พิลึก ! มันฝันไป? ดันไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก
"กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา"
ดันไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก
แต่แปลก ! เพิ่มงาน แต่ไม่เพิ่มคน ไม่ขออัตราเจ้าหน้าที่หรือแม้แต่งบประมาณเพิ่ม ถามว่าเพิ่มทำไม และอีกอย่าง งานเผยแผ่ก็ดี งานผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกก็ดี ล้วนแต่เป็นงานแม่ เป็นงานเมกะโปรเจ็ค หรือเป็นงานหลักของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรที่จะอยู่ในความดูแลของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยตรง แต่นี่กลับโยนไปให้กองงานใหม่ๆ เด็กใหม่ๆ รับไปทำ มันก็แท๊งค์ตั้งแต่ก่อนกำหนดคลอดนะซีฮะ ยิ่งเปิดกองใหม่ แต่ไม่เพิ่มเจ้าหน้าที่ใหม่ แต่ไล่เก็บเอาจากหน่วยโน้นนิดหน่วยนี้หน่อย เอาไปรวมเป็นกองเกินอยู่ที่นั่น มันก็ยิ่งเหลวไหล พูดแบบไม่เกรงใจก็คือ ถ้าผอ.สำนักพุทธฯ ไม่รู้หรือไม่เข้าใจในภาระหน้าที่ของตนเอง ก็ควรลาออกได้แล้ว ไม่รู้ว่าผ่านการแสดงวิสัยทัศน์มาได้อย่างไร ดูสิ คนฟังยังอายแทนเลย !
โชว์ห่วย
"งานเล็กให้ผู้ใหญ่ งานใหญ่ใช้เด็กทำ "
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์
ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
พศ.ผุดกองส่งเสริมงานเผยแผ่ฯ
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เข้าไปชี้แจงกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในการขอปรับโครงสร้างการบริหารงานของสำนักพุทธฯ เพื่อขอจัดตั้งกองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็น กองใหม่ของสำนักพุทธฯ โดยเป็นการแบ่งงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากกองพุทธศาสนศึกษาและสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ให้กองดังกล่าวดูแลและขับเคลื่อนงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาและการส่งเสริมการศึกษาคณะสงฆ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญมีหน่วยงานเฉพาะคอยดูแล ด้วยที่ผ่านมางานการเผยแผ่ต่างคนต่างทำ ยังไม่เป็นระบบชัดเจน มีคณะสงฆ์ทำเพียงลำพัง ไม่มีโครงสร้างของระบบราชการเข้าไปคอยสนับสนุน รวมถึงไม่มีแผนงานโครงการทำให้การขับเคลื่อนงานยังติดขัด ดังนั้น หากจัดตั้งกองดังกล่าวจะทำให้การดำเนินการของสำนักพุทธฯ ง่ายขึ้น
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เข้าไปชี้แจงกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในการขอปรับโครงสร้างการบริหารงานของสำนักพุทธฯ เพื่อขอจัดตั้งกองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็น กองใหม่ของสำนักพุทธฯ โดยเป็นการแบ่งงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากกองพุทธศาสนศึกษาและสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ให้กองดังกล่าวดูแลและขับเคลื่อนงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาและการส่งเสริมการศึกษาคณะสงฆ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญมีหน่วยงานเฉพาะคอยดูแล ด้วยที่ผ่านมางานการเผยแผ่ต่างคนต่างทำ ยังไม่เป็นระบบชัดเจน มีคณะสงฆ์ทำเพียงลำพัง ไม่มีโครงสร้างของระบบราชการเข้าไปคอยสนับสนุน รวมถึงไม่มีแผนงานโครงการทำให้การขับเคลื่อนงานยังติดขัด ดังนั้น หากจัดตั้งกองดังกล่าวจะทำให้การดำเนินการของสำนักพุทธฯ ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การขอจัดตั้งกองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น สำนักพุทธฯ ได้รื้อแผนแม่บทการเผยแผ่ใหม่ และกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจน การสร้างเครือข่ายในการส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อีกทั้ง การดำเนินการขอครั้งนี้ สำนักพุทธฯ ไม่ได้ต้องการขยายหน่วยงานให้ใหญ่โตขึ้น แต่ต้องการให้กำหนดการทำงานให้ชัดเจน โดยเฉพาะในภูมิภาคมีหลายแห่งมากที่การเผยแผ่ยังไปไม่ทั่วถึงและมีการเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาบางเรื่อง ดังนั้น กองดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการช่วยประสานกับท้องถิ่นและระดับหมู่บ้านให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าถึงทุกบ้าน
นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังมีหน้าที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือการขับเคลื่อนเรื่องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกด้วย ทั้งนี้ขณะนี้กระบวนการชี้แจงการปรับโครงสร้างต่อก.พ.ร.ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป ก.พ.ร.จะนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ ผ่านความเห็นชอบ สามารถดำเนินการจัดตั้งได้ทันที ทั้งนี้สำนักพุทธฯ ไม่ได้เสนอขออัตรากำลังเพิ่มเติมแต่จะมีการเกลี่ยเจ้าหน้าที่และข้าราชการจากส่วนงานอื่นๆ มาช่วยขับเคลื่อนกองดังกล่าว
นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังมีหน้าที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือการขับเคลื่อนเรื่องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกด้วย ทั้งนี้ขณะนี้กระบวนการชี้แจงการปรับโครงสร้างต่อก.พ.ร.ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป ก.พ.ร.จะนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ ผ่านความเห็นชอบ สามารถดำเนินการจัดตั้งได้ทันที ทั้งนี้สำนักพุทธฯ ไม่ได้เสนอขออัตรากำลังเพิ่มเติมแต่จะมีการเกลี่ยเจ้าหน้าที่และข้าราชการจากส่วนงานอื่นๆ มาช่วยขับเคลื่อนกองดังกล่าว
ข่าว : ข่าวสด
17 กรกฎาคม 2556
รวย-ช่วยไม่ได้ !
สภาทนายปฏิเสธคำร้องของเณรคำ
บอกเงินเป็นพันล้าน รถเบนซ์เป็นร้อย ไม่ใช่คนอนาถา
อา..ถ้างั้นก็ต้อง "จ่ายแพง" ละสิฮะ อย่าลืมว่าค่าทำคดีก็ขึ้นอยู่กับรูปคดี ยิ่งคดีที่มีทองคำเป็นเดิมพันถึง 8,000 กิโลนั้น ทางทนายเขาคิดราคาแค่ครึ่งเดียว !
งานนี้รับรองว่าเหลือแต่หำ
สมีคำหน้าแตก สภาทนายไม่รับช่วย
16 ก.ค. 2556 หลังการประชุมร่วมคณะพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการพิจารณาเพื่อขอศาลออกหมายจับนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล (หลวงปู่เณรคำ)ที่ถูกคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษมีมติให้พ้นจากการเป็นพระเหตุต้องอาบัติปาราชิกนั้น นายสุขุม วงประสิทธิ ผู้ประสานงานที่พักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงสภาทนายความ โดยนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย
นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายสภาทนายความ ได้แถลงผลการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือของคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายฯ ในกรณีคำร้องดังกล่าว ว่า ที่ผ่านมาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณชน ปรากฏว่า ผู้ร้องมีทรัพย์สินเพียงพออยู่ในฐานะที่จะทำการจัดหาทนายความเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนเองได้ จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ยากไร้ ส่วนกรณีการไม่ได้รับความเป็นธรรม มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบดูแลอยู่แล้ว จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 78 สภาทนายความจึงมีคำสั่งไม่รับให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
ข่าว : คมชัดลึก
17 กรกฎาคม 2556
ไม่เหมาะสม !
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ระบุ
กรณีเณรคำบอกบุญด้วยเครื่องราชย์
ถ้าถวายก่อนแล้วดำเนินการก็โอเค
แต่แหม สมเด็จฯสมศักดิ์ฮะ มีที่ไหนเขาทำเรื่องขอเครื่องราชย์ก่อนบริจาคเหรอ เขาก็ขอทีหลังรับบริจาคทั้งนั้นแหละ แต่การโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้นมันก็อ้างอิงกฎเกณฑ์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั่นเอง เมื่อตั้งราคาไว้ว่าถวายเท่าไหร่จะได้ชั้นโน้นชั้นนี้ ประชาชีเขาจึงนิยมทำบุญ เพราะได้ทั้งบุญได้ทั้งเกียรติยศ มันผิดตรงไหน ดังนั้น ถ้าจะไม่ให้มีการอ้างอิง ก็ต้องลบกฎเกณฑ์ที่สำนักพุทธฯตั้งเอาไว้ ก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์
เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวว่า กรณีที่ทางอดีตพระวิรพล มีการขอรับบริจาคเงินเพื่อนำไปสร้างตึกสงฆ์อาพาธ ที่ รพ.ร้อยเอ็ด ทั้งยังระบุด้วยว่าจะมีการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับผู้ที่บริจาคเงินตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไปนั้น การที่พระสงฆ์กระทำในลักษณะดังกล่าวถือว่าไม่มีความเหมาะสม เพราะเหมือนเป็นการทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ทั้งนี้หากจะมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวโดยที่จะมีการขอเครื่องราชฯให้กับผู้ที่บริจาคเงินนั้น สามารถทำได้ แต่ควรที่จะดำเนินการภายหลังจากที่มีผู้บริจาคเงินด้วยความศรัทธาเข้ามาแล้ว ไม่ใช่นำไปโฆษณาในลักษณะดังกล่าวเพื่อเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนหลงเชื่อและบริจาคเงิน
ข่าว : ผู้จัดการ
16 กรกฎาคม 2556
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ