พลเอก ประยุทธ์ พูดเรื่องมารศาสนา?
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา : มารศาสนา ?
-โมไนย พจน์-
[รายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" วาระแห่งชาติในเรื่องศาสนาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.57]
(นาทีที่ 46.13 -46.32 พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา พูดถึงประเด็นทางศาสนา "...ในเรื่องของศาสนานั้นทุกคนต้องช่วยกัน เราก็จะ ใช้กลไก ทุกกลไก ได้ช่วยกันเร่งรัดตรวจสอบ ขจัดมารศาสนา ออกไป ส่งเสริมพระพุทธศาสนา และทุกศาสนา ให้เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตลอดไป ด้วยความเชื่อมั่น และศรัทธาอย่างแท้จริง...")
เมื่อวาน วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2557 เวลา 20.30 น. ให้บังเอิญ ได้ยินพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในช่วงนาทีท้าย ๆ ได้พูดถึงประเด็นศาสนาไว้ว่า "...ในเรื่องของศาสนานั้นทุกคนต้องช่วยกัน เราก็จะ ใช้กลไก ทุกกลไก ได้ช่วยกันเร่งรัดตรวจสอบ ขจัดมารศาสนา ออกไป ส่งเสริมพระพุทธศาสนา และทุกศาสนา ให้เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตลอดไป ด้วยความเชื่อมั่น และศรัทธาอย่างแท้จริง..."
จึงเกิดคำถามต่อว่า แล้วตกลงใครคือมารศาสนา ? ตามที่ท่านกล่าวถึง
ดังนั้นต้องไปดูความหมายของมารไว้ว่า
1. ในพระพุทธศาสนาให้คำนิยามคำว่ามารไว้ว่า "มาร" มาจาก "มรฺ" ธาต แปลว่า ตาย อาจนิยามต่อไปอีกว่า มารแปลว่าผู้ให้ตาย หมายความว่า ผู้ฆ่า คนเราไม่สามารถทำประโยชน์ในเชิงศาสนาในอนาคตได้ เพราะมารเป็นผู้คอยทำลายล้างความดี เป็นผู้ฆ่าความดี ตามภูมิชั้นนั้น
2. ในพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน ให้ความหมายของคำว่า "มาร" [มาน มาระ- มานระ-] จัดเป็น คำนาม น. มีความหมายว่า "เทวดาจําพวกหนึ่ง มีใจบาปหยาบช้าคอยกีดกันไม่ให้ทําบุญ ยักษ์ ผู้ฆ่า ผู้ทำลาย ในพระพุทธศาสนาหมายถึงผู้กีดกันบุญกุศล มี ๕ อย่าง เรียกว่า เบญจพิธมาร คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร โดยปริยายหมายถึงผู้ที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง. (ป. ส.).[มาน มาระ- มานระ-] น. เทวดาจําพวกหนึ่ง มีใจบาปหยาบช้าคอยกีดกันไม่ให้ทําบุญ
ดังนั้นถ้าเอาแนวคิดเรื่อง "มาร" ในพระพุทธศาสนา หมายถึง พฤติกรรม หรือการกระทำ ที่คอยขัดขวางให้ไม่ให้เจริญก้าวหน้า ในทางศาสนา หรือฆ่าความดีของคน ให้เป็นคนไม่ดีก็คงไม่ผิด เมื่อเอามารวมกับคำว่า "ศาสนา" เป็น "มารศาสนา" จึงน่าจะหมายถึง ผู้ทำลายความดี ที่จะเข้าถึงเจตนารมณ์ทางศาสนา หรือพฤติกรรมอันนำไปสู่ความชั่วช้าทางศาสนากระมัง
ฟังดูคำนิยามยังแคบ ๆ
ถ้าอย่างนั้น ต้องตามไปดูว่าพระพุทธศาสนามองใครเป็น "ภัยคุกคาม"ศาสนา
ใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม 1 ภาค 5 - หน้าที่ 344 ใน อัคคิภารทวาชสูตร หรือมหาโจร 5 จำพวก
โดยให้คำนิยามไว้ว่า "ผู้ร้ายทำการตัดที่ต่อ การปล้นสดมภ์ การปล้นเรือนหลังเดียว และการดักปล้นในหนทางเป็นต้นแล้ว ปล้นทรัพย์ของคนเหล่าอื่นท่านเรียกว่า โจร ในโลก"
แต่ยังมีโจรอีกพวกหนึ่ง "พวกบรรพชิตปล้นปัจจัยเป็นต้น ด้วยบริษัทสมบัติเป็นต้น ท่านเรียกว่า โจร ในพระศาสนา"
ซึ่งในพระพุทธศาสนาท่านได้ตรัสขยายความต่อว่า
1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร 5 เหล่านี้ มีอยู่ ปรากฏอยู่ในโลก 5 เป็นไฉน คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ คิดอย่างนี้ว่า ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร 100 คน หรือ 1,000 คนแวดล้อมแล้ว จักเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ให้ฆ่า ตัดเอง ให้ตัด จี้เอง ให้จี้ โดยสมัยอื่น เขามีบริวาร 100 คน หรือ 1,000 คนแวดล้อมแล้ว เที่ยวไปอยู่ในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ฯลฯ ให้จี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้ ก็เหมือนอย่างนั้นแล คิดอย่างนี้ว่าชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร ๑๐๐ ฯลฯ แวดล้อมแล้ว จักไปสู่ที่จารึกในคาม นิคม และราชธานี ผู้อันคฤหัสถ์ทั้งหลายและบรรพชิตทั้งหลายสักการแล้ว เคารพแล้ว นับถือแล้ว บูชาแล้ว ยำเกรงแล้ว ได้จีวร ฯลฯ บริขารโดยสมัยอื่นอีก เขาอันบริวาร 100 ฯลฯ เที่ยวไปสู่คาม นิคม ราชธานีสักการะแล้ว ฯลฯ ได้จีวร ฯลฯ บริขาร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 1 มีอยู่ปรากฏอยู่ในโลก.
2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้เรียนธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมเผาตนเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้มหาโจรที่ 2 ฯลฯ ในโลก.
3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้กำจัดพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยพรหมจรรย์อันไม่มีมูล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ ๓ ฯลฯ ในโลก.
4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์คือ อาราม อารามวัตถุ วิหาร วิหารวัตถุ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ ขวดโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สิ่ว เถาวัลไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดินเหนียว ภิกษุชั่วย่อมสงเคราะห์ ย่อมช่วยเหลือคฤหัสถ์ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 4 ฯลฯ ในโลก.
5. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตนไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
กล่าวโดยสรุปโจร 5 ประเภท โจร ที่ทำลายหลักการคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้สอน แล้วบอกว่า สอน สอนแล้วบอกว่าตัวเองเป็นผู้คิด ผลิตชุดคำสอนขึ้นมาเองในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจัดเป็น "มหาโจร" ปล้นศาสนา หรือทำลายศาสนา ดังนั้น แนวคิดนี้ยืนยันว่า น่าจะช่วยยืนยันร่วมกับประธาน คสช. ว่า ใครควรเป็น "มารศาสนา" ด้วยกระมัง แต่เมื่อท่านจะนิยามอย่างไร เอาแนวคิดทางพระพุทธศาสนาบอกไว้อย่างนี้ ดังนั้นเมื่อพระพุทธศาสนา ใครทำลายหลักการ สอนหรือกระทำ หรือมีพฤติกรรม กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำสอน พระพุทธศาสนาจัดเป็น "โจร" ปล้นศาสนา ดังนั้นไปดูกันต่อไปว่า ใครมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับคำสอน และจัดเป็นมารของ "องค์รัฎฐาธิปัตย์" หรือไม่ ?
โปรดติดตาม
เมื่อย้อนกลับไปดูความห่วงใย คมช.ได้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาตั้งเรื่องร้องเรียน เพื่อรับทราบปัญหาของพระพุทธศาสนาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับบุคคลที่กระทำผิดต่อพระศาสนา
1.พระภิกษุ ที่เป็นข่าวเรื่องเรี่ยไร บิณฑบาตรเกินเวลา เมาตามสถานีรถไฟ ธุดงค์ในที่ชุมชน เดินห้าง ปลอมตัวบวชเรี่ยไรหาเงิน ซึ่งข่าวเหล่านี้สะท้อนปัญหาถึงความเหลื่อมล้ำ ในเรื่องคุณภาพชีวิตของคนในสังคม รายได้ของวัดในเมือง กับวัดในชนบท การศึกษาของคณะสงฆ์ ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนา แต่เป็นการศึกษาเพื่อเอายอด และยังเป็นปัญหาที่อยู่ในการควบคุมได้ แปลว่ามีกระบวนการตรวจสอบผ่านกฏหมาย ผ่านพระธรรมวินัย มีเมียก็เป็นความผิดจับสึกได้ เรี่ยไร่ เป็นตุ๊ดแต๋ว เห็นพฤติกรรมเชิงประจักษ์ สามารถปราบ จับสึก หรือภาคฑัณฑ์ได้ ดังนั้นดูภาพรวมต่อพฤติกรรมของ "มารศาสนา" ในมิตินี้ จึงเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยในวงการศาสนาครับท่าน
(ถ้าเอาพฤติกรรมที่ควบคุมได้เหล่านี้เป็นแค่ผู้ทำลายภาพลักษณ์ศาสนา จัดเป็นมารศาสนา คำจำกัดความจะแคบไปไหม ?)
เมื่อดูในภาพรวมจึงเป็นแค่พฤติกรรมตัวบุคคล ที่กระบวนการต่าง ๆ สามารถควบคุม หรือกำราบ ป้องปราม หรือดำเนินการให้เป็นตามพระธรรมวินัย และกฏหมายหมาย ได้ แปลว่า บุคคลเหล่านี้จึงเป็นได้แค่ ภาพสะท้อน ความเหลื่อมล้ำในสังคมระหว่างรายได้ของคนในเมืองกับคนในชนบท ช่องทางการหารายได้จากความเชื่อ "ปลอมบวช" จึงเกิดขึ้น รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างพระในเมือง กับพระในชนบท วัดหลวง กับราษฎร์ การศึกษาที่อ่อนแอ ไม่สามารถพัฒนาตามเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาได้ เพราะการศึกษาของคณะสงฆ์ เป็นเพียงแหล่งผลประโยชน์ ที่เอาค่าหัวเป็นยอดของผู้เรียนผู้สอบ เอายอดตัวเลข ปลอมแปลงขึ้น เพื่อให้ได้ตามเกณฑ์การขอยศ ขอตำแหน่ง
ท่านเสนอ สำนักพุทธสนอง ตามล่า "มารศาสนา" ละหรือ ?
สนองในสิ่งที่ท่านเสนอ 5 วันได้ 67 เรื่อง "มารศาสนา" ปลาซิวปลาสร้อย ? (กดภาพเพื่อไปแหล่งข้อมูลเดิม)
ถ้าเกณฑ์แห่งความเป็น "มารศาสนา" เป็นแค่ที่สำนักพุทธ "พ.ศ.สนอง "ประยุทธ์" เปิดฮอตไลน์แจ้งพระนอกรีต" เปิดรับเรื่องร้องเรียนตลอด 24 ชั่วโมง" รับลูกนโยบายของ คมช.ที่ผ่านมา พร้อมเอาสถิติ "5 วัน 67 เรื่อง" คนโทรร้องเรียนประหนึ่งว่าเป็นวาระแห่งชาติ แล้วนิยามว่า นี่คือ "มารศาสนา" ก็ฟังดูหดหู่ และวังเวลงอย่างไรไม่ทราบกับคำว่า
มารศาสนา ? ในมิติของ "องค์อธิปัตย์" แห่งรัฐไทย และ "เครือข่าย"แห่งรัฐ ที่ชื่อ สำนักพุทธ
2.มาเฟียทางการเงินศาสนา หมายถึง นักธุรกิจในภาพลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ กับเจ้าอาวาสผู้จัดการศาสนา ในนามวัดต่าง ๆ นำเงินวัด ไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ ที่มียอดรวมกันว่า 3 แสนล้าน [ผศ.ดร.ณดา จันทรสม,รายงานวิจัย การบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย, (สำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์,๒๕๕๕). หน้า บทคัดย่อ : กดไปยังแหล่งเดิม] แล้วเอาดอกผลในสัดส่วนที่น้อยคืนกลับมายังวัด เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบประชาชน นายธนาคารเหล่านั้น รวมทั้งธนาคารไทยที่ท่านเป็นผู้บริหารอยู่ เอาเงินวัดที่เป็นเงินบุญ ชาวพุทธบริจาคมา ด้วยความเชื่อศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ผู้บริหารวัด ในชื่อเจ้าอาวาส กับธนาคารพาณิชย์เอาเงินนั้นไป ทำธุรกรรมบาป ด้วยการขูดรีดชาวพุทธต่อ แปลว่า กู้วัดไปดอกไม่มาก แต่เอาไปปล่อยกู้แก่ชาวพุทธ ประชาชนทั่วไป ในอัตราดอกที่สูง ซึ่งเงินเหล่านี้ ควรเป็นเงินของชาวพุทธ ควรเป็นเงินที่เป็นประโยชน์กับศาสนา แต่กลับเป็นประโยชน์ให้กับธนาคารพาณิชย์เพียงไม่กี่แห่ง ขูดรีดชาวพุทธ ดังนั้นเงินศาสนา จึงควรเป็นเงินแห่งเอื้ออาทร มิใช่การกอบโกยและเอาเปรียบอย่างที่ปรากฏ พฤติกรรมแบบนี้
ควรเป็น "มารศาสนา" ได้หรือไม่ ?
[รายงานวิจัยที่ชี้บ่งว่า วัดมีเงินอยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ 3 แสนล้าน และเงินหมุนเวียนจากการ บริจาค ระดมทุน ในรูปของการก่อสร้าง ศาสนาวัตถุ อยู่ที่ถั่วเฉลี่ยวัดละ 3 ล้านต่อปี รวมมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท กระจายไปสู่กลุ่มทุนต่าง ๆ ในรูปของการเอาเปรียบ ไร้เมตตา ขาดความเอื้ออาทร]
3.การแสวงหาประโยชน์ จากความโง่เขลาของผู้บริหารวัด และละโมบ หมายถึง การที่กลุ่มทุน ใช้ช่องว่างหาประโยชน์ความอ่อนแอของพระผู้บริหารวัดในระดับเจ้าอาวาส ที่ขาดความรู้ ใช้ช่องทางกลไก บางอย่างให้ได้ประโยชน์ เช่น การเช่าที่ดินอันเป็นที่ธรณีสงฆ์ ที่รวมกันทั่วประเทศมีมูลค่ากว่าแสนล้านทั่วประเทศ ทำนิติกรรมอำพราง ส่งคนเข้าไปเป็นกรรมการวัด และให้เจ้าอาวาสเซ็นยินยอม ให้ทำสัญญา ที่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับวัดและพระศาสนา เช่น วัดดังย่านบางกะปิ ที่มีที่ดินให้ธรณีสงฆ์หลายแห่ง รวมทั้งให้กลุ่มทุน เช่า สัญญา 60 ปี ซึ่งคงไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน แต่กลุ่มทุน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบกระโหลกผู้นำให้ทำ อาจมีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่าพูดลอย ๆ ไม่มีหลักฐาน เรื่องในที่ลับมันก็เป็นเรื่องลับ รู้กันเฉพาะผู้ได้ประโยชน์ ดังนั้นผู้มีส่วนต้องตรวจสอบ หาข้อมูลและดำเนินตามกฏหมายเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างแห่งการแสวงหาประโยชน์จากวัด และพระศาสนาจนกลายเป็นการไร้ธรรมาภิบาลในองค์กรไปอย่างนั้น
เหตุการณ์ที่ยกมา อาจมีกรณีเทียบเคียงได้ เช่น "พระเทพรัตนสุธี รองเจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา ท่านยกตัวอย่าง วัดปทุมคงคามีที่ธรณีสงฆ์แปลงหนึ่ง เป็นรูปเกาะแหลมออกไปจากวัดเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา ทำเลดี อยู่แถว ถ.ทรงวาดติดด้านหลังนิวโอเดียนเดิม “เมื่อหลายปีก่อน เคยมีผู้มาเสนออาตมาว่า จะถวายให้วัด 60 ล้านบาท แลกกับการสร้าง อาคารพาณิชย์ ทำสัญญาเซ้ง 20 ปี หลังครบกำหนดสัญญา จะยกอาคารให้วัดเก็บค่าเช่า” (ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 55 ฉบับที่ 16895 วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2547) แปลว่าเหตุการณ์แบบนี้มีจริง มิใช่มีกรณีเฉพาะวัดที่กล่าวถึง แต่อาจมีอีกหลายวัด แต่หลักใหญ่ใจความแปลว่าวัด และพระศาสนาเสียประโยชน์จากนายทุน รวมไปถึงเสียรู้ด้วย
รวมไปถึงการสร้างสิ่งสร้างอย่างใหญ่โต ในรูปแบบที่เกินจริงกว่าราคาทั่วไป ไม่มีการประกวดราคา ไม่มีการเสนอแบบขออนุญาต ประมูลอย่างเป็นระบบ แต่สาระสำคัญอยู่ตรงที่ว่า "เจ้าอาวาส" กับนายทุน ร่วมกันฮั้วผลประโยชน์ที่เกินราคาอย่างมาก แล้วไปเรียกเก็บจากชาวพุทธในรูปของการบริจาค แปลว่า ราคาเกินจริง ไม่มีการตรวจสอบ ผลคือ "ขูดรีดชาวพุทธ" ในนามของ "บุญ" รวมทั้งหลายวัด ที่สิ่งสร้างไม่ยอมเสร็จ เพราะระบบนายทุน เข้าไปเอาเปรียบวัด ผ่านความเชื่อศรัทธา โดยเข้าไปเป็นนายทุนสร้างที่ราคาเกินกว่าความเป็นจริง ไม่มีการตรวจสอบแบบ วัสดุ แต่ไปในฐานะผู้เริ่มทุนสร้าง แล้วให้ทางวัดและเจ้าอาวาส เรี่ยไร เอาเปรียบประชาชน ที่เรียกว่าศรัทธาโดยไม่มีการตรวจสอบ เรี่ยไร ตลอดทั้งปี บริจาคสร้าง โดยไม่มีระบบใด ๆ ทั้งการเสนอแบบ เสนอประมูล เปิดซองราคา แปลว่ากระบวนการตรวจสอบที่จะปิดการทุจริต โกง โดยกลุ่มทุน และผู้ใกล้ชิดเจ้าอาวาสไม่มี ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการชี้แจงในเรื่องความโปร่งใส วัดจึงกลายเป็นเพียงแหล่งฟอกเงินของกลุ่มทุน นักการเมือง และเจ้าอาวาส ญาติพี่น้อง เครือ ๆ ที่บริหารวัดเท่านั้น พฤติกรรมแบบนี้
ควรเป็น "มารศาสนา" ได้หรือไม่ ?
[พระพุทธศาสนาไม่ได้สอน แล้วคนพวกนี้ กระทำการปลอมแปลงคำสอน หลักการ
แบบนี้จะเรียกว่า "มารศาสนา" ได้ไหม ? ท่านนายพล/ภาพจากเน็ต]
[หาเงินบนความเชื่อศรัทธาที่ผิดไปจากคำสอน ควรจะเรียกมารศาสนาได้ไหม ? เรี่ยไร หาเงิน สร้างโดยไม่มีการตรวจสอบรายได้ อย่างเป็นระบบ ผ่านวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ อย่างนี้จะเป็นการโกง คอรัปชั่น ตามที่พวกท่านไล่ล่าอยู่ได้หรือไม่ ?/ภาพจากเน็ต]
(พฤติกรรมเหล่านี้ พระพุทธศาสนาไม่ได้สอน จัดว่าเป็น "มารศาสนา" ในการ "ขจัด" ออกไป
ตามนโยบายของประธาน คมช.ได้หรือไม่ ?)
4. การสร้างวัตถุทางศาสนา ที่เรียกว่า "วัตถุมงคล" ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาไม่มี ระดมเงินกันมหาศาล สร้างสิ่งสร้างบ้าง รูปเคารพใหญ่โต ที่เกินกว่าความจำเป็น ไม่มีมีการตรวจสอบ ระหว่างรายรับ รายจ่าย จัดเป็นการโกง หากินบนความเชื่อของชาวพุทธ สอนผิดหลักคำสอน รวมทั้งเอาประโยชน์ศาสนา มาเป็นฐานอำนาจ ผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นระหว่างนายทุน ที่เป็นเจ้าของโรงผลิต เรียกว่าสอนคนให้งมงาย จากวัตถุมงคลทุกชนิด ซึ่งข้าพเจ้าเองก็เคยเห็นท่านไปนั่งเป็นประธานร่วมในพิธีปลุกเสก หริืออาจมีส่วนได้เสียกับผลิตผลที่สร้างขึ้นโดยตรง
แบบนี้ควรเรียกว่า "มารศาสนา" ได้หรือไม่ ?
(ร้อยหมื่นพันคำ หรือจะเจ้าภาพ 1 ภาพ/ในพิธีร่วมพิธีเททองพระนาคปรก ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม /กดที่ภาพเพื่อไปยังแหล่งเดิม)
(ถ้าท่านเป็นนายกจริง ดังสมเด็จท่านว่า ฝาก "ทำให้มารศาสนา" มันมีขอบข่ายกว้างหน่อย ไม่ใช่ปลาซิว ปลาสร้อย ที่ปลอมบิณฑบาต เพราะไม่มีจะกิน เมาเหล้า เพราะบวชแล้วไม่สอนไม่สั่ง หรือพฤติกรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ศาสนา แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบที่ขาดการดูแลใส่ใจอย่างเป็นระบบ มัวแต่แบกพัดไปทักษิณา และโปรดพวกเดียวกันที่ให้พัดมา จนได้ชื่อว่า "พระราชาคณะ")
5. พฤติกรรมพระที่เรียกว่า "มาเฟีย/ขาใหญ่พระ" เราเห็นพฤติกรรมเด็กฝาก พระฝาก พระพ่อค้า พระนายหน้าค้าอาวุธ ค้าที่ดิน ค้ากำไรผ่านวัตถุมงคล ผ่านการเช่าที่วัด ค้าสมณศักดิ์ ที่กลุ่มทุน สมประโยชน์กัน เราจึงเห็นพระผู้ยิ่งใหญ่ในวงการศึกษา ฝากได้ทุกสถาบัน เราจึงเห็นพระ ขูดรีดพระด้วยกัน มาส่งส่วยเจ้านายชั้นปกครองที่เหนือกว่า ผ่านระบบสมณศักดิ์ เราจึงเห็นพระประจบชนชั้นปกครอง ตีฝีกปาก เลียไข่ ออกทีวี ได้ดิบได้ดีในชื่อสมณศักดิ์ ซึ่งในทางพระพุทธศาสนา ประจบคฤหัสถ์ รวมทั้งคนที่ประจบท่าน ตอนท่านมีอำนาจ "เลียไข่ท่าน"บอกว่า สามารถเป็น "นายก" ได้ หรือท่านจะเป็นเพียง "กระบอกเสียงที่มีประสิทธิภาพ" อย่างที่ท่าน ศ.ศิวลักษณ์กล่าวไว้ (สุรพศ ทวีศักดิ์,ไตรทัศน์วิจารณ์ ความคิดว่าด้วยพระพุทธศาสนา สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตยของ ส.ศิวลักษณ์,[กรุงเทพ ฯ สยามปริทรรศน์,2557] หน้า 48) นอกจากนี้พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้สอน ไม่มีในบัญญัติ ไม่ได้มีหลักการแบบนี้แต่อย่างใด แปลว่าไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งศาสนาไม่ ? พฤติกรรมเหล่านี้
ควรเป็น "มารศาสนา" ได้หรือไม่ ?
[พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ที่นักวิชาการ / นักกฏหมาย ตีความว่าเป็นกฏหมายที่ล้าหลัง เผด็จการ ต้องแก้ไข ที่ยังคงใช้ในองค์กรสงฆ์ จนกลายเป็น ผูกขาด ส่งเสริมให้เกิดระบบมาเฟียในศาสนา ให้เห็นเต็มบ้านเมืองในคนที่ "ถือจริยธรรม"ทางศาสนา แต่พฤติกรรมตรงกันข้าม]
(ภาพ 1 บรรรยายภาพว่า " วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร - เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2555 พระพรหมสิทธิ เจ้าคณะภาค 10 และที่ปรึกษาสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้บริหารบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมแถลงข่าวการจัดโครงการ "ฝึกจิต ปฏิบัติกาย ถวายพุทธชยันตี" เนื่องในปีพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า"
ภาพ 2.ภาพขวาบรรยายว่า "ขออนุโมทนาบุญ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด และ คุณนุ่น วรนุช ถวายปัจจัยสนับสนุนโครงการสามเณรรากแก้วศาสนทายาท" กดที่ภาพเพื่อไปยังแหล่งข้อมูลเดิม )
6. กฏหมายที่ล้าหลัง พ.ศ.2505 แก้ไข พ.ศ.2535 ที่ส่งเสริมให้เกิดระบบเผด็จการ เอื้อให้เจ้าคณะต่าง ๆ ผูกขาดอยู่ในตำแหน่ง จนกระทั่งกลายเป็นมาเฟียทางศาสนา ที่มีอำนาจล้นฟ้าในเชิงบุคคล และวัด แต่ไม่ได้มีประโยชน์กับพระศาสนา หรือพัฒนาองค์กรให้เข้าสู่อุดมคติทางศาสนา กลับกลายเป็นการพัฒนาเฉพาะหมู่กลุ่มพวก และคนในเครือข่ายของตัวเอง ดังปรากฏตามข้อ 2 3 และ 4 ที่กลุ่มทุนผูกขาดอยู่ในระบบวัด และระบบศาสนา มีผู้ดำเนินการในนามเจ้าอาวาสและพวกพ้อง หรือเจ้าคณะต่าง ๆ ตั้งแต่ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค หน มาจนกระทั่งปัจจุบัน แปลว่ากฏหมายเอื้อให้สร้างระบบมาเฟียในวัด ในตำแหน่งนั้น เมื่อตำแหน่งยาว กลุ่มผลประโยชน์จึงเข้าไปแฝง กับตำแหน่งยาว ๆ นั้น ๆ ผ่านการสนับสนุน แต่ในการสนับสนุนนั่นคือผลประโยชน์ร่วมระหว่างวัดกับกลุ่มทุน หรือกลุ่มผลประโยชน์นั้น ๆ ที่เข้าไปสนับวัดต่าง ๆ โดยเจตนา เพื่อเอืื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกตนเองในนามวัดนั้น
แบบนี้จะเรียกว่า "มารศาสนา" ได้ไหม ?
การจัดงานวันเกิด แล้วนิมนต์เจ้าคณะปกครองระดับสูงไป ถวายหนัก ควรจัดเป็นการคอรัปชั่นเงินวัด เงินพระศาสนา
และติดสินบนเจ้าพนักงานได้ไหมหนอ
ไม่รู้ระบบแบบนี้จะเรียกว่า "คอรัปชั่น" ได้ไหม รวมทั้งจัดเป็น "มารศาสนา" ในนิยามของ "คมช."หรือไม่ ?
"คอรัปชั่น" + "มารศาสนา" เรื่องเดียวกันไหม ?
7. พฤติกรรมที่ที่คอรัปชั่น โกง เบียดบัง แปลว่า เมื่อมีตำแหน่งแล้ว ใช้ตำแหน่งเหล่านั้น มาใช้ในการแสวงหาประโยชน์ ค่าหัวคิว หรือการรับสินบน โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการรับสินบน เราจึงได้ยินพระสังฆาธิการระดับปกครอง เห็นดีงามกับการถวายรถ โดยมองเป็นเพียงว่า ผู้น้อยให้ผู้ใหญ่ หรือมองว่าวันเกิดกลายเป็นการส่งส่วย ในเมื่อท่านมองว่าการคอรัปชั่นไม่ถูกต้องเป็นปัญหา ก็ตรวจสอบพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยว่าเป็นความล้มเหลวเชิงจริยธรรมทางศาสนา เป็นตัวอย่างและพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องทางสังคม ไม่ทราบว่าท่านจัดกลุ่มนี้เป็น
"มารศาสนา" ด้วยหรือไม่ ?
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า มารศาสนาในนิยามของท่าน ควรมีขอบเขตแค่ไหน จึงได้แต่รอนิยามที่ชัดของคำว่า "มารศาสนา" รอดูผลงานในการ "ขจัด" ออกไปให้พ้นวงการศาสนาตามที่ท่านกล่าวอ้าง
ฝากถึงท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อจะเล่นบทองค์อธิปัตย์ ในการกอบกู้บ้านเมือง ในฐานะผู้ปกครอง เช่นพระเจ้าอโศกมหาราช ในการทำสังคายนาครั้งที่ 3 หรืออดีตบูรพกษัตริย์ไทย ในอดีตเช่น พระนารายณ์ในสมัยอยุธยา พระเจ้าตากแห่งกรุงธนบุรี รัชกาลที่ 1 ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่เมื่อเข้ามาบริหารบ้านเมืองแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ละเลยคือการปรับปรุง และส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เป็นไปตามหลักการ หรือครรลองที่ถูกต้องแห่งพระธรรมวินัย ตามเจตนารมณ์ทางศาสนา แต่ในเวลาเดียวกัน เมื่อสังคมมันซับซ้อนมากขึ้น สถานการณ์มันเปลี่ยน บทบาทของพระพุทธศาสนา วัด คณะสงฆ์ควรตอบสนองบริบททางสังคมอย่างรอบด้าน โดยไม่เสียหลักการแห่งพระธรรมวินัย หรือ "สมณสัญญา" ความเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ท่านก็ทำไป หรือดำเนิน ไป แต่ต้องรอบด้าน ครบรอบ และเป็นการปฏิรูปร่วมกับสังคม เพราะบทบาทของวัดและพระศาสนาในปัจจุบัน เป็นได้แค่ผู้ตามไม่ใช่ผู้นำ ความอ่อนแอทางศีลธรรมในสังคมไทย ส่วนหนึ่งเพราะองค์กรทางศาสนา และบุคคลากรทางศาสนาอ่อนแอเกินกว่า แม้กระทั่งรักษาตัวเองได้ จึงต้องให้รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และนับแต่อดีต รัฐ หรือผู้ปกครอง ล้วนเป็นผู้สนับสนุน เข้ามาแก้ไข ส่งเสริมหรือปรับปรุงทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งท่านอาจมาถูกทาง แต่ต้องเป็นทางที่ถูก ไม่ใช่ทำเพราะมีคนเรียก แต่ยังงงไม่รู้จะทำอะไร ก็พูดรวม ๆ แค่มารศาสนา ทั้งที่ในความเป็นจริง ศาสนามิได้อยู่แค่ผู้กระทำความผิด มันควรส่งเสริมผู้กระทำความถูก และให้เป็นถูกสากล ทั้งหลักการ หลักปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาด้วย เพราะมิฉะนั้นก็ได้แค่ปลาซิวปลาสร้อย ก็เท่านั้นเอง
ทั้งจะกลายเป็น "ปาหี่" แห่งการปฏิรูป ที่จะลบทับและกลบหน้าท่านด้วย เพราะเหลือบไร แฝงอยู่ ทั้งตัวเล็กใหญ่ มีอยู่จำนวนมาก รวมทั้งเป็นมหาโจรมันร้ายกว่า คำว่า "มารศาสนา" ศัพท์สวย ๆ ในนิยามที่เราได้ยินกันทั่วไป
เพราะถ้าทำได้แค่นั้น มันคงเสียเวลาที่อุตส่าห์รากปืน รถถัง ให้ทหารออกมายืนเปียกฝนจนกระทั่งปัจจุบัน
รวมทั้งแปลงชื่อสวย "คสช" เป็น "คืนความสุขแห่งชาติ"
เพราะถ้าผลเป็นอย่างอื่นหรือทำได้แค่นี้
ก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอะไร ?
คงต้องรอเวลา และทำใจ....?
|
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=927843โดย โมไนย-พจน์ |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ