ประวัติศาสตร์สอนเรา
เริ่มต้นจากความเป็นจริงอย่างเดียวไม่พอ ต้องยืนอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมด้วย
ประวัติศาสตร์สอนเราเสมอว่า หากจะแก้ไขปัญหาใดๆ ให้สำเร็จ หรือเป็นฝ่ายมีชัยในสถานการณ์ต่างๆ นอกจากต้องมีทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหานั้นๆ แล้ว ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้กฎทั่วไป 2 ข้อคือ
(1) เริ่มต้นจากความเป็นจริง
(2) ยืนอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรม
การแก้ไขปัญหารวมทั้งการต่อสู้ใดๆ ต่อให้มีทรัพยากรในการแก้ไขปัญหาหรือในการต่อสู้มากมายแค่ไหน หากไม่เริ่มต้นจากความเป็นจริง ไม่ยืนอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรม การแก้ไขปัญหาและการต่อสู้นั้นๆ ก็ไม่อาจประสบผลสำเร็จหรือได้รับชัยชนะได้
ความจริงข้อหนึ่งของการรัฐประหารของ คสช. เมื่อเวลา 16.30 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2557 คือความพยายามที่จะช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายไม่เว้นวัน ให้มีทางออกและเดินหน้าต่อไปได้ แม้การรัฐประหารโดยทั่วไปและโดยตัวมันเองจะเป็นความชั่วร้ายที่ไม่พึงปรารถนา แต่การรัฐประหารของ คสช. ครั้งนี้ก็จัดเป็น “ความชั่วร้ายที่จำเป็น” (Necessary Evil) ที่แม้ไม่ปรารถนาก็ต้องทำความเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ คสช. รวมถึงคณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และแรงต้านของกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศออกมาได้ เมื่อใดที่ถูกต่อต้านทั้งเชิงสัญลักษณ์ หรือโดยตรง พล.อ. ประยุทธ์ จึงมักอ้างว่าตนกับคณะเข้ามาควบคุมอำนาจเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังยึดอำนาจหรือกอบโกยโกงกินแต่อย่างใด ซึ่ง ณ วันนี้ยังถือว่าเป็นความจริง
แต่ก็อย่างที่กล่าวข้างต้น พล.อ.ประยุทธ์หากต้องการประสบผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ดังว่าในการเข้ามาควบคุมอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ การเริ่มต้นจากความเป็นจริงเพียงอย่างเดียวคงยังไม่พอ ที่สำคัญยังต้องยืนอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมด้วย
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้พยายามยืนอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมในหลายเรื่อง นอกจากการลงมือกวาดล้างกองกำลังที่มีการสะสมอาวุธสงครามไว้ตามเมืองต่างๆ หลายเมือง ซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตนเองกับคณะแล้ว ยังมีการสะสางการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและข้าราชการ มีการยุติโครงการจำนำข้าวที่เป็นแหล่งกอบโกยโกงกินมหาศาล และเร่งคืนเงินจำนำข้าวให้ชาวนาที่ต้องผูกคอตายไปแล้วไม่รู้กี่ราย มีการยุติบทบาทของข้าราชการโดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำและกลางน้ำที่สมคบคิดกันรับใช้ฝ่ายการเมืองที่ครองอำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา รวมทั้งมีการลงมือปฏิรูปประเทศเพื่อหวังให้ดีขึ้นในทุกด้านโดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นตัวตั้ง
แต่กระนั้นก็ยังมีอีกหลายเรื่องซึ่งเป็นความถูกต้องชอบธรรมที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรต้องรีบทำ แต่ยังไม่ได้ทำ
ในฐานะหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยดำเนินการอะไรกับอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ" ที่หนีคุกและมีบทบาทชักใยกลุ่มการเมืองบางกลุ่มอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการถอดยศ ริบหนังสือเดินทาง หรือเรียกคืนเครื่องราชฯ
ในฐานะนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ไม่รีบดำเนินคดีเรียกร้องให้อดีตนายกฯ "ปู" กับพวก ต้องรับผิดชอบความเสียหาย 6.8 แสนล้านบาทจากโครงการจำนำข้าวที่มีการทุจริตโกงกินทุกขั้นตอน ทั้งที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการเรียกร้องให้มีการชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดิน จนนักวิชาการและผู้รักชาติบ้านเมืองต้องออกมาตั้งกลุ่มรณรงค์ให้พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินการ
ทุกวันนี้ แม้สังคมจะมองเห็นถึงความตั้งใจจริง และการทำงานหนักเพื่อบ้านเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ตลอดเวลากว่าหกเดือนที่ผ่านมา ทั้งพร้อมสนับสนุนการปรองดองระหว่างคนที่ความเห็นต่างตามนโยบายของ คสช. แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่การปรองดองระหว่าง ดี กับชั่ว ... โกง กับ ไม่โกง หรือ สุจริตชน กับ คนหนีคุก
พล.อ.ประยุทธ์ กับ คสช. จึงจำเป็นต้องทำตนให้ชัดเจนในการแยกแยะระหว่างถูกกับผิด ดีกับชั่ว โกงกับไม่โกง จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขี้หงุดหงิด เรียกเด็กมาตีก้นคนละที แล้วบอกให้ปรองดองแล้วลืมๆ กันไปไม่ได้ เพราะระหว่าง การต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ กับ การต่อสู้เพื่อรักษาระบอบทักษิณ ที่ทำให้เกิดเป็น คสช. และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันนี้ เป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่าง ถูกกับผิด ... ดีกับชั่ว เป็นคู่ความขัดแย้งที่ไม่อาจปรองดองได้
ทั้งยังเป็นสิ่งที่ต้องการการบ่งชี้และจำแนกให้แจ่มชัด มิฉะนั้นจะสื่อความหมายผิดๆ ให้กับสังคม
ทำให้ทั้งสังคมตกหล่มอยู่ในกับดักแห่งการปรองดองอันไร้สาระ
ซึ่งมีแต่จะทำให้การต่อสู้เพื่อบ้านเพื่อเมืองที่ผ่านมาของทุกฝ่ายต้อง “เสียของ” ไปอย่างไม่น่าให้อภัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ