ผงาดในเวทีประชุมเอเปกของนายกรัฐมนตรีไทย ที่ส่งผลอันประจักษ์ต่อประเทศไทยและคนไทยแล้ว!
‘ประยุทธ์’ผงาดในเวทีเอเปก
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เหินฟ้าออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2557 เพื่อเข้าร่วมประชุมผู้นำกลุ่มเอเปก ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายนนี้
กลุ่มเอเปกซึ่งมีสมาชิก 21 ประเทศ กำลังประชุมครั้งที่ 22 ซึ่งมีวาระสำคัญที่สุดคือการเปิดเสรีการค้าเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งเป้าที่สำคัญที่สุดคือการสร้างสันติภาพและการพัฒนาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อหยุดยั้งความขัดแย้งและสงคราม
บรรดาผู้นำมหาอำนาจของโลกที่สำคัญมาประชุมกันเกือบครบ ที่สำคัญคือผู้นำจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ผู้นำรัสเซีย ผู้นำญี่ปุ่น และผู้นำสมาชิกต่างๆ สำหรับประเทศไทยแม้ไม่ได้มีฐานะเป็นมหาอำนาจ แต่โดยภูมิยุทธศาสตร์ของประเทศไทย เราก็เป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในโลก ที่มีภูมิเสมอด้วยสหรัฐอเมริกา คือ มีผืนแผ่นดินที่เชื่อมสองฝั่งฟากมหาสมุทรเหมือนกัน
การประชุมเอเปกครั้งนี้ นอกจากมีเรื่องสำคัญทางยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติทั้งผองด้วย นั่นคือจะมีวาระหารือเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร ซึ่งกำลังเป็นวิกฤติที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เนื่องจากประชากรโลกได้ทะลุยอด 7,000 ล้านคน และกำลังพุ่งไปสู่เป้า 10,000 ล้านคน ในศตวรรษหน้า และนั่นก็หมายถึงโลกจะเผชิญหน้ากับวิกฤติอาหารที่ร้ายแรงที่สุด
นอกจากวาระสำคัญดังกล่าว บรรดาผู้นำประเทศกลุ่มเอเปกจะได้พบปะประชุมหรือแบบสองต่อสอง หรือที่เรียกว่าแบบทวิภาคี คือประเทศต่อประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยก็มีกำหนดการประชุมทวิภาคีร่วมกับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพ
ดังนั้นในทันทีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นต้น เดินทางถึงท่าอากาศยานกรุงปักกิ่ง รัฐบาลจีนได้จัดการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
จากนั้นขบวนของนายกรัฐมนตรีไทยซึ่งรัฐบาลจีนได้จัดรถหงฉี ซึ่งเป็นรถประจำชาติของจีนและกำลังจะ refresh brand ออกสู่ท้องตลาดทั่วโลกครั้งใหญ่เป็นพาหนะ ก็นำคณะรัฐบาลไทยมุ่งหน้าตรงไปยังมหาศาลาประชาชน เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ผู้นำสูงสุดของจีน
ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ได้ยืนต้อนรับนายกรัฐมนตรีไทยในมหาศาลาประชาชนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และทอดสายตาจ้องมองนายกรัฐมนตรีไทยด้วยความสนิทสนมแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง และเมื่อไปถึงนายกรัฐมนตรีไทยก็ได้ดำเนินการตามแบบอย่างเมื่อครั้ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะ
ประธานเหมา เจ๋อ ตุง คือยกมือไหว้ตามธรรมเนียมไทยอย่างสวยงาม ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ยิ้มรับด้วยไมตรีจิตอันลึกซึ้ง
หลังจากถ่ายภาพร่วมกันแล้ว ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้ร่วมประชุมทวิภาคี โดยมีคณะผู้แทนส่วนราชการต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมประชุมเต็มคณะ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวความสำคัญที่ต้องด้วยหัวใจของผู้นำจีนอย่างยิ่ง นั่นคือประเทศไทยสนับสนุนการใช้เงินหยวนเป็นสกุลกลาง และจะร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการทำให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักในทางการค้ากับประเทศไทย เพื่อลดทอนความเสียเปรียบในอัตราแลกเปลี่ยนและลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนและการถูกโจมตีค่าเงินดังที่เคยเป็นมา
ความข้อนี้เป็นสิ่งที่ประเทศจีนมุ่งมาดปรารถนามากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะสถานการณ์ทางการเงินของโลกในปัจจุบันจีนกำลังดำเนินยุทธศาสตร์สามโลกของประธานเหมา เจ๋อ ตุงในทางการเงิน นั่นคือทำให้โลกทางการเงินแบ่งเป็นสามโลก คือดอลลาร์ ยูโร และหยวน ซึ่งทำให้จีนผงาดขึ้นในเวทีการเงินของโลกและทำลายการผูกขาดการเงินของโลกอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความร่วมมือในการพัฒนารถไฟทางคู่จากจีนเข้าสู่ประเทศไทยทางจังหวัดหนองคาย ตรงไปที่จังหวัดนครราชสีมาแล้วตรงมายังกรุงเทพมหานคร และทั้งสองฝ่ายก็ได้ยืนยันที่จีนจะรับซื้อข้าว (2.7 ล้านตัน) และยางพารา (2 แสนตัน) จากไทย (ต่อยอดจากที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางล่วงหน้าไปทำความตกลงเบื้องต้นไว้เรียบร้อยแล้ว)
และในวันนั้นเอง นายกรัฐมนตรีไทยก็ได้พบปะกับนักลงทุนซึ่งทั้งหมดเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนรวม 3 กลุ่มกว่า 30 คน ในจำนวนนี้จะมีบริษัทแปรรูปยางพาราจากมณฑลซานตง 8 บริษัท ซึ่งมีจำนวน 4 บริษัทที่พร้อมลงทุนแปรรูปยางพาราในประเทศไทย ซึ่งจะมีขีดความสามารถในการแปรรูปยางพาราถึงปีละ 2 แสนตัน และจะเพิ่มเป็น 4 แสนตันในอีก 5 ปีข้างหน้า การหารือตกลงกันในเรื่องนี้จะทำให้ปริมาณการแปรรูปยางพาราในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งจะเป็นรากฐานที่จะดึงดูดการแปรรูปยางพาราจากทั่วโลกมาเพิ่มเติมต่อไป
ประเทศจีนเป็นประเทศที่รับซื้อยางดิบไปแปรรูปเป็นปริมาณถึง 40% ของโลก และในประเทศจีนก็มีการแปรรูปยางพาราในมณฑลซานตงถึง 60% แต่เนื่องจากบัดนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายส่งเสริมการแปรรูปยางพาราในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจรับซื้อยางดิบไปแปรรูปในประเทศจีนอย่างรุนแรง
ดังนั้นจึงต้องเร่งรีบมาลงทุนแปรรูปยางพาราในประเทศไทย ซึ่งจะมีผลทำให้ราคายางพาราในประเทศไทยสูงขึ้น นี่คืออาการผงาดในเวทีประชุมเอเปกของนายกรัฐมนตรีไทย ที่ส่งผลอันประจักษ์ต่อประเทศไทยและคนไทยแล้ว!
http://www.naewna.com/politic/columnist/15378
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ