ข้อเท็จจริง เณรคำ ในการเป็นภัยต่อความมั่นคงของพระศาสนา และการทำงานของผู้มีหน้าที่ ?


กัปตันปิยะ ตรีกาลนนท์ แฉ !

"โรงพยาบาลกรุงเทพฯ"
แหล่งเสวยสุขเณรคำตอนเข้ากรุงฯ

อา..เห็นท่าจะลามไปถึงมดถึงหมอแล้วละซีท่า
 ยุ่งตายห่าเลยบักเณรคำนี่






 ต้องถามว่า ถ้าไม่ป่วย ทาง รพ. มีบริการเช่านอนเหมือนโรงแรมด้วยหรือ ?

ถ้าไม่มีบริการนี้ ก็ถามว่า เณรคำป่วยเป็นโรคอะไร ?

ทำไมถึงต้องเช่าเหมานอนทั้งชั้น ?

หมอใหญ่ พยาบาล และภารโรง รพ.กรุงเทพฯ ช่วยตอบด่วน ก่อนดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบ

ปล. หมอคงไม่บอกหรอกว่า "เพราะเณรคำเป็นหมอดู เลยมาดูหมอ" นะ เจริญพร !





ข้อเท็จจริง "เณรคำ"


สิ่งที่ผมจะบรรยายต่อจากนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ผม กัปตันปิยะ ตรีกาลนนท์ ประสบเองกับ เณรคำ ซึ่งตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนลงเฟสบุ้คดีมั้ย เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องของเรา "แต่"หลายครั้งคนไทยมักจะคิดแบบผม คือไม่ใช่เรื่องของเรา ก็เลยปล่อยให้ใครหลายๆคน ที่ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง "ลอยนวล"

เณรคำ เฉียดเข้ามาในชีวิตผม เมื่อประมาณสามปีได้แล้วครับ ตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่เคารพกัน แนะนำให้ผมเข้าไปพบ เพราะ เณรคำ อยากใช้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ ผมก็ทำหน้าที่จัดหาเครื่องบินเจ๊ตแบบ 7 ที่นั่งจากแหล่งต่างๆให้ท่านอยู่หลายเที่ยว ซึ่งปกติจะเป็นเส้นทางเดิมๆ คือ กรุงเทพ อุบลฯ ไป-กลับ โดยปกติจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง ซึ่งก็ได้รับค่าบริการเป็น "เงินสดๆ"เสมอ (กรุงเทพ อุบลฯ ไป-กลับ ประมาณสามแสนบาท)

แต่มาพักหลัง คนของเณรคำให้ผมนั่งเครื่องไปกับพระด้วย เพื่อสอบถามเรื่องการมี เครื่องบินเจ๊ตไว้ใช้เองส่วนตัว ผมก็ให้คำแนะนำไป ในเรื่องของราคา เช่นถ้าเป็นลำใหม่ป้ายแดง เป็นแบบ 7 ที่นั่งแบบนี้ก็ต้องมีประมาณ 5-700 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นมือสอง ก็เริ่มต้นที่ ร้อยกว่าล้าน เณรคำคุยกับผมหลายครั้ง ซึ่งถ้าไม่เป็นบนเครื่อง ก็จะเป็นที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งตอนหลังถึงเข้าใจได้ว่า ทำไมต้องโรงพยาบาลกรุงเทพ เพราะ "พระ" เวลามากรุงเทพ จะจำวัดตามโรงแรมไม่ได้ เณรคำเลยเปิดโรงพยาบาล นอน จะสะดวกกว่า

ผมยืนยันว่าสะดวกกว่า วัด มากจริงๆครับ เพราะ เณรคำเล่นปิดทั้งชั้น ทุกครั้งที่ผมไปพบจริงๆ ผมว่าคนที่ โรงพยาบาลกรุงเทพ คงมีเรื่องเม้าธ์ มากกว่าผมเยอะ เพราะการปิดชั้น วีไอพี คงไม่ธรรมดา สังเกตุจากพยาบาลที่นั่น จะให้การเคารพ เณรคำ เป็นพิเศษจริงๆ ส่วนเรื่องเวลาจะมา จะไปของเณรคำ ที่ผมเห็นกับตาตัวเอง มักจะมีรถที่ล้อมหน้า ล้อมหลัง อยู่พอสมควร ที่แน่ๆ คือ เณรคำ นั่ง Maybach ซึ่งราคาถ้าเสียภาษีถูกต้องก็ต้องมี 50 ล้านบาทแน่นอน (ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่ใช้โรลสลอยซ์ ถูกกว่าอีก)

และจะมีรถที่เณรคำบอกผมว่าเป็นรถสำรอง อีกสองคันเสมอคือ Benz S500 และ BMW X6 ทั้งสามคันเป็นป้ายแดงหมด ( หลังๆผมสงสัยเอาเองว่า รถคงจดทะเบียนไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นประเภทสีเทาๆ ) เรื่องการพูดจาของเณรคำ จะเป็นอะไรที่เวลาพูดกับผม ผมประหลาดใจในเกือบทุกเรื่องเช่น เณรคำบอกว่าเรื่องรถที่เห็นยังน้อย ปกติอยู่ที่วัด มีมินิสองคัน คันนึงเปิดประทุน เอาไว้ขับเล่นในวัด และ ให้คนขับเอาเงินไปเข้าธนาคาร มีเรือยอชท์อีกต่างหาก

และที่ประหลาดสุดๆ คือของในย่ามเณรคำ เพราะผมเป็นคนถือขึ้นเครื่อง "มันหนักมาก" เคยถามเณรคำว่าทำไมหนักจังท่าน เณรคำรีบยกมาที่ตักและเปิดโชว์ผมทันที ผมเห็นกับตาตัวเองจึงเชื่อ เพราะในนั้นมีเงินสดที่เป็นเงินดอลล่าร์ ปึกละร้อยใบอยู่เต็มย่าม และ แต่ละใบเป็นธนบัตรใบละ ร้อยดอลล่าร์ อีกต่างหาก ยังไม่พอ เณรคำบอกว่าที่หนักไม่ใช่เงิน เป็นทองคำแท่งที่ก้นย่ามมากกว่า อันนี้ผมเห็นไม่ชัด ไม่กล้าพูด เพราะทุกสื่งที่ผมพูด "ต้องเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น" เผื่อเณรคำจะมาฟ้องผมทีหลัง หรือสรยุทธเอาไปออกอากาศ 555

ยังไม่หมดครับ เณรคำคุยเรื่องซื้อเครื่องบินว่า เราอยากได้ใหม่ๆ เรามีเช็คของแบงค์ในอเมริกา ว่าแล้วก็หยิบสมุดเช็คขึ้นมาอวดสองเล่ม เล่มแรกอธิบายให้ผมฟังว่าเล่มนี้เซ็นวงเงินน้อยๆ คนอเมริกันใช้กันเยอะ แต่ เล่มที่สองนี่สิ เณรคำภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเล่มนี้เซ็นได้เป็นหลักสิบล้านดอลล่าร์ได้เลย แถมพิมพ์ชื่อ เณรคำ ที่เช็คทุกใบด้วย บอกว่าธนาคารในอเมริกาทำพิเศษให้ เพราะ เรามีเงินฝากอยู่ที่นั่นเยอะมาก

และแล้ว เรื่องเครื่องบินก็ต้องมาสะดุดเพราะผมเอง เณรคำเลือกเครื่องอยู่หลายรุ่น และ ดูเหมือนจะเลือกที่ถูกใจได้แล้ว แต่ให้ผมรับปากว่าต้องไปรับเครื่องจากอเมริกาด้วยกัน เพราะอยากจะท่องเที่ยวตอนขากลับด้วย เพราะเครื่องต้องแวะเติมน้ำมันประมาณ 4-5 จุดกว่าจะถึงไทย เณรคำบอกว่าดี วางแผนมาเลยว่าจะแวะที่ไหนดี แถมยังมีให้แวะนอกเส้นทางด้วยเพราะไม่เคยไปและอยากไป

ประเด็นที่เณรคำจะกลับกับเครื่องนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ผมตัดสินใจหยุดการจัดหาเครื่องให้พระคนนี้ เพราะ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายของผมจริงๆ ตั้งแต่รู้จัก เณรคำ ก็เจอเรื่องแปลกๆมาเยอะ แต่จะให้อุ้มย่ามหนักๆ และ ผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4-5 ประเทศแทนเณรคำ กัปตัน ปิยะ รับไม่ได้ครับ เกิดมีอะไรผิดกฏหมาย ผมติดคุกที่เมืองนอกหัวโต ไม่ได้กลับมาใช้เงินค่าคอมมิทชั่นเครื่องบินแน่ ผมเลยปฏิเสธเค้าไปด้วยเหตุผลที่ผมไม่พร้อมและจากนั้นผมก็เริ่มห่างจากเณรคำ

ประเด็นที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ ผมสงสัยมานานแล้วว่าพระอะไรมีตังค์เยอะแยะขนาดนี้ ดังก็ไม่ดังนะ เพราะถามใคร ก็ไม่มีใครรู้จักเลย วันนี้คงต้องมาช่วยกันตามหาความจริงกันต่อครับ สุดท้ายสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดคือ "ผมไม่เคยทำบุญกับ เณรคำ เลยแม้แต่บาทเดียวครับ" เพราะรับไม่ได้ตั้งแต่แรกพบครับ ป.ล. คนที่ใส่เสื้อสีขาวนั่นหละ่ครับ ปิยะ เพื่อนผม คนดีศรีอยุธยา หรือ อยุธยาไม่สิ้นคนดี ดั่งที่โบราณท่านว่าไว้ คริ คริ

ผู้ร้ายข้ามแดน !

อัยการแนะนำให้ขอตัวอรหันต์เณรคำมาดำเนินคดี

แต่ชี้ว่า "ยากส์" เพราะไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายให้กันกับฝรั่งเศส อา..แบบนี้ก็เข้าทางเณรคำละสิ เหมือนชี้โพรงให้กะรอกเลย





รับรองครับ ตามเราไม่ทันแน่ ลูกเพ่ !


เมื่อวันที่  6  ก.ค. นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ เปิดเผย  กรณีที่รัฐบาลไทยจะขอตัวหลวงปู่เณรคำ ซึ่งขณะนี้จำวัดอยู่ที่วัดไทยในประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า  ปกติรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศส ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน  แต่สามารถใช้หลักต่างตอบแทนกันได้ เท่าที่ตนจำได้ ไทยกับฝรั่งเศส ยังไม่เคยส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กัน

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เบื้องต้นพนักงานสอบสวนต้องแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับหลวงปู่เณรคำ พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องให้กับอัยการพิจารณา และยื่นฟ้องต่อศาล ข้อหาที่ไม่ใช่ความผิดทางทหาร  ทางการเมือง หรือทางศาสนา  ซึ่งเป็นข้อยกเว้นการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

“ขณะนี้คงยังไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้มากนัก  เพราะยังไม่ทราบว่า พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาดำเนินคดีหลวงปู่เณรคำข้อหาอะไรบ้าง ต้องรอความชัดเจนจากพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดีหลวงปู่เณรคำก่อน จึงจะให้ความเห็นได้มากกว่านี้ อีกทั้งผู้ต้องหาจะต่อสู้คดีอย่างไร หากอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งทางศาสนา ก็ต้องมาดูข้อเท็จจริงกันต่อไป” นายวันชัย กล่าว




ข่าว : เดลินิวส์
7 กรกฎาคม 2556




เผด็จการศาลสงฆ์ !

"ลำเอียง - ฟังความข้างเดียว"

"ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ"

ดังนั้น เณรคำไม่ขอยอมรับและจะไม่กลับไทย
ตราบใดที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย

สมุนบักคำ "โชว์เกรียน" ก้องวัดบวร

เสียดาย วันนั้น สมเด็จพระวันรัต ไม่อยู่ ไม่งั้น !

อา..ไม่เบานะบักเซียงเมี่ยงคำนี่ หัวหมอแบบนี้น่าจะไปเป็นนักการเมืองนะมึง ไม่น่าจะมาเป็นนักการศาสนาเลย แต่แหม..พูดแบบนี้ก็แสดงว่า วางโปรแกรม "อยู่ปารีส" ยาวละสิท่า ชาติหน้าจะกลับไหมเอ่ย ?




สมาชิกใหม่ชมรมคนรักปารีส



วันนี้ 6 ก.ค.56 ที่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนถึงสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) ในฐานะรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อขอให้ความเป็นธรรมแก่ พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ แต่จากการสอบถามคณะสงฆ์ภายในวัดพบว่า สมเด็จพระวันรัตมิได้จำวัดอยู่ในช่วงเวลานี้ ขณะที่พระเทพสารวาที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ยังคงติดภารกิจ ทำให้นายสุขุมยังไม่สามารถยื่นหนังสือร้องเรียนได้
     
นายสุขุม กล่าวว่า เครือข่ายบ้านวิมุตติธรรมอยากร้องเรียนถึงสมเด็จพระสังฆราช และมหาเถรสมาคม (มส.) ให้พิจารณากระบวนการยุติธรรมของฝ่ายสงฆ์อย่างมีธรรมะ และเมตตาธรรม รวมถึงขอให้ทบทวนคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต เพราะเดิมทีมีคำสั่งให้เวลาหลวงปู่เณรคำ เข้าชี้แจงต่อคณะสงฆ์ภายในวันที่ 31 ก.ค.2556 แต่กลับเลื่อนระยะเวลาเข้ามาเหลือเพียงวันที่ 7 ก.ค.นี้ หากไม่เข้ามาชี้แจงก็จะขับไล่ออกจากสังกัด ซึ่งมีผลให้สึกภายใน 3 วัน ซึ่งพวกตนมองว่าไม่ยุติธรรมต่อหลวงปู่เณรคำ ที่สำคัญยังไม่เปิดโอกาสให้หลวงปู่เณรคำส่งตัวแทน อาทิ นักกฎหมาย ทนาย หรือลูกศิษย์เข้าชี้แจงแทนแต่อย่างใด
     
"กระบวนการยุติธรรมของฝ่ายสงฆ์นี้เป็นการตัดสินเพียงฝ่ายเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ท่านได้มีตัวแทนเข้าอธิบาย เนื่องจากท่านยังติดกิจนิมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส 
ถือเป็นการละเมิดสิทธิของท่าน และไม่สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทย เป็นไปในลักษณะเผด็จการ เพราะไม่ปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ทำให้เป็นที่อับอายของชาวต่างประเทศที่เฝ้าจับตามองข่าวอยู่ในขณะนี้" นายสุขุม กล่าว
     
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการหารือกับหลวงปู่เณรคำหรือไม่ ว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อใด นายสุขุม กล่าวว่า ขณะนี้หลวงปู่เณรคำยังคงติดกิจนิมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส และจะยังไม่เดินทางกลับประเทศไทยจนกว่าจะได้รับความยุติธรรมจากขบวนการยุติธรรมเสียก่อน อย่างการพิจารณาความผิดก็ควรรอผลการพิสูจน์ภาพถ่ายที่มีกล่าวอ้างว่าเป็นภาพหลับนอนร่วมกับสีกาของหลวงปู่เณรคำเสียก่อน ซึ่งตนได้ไปยื่นที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้วเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าจะรู้ผลได้ภายใน 7 วัน หากผลออกมาว่าเป็นหลวงปู่เณรคำก็จะขออโหสิกรรมให้ แต่หากไม่ใช่ก็จะเดินหน้าปกป้องผ้าเหลืองของหลวงปู่เณรคำต่อไป เพราะสำหรับเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรมแล้ว หลวงปู่เณรคำยังไม่ผิด จะไม่ให้ใครมาปลดผ้าเหลืองของท่านออกได้
     
นายสุขุม กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีเรื่องที่มีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นภรรยาออกมาแฉว่ามีลูกด้วยกันนั้น ก็ขอให้มีการพิสูจน์ดีเอ็นเอกันทั้งสองฝ่ายแล้วจึงควรมีคำตัดสิน ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงอยากให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ตนจะไปยื่นเรื่องถึงศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย เนติบัณฑิต เพื่อให้ส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพระวินัยสงฆ์มาช่วยเหลือหลวงปู่เณรคำด้วย เพราะถือว่าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายรัฐธรรมนูญ



ข่าว : แนวหน้า
7 กรกฎาคม 2556
สรุปแว่ เอ๊ย สรุปว่า

"เณรคำไม่ได้สังกัดเมืองอุบล"

แหมไล่กันง่ายจังเลยนะ เห็นเณรคำเป็นขี้หรือไง
ทั้งล้างทั้งเช็ดเลย ?




มิสเตอร์คลีน
พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี (ธรรมยุต)
องค์บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย ไม่มีความเศร้าหมองใดๆ แผ้วพาน



หนูไม่รู้ว่าเณรคำอยู่ไหน
ย้ายไปตั้งแต่ปี 49 ถือว่าขาดสังกัดมานานแล้ว




ถวายดอกบัวคู่ เอาไว้บูชาพระ

"นั่นอะไร นั่นอะไร นะ นั่นอะไร ??"

ขาดสังกัด แต่ส่งส่วยมิได้ขาด นะครับ ส่งตลอด
ดูสิ มกรา 53 ก็ยังส่งคัมรี่ป้ายแดงให้ตั้ง 1 คัน
ส่งกับมือ ยิ่งกว่า ธรรมะเดลิเวอรี่ อีกนะ
ทั้งๆ ที่ "ขาดสังกัด" มาตั้งแต่ปี 49 แล้ว
แหมโลกนี้ เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก จริงๆ
อยู่กับปานขาวดีกว่า ถึงอกถึงใจ



คณะสงฆ์ธรรมยุตอุบลสรุปสังกัดเณรคำ และระบุว่า "เณรคำขอย้ายไปสังกัดศรีสะเกษเมื่อ 7 ปีมาแล้ว" แต่..ไม่รู้ว่าสังกัดวัดไหน เมื่อไร กับใคร ? เพราะเมื่อพ้นสังกัดไปก็ถือว่าไม่ใช่หน้าที่ แหมดีจุงเบยนะ เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีนี่ ขอถามทีเถิดฮะ ว่าตลอดเวลาที่เดินทางเข้าวัดป่าขันติธรรมเป็นว่าเล่น กินของเณรคำจนพุงกาง อ้างได้อย่างไรว่าไม่รู้สังกัด (แต่รู้พิกัดวัดเณรคำและรู้น้ำหนักของซองที่เณรคำถวาย ไม่งั้นคงไม่เดินทางข้ามจังหวัดไปกินกับเณรคำถึงศรีสะเกษ) วันนี้ พอเณรคำเน่า ก็ถีบหัวส่ง อุบลฯโยนไปให้ศรีสะเกษๆ ก็โยนกลับอุบล น่าจะปลดจากตำแหน่งทั้งคู่เลย

เอ้อแหม แถล เอ๊ย แถลงแบบนี้ก็มีประเด็นใหม่อีกแล้วละสิว่า แสดงว่าหลักฐานต่างๆ ที่บักเณรคำนำไปยื่นต่อ ศตภ. เพื่อขอเดินทางออกไปต่างประเทศนั้น"เป็นหลักฐานเท็จ" เพราะระบุว่ายังสังกัด "วัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ" ของ"พระราชธรรมโกศล" เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี มีใบสุทธิยืนยันพร้อมสรรพ ศตภ.ตรวจสอบแล้ว พบว่า "ยังไม่ได้ย้ายสังกัดจากวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ" จึงอนุมัติให้เดินทางไปต่างประเทศได้ ดังนั้น จะเชื่อใครดี ระหว่าง"สงฆ์อุบล" กับ "ศตภ" ถ้าหลักฐานทาง ศตภ. ยืนยันว่าถูกต้อง ก็แสดงว่า"สงฆ์ธรรมยุตอุบลตอแหล" แต่ถ้าหลักฐานทางสงฆ์ธรรมยุตอุบลฯถูกต้อง ก็แสดงว่า "เณรคำใช้หลักฐานเท็จแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ศตภ." งวดนี้หวยออกสองเด้งแน่ครับ ท่านพระครู !




บัตรประจำตัวประชาชน นายวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ
ระบุ อยู่บ้านเลขที่ 158 หมู่ 10 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี






หนังสือสุทธิพระภิกษุ พระวิรพล ฉตฺติโก
สังกัดวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2549

แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เลขที่หนังสือสุทธินั้นคือ 17/2537 แสดงว่าออกหนังสือในปี พ.ศ.2537 ซึ่งขณะนั้นเณรคำมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น เพื่อความชัวร์จึงต้องตรวจดูทั้งเล่มว่ามีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร ?





หลักฐานใหม่หรือปัดสวะ ?





หลักฐานจาก ศตภ. ใครตอแหล ?
"15 กุมภาพันธ์ 2556"
ยังสังกัดวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ




ธรรมยุตอุบลลงมติ "เณรคำ" พ้นสังกัดไปได้ 7 ปีแล้ว


อุบลราชธานี-คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตจังหวัดอุบลราชธานี ได้ข้อสรุป “เณรคำ” ย้ายสังกัดไปขึ้นกับจังหวัดศรีสะเกษเมื่อ 7 ปีที่แล้ว พร้อมทำหนังสือแจ้งให้ทราบถึงอำนาจการสอบสวนของคณะสงฆ์ศรีสะเกษต่อไป
      
เมื่อบ่ายวันนี้ (6ก.ค.) ที่ห้องประชุมวัดไชยมงคล ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี (ฝ่ายธรรมยุต) ร่วมกับพระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ เจ้าคณะอำเภอม่วงสามสิบ ประธานคณะกรรมการไต่สวนมูล และพระสังฆาธิการ ประชุมหาข้อสรุปเรื่องการบวชและสังกัดของพระวิรพล ฉัตติโก หรือเณรคำ
      
ที่ประชุมมีการเชิญพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการบวชของหลวงปู่เณรคำมาให้ปากคำ และมีการนำใบสุทธิของพระวิระพลตั้งแต่บวชเป็นสามเณรที่วัดภูเขาแก้ว และบวชพระที่วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร มาพิจารณาพบมีการบวชอย่างถูกต้อง จึงตัดข้อสงสัยกรณีเณรคำไม่ได้เป็นนักบวชในพุทธศาสนาออกไป
      
พร้อมทั้งได้นำข้อพิจารณาต่อมาคือ สังกัดของเณรคำ โดยสมัยบวชเป็นสามเณร ได้บวชกับพระครูพิบูลธรรมภาณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดภูเขาแก้ว เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2537 ขณะอายุได้ 15 ปี และอยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดดังกล่าว จนถึงบวชเป็นภิกษุเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2542 โดยมีพระครูพิพัฒน์สังฆกร หรือพระสุนารถมุนี เจ้าอาวาสวัดศรีนวลเป็นพระอุปัชฌาย์ และไปจำพรรษาที่วัดดอนธาตุ
      
กระทั่งต่อมาเมื่อปี 2549 ได้ขอย้ายเข้าสังกัดกับวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมืองอุบลราชธานี และขอย้ายออกจากวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อไปเป็นประธานสงฆ์สำนักสงฆ์ป่าขัตติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2549 ทำให้การสังกัดกับวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อสิ้นสุดลง ดังนั้นต้นสังกัดของพระวิระพล หรือเณรคำ จึงไปอยู่กับคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษแล้ว
      
ผลการสอบสวนของคณะสงฆ์ในวันนี้ จะทำการสรุปส่งมอบให้คณะสงฆ์ชุดใหญ่ผู้มีหน้าที่วินิจฉัยสำนวนการไต่สวนทราบ พร้อมทำหนังสือแจ้งให้คณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นผู้ปกครองพระวิรพล หรือเณรคำทราบ เพื่อให้ทราบถึงอำนาจการสอบสวนกับพระวิรพล
ต่อไป



ผม-เณรคำ สังกัดเจ้าคณะภาค 10




ถ้าไม่ชัวร์ก็ขอประกาศว่า
"ผมสังกัด 7 จังหวัดภาคอีสาน"




พอไหม ? ถ้ายังไม่พอ ก็ขอประกาศเพิ่มเติมว่า
"ผมสังกัดวัดบวรนิเวศวิหาร ของสมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุต-สมัครผ่าน มมร. โดยพระเทพปริยัติวิมล องค์อธิการบดี"

ถ้าผมเถื่อน พวกท่านก็เถื่อน
ถ้าพวกท่านถูก ผมก็ต้องถูก
ถ้าจะให้ผมเถื่อนคนเดียว ก็คืนรถยนต์มาสิครับ
คืนมาเลย ของโจรทั้งน้าน ยิ่งกว่าปาราชิกเชียว !




ตราช้างเรียกพี่ !

ภาพส่วยประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ธรรมยุตภาคอีสาน

เบ่งบานในรอบร้อยปีที่ก่อตั้งคณะธรรมยุตขึ้นมา กินกันมูมมาม ตั้งแต่เจ้าคณะภาคยันเจ้าคณะจังหวัด 7 จังหวัดรวด หลักฐานชัดเจนเช่นนี้ พระธรรมยุตผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม ยังไม่มีใครแสดงสปิริต "ลาออก" จากตำแหน่ง แม้แต่รูปเดียว หน้าด้านหน้าทน  น่านับถือจริงๆ

 

ข่าว : ผู้จัดการ
7 กรกฎาคม 2556




คุก 20 ปี คดีเณรคำ !

ข้อหา "ชำเราหญิงอายุไม่ถึง 15 ปี"
เป็นคดีอาญา ยอมความไม่ได้

ตายละหวา สงสัยชาติหน้าก็ไม่ได้กลับเมืองไทย


ดีเอสไอ "ลงพื้นที่ศรีสะเกษ" เก็บพยาน-หลักฐาน มัดเณรคำ เผยหญิงสาวสารภาพ "มีอะไรกับเณรคำตอนอายุ 14"แบบนี้ก็มีมูลฟ้องใหม่ในคดีอาญา ข้อหา "ชำเราหญิงอายุไม่ถึง 15 ปี โทษหนักถึงจำคุก 20 ปี"





ศรีสะเกษ- จนท. ดีเอสไอนำ “น.ส. ญ” สาวศรีสะเกษ ภรรยา “ไอ้คำ” พระฉาวชื่อดังตระเวนชี้จุดสถานที่ร่วมหลับนอนกันทุกแห่งทั้งรีสอร์ท บ้านเช่า จ.อุบลฯ และ กุฏิพระ ที่พักสงฆ์ป่าช้าบ้านยาง อ.กันทรารมย์ บ้านยาย อ.เมืองศรีสะเกษ ผบ.สำนักคดีความมั่นคงเผยจ่อฟันอาญาพระชื่อดังอีกคดี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ขณะอธิบดีดีเอสไอสั่งให้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอลูกเมียพระชื่อดังอีกครั้ง
      
เมื่อเวลา 11.30 น.วันนี้ ( 6 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และคณะ ได้นำ น.ส. ญ พร้อมสามี และลูก เดินทางไปที่มาลาคำรีสอร์ท ต.ท่าลาด อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพื่อนำ น.ส.ญ ไปชี้จุดที่เคยมาพักร่วมหลับนอนกับพระฉาวชื่อดัง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งบริเวณที่พักมีการปลูกบ้านเช่าเป็นหลัง ๆ และ น.ส. ญ ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปชี้จุดที่พระชื่อดังเคยพามาพักร่วมหลับนอนด้วย
      
จากนั้นจุดที่สอง คณะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้นำ น.ส. ญ ไปที่บ้านเลขที่ 333 หมู่ 1 ถ.โคมทอง ซอยโคมทอง 2 ต.แสนสุข อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเช่าที่พระชื่อดังเคยพา น.ส. ญ มาเช่าพักอยู่ระหว่างที่ น.ส. ญ ท้อง ก่อนคลอดลูก จนกระทั่งคลอดลูกเสร็จแล้ว ก็ยังพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ ซึ่งบ้านเช่าแห่งนี้ค่อนข้างหรูหรามาก อยู่ในย่านของในเขตหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง
      
น.ส.ญ บอกว่า ช่วงระหว่างที่มาพักอยู่ตรงนี้ พระชื่อดังจะมาพักอาศัยอยู่ด้วยเป็นประจำ และจะร่วมหลับนอนกับตน แม้กำลังอยู่ในช่วงท้องโต ใกล้คลอดก็ตาม ซึ่งตนและพระชื่อดังพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าแห่งนี้เป็นเวลานานประมาณ 1 ปีเศษ โดยพระชื่อดังจะมาพักหลับนอนกับตนครั้งละ 2 – 3 วัน เป็นประจำมาโดยตลอด หลังจากคลอดลูกชายแล้ว จึงได้ย้ายออกไปอยู่อื่น
      
 ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า จากนั้น คณะของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้นำ น.ส. ญ เดินทางไปที่ป่าช้าบ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อไปชี้จุดที่เป็นกุฏิพระ ซึ่ง น.ส.ญ และพระชื่อดังเคยมาร่วมหลับนอนด้วยกัน โดยบริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับวัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ขณะนี้กุฏิดังกล่าวได้ถูกรื้อไปแล้ว เหลือเพียงห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามจุดที่เป็นที่ตั้งของกุฏิเท่านั้น ซึ่ง น.ส.ญ กล่าวว่า ตนกับพระชื่อดังได้เสียกันเป็นครั้งแรกที่กุฏิหลังนี้ และมาร่วมหลับนอนด้วยกันบ่อยครั้ง เนื่องจากพระชื่อดังอยู่เพียงรูปเดียวในป่าช้าแห่งนี้ จากนั้น จึงมีพระรูปอื่นมาอยู่ด้วย
      
 ต่อมา คณะดีเอสไอได้นำ น.ส.ญ เดินทางไปที่บริเวณหน้า โรงเรียนบ้านโพธิ์โนนจานอีลอก ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่อไปชี้จุดที่ น.ส. ญมายืนรอ เพื่อให้พระชื่อดังขับรถมารับไปร่วมหลับนอนด้วยกัน ซึ่ง น.ส.หญิง บอกว่า ส่วนมากแล้วจะร่วมหลับนอนกันบนรถ และตามป่าละเมาะที่เป็นมุมมืด หลบเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดพบเห็น
      
จุดต่อไป คณะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้นำ น.ส. ญ และลูกไปที่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 3 ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านที่ น.ส. ญ พักอาศัยอยู่กับยาย น.ส. ญ ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปพบกับยาย รวมทั้งสอบปากคำเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่ามีความเป็นมาอย่างไร โดย พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ ได้นำเอารูปของพระชื่อดังมาให้ยายของ น.ส. ญ มาดู ซึ่งยายของ น.ส. ญ แจ้งว่าเป็นพระชื่อดังที่เป็นสามีของ น.ส. ญ จริง น.ส. ญ กล่าวว่า ช่วงระหว่างที่ตนกับพระชื่อดังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันนั้น ยายและญาติพี่น้องทุกคนทราบเรื่องนี้ และไม่มีใครว่าอะไร เนื่องจากพระชื่อดังเคยได้ให้การดูแลญาติพี่น้องทุกคน จึงปล่อยให้มีความสัมพันธ์กันจนมีลูกชายออกมา 1 คน
      
ทางด้าน นางเผย สีหะวงษ์ อายุ 82 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 3 บ้านโนนจาน ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งยายของ น.ส. ญ กล่าวว่า การที่พระชื่อดังมาคบกันฉันชู้สาวกับหลานสาวของตนนั้น ตนทราบเรื่องมาตลอด แต่ไม่ได้ห้ามปราม ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า พระชื่อดังกับหลานสาวของตนรักกัน จึงปล่อยเลยตามเลย และหลังจากที่ น.ส.หญิงคลอดลูก ก็ได้ย้ายไปเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ พระชื่อดังได้ให้ตนไปเลี้ยงลูกให้อยู่ที่บ้านเช่าในกรุงเทพฯ ด้วย โดยเมื่อพระชื่อดังเข้ามาหาหลานสาวของตน และพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ พระชื่อดังก็นอนอยู่กับหลานสาวของตนฉันสามีภรรยาอีกห้องหนึ่ง ส่วนตนพักอยู่อีกห้องหนึ่ง พร้อมทั้งเลี้ยงดูลูกของพระชื่อดังด้วย
      
โดยพระชื่อดัง บอกว่า จะให้เงินทองกับตน แต่ว่าตนไม่เคยได้รับเงินเลย พระชื่อดังมีแต่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของหลานสาวตน ส่วนตนไม่เคยได้เงินจากพระชื่อดังแม้แต่บาทเดียว โดยตนได้ไปเลี้ยงลูกให้พระชื่อดังนานประมาณ 1 ปี จากนั้น ได้กลับมาอยู่ที่บ้าน
      
ทางด้าน พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จากคำให้การของ น.ส. ญ ทำให้ทราบข้อมูลว่า ได้มีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งกรณีนี้เป็นการเข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไม่ว่าเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม มีโทษจำคุก 4 - 20 ปี และปรับ 8,000 - 40,000 บาท แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย จะต้องรอการสอบสวนข้อเท็จจริงจากพระชื่อดังก่อนว่า จะให้การเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
      
ในสัปดาห์หน้านี้ อธิบดีดีเอสไอ ได้สั่งการให้มีการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยจะทำการตรวจดีเอ็นเอแม่กับลูก ซึ่งอ้างว่า เป็นเมียและลูกของพระชื่อดังอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน และต้องตรวจพิสูจน์ดีเอ็นอีของพระชื่อดังด้วย เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ข่าว : ผู้จัดการ
7 กรกฎาคม 2556

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

#หลวงปู่ทวด องค์ในประวัติศาสตร์ เพื่อหาทุนในการพิทักษ์รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุ ๒๕๖๑

#พระกริ่งปวเรศแท้ในประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้โดย สมเกียรติ กาญจนชาติ

#พระเครื่องในประวัติศาสตร์ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สามารถศึกษาการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง