น ปรับพื้นที่สร้างชลประทาน ระบบไอซีที การศึกษาด้านกีฬา ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งการแก้โครงสร้างพลังงานให้สอดคล้องกับปัจจัยภายนอกประเทศ

“ทุกเรื่องรัฐบาลจะต้องเป็นผู้สนับสนุน ส่วนภาคเอกชนจะต้องเป็นผู้หาตลาดร่วม และช่วยผลักดันให้ประเทศเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ทำทุกอย่างให้ยั่งยืนส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปสามารถทำงานได้”

นายกฯ ยังเผยความในใจว่า “...วันนี้ลูกผมไม่ได้ออกจากบ้านมากี่เดือน บ่นจะไปออสเตรเลีย ผมบอกว่าจะไปทำไม เรียนหนังสือจบตั้งนานแล้ว เป็นทุกข์อยู่”

“วันแรก วันที่ 22 (พฤษภาคม) บ้านผมร้องไห้ทั้งบ้าน เขาไม่อยากให้ผมเป็นอย่างนี้เลย แต่ผมบอกว่าไม่ได้ ต้องทำ แล้วผมก็ไม่ได้บอกใคร พี่ๆผมบอกทีหลังทั้งนั้น แต่ไม่ทำไม่ได้ ก็โดนด่าอีก ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ได้ยังไง”

ขอบคุณภาพจาก:คลังภาพ ศูนย์สื่อทำเนียบ

http://www.posttoday.com/การเมือง/337539/บิ๊กตู่-เปิดใจ22พ-ค-รัฐประหาร-ครอบครัวร้องไห้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ