จับตาดูกระบวนการทำลายพุทธศาสนา และขบวนการล้มล้างพระธรรมวินัย ? สิ่งที่ทำให้ ‘เมืองไทย’ ใกล้สิ้นชาติ ควรแชร์ก่อนสิ้นชาติ
จับตาดูกระบวนการทำลายพุทธศาสนา
พักนี้มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดภาพพจน์เชิงลบแก่พุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง และแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเวลาแค่วันเดียว และเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยการกระทำของคนคนเดียวหรือคนเพียงไม่กี่คน
และถ้ามองให้กว้างออกไป เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดภาพพจน์เชิงลบและเกิดผลกระทบต่อพุทธศาสนานั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในต่างประเทศด้วย
เฉพาะในอินเดียซึ่งเป็นแดนเกิดแห่งพุทธศาสนานั้นก็มีการวางระเบิดถึง 9 จุด ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียหาย ส่งผลสะเทือนทางจิตใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วโลก
เพราะรายงานข่าวที่เกิดขึ้นระบุว่าเป็นการก่อเหตุของผู้นับถือศาสนาอื่น ซึ่งถ้าฟังข่าวแต่เพียงผิวเผินก็ย่อมรู้สึกไปในทางเดียวกัน คือความรู้สึกที่เป็นทางลบต่อศาสนิกแห่งศาสนานั้น
หรือเหตุการณ์ในพม่าที่มีการรบราฆ่าฟันและทำร้ายทำลายกันระหว่างพุทธศาสนิกชนกับศาสนิกของศาสนาอื่น จนเกิดเรื่องราวเป็นข่าวคราวใหญ่โตไปทั่วโลก กระทั่งกระทบต่อปัญหาความมั่นคงของประเทศพม่าด้วย
ดังนั้นการเกิดเหตุที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพุทธศาสนาในยามที่ปีมหามงคลพุทธชยันตี ล่วงมา 2,601 ปี จึงกล่าวได้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ในหลายรูปแบบ และในเวลาใกล้เคียงกัน จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า มีอะไรเป็นเบื้องลึกเบื้องหลังที่มุ่งหวังทำลายหรือมุ่งร้ายต่อพุทธศาสนา
พุทธศาสนิกชนทั้งหลายถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาหนักหน่วงรุนแรงเหมือนกับบางศาสนา แต่ก็จำต้องจับตาจ้องมองกันไว้บ้างว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นจะได้ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท อย่างน้อยก็จะได้รู้เท่าทันถึงกระบวนการและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวว่าในประเทศไทยของเรานั้นองค์กรบริหารจัดการคณะสงฆ์ที่มีอำนาจสูงสุดคือ มหาเถรสมาคม แต่น่าอนาถใจที่นับวันพุทธศาสนิกชนจะไม่ได้เห็นบทบาทของมหาเถรสมาคมในเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ในเหตุการณ์มากหลายไม่มีท่าทีหรือการแสดงออกใดๆ จากมหาเถรสมาคม มีแต่ความเงียบ ราวกับว่าไม่มีองค์กรนี้อยู่ในประเทศไทย แต่กระนั้นก็อาจจะดีกว่าบางหน่วยงานหรือบางคนที่ชอบพูดนักหนาว่าข้าไม่เกี่ยว เรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าเพราะสิ่งที่ข้าสนใจคือเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายตัวข้าเท่านั้น
เพราะมหาเถรสมาคมมิได้แสดงบทบาทให้ปรากฏเช่นนี้ จึงทำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเองก็ไม่สามารถแสดงบทบาทอะไรได้ จึงกลายเป็นประเทศไทยซึ่งพระพุทธศาสนาตั้งมั่นสถิตสถาพรมาเป็นเวลาช้านาน กำลังกลายเป็นประเทศที่ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบดูแล คุ้มครองป้องกัน ทำนุบำรุงพุทธศาสนา และพุทธศาสนาก็กลายเป็นศาลากลางบ้านที่ใครจะใช้สอยหาประโยชน์หรือจะถ่มถุยทำลายประการใดก็สุดแต่ใจชอบ
เมื่อครั้งที่หลวงตาพระมหาบัวยังมีชีวิตอยู่ก็เคยมีข่าวการปองร้ายที่มุ่งทำลายเกียรติภูมิของพระอริยสงฆ์ แต่ในที่สุดมารก็ไม่สามารถเข้าทำร้ายทำลายถึงองค์หลวงตาได้เป็นที่อัศจรรย์ แต่เสียดายนักที่ปาฏิหาริย์นั้นมิได้รับการกล่าวขวัญเล่าขานให้เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของมหาชน
เมื่อครั้งที่ยังเป็นพระมิตซูโอะคนทั้งปวงก็เลื่อมใสนับถือ และจู่ๆ ก็ลาสิกขาออกไปแล้วมีการแถลงถึงความพอใจในฆราวาสวิสัยนั้น และน่าเสียดายยิ่งนักที่เบื้องลึกเบื้องลับอันเป็นเหตุให้มีการลาสิกขาว่าเกิดจากอะไร มีองค์กรหรือสำนักไหนอยู่เบื้องหลัง คนทั้งปวงจึงได้ฟังแต่เรื่องความยินดีในฆราวาสวิสัยของนายมิตซูโอะ จึงทำให้เบื้องลึกแห่งการทำลายพระมิตซูโอะที่ให้ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเลือนหายไป
มาถึงไอ้คำเล่า อายุอานามก็ไม่มากนัก แต่สามารถสร้างภาพฉ้อฉลหลอกลวงฉ้อโกงมหาชนได้นับพันล้านบาท มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวดอกหรือ? หรือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรเป็นเบื้องลึก เบื้องลับ เบื้องหลังหรือ? และเวลานี้เรื่องของไอ้คำก็กลายเป็นเรื่องการเมือง และเป็นการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
ความจริงการกระทำอันเป็นปาราชิกมีอยู่จำนวนมาก ทำไมจึงดำรงอยู่ได้? ทำไมองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ถูกทำให้อ่อนล้า ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ปล่อยให้เหล่ามิจฉาชีพและบางขบวนการบ่อนทำลายพุทธศาสนาตามอำเภอใจ
นั่นย่อมกล่าวหาได้ไม่ใช่หรือว่าเพราะเป็นเรื่องของการเมือง และไม่เพียงแต่เป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ ที่นักการเมืองต้องการใช้ศาสนาในการจูงใจสร้างความนิยมหาพวกลิ่วล้อบริวารเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง หากอาจจะเกี่ยวข้องกับขบวนการทำลายพุทธศาสนาที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วย
เป็นไปได้อย่างไร? ที่ประเทศไทยซึ่งพุทธศาสนาสถิตมาอย่างมั่นคงหลายศตวรรษ กลับมาตกอยู่ในสภาพที่เหมือนศาลากลางบ้านดังที่ว่ามาข้างต้น เป็นไปได้อย่างไรที่บางสำนักประพฤติตนเป็นอลัชชีเดียรถีย์ และทำลายพุทธศาสนาทั้งเนื้อตัวและรูปแบบอย่างโจ่งแจ้งกลางเมือง แต่อำนาจรัฐก็ดี ผู้มีอำนาจหน้าที่ก็ดี พากันนิ่งเฉยหรือสมคบ สมรู้ สมยอมให้กระทำตามอำเภอใจได้
ชาวพุทธทั้งหลายจึงต้องตื่นตัว ตื่นตาขึ้นมาจับตาสังเกตดูว่าเหตุการณ์ร้ายๆ แรงๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นเหตุบังเอิญ หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลังที่มุ่งหวังทำร้ายทำลายพุทธศาสนา? ช่วยกันจับตาดู ช่วยกันคิดพิจารณาและร้องโหวกเหวกโวยวายตามประสาเถิด!
ประวัติศาสตร์ พฤติกรรมล้มล้างพระธรรมวินัย ของมหาเถรและนักการเมือง ? "สมรู้ร่วมคิดกับบักเณรคำ" ช่วยแชร์เพื่อปกป้องพระศาสนาครับ
ข้อมูลพฤติกรรมการล้มล้างพระธรรมวินัย ที่เกิดขึ้นในสถาบันพระศาสนาของชาติไทย
มหาเถรสมาคม หรือ มส. หากจะเปรียบเทียบกับการปกครองทางโลกก็คือ คณะรัฐมนตรีของคณะสงฆ์นั่นเอง
เพราะมหาเถรสมาคม นับเป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ ที่มีอำนาจ หน้าที่ ในการปกครองคณะสงฆ์ทั้งประเทศให้อยู่ในพระธรรมวินัย ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยอำนาจ หน้าที่ที่สำคัญของมหาเถรสมาคม คือ
- ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
- ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร
- ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์
- รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา ? แต่ไม่ทำหน้าที่ ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะสึกออกไปให้หมด เพื่อปกป้องรักษาสถาบันพระศาสนาของชาติไว้
1.ในหลายปีมานี้ มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา
แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้านๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศ ให้ได้รู้ทั่วกันว่า การกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้ กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
1. วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี มีการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหนาพรรคไทยรักไทย ไปเป็นองค์ปาฐก
2. วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญารัชดา โดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งอนุญาตให้ "ถอนฟ้อง" คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และลูกน้องคนสนิท ตกเป็นจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ เงินบริจาควัดมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
โดยศาลอ้างเหตุผลว่า
1. เพราะว่าจำเลยได้คืนทรัพย์สนที่ฉ้อโกงมาจากวัดพระธรรมกาย จำนวน 1,000 ล้านบาท คืนให้แก่วัดหมดแล้ว
2. ถ้าหากดำเนินคดีนี้ให้สิ้นสุด อาจจะเกิดความแตกแยกระหว่างพุทธศาสนิกชน
ที่สังคมตั้งคำถามก็คือว่า การที่อัยการออกหน้าดึงเรื่องกลับมาจากศาลในครั้งนี้ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" ส่งสัญญาณให้แล้ว ลำพังอัยการจะกล้าหาญกระทำการเองหรือ หรือถ้าคิดจะทำ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้คดีค้างคาศาลมานานถึง 7 ปีได้อย่างไร และทำไม พอทักษิณกลับจากวัดพระธรรมกายได้เพียง 35 วัน ศาลก็ออกนั่งบัลลังก์สั่งถอนคดีตามคำขอของอัยการ
และแล้ววันสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มาถึง แต่จะถึงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็ไม่มีใครรู้ วันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในหลายประเทศ จุดหมายสุดท้ายก่อนจะกลับไทยก็คือ มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ทว่า ในเวลา 18.00 น. วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 คณะนายทหารอันมีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้า ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ประกาศยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณผ่านทีวีทุกช่อง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเคว้งคว้างเดินทางไปพักที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะบินไปๆ มาๆ ระหว่างอังกฤษ-จีน-สิงคโปร จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมิมีทีท่าว่าจะได้กลับประเทศไทย (กรรมที่ทำกับ สถาบัน) ที่มาข้อมูลที่ทั่วโลกทราบ http://www.alittlebuddha.com/html/Special%20Event/Special%20news2549.html
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา
ข้อมูลที่ขอให้ชาวพุทธทั่วประเทศได้ศึกษาความจริง ของทั่งสองท่านนี้ ถ้าชาวไทยไม่กล้าออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และปกป้องสถาบัน พระศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการทำล้ายสถาบันใดสถาบันหนึ่ง ก็ทำให้สิ้นชาติไทยได้
ศึกษาข้อมูล วิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงสถาบันพระศาสนา ในประวัติศาสตร์ ได้ที่https://docs.google.com/file/d/0B_nOh0gPsWNSUkVWRG9aQ3pkbmc/edit
ช่วยแบ่งปันได้เพื่อสร้างบุญบารมี ถวายสมเด็จพระสังฆราช ครับ
ช่วยแบ่งปันได้เพื่อสร้างบุญบารมี ถวายสมเด็จพระสังฆราช ครับ
ภาพแห่งความสกปรกโสมมของคณะสงฆ์ธรรมยุตสายอีสาน
ภาพพระธรรมฐิติญาณ รับบรรณาการรถป้ายแดง และร่วมงานบักเณรคำต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า "พระธรรมฐิติญาณมีส่วนได้ส่วนเสียในคดีเณรคำ" แต่สมเด็จพระวันรัตก็ยังตั้งให้เป็นประธานกรรมการสอบสวน จึงสะบัดสวน "แถ" ออกมาอย่างหน้าด้านๆ ผ่านสื่อ หุหุ ไม่น่าเชื่อนะ ว่ากินข้าวมาจนหัวหงอกหัวขาว ไม่รู้เลยหรือว่าอะไรคือธรรม อะไรคือวินัย รู้แต่ว่า "รถใหม่ราคาเท่าใด-ใครให้กู" เท่านั้นเองหรือ โอ้หนอ คณะธรรมยุติกนิกายของในหลวง ร.4 ที่ทรงอุตส่าห์สร้างขึ้นมา เพื่ออภิวัฒน์พระพุทธศาสนา วันนี้กลับกลายเป็นตัวทำลายพระพุทธศาสนาเองซะแล้ว เพราะแค่เอาพระธรรมฐิติญาณซึ่งรับส่วยจากบักเณรคำมาเป็นประธานสอบ มันก็ผิดหลักการทางกฎหมายแล้ว อย่านับถึงพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเลย ความจริงแล้ว พระธรรมฐิติญาณต้องถูกดำเนินคดีในฐานะ "สมรู้ร่วมคิดกับบักเณรคำ" ทำการฉ้อโกงประชาชน ด้วยซ้ำ วันนี้ คดีที่มีพระธรรมฐิติญาณเป็นประธานสอบนั้น ถือว่าเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น เพราะเอาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีมาเป็นประธานสอบ มันก็โกงตั้งแต่ก่อนสอบสิฮะ
โปลิศจับขโมย !
กรรมาธิการศาสนาสุดงง โครงการหมื่นล้านบักเณรคำ ไม่มีกรรมการโครงการ มีแต่โอนเงินเข้าบัญชีอรหันต์อืม..น่านนะซีนะ คนไทยเราก็ศรัทธางมงายแบบนี้แหละ เพียงแค่อ้างว่า "ข้าเป็นอรหันต์"
สิ่งที่ทำให้ ‘เมืองไทย’ ใกล้สิ้นชาติ
คำถามที่คนไทยถามกันระงมเวลานี้ก็คือ ประเทศชาติจะลงเอยอย่างไร? อยากจะได้คำตอบ เป็นห่วงอนาคต แต่ไม่เคยจริงจังที่จะร่วมกันคิดกันมองว่า บ้านเมืองป่วยไข้ด้วยเชื้อโรคอะไร อาการปัจจุบันคืออะไร จะได้ประมวลเหตุประมวลผล เพื่อกำหนดอนาคต ไม่ว่าอยากให้อนาคตร้ายหรือดี
สาเหตุใหญ่สุดในความผุกร่อน คือ “การไม่ทำหน้าที่” เราจึงต้องการ “การทำหน้าที่” ของหลายภาคส่วน เพื่อกอบกู้บ้านเมืองจากความผุพัง
1.) รัฐบาลที่มีวาระซ่อนเร้น
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยประกาศถ้อยคำสวยหรู แต่นางลืมปฏิบัติ คือคำว่า “มาเพื่อแก้ไข ไม่แก้แค้น” ยังไม่นับคำกล่าวต่อประชาชนเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เพื่อขจัดความยากจนและสร้างชีวิตที่ดีขึ้น การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่นางไม่เคยหวนกลับมาแถลงผลงาน แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่าต้องทำ อาศัยช่องที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุบทลงโทษหากไม่ทำเอาไว้ ลอยหน้าลอยตาหนีความรับผิดชอบที่สำคัญนี้ไปอย่างหน้าด้านๆ ที่สำคัญมากๆ คือการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ เป็นต้น
เมื่อได้สิทธิในการเป็นนายกรัฐมนตรีและตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาทำงาน แทนที่จะทำอย่างโปร่งใส เปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วม กลับทำอย่างลับๆ ล่อๆ และรวบรัดตัดความด้วยอำนาจของการเป็นฝ่ายบริหาร และอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ ที่ไม่ต้องสนใจเสียงส่วนน้อย แม้เขาจะส่งเสียงที่มีเหตุผลและความถูกต้องดังออกมา
รัฐบาลนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อปัญหาและความขัดแย้ง ผ่านการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพและปกปิดซ่อนเร้น เช่น น้ำท่วมปี 2554 สาเหตุอาจมาจากภัยธรรมชาติ แต่ถูกซ้ำเติมด้วยการแก้ไขสถานการณ์ที่ไร้ประสิทธิภาพใช่หรือไม่ หลังจากนั้น รัฐบาลขอใช้อำนาจในการกู้เงินเพื่อจะมาแก้ไขปัญหานี้ด้วยการวางระบบป้องกันน้ำ ที่ไม่มีรายละเอียดของสิ่งที่จะทำหรือต้องทำ แต่รู้ตัวเลขแล้ว ว่าต้องใช้เงินถึง 350,000 ล้านบาท แถมจะต้องกู้อย่างเร่งด่วน และต้องกู้รวมทั้งนำมาใช้นอกระบบงบประมาณที่มากไปด้วยการตรวจสอบ ซึ่งก็คือ การหลบเลี่ยงการถูกตรวจสอบที่รัดกุมนั่นเอง
เมื่อศาลชี้ว่า การเข้าถึงอำนาจในการกู้ด้วยการออกเป็นพระราชกำหนด เป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารทำได้ รัฐบาลกลับปล่อยให้ปี 2555 ผ่านไปทั้งปี โดยไม่มีการกู้ ไม่มีการทำอะไรในเรื่องที่เคยอ้างว่าเร่งด่วนนี้ จนถึงกลางปี 2556 ซึ่งใกล้สิ้นสุดระยะเวลาของการกู้ กลับเร่งให้เอกชนเสนอแผนการวางระบบบริหารจัดการน้ำ และเร่งรีบทำสัญญากู้ในวันเกือบจะสุดท้าย เนื้องานที่ตกลงให้เอกชนรายต่างๆ รับไปทำนั้น ไม่มีการประมูลหรือแข่งขันราคา และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้งเรื่องผลกระทบทางสุขภาพ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โครงการนี้สะท้อนวิธีการทำงานและสันดานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เหมือนกันโครงการอื่นๆ เช่น บ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ฯลฯ
การทำงานอย่างไม่เปิดเผย ไม่เป็นไปตามระบบระเบียบ ไม่ให้ใครตรวจสอบ และไม่แถลงผลงานนี้ คือความสุ่มเสี่ยงอย่างร้ายแรงของประเทศชาติ แถมยังใช้อำนาจ “ก่อหนี้ท่วมหัว” โดยไม่ให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้แบกหนี้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ คือพฤติกรรมที่ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลด้วยความไม่พอใจ เพราะห่วงใยอนาคตของประเทศชาติ และต้องการเห็นความโปร่งใส สุจริต
ครั้นประชาชนลุกขึ้นมาแสดงความเหลืออดเหลือทน รัฐบาลกลับมีทีท่าว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นศัตรู (มาแต่ชาติปางก่อน คือ จากสมัยทักษิณ ชินวัตร) แทนการฟังเสียงที่ประชาชนสะท้อน รับฟัง พูดคุย หาทางออก จึงนอกจากใช้วาจาที่ไม่สมควรใช้กับประชาชน ผ่านโฆษกและขี้ข้าบริวารทั้งหลายแล้ว ยังใช้อำนาจของกฎหมาย ตำรวจ และอำนาจเถื่อนอย่างกองกำลังคนเสื้อแดง เข้าตอบโต้ เล่นงาน และอ้างแต่ 15 ล้านเสียงที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ฟอกผิด ปิดการตรวจสอบได้แทบทุกกรณี รวมทั้งปล่อยให้เกิดการคุกคามศาล (ศาลรัฐธรรมนูญ) และองค์กรอิสระ (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) โดยไม่ให้ความคุ้มครองที่ดีพอ แถมบางครั้งยังให้ท้ายผู้ก่อเหตุข่มขู่คุกคามอีกด้วย
จึงกลายเป็นว่า บ้านเมืองถูกยึดไป โดยคนที่ประชาชนไว้ใจให้เป็นเพียง “ผู้แทน” ไม่ใช่ “ผู้รับสัมปทาน” เอาบ้านเมืองไปปู้ยี่ปู้ยำ ทำกำไรกันเป็นการส่วนตัว ไม่เปิดเผยอะไร ไม่ให้ใครตรวจสอบ อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
2.) สื่อมวลชนที่ลืมหน้าที่หลัก
ในขณะที่เรามีรัฐบาลซึ่งควรถุกตรวจสอบอย่างหนัก แต่ทุกวันนี้...ลองเปิดดูฟรีทีวีทั่วไปเถิดครับ คุณจะพบว่า บ้านเมืองไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย นอกจากพระโกงเงิน พระสึกไปมีเมีย หมาคาบถังเดินตามพระบิณฑบาตได้ ฯลฯ นั่นเป็นผลจากการ “ละเลย” ปัญหาที่ใหญ่กว่า เพื่อเลี่ยงความขัดแย้งต่อรัฐ ซึ่งมีอำนาจต่อรอง ทั้งอำนาจทางกฎหมาย และผลประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณา พูดง่ายๆ ว่า เลือกความอยู่รอดของตน ก่อน “จิตวิญญาณที่แท้จริงในหน้าที่”
วันนี้..มีฟรีทีวีช่องไหน ยกเว้นไทยพีบีเอส ที่พูดเรื่อง ‘ความเสียหายของชาติ อันเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าว’ อย่างต่อเนื่องและจริงจังบ้างครับ
ใช่... ท่านอาจทำอยู่บ้าง แต่มันเพียงพอไหม เอาจริงเอาจังไหม ท่านได้ตระหนักหรือไม่ ว่าสิ่งนี้คือปัญหาหนึ่งที่จะทำลายศักยภาพของประเทศชาติ และให้การเรียนรู้ที่ผิดพลาดแก่ผู้คนในสังคม
ถ้าสื่อมวลชนบ้านเราเพิ่มความกล้าหาญ ลดความอยากทางธุรกิจลง สำนึกในหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นสื่อมวลชน นึกถึงผลร้ายที่จะตามมาจากความเพิกเฉยหรือหลบเลี่ยงหน้าที่หลักของตนลงบ้าง บ้านเมืองจะดีกว่านี้หลายเท่าตัวทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น การรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ปกปิดข้อมูลการซื้อข้าว เก็บข้าว ขายข้าวมาเป็นแรมปี กว่าที่สื่อมวลชนประจำกระทรวงพาณิชย์จะคิดได้ว่า ถึงเวลาต้องถามกันให้จริงให้จังเสียที ก็ปล่อยปละละเลยหรือยินยอมโอนอ่อนตามการหุบปากของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยมาตั้งนาน
วันหนึ่ง เมื่อนักข่าวกระทรวงพาณิชย์ซักถามนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ชนิดไม่ยอมให้เลี่ยง ผู้คนก็สรรเสริญการทำงานนั้นอย่างมากมาย ไม่ใช่ด้วยความสาสะใจ แต่ด้วยความตื้นตันใจว่า นักข่าวเหล่านี้ ถามในสิ่งที่ประชาชนอยากรู้มานาน และมีสิทธิที่จะได้รับรู้ ซึ่งนั้นคือเลือดเนื้อและวิญญาณของการเป็น ‘สื่อมวลชน’ ที่ได้สำแดงออกมา และสังคมก็ประจักษ์แก่ตา หู และจิตใจ
ถ้าเราจะเรียนรู้ร่วมกันจากเหตุการณ์ดังกล่าว บทสรุปที่ได้รับก็ชัดเจนว่า ถ้าสื่อเอาจริงเอาจังต่อการติดตามถามไถ่ถึงปัญหาและตรวจสอบวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลแทนประชาชน ประชาชนก็ได้รับรู้ ได้เรียกร้อง ได้ตรวจสอบตามหน้าที่พลเมืองที่ดีตามมาด้วย คอลัมนิสต์ นักวิเคราะห์วิจารณ์การเมือง ก็ได้นำเสนอปัญหาและทางออกให้เป็นทางเลือกแก่ประเทศชาติได้ทันท่วงทีด้วย
แต่วันนี้ สื่อส่วนมากมิได้ “สะท้อนความเป็นจริงของบ้านเมือง” ออกมาให้ประชาชนรู้ จนดูเหมือนว่า บ้านเมืองมิได้มีปัญหาอะไร ทำให้ประชาชนจำนวนมากกลายเป็นไทยเฉย จำนวนหนึ่งถูกตีตราว่าเป็นไทยคลั่ง เอาจริงเอาจังเกินไป เหมือนไม่อยากให้ประเทศไทยอยู่เย็นเป็นสุข
สื่อมวลชน เป็นกระจกส่องชาติ ถ้าประเทศชาติมีกระจกที่หลอกลวง หลบเลี่ยง ไม่ฉายภาพที่แท้จริง เราจะเห็นความอัปลักษณ์ของบ้านเมือง แล้วเข้าแก้ไขเยียวยาด้วยกันได้ทันการณ์หรือ
ยกตัวอย่างโครงการนับจำนำข้าวอีกครั้ง ถามว่า... ประเทศชาติมีเงินงบประมาณที่จำกัดใช่ไหม ไม่ว่ารัฐบาลใด นำเงินที่มีอยู่จำกัดและมาจากการเก็บภาษีจากคนทั้งชาติเป็นสำคัญนั้น ไปใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ไม่เกิดประสิทธิภาพที่สมควร แถมเปิดช่องให้มีการทุจริตถ่างอ้าเอาไว้ ไปยอมหุบ ไม่ยอมปิด สื่อควรชี้ ควรสะท้อน ควรตั้งคำถามเพื่อแจ้งเตือนให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรีบเข้ามาจัดการใช่หรือไม่
การรับจำนำข้าวนี้ ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ จาก ปปช. จากการตรวจสอบของคุณสุภา ปิยะจิตติ ล้วนบ่งชี้ว่า ขาดประสิทธิภาพ เปิดช่องให้ทุจริตอย่างจงใจ และประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของชาวนาตามอ้าง ข้อมูลดังกล่าวนี้ มาจากฝ่ายตรวจสอบที่ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง เป็นเรื่องไม่ยากเลยที่สื่อจะหยิบไปรายงานและสานต่อด้านการตรวจสอบ โดยไม่เกี่ยวกับจริตเรื่อง “ความเป็นกลางทางการเมือง” เลย
สื่อจึงต้องตื่นก่อน แล้วทำตัวเหมือน “ไก่ขัน” หรือสัญญาณเตือนไฟไหม้ เตือนให้ประชาชนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา แล้วช่วยกันตรวจสอบก่อนจะเกิดความเสียหาย
3.) ตำรวจที่ไม่เป็น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
ตำรวจเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม (รับแจ้งความ, สืบสวนสอบสวน, ตั้งข้อหา, ทำสำนวน, ส่งต่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นถัดไป) แต่ตำรวจบ้านเราสยบยอมกับรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด จึงมุ่งรับใช้รัฐบาลมากกว่ามุ่งทำหน้าที่ที่แท้จริงของตนเอง บ่อยครั้งจึงสะท้อนความอยุติธรรมออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
เช่น เมื่อเสื้อแดงกลุ่มรักษ์เชียงใหม่ 51 ทำร้าย ทุบตี กักขังหน่วงเหนี่ยม กลุ่มหน้ากากขาวที่เชียงใหม่ซึ่งหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ แทนที่จะจับกุม กลับทำเพียงห้ามปราม เฝ้าระวัง และหลังจากนั้นก็มิได้ดำเนินคดีอะไรเลย แต่เหตุกระทบกระทั่งกับกลุ่มหน้ากากขาวที่กรุงเทพฯ ตำรวจออกหมายเรียกในทันที อย่างนี้เป็นต้น
หรือการที่กลุ่มนายโกตี๋ ยกขบวนไปข่มขู่ผู้ตรวจการแผ่นดิน คำพูดของเขายุงยง ใส่ร้าย ปลุกระดมคนเสื้อแดงให้จงเกลียดจงชังและใช้ความรุนแรง กลับไม่มีตำรวจให้ความคุ้มครองทั้งสถานที่ คือ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคุ้มครองตัวบุคคล แต่เมื่อกลุ่มผู้กองปูเค็ม ไปที่กระทรวงกลาโหม หรือไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับมีตำรวจตั้งแผงคุ้มกันอย่างมากมาย
ชัดเจนว่า ในยามที่กลุ่มต่างๆ มีกิจกรรมทางการเมือง เช่น กลุ่มหน้ากากขาว กับกลุ่มเสื้อแดง ออกเคลื่อนไหว หน้ากากขาวดูเหมือนพวกก่อการร้าย แต่เสื้อแดงเป็นนักประชาธิปไตยที่มีรถตำรวจนำ ปิดถนนให้ คุ้มกัน ดูแลความปลอดภัยอย่าเห็นได้ชัด คนก็ย่อมเกิดความรู้สึกไม่ดี และมันเป็นเครื่องยืนยันว่า จะหาความเป็นธรรมได้อย่างไร กับตำรวจยุคนี้
4.) องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า
เมื่อรัฐบาลไม่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ประชาชนก็หวังพึ่งพาองค์กรอิสระและศาล ซึ่งดูการทำงานจะล่าช้ากว่าสถานการณ์และความเสียหาย องค์กรอิสระกับศาลขาดอะไร กำลังคน เครื่องมือ กฎหมาย ก็สื่อสารออกมาสิครับ เพราะ “ความล่าช้า คือ ความไม่เป็นธรรม” อย่างหนึ่ง กระนั้นก็ตาม เข้าใจว่ารัฐเองก็หาวิธีกดดัน ต่อรอง ข่มขู่ กระทั่งติดสินบนผู้คนในองค์กรอิสระและศาลอยู่เหมือนกัน ทว่าท่านควรจะทำงานให้เข้มแข็งและถูกเรื่อง เช่น กรรมการสิทธิฯ ควรเร่งเปิดเผยผลสอบการชุมนุมปี 52-53 ออกมา ก่อนไป “เป็นข่าว” สืบคดีการตายของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ใช่หรือเปล่า, ผู้ตรวจการใช้เวลาเกือบปี พิจารณากรณีทักษิณประดับยศให้คำรณวิทย์
โดยสรุป บ้านเมืองถูกผลักมาจนตรอก เพราะรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้ใครตรวจสอบ ประชาชนต้องการตรวจสอบ ก็ถูกตอบโต้สารพัดวิธี องค์กรอิสระและศาลที่มี ก็ถูกปิดกั้นไม่ให้เรื่องส่งถึง ข่มขู่เมื่อเรื่องส่งถึง ใส่ความให้ฝ่ายหนุนรัฐบาลเกลียดชัง กระทั่งส่งคนมาข่มขู่
ในสภาพการณ์เช่นนี้ จึงถึงเวลาเสียที ที่ทุกคนต้องลุกขึ้นมาถามตัวเองว่า จะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน เรายกประเทศให้รัฐบาลไปแล้วหรือไม่ รัฐบาลมีสิทธิทำทุกอย่างตามอำเภอใจเพราะได้สัมปทานไป 4 ปี โดยที่ใครก็ห้ามไปยุ่งจริงหรือ?!!?
http://www.naewna.com/politic/columnist/7783
สาเหตุใหญ่สุดในความผุกร่อน คือ “การไม่ทำหน้าที่” เราจึงต้องการ “การทำหน้าที่” ของหลายภาคส่วน เพื่อกอบกู้บ้านเมืองจากความผุพัง
1.) รัฐบาลที่มีวาระซ่อนเร้น
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยประกาศถ้อยคำสวยหรู แต่นางลืมปฏิบัติ คือคำว่า “มาเพื่อแก้ไข ไม่แก้แค้น” ยังไม่นับคำกล่าวต่อประชาชนเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เพื่อขจัดความยากจนและสร้างชีวิตที่ดีขึ้น การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่นางไม่เคยหวนกลับมาแถลงผลงาน แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่าต้องทำ อาศัยช่องที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุบทลงโทษหากไม่ทำเอาไว้ ลอยหน้าลอยตาหนีความรับผิดชอบที่สำคัญนี้ไปอย่างหน้าด้านๆ ที่สำคัญมากๆ คือการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ เป็นต้น
เมื่อได้สิทธิในการเป็นนายกรัฐมนตรีและตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาทำงาน แทนที่จะทำอย่างโปร่งใส เปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วม กลับทำอย่างลับๆ ล่อๆ และรวบรัดตัดความด้วยอำนาจของการเป็นฝ่ายบริหาร และอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ ที่ไม่ต้องสนใจเสียงส่วนน้อย แม้เขาจะส่งเสียงที่มีเหตุผลและความถูกต้องดังออกมา
รัฐบาลนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อปัญหาและความขัดแย้ง ผ่านการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพและปกปิดซ่อนเร้น เช่น น้ำท่วมปี 2554 สาเหตุอาจมาจากภัยธรรมชาติ แต่ถูกซ้ำเติมด้วยการแก้ไขสถานการณ์ที่ไร้ประสิทธิภาพใช่หรือไม่ หลังจากนั้น รัฐบาลขอใช้อำนาจในการกู้เงินเพื่อจะมาแก้ไขปัญหานี้ด้วยการวางระบบป้องกันน้ำ ที่ไม่มีรายละเอียดของสิ่งที่จะทำหรือต้องทำ แต่รู้ตัวเลขแล้ว ว่าต้องใช้เงินถึง 350,000 ล้านบาท แถมจะต้องกู้อย่างเร่งด่วน และต้องกู้รวมทั้งนำมาใช้นอกระบบงบประมาณที่มากไปด้วยการตรวจสอบ ซึ่งก็คือ การหลบเลี่ยงการถูกตรวจสอบที่รัดกุมนั่นเอง
เมื่อศาลชี้ว่า การเข้าถึงอำนาจในการกู้ด้วยการออกเป็นพระราชกำหนด เป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารทำได้ รัฐบาลกลับปล่อยให้ปี 2555 ผ่านไปทั้งปี โดยไม่มีการกู้ ไม่มีการทำอะไรในเรื่องที่เคยอ้างว่าเร่งด่วนนี้ จนถึงกลางปี 2556 ซึ่งใกล้สิ้นสุดระยะเวลาของการกู้ กลับเร่งให้เอกชนเสนอแผนการวางระบบบริหารจัดการน้ำ และเร่งรีบทำสัญญากู้ในวันเกือบจะสุดท้าย เนื้องานที่ตกลงให้เอกชนรายต่างๆ รับไปทำนั้น ไม่มีการประมูลหรือแข่งขันราคา และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้งเรื่องผลกระทบทางสุขภาพ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โครงการนี้สะท้อนวิธีการทำงานและสันดานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เหมือนกันโครงการอื่นๆ เช่น บ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ฯลฯ
การทำงานอย่างไม่เปิดเผย ไม่เป็นไปตามระบบระเบียบ ไม่ให้ใครตรวจสอบ และไม่แถลงผลงานนี้ คือความสุ่มเสี่ยงอย่างร้ายแรงของประเทศชาติ แถมยังใช้อำนาจ “ก่อหนี้ท่วมหัว” โดยไม่ให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้แบกหนี้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ คือพฤติกรรมที่ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลด้วยความไม่พอใจ เพราะห่วงใยอนาคตของประเทศชาติ และต้องการเห็นความโปร่งใส สุจริต
ครั้นประชาชนลุกขึ้นมาแสดงความเหลืออดเหลือทน รัฐบาลกลับมีทีท่าว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นศัตรู (มาแต่ชาติปางก่อน คือ จากสมัยทักษิณ ชินวัตร) แทนการฟังเสียงที่ประชาชนสะท้อน รับฟัง พูดคุย หาทางออก จึงนอกจากใช้วาจาที่ไม่สมควรใช้กับประชาชน ผ่านโฆษกและขี้ข้าบริวารทั้งหลายแล้ว ยังใช้อำนาจของกฎหมาย ตำรวจ และอำนาจเถื่อนอย่างกองกำลังคนเสื้อแดง เข้าตอบโต้ เล่นงาน และอ้างแต่ 15 ล้านเสียงที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ฟอกผิด ปิดการตรวจสอบได้แทบทุกกรณี รวมทั้งปล่อยให้เกิดการคุกคามศาล (ศาลรัฐธรรมนูญ) และองค์กรอิสระ (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) โดยไม่ให้ความคุ้มครองที่ดีพอ แถมบางครั้งยังให้ท้ายผู้ก่อเหตุข่มขู่คุกคามอีกด้วย
จึงกลายเป็นว่า บ้านเมืองถูกยึดไป โดยคนที่ประชาชนไว้ใจให้เป็นเพียง “ผู้แทน” ไม่ใช่ “ผู้รับสัมปทาน” เอาบ้านเมืองไปปู้ยี่ปู้ยำ ทำกำไรกันเป็นการส่วนตัว ไม่เปิดเผยอะไร ไม่ให้ใครตรวจสอบ อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
2.) สื่อมวลชนที่ลืมหน้าที่หลัก
ในขณะที่เรามีรัฐบาลซึ่งควรถุกตรวจสอบอย่างหนัก แต่ทุกวันนี้...ลองเปิดดูฟรีทีวีทั่วไปเถิดครับ คุณจะพบว่า บ้านเมืองไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย นอกจากพระโกงเงิน พระสึกไปมีเมีย หมาคาบถังเดินตามพระบิณฑบาตได้ ฯลฯ นั่นเป็นผลจากการ “ละเลย” ปัญหาที่ใหญ่กว่า เพื่อเลี่ยงความขัดแย้งต่อรัฐ ซึ่งมีอำนาจต่อรอง ทั้งอำนาจทางกฎหมาย และผลประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณา พูดง่ายๆ ว่า เลือกความอยู่รอดของตน ก่อน “จิตวิญญาณที่แท้จริงในหน้าที่”
วันนี้..มีฟรีทีวีช่องไหน ยกเว้นไทยพีบีเอส ที่พูดเรื่อง ‘ความเสียหายของชาติ อันเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าว’ อย่างต่อเนื่องและจริงจังบ้างครับ
ใช่... ท่านอาจทำอยู่บ้าง แต่มันเพียงพอไหม เอาจริงเอาจังไหม ท่านได้ตระหนักหรือไม่ ว่าสิ่งนี้คือปัญหาหนึ่งที่จะทำลายศักยภาพของประเทศชาติ และให้การเรียนรู้ที่ผิดพลาดแก่ผู้คนในสังคม
ถ้าสื่อมวลชนบ้านเราเพิ่มความกล้าหาญ ลดความอยากทางธุรกิจลง สำนึกในหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นสื่อมวลชน นึกถึงผลร้ายที่จะตามมาจากความเพิกเฉยหรือหลบเลี่ยงหน้าที่หลักของตนลงบ้าง บ้านเมืองจะดีกว่านี้หลายเท่าตัวทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น การรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ปกปิดข้อมูลการซื้อข้าว เก็บข้าว ขายข้าวมาเป็นแรมปี กว่าที่สื่อมวลชนประจำกระทรวงพาณิชย์จะคิดได้ว่า ถึงเวลาต้องถามกันให้จริงให้จังเสียที ก็ปล่อยปละละเลยหรือยินยอมโอนอ่อนตามการหุบปากของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยมาตั้งนาน
วันหนึ่ง เมื่อนักข่าวกระทรวงพาณิชย์ซักถามนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ชนิดไม่ยอมให้เลี่ยง ผู้คนก็สรรเสริญการทำงานนั้นอย่างมากมาย ไม่ใช่ด้วยความสาสะใจ แต่ด้วยความตื้นตันใจว่า นักข่าวเหล่านี้ ถามในสิ่งที่ประชาชนอยากรู้มานาน และมีสิทธิที่จะได้รับรู้ ซึ่งนั้นคือเลือดเนื้อและวิญญาณของการเป็น ‘สื่อมวลชน’ ที่ได้สำแดงออกมา และสังคมก็ประจักษ์แก่ตา หู และจิตใจ
ถ้าเราจะเรียนรู้ร่วมกันจากเหตุการณ์ดังกล่าว บทสรุปที่ได้รับก็ชัดเจนว่า ถ้าสื่อเอาจริงเอาจังต่อการติดตามถามไถ่ถึงปัญหาและตรวจสอบวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลแทนประชาชน ประชาชนก็ได้รับรู้ ได้เรียกร้อง ได้ตรวจสอบตามหน้าที่พลเมืองที่ดีตามมาด้วย คอลัมนิสต์ นักวิเคราะห์วิจารณ์การเมือง ก็ได้นำเสนอปัญหาและทางออกให้เป็นทางเลือกแก่ประเทศชาติได้ทันท่วงทีด้วย
แต่วันนี้ สื่อส่วนมากมิได้ “สะท้อนความเป็นจริงของบ้านเมือง” ออกมาให้ประชาชนรู้ จนดูเหมือนว่า บ้านเมืองมิได้มีปัญหาอะไร ทำให้ประชาชนจำนวนมากกลายเป็นไทยเฉย จำนวนหนึ่งถูกตีตราว่าเป็นไทยคลั่ง เอาจริงเอาจังเกินไป เหมือนไม่อยากให้ประเทศไทยอยู่เย็นเป็นสุข
สื่อมวลชน เป็นกระจกส่องชาติ ถ้าประเทศชาติมีกระจกที่หลอกลวง หลบเลี่ยง ไม่ฉายภาพที่แท้จริง เราจะเห็นความอัปลักษณ์ของบ้านเมือง แล้วเข้าแก้ไขเยียวยาด้วยกันได้ทันการณ์หรือ
ยกตัวอย่างโครงการนับจำนำข้าวอีกครั้ง ถามว่า... ประเทศชาติมีเงินงบประมาณที่จำกัดใช่ไหม ไม่ว่ารัฐบาลใด นำเงินที่มีอยู่จำกัดและมาจากการเก็บภาษีจากคนทั้งชาติเป็นสำคัญนั้น ไปใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ไม่เกิดประสิทธิภาพที่สมควร แถมเปิดช่องให้มีการทุจริตถ่างอ้าเอาไว้ ไปยอมหุบ ไม่ยอมปิด สื่อควรชี้ ควรสะท้อน ควรตั้งคำถามเพื่อแจ้งเตือนให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรีบเข้ามาจัดการใช่หรือไม่
การรับจำนำข้าวนี้ ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ จาก ปปช. จากการตรวจสอบของคุณสุภา ปิยะจิตติ ล้วนบ่งชี้ว่า ขาดประสิทธิภาพ เปิดช่องให้ทุจริตอย่างจงใจ และประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของชาวนาตามอ้าง ข้อมูลดังกล่าวนี้ มาจากฝ่ายตรวจสอบที่ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง เป็นเรื่องไม่ยากเลยที่สื่อจะหยิบไปรายงานและสานต่อด้านการตรวจสอบ โดยไม่เกี่ยวกับจริตเรื่อง “ความเป็นกลางทางการเมือง” เลย
สื่อจึงต้องตื่นก่อน แล้วทำตัวเหมือน “ไก่ขัน” หรือสัญญาณเตือนไฟไหม้ เตือนให้ประชาชนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา แล้วช่วยกันตรวจสอบก่อนจะเกิดความเสียหาย
3.) ตำรวจที่ไม่เป็น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
ตำรวจเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม (รับแจ้งความ, สืบสวนสอบสวน, ตั้งข้อหา, ทำสำนวน, ส่งต่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นถัดไป) แต่ตำรวจบ้านเราสยบยอมกับรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด จึงมุ่งรับใช้รัฐบาลมากกว่ามุ่งทำหน้าที่ที่แท้จริงของตนเอง บ่อยครั้งจึงสะท้อนความอยุติธรรมออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
เช่น เมื่อเสื้อแดงกลุ่มรักษ์เชียงใหม่ 51 ทำร้าย ทุบตี กักขังหน่วงเหนี่ยม กลุ่มหน้ากากขาวที่เชียงใหม่ซึ่งหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ แทนที่จะจับกุม กลับทำเพียงห้ามปราม เฝ้าระวัง และหลังจากนั้นก็มิได้ดำเนินคดีอะไรเลย แต่เหตุกระทบกระทั่งกับกลุ่มหน้ากากขาวที่กรุงเทพฯ ตำรวจออกหมายเรียกในทันที อย่างนี้เป็นต้น
หรือการที่กลุ่มนายโกตี๋ ยกขบวนไปข่มขู่ผู้ตรวจการแผ่นดิน คำพูดของเขายุงยง ใส่ร้าย ปลุกระดมคนเสื้อแดงให้จงเกลียดจงชังและใช้ความรุนแรง กลับไม่มีตำรวจให้ความคุ้มครองทั้งสถานที่ คือ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคุ้มครองตัวบุคคล แต่เมื่อกลุ่มผู้กองปูเค็ม ไปที่กระทรวงกลาโหม หรือไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับมีตำรวจตั้งแผงคุ้มกันอย่างมากมาย
ชัดเจนว่า ในยามที่กลุ่มต่างๆ มีกิจกรรมทางการเมือง เช่น กลุ่มหน้ากากขาว กับกลุ่มเสื้อแดง ออกเคลื่อนไหว หน้ากากขาวดูเหมือนพวกก่อการร้าย แต่เสื้อแดงเป็นนักประชาธิปไตยที่มีรถตำรวจนำ ปิดถนนให้ คุ้มกัน ดูแลความปลอดภัยอย่าเห็นได้ชัด คนก็ย่อมเกิดความรู้สึกไม่ดี และมันเป็นเครื่องยืนยันว่า จะหาความเป็นธรรมได้อย่างไร กับตำรวจยุคนี้
4.) องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า
เมื่อรัฐบาลไม่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ประชาชนก็หวังพึ่งพาองค์กรอิสระและศาล ซึ่งดูการทำงานจะล่าช้ากว่าสถานการณ์และความเสียหาย องค์กรอิสระกับศาลขาดอะไร กำลังคน เครื่องมือ กฎหมาย ก็สื่อสารออกมาสิครับ เพราะ “ความล่าช้า คือ ความไม่เป็นธรรม” อย่างหนึ่ง กระนั้นก็ตาม เข้าใจว่ารัฐเองก็หาวิธีกดดัน ต่อรอง ข่มขู่ กระทั่งติดสินบนผู้คนในองค์กรอิสระและศาลอยู่เหมือนกัน ทว่าท่านควรจะทำงานให้เข้มแข็งและถูกเรื่อง เช่น กรรมการสิทธิฯ ควรเร่งเปิดเผยผลสอบการชุมนุมปี 52-53 ออกมา ก่อนไป “เป็นข่าว” สืบคดีการตายของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ใช่หรือเปล่า, ผู้ตรวจการใช้เวลาเกือบปี พิจารณากรณีทักษิณประดับยศให้คำรณวิทย์
โดยสรุป บ้านเมืองถูกผลักมาจนตรอก เพราะรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้ใครตรวจสอบ ประชาชนต้องการตรวจสอบ ก็ถูกตอบโต้สารพัดวิธี องค์กรอิสระและศาลที่มี ก็ถูกปิดกั้นไม่ให้เรื่องส่งถึง ข่มขู่เมื่อเรื่องส่งถึง ใส่ความให้ฝ่ายหนุนรัฐบาลเกลียดชัง กระทั่งส่งคนมาข่มขู่
ในสภาพการณ์เช่นนี้ จึงถึงเวลาเสียที ที่ทุกคนต้องลุกขึ้นมาถามตัวเองว่า จะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน เรายกประเทศให้รัฐบาลไปแล้วหรือไม่ รัฐบาลมีสิทธิทำทุกอย่างตามอำเภอใจเพราะได้สัมปทานไป 4 ปี โดยที่ใครก็ห้ามไปยุ่งจริงหรือ?!!?
http://www.naewna.com/politic/columnist/7783
ชื่อ : ลัทธิวัดธรรมกาย
เจ้าลัทธิ : นายธัมมชโย
เป้าหมาย :
-สร้างเครือข่าย direct donatation มุ่งแสดงหาผลประโชน์เข้าลัทธิให้มากที่สุด
ผู้นับถือลัทธินี้สามารถจะพ้นทุกข์ได้โดยการบริจาคเงินจำนวนมหาศาล ให้กับวัดธรรมกาย(เท่านั้น) ซึ่งขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง
-สร้างฐานอำนาจทางการเมือง เพื่อความมั่นคงของวัดและลัทธิ
-ยกยอเจ้าลัทธิเทียบเทียมหรือเหนือกว่าพระอริยเจ้าในบวรพุทธศาสนา
วิธีการเผยแพร่ :
-สร้างเครือข่ายการตลาดแบบ MLM มุ่งหาสมาชิกเข้าลัทธิโดยตรงด้วยกระบวนการแบบ Direct Sale
- สร้างเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆมามอมเมาสมาชิกลัทธิ
-ตีพิมพ์เผยแพร่หลักคำสอนของเจ้าลัทธิธัมมะชโย ซึ่งขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา
-สวมรอยลัทธิวัดธรรมกายด้วยพระพุทธศาสนาเพราะคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ รวมทั้งเข้าไปแฝงตัวในกลุ่ม/ชมรมพุทธศาสนาต่างๆ
เจ้าลัทธิ : นายธัมมชโย
เป้าหมาย :
-สร้างเครือข่าย direct donatation มุ่งแสดงหาผลประโชน์เข้าลัทธิให้มากที่สุด
ผู้นับถือลัทธินี้สามารถจะพ้นทุกข์ได้โดยการบริจาคเงินจำนวนมหาศาล ให้กับวัดธรรมกาย(เท่านั้น) ซึ่งขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง
-สร้างฐานอำนาจทางการเมือง เพื่อความมั่นคงของวัดและลัทธิ
-ยกยอเจ้าลัทธิเทียบเทียมหรือเหนือกว่าพระอริยเจ้าในบวรพุทธศาสนา
วิธีการเผยแพร่ :
-สร้างเครือข่ายการตลาดแบบ MLM มุ่งหาสมาชิกเข้าลัทธิโดยตรงด้วยกระบวนการแบบ Direct Sale
- สร้างเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆมามอมเมาสมาชิกลัทธิ
-ตีพิมพ์เผยแพร่หลักคำสอนของเจ้าลัทธิธัมมะชโย ซึ่งขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา
-สวมรอยลัทธิวัดธรรมกายด้วยพระพุทธศาสนาเพราะคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ รวมทั้งเข้าไปแฝงตัวในกลุ่ม/ชมรมพุทธศาสนาต่างๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ