ยึด "ดร." เณรคำ ! ไทยรัฐลงข่าว ! ผู้สาว "แฉ" มีลูกกับเณรคำ
เห็นว่ารวยมาก อยากให้ส่งเสียบ้าง
อา..ดร.สุขุมงานเข้าอีกแล้วสิ แก้ตัวแทนพระอริยะจนปากเปียกปากแฉะ แต่ยิ่งแก้กลับยิ่งมัด มันอะไรกันเนี่ย !
สาวออกมาแฉอีก อ้างมีสัมพันธ์กับพระดังตอนเรียน ม.2 จนตั้งท้องมีลูกชาย 1 คน ช่วงแรกยังรับผิดชอบจ่ายค่าเลี้ยงดู พอมีเรื่องฉาวจึงหายเงียบไป วอนให้รับผิดชอบส่งเสียลูก หรือจ่ายเงินก้อนให้เรื่องจบไป..
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผู้กำกับการ สภ.น้ำเกลี้ยง ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้สองสามีภรรยาคู่หนึ่งใน อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ ภายหลังได้รับข้อมูลจากฝ่ายภรรยาที่อ้างว่า เป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับยาย โดยเมื่อครั้งเรียนชั้น ม.2 หลวงปู่เณรคำได้เดินธุดงค์มาปักกลดบริเวณป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน ซึ่งยายได้พามาทำบุญทุกวัน จนต่อมาพระรูปนี้ได้ขับรถมารับหน้าโรงเรียน ด้วยความเป็นเด็กจึงนั่งไปด้วยจึงมีความสัมพันธ์กันเกิดขึ้น
หญิงคนดังกล่าวยังระบุว่า จากนั้นพระรูปนี้จะขับรถมารับที่บ้านหรือบางครั้งให้ลูกศิษย์มารับ และตกดึกจะพามาส่งบ้าน กระทั่งใกล้จบ ม.3 จึงตั้งท้อง พระรูปนี้จึงพาไปเช่าบ้านที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยมีการแวะเวียนมาหาจนคลอดลูกชาย 1 คน มีการส่งเสียเลี้ยงดูให้เงินเดือนละ 5 พัน-1 หมื่นบาท กระทั่งต่อมาได้ห่างหายไม่ส่งเงินเลี้ยงดู ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง จะโอนเงินมาให้เมื่อโทรศัพท์มาขอเท่านั้น จนมีเรื่องขึ้นมาพระรูปนี้จึงเงียบหายไม่โอนเงินให้อีกต่อไป โดยปัจจุบันตนได้มีสามีใหม่ มีลูกด้วยกัน 1 คน ส่วนเหตุผลที่เปิดเผยเรื่องนี้ เนื่องจากลูกชายโตขึ้นต้องใช้เงินจำนวนมากในการส่งเสียให้เรียน จึงต้องการให้พระรูปนี้รับผิดชอบในการเลี้ยงดู หรือให้จ่ายมาเป็นก้อนทุกอย่างจะได้จบไป.
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผู้กำกับการ สภ.น้ำเกลี้ยง ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้สองสามีภรรยาคู่หนึ่งใน อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ ภายหลังได้รับข้อมูลจากฝ่ายภรรยาที่อ้างว่า เป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับยาย โดยเมื่อครั้งเรียนชั้น ม.2 หลวงปู่เณรคำได้เดินธุดงค์มาปักกลดบริเวณป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน ซึ่งยายได้พามาทำบุญทุกวัน จนต่อมาพระรูปนี้ได้ขับรถมารับหน้าโรงเรียน ด้วยความเป็นเด็กจึงนั่งไปด้วยจึงมีความสัมพันธ์กันเกิดขึ้น
หญิงคนดังกล่าวยังระบุว่า จากนั้นพระรูปนี้จะขับรถมารับที่บ้านหรือบางครั้งให้ลูกศิษย์มารับ และตกดึกจะพามาส่งบ้าน กระทั่งใกล้จบ ม.3 จึงตั้งท้อง พระรูปนี้จึงพาไปเช่าบ้านที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยมีการแวะเวียนมาหาจนคลอดลูกชาย 1 คน มีการส่งเสียเลี้ยงดูให้เงินเดือนละ 5 พัน-1 หมื่นบาท กระทั่งต่อมาได้ห่างหายไม่ส่งเงินเลี้ยงดู ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง จะโอนเงินมาให้เมื่อโทรศัพท์มาขอเท่านั้น จนมีเรื่องขึ้นมาพระรูปนี้จึงเงียบหายไม่โอนเงินให้อีกต่อไป โดยปัจจุบันตนได้มีสามีใหม่ มีลูกด้วยกัน 1 คน ส่วนเหตุผลที่เปิดเผยเรื่องนี้ เนื่องจากลูกชายโตขึ้นต้องใช้เงินจำนวนมากในการส่งเสียให้เรียน จึงต้องการให้พระรูปนี้รับผิดชอบในการเลี้ยงดู หรือให้จ่ายมาเป็นก้อนทุกอย่างจะได้จบไป.
ข่าว : ไทยรัฐ
4 กรกฎาคม 2556
ยึด "ดร." เณรคำ !
สถาบันราชภัฎอุบลฯเตรียมถอนดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ตั้งไว้เพื่อให้เป็นเกียรติประวัติแก่มหาวิทยาลัย แต่วันนี้กลับเป็นการทำลายเกียรติมหาวิทยาลัยเสียเอง ดังนั้นจึงต้อง..ถอด !
อา..น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา เมื่อตอนโด่งดังนั้น อะไรๆ ก็วิ่งเข้าหา ถึงตอนเน่า เขาก็ยึดคืนไปหมด บักเณรคำเอย จะเหลืออะไรให้เป็นเนี่ย
1. หลวงปู่เณรคำ 2. พระอรหันต์ 3.พระอริยบุคคล 4.พระวิรพล ฉตฺติโก 5.เจ้าอาวาสวัดป่าขันติธรรม และอีก 200 สาขา 6. ดร.พระวิรพล 7.นายวิรพล
ภาพชุด ม.ราชภัฏอุบลราชธานี ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แก่..ดร.พระวิรผล ฉตฺติโก
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2553
ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ม.ราชภัฏอุบลราชธานีเล็งถอดถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากเณรคำหลังข่าวฉาวกระฉ่อนทั่วโลก หวั่นกระทบภาพลักษณ์สถาบัน แต่ต้องรอผลการสอบวินัยธุรกรรมการเงินจาก ปปง.อย่างเป็นทางการก่อน
จากกรณีที่ปี 2553 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีได้จัดพิธีถวายปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา แก่หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ โดย ดร.พิศิษฐ์ วรอุไร นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และ ผศ.ชัยวัฒน์ บุณฑริก อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นำไปถวายถึงวัดป่าขันติธรรมนั้น แต่หลังจากมีข่าวพฤติกรรมลวงโลก ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าทางมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีจะดำเนินการอย่างไรเพื่อรักษาเกียรติภูมิของสถาบัน
ล่าสุดวันนี้ (3 ก.ค.) ผศ.ประชุม ผงผ่าน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยได้หารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีษะเกษแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเพื่อไม่ให้กระทบภาพลักษณ์ของสถาบัน ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีษะเกษได้ให้คำแนะนำว่าให้รอผลการสอบพระธรรมวินัยจากคณะกรรมการ ซึ่งได้มีการแต่งตั้งไปแล้ว และอยู่ระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง
โดยคณะกรรมการจะสอบใน 3 ประเด็น คือ การจัดตั้งวัด การจัดสรรเงินบริจาคว่าใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาคหรือไม่ และการตรวจสอบกรณีข้อร้องเรียนเรื่องมีภรรยาและบุตร
นอกจากนี้ยังต้องรอผลการตรวจสอบของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ (ปปง.) ซึ่งจะสอบธุรกรรมการเงินของหลวงปู่เณรคำ โดยข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีกว่า 10 บัญชีที่มีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาท
หลังจากได้ผลสรุปการสอบข้อเท็จจริงจากทั้ง 2 หน่วยงานแล้ว หากพบว่าหลวงปู่เณรคำมีพฤติกรรมมิชอบ ผิดพระธรรมวินัย และทำธุรกรรมทางการเงินโดยทุจริตจริง จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีให้ใช้อำนาจถอดถอนการถวายปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลวงปู่เณรคำ เพราะถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการยกย่องอีกต่อไป
ผศ.ประชุมกล่าวว่า ช่วงที่มีการถวายปริญญาบัตรแก่หลวงปู่เณรคำนั้น ตนไม่มีส่วนรับรู้ด้วยเพราะเป็นภารกิจของอธิการบดีคนเก่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่งแทนเมื่อเดือนมกราคม 2556 สำหรับมูลเหตุที่ถวายปริญญาบัตรมีเหตุผลประกอบ คือ บุคคลผู้นั้นทำคุณประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อเนื่อง และทราบว่าช่วงที่หลวงปู่เณรคำพักอยู่สำนักสงฆ์ขันติธรรมได้มาบรรยายธรรมให้คณาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรของสถาบันเป็นประจำทุกปี และมีการมอบทุนการศึกษาแก่นักศึกษาในช่วงที่มีชื่อเสียง ส่วนการบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างถาวรวัตถุแก่มหาวิทยาลัยนั้นตรวจสอบแล้วไม่พบข้อมูล
จากกรณีที่ปี 2553 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีได้จัดพิธีถวายปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา แก่หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ โดย ดร.พิศิษฐ์ วรอุไร นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และ ผศ.ชัยวัฒน์ บุณฑริก อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นำไปถวายถึงวัดป่าขันติธรรมนั้น แต่หลังจากมีข่าวพฤติกรรมลวงโลก ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าทางมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีจะดำเนินการอย่างไรเพื่อรักษาเกียรติภูมิของสถาบัน
ล่าสุดวันนี้ (3 ก.ค.) ผศ.ประชุม ผงผ่าน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยได้หารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีษะเกษแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเพื่อไม่ให้กระทบภาพลักษณ์ของสถาบัน ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีษะเกษได้ให้คำแนะนำว่าให้รอผลการสอบพระธรรมวินัยจากคณะกรรมการ ซึ่งได้มีการแต่งตั้งไปแล้ว และอยู่ระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง
โดยคณะกรรมการจะสอบใน 3 ประเด็น คือ การจัดตั้งวัด การจัดสรรเงินบริจาคว่าใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาคหรือไม่ และการตรวจสอบกรณีข้อร้องเรียนเรื่องมีภรรยาและบุตร
นอกจากนี้ยังต้องรอผลการตรวจสอบของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ (ปปง.) ซึ่งจะสอบธุรกรรมการเงินของหลวงปู่เณรคำ โดยข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีกว่า 10 บัญชีที่มีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาท
หลังจากได้ผลสรุปการสอบข้อเท็จจริงจากทั้ง 2 หน่วยงานแล้ว หากพบว่าหลวงปู่เณรคำมีพฤติกรรมมิชอบ ผิดพระธรรมวินัย และทำธุรกรรมทางการเงินโดยทุจริตจริง จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีให้ใช้อำนาจถอดถอนการถวายปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลวงปู่เณรคำ เพราะถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการยกย่องอีกต่อไป
ผศ.ประชุมกล่าวว่า ช่วงที่มีการถวายปริญญาบัตรแก่หลวงปู่เณรคำนั้น ตนไม่มีส่วนรับรู้ด้วยเพราะเป็นภารกิจของอธิการบดีคนเก่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่งแทนเมื่อเดือนมกราคม 2556 สำหรับมูลเหตุที่ถวายปริญญาบัตรมีเหตุผลประกอบ คือ บุคคลผู้นั้นทำคุณประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อเนื่อง และทราบว่าช่วงที่หลวงปู่เณรคำพักอยู่สำนักสงฆ์ขันติธรรมได้มาบรรยายธรรมให้คณาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรของสถาบันเป็นประจำทุกปี และมีการมอบทุนการศึกษาแก่นักศึกษาในช่วงที่มีชื่อเสียง ส่วนการบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างถาวรวัตถุแก่มหาวิทยาลัยนั้นตรวจสอบแล้วไม่พบข้อมูล
ข่าว : ผู้จัดการ
4 กรกฎาคม 2556
ส่อถีบหัวเณรคำ !
ดร.กำมะลอขอให้พิสูจน์ความจริง
ถ้าไม่จริงก็ขอให้รับรอง แต่ถ้าจริง..ก็ขอให้สึกเณรคำ
อุ๊ย ! แบบนี้ก็แทงกั๊กละซีฮะ
ศิษย์อริยะหนีไปอยู่กับ "อาจารย์โกย" ซะแล้ว
นี่แหละฮะ..สุดท้ายก็ตัวใครตัวมัน การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ผลประโยชน์ย่อมไม่เข้าใครออกใคร เข้าได้ แต่ออกไม่ได้ ขนาดศิษย์อริยะยังหักหลัง นับประสาอะไรกะคนร่วมหุ้น และนี่คืออีกธาตุแท้ของ "อรหันต์กำมะลอ"เพราะสันดานมันโกง เลยมีตัวโกงเป็นสมุนดังที่เห็น
โกยเถอะโยม ภาค 2
นำแสดงโดย หลวงปู่เณรคำ กำมะลอ
กำกับการแสดงโดย ดร.สุขุม วงศ์ประสิทธิ
ดาราสมทบ หลวงพ่อเณรขาว ลาวฝรั่งเศส
ทุกโรงพัก เร็วๆ นี้
ภาพชุด เปิดกล้องหนังโกยเถอะโยม
โอม..อานันตะ ปัดชาเย
อาปัตติเถเถนะ อาปัตติยา อาปัตติเถเถกู
อาปัตติถู อาปัตติ ถุย ถุย ถุย !
หนังสือรับรองความบริสุทธิ์ของคณะศิษย์อรหันต์กำมะลอ ออกมาตั้งแต่ไก่โห่ ลงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2556 หนังสือฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า เป็นข้อความเท็จที่บักหำฐกฤต และนายภาณุ สุมหัวกันหลอกลวงประชาชน อย่างเป็นทางการ เพราะประกาศในนามของวัด บักเณรคำถูกดำเนินคดีวันใด บักสองตัวนี่ก็ต้องโดนคดีวันนั้น ฐานสมรู้ร่วมคิด เพราะมันตอแหลกันทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์เลย
ดร.เถื่อนขึ้นโรงพัก ทำแอ็บแบ๊ว "ขอให้พิสูจน์ภาพปริศนา" อย่างฮาเลยล่ะทีนี้ เพราะนี่คือความอัปรีย์ของศิษย์อริยะ ที่ก่อนหน้านี้ได้ออกประกาศในนามของวัดป่าขันติธรรมว่า "ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญทำการพิสูจน์แล้ว พบว่าภาพของหลวงปู่เณรคำทั้งหมด ถูกตัดต่อ" และ "หลวงปู่เป็นผู้บริสุทธิ์" แหมมันพูดเองเออเอง แม้แต่ไอ้ด๊อกเตอร์เวรนี่ก็เถอะ ออกทีวีตอหลดตอแหลว่า "ผมศิษย์อริยะ อยู่กับครูบาอาจารย์มาชั่วชีวิต หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ วัดสังฆทาน เป็นตัวอย่าง การันตี" แต่วันนี้กลับบอกว่า "ขอให้พิสูจน์ภาพหลวงปู่เณรคำ องค์อริยะของผม"
ทำระยำแบบนี้ วัดสังฆทานคงไม่ให้มึงเข้าไปทำอัปรีย์อีกแล้ว
วันนี้ ( 3 ก.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ดร.สุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุติธรรม ตั้งอยู่บริเวณสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยนายเริงศักดิ์ กำธร และลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิรพล สุขผลประธานสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ชลิต มณีพราว พนักงานสอบสวน กก.1บก.ป.เพื่อร้องเรียนขอให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีภาพถ่ายคล้ายพระวิรพล นอนอยู่บนหมอนกับสีกา รายหนึ่งโดยขอให้ทางพนักงานสอบสวนตรวจสอบว่าเป็นภาพของหลวงปู่เณรคำ จริงหรือไม่มีผู้ใดเป็นผู้นำภาพมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต รวมทั้งตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยทำหนังสือร้องเรียนและภาพถ่ายดังกล่าวมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ
ดร.สุขุม กล่าวว่า กรณีของภาพถ่ายดังกล่าวตนอยากให้ทางตำรวจประสานหน่วยงานที่มีความชำนาญได้พิสูจน์ว่าเป็นภาพจริงหรือมีการตัดต่อ ซึ่งในส่วนนี้ทางตนและญาติโยมของหลวงปู่เณรคำทราบข้อมูลในเบื้องต้นว่ามีการเผยแพร่มาตั้งแต่ 5 ปีก่อน โดยเป็นฝีมือของหญิงสาวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นลูกของอดีตกรรมการสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม เป็นผู้นำไปมอบให้กับครูคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพเสริมเป็นผู้สื่อข่าว เพื่อหวังทำลายชื่อเสียงของหลวงปู่เณรคำ
ดร.สุขุม กล่าวต่อว่า จากนั้นก็พบว่ามีการมีการนำไปโพสต์ลงในเว็บไซต์พันธุ์ทิปก่อนจะถูกนำเสนอผ่านสื่อมวลชน อย่างไรก็ดี หากทางตำรวจได้ตรวจพิสูจน์แล้วขอให้แถลงว่าเป็นภาพจริงหรือภาพที่มีการตัดต่อ โดยหากเป็นภาพจริง ก็ขอให้ประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะจังหวัด เพื่อทำพิธีลาสิขาบทหลวงปู่เณรคำ ต่อไป แต่หากเป็นภาพที่มีการตัดต่อก็ขอให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพและนำออกมาเผยแพร่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประธานเครือข่ายฯ กล่าวอีกว่า นอกจากกรณีภาพถ่ายที่ทำให้หลวงปู่เณรคำตกเป็นจำเลยสังคมไปแล้ว ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ทางเครือข่ายฯต้องการให้มีการตรวจสอบไปพร้อมกัน ประกอบด้วยการตรวจสอบบัญชีธนาคารของหลวงปู่เณรคำที่กำลังถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พิจารณาอายัดไว้เนื่องจากเป็นเงินที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ จากการทำบุญ บริจาค และติดกัณฑ์เทศน์ แล้วผิดตรงไหนเพราะไม่ใช่เงินจากการกระทำผิดกฎหมายเช่น ค้ายาเสพติด
ดร.สุขุม กล่าวว่า สำหรับยอดเงินจำนวน 200 ล้านบาท ก้เป็นเงินที่ญาติโยมถวายเพื่อใช้ในการก่อสร้างวัด และสำนักสงฆ์ต่างๆทั่วประเทศ ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จ เงินเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอในการสร้างด้วยทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯ ปรึกษากันแล้วว่าจะขอให้ทนายความจากต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของคดีที่เกิดขึ้นและต้องถือว่าหลวงปุ่เณรคำยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหาแต่อย่างใดโดยหากพบว่ามีการกระทำที่เป็นการกล่าวหาหลวงปู่เณรคำ เกิดขึ้นที่ใดก็จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีทันที
อ้างรัฐธรรมนูญคุ้มครองเณรคำ
"ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง"
ฮ่าๆ เดี๋ยวก็จะเป็นอริยะ เดี๋ยวก็จะเป็นประชาชน ตกลงมึงจะเป็นอะไรแน่ ?
แต่.ก็น่าจะจริงนะ เพราะบักเณรคำมันไปถ่ายบัตรประชาชนมีชื่อเป็น "นายวิรพล" ไว้ตั้งหลายปีแล้ว มันจึงมีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย และวันนี้ก็มีสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาว่า พระอริยะบุคคล ผู้ได้บรรลุธรรม ถึงขั้นอรหันต์ ประกาศว่า "จะไม่มาเกิดอีกแล้ว" ได้อ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อคุ้มหัวให้สู้คดีในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ดร.สุขุม วงประสิทธิ กล่าวอีกว่า
“หลวงปู่เณรคำจะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างแน่นอน ท่านไม่ได้หนี แต่ตอนนี้คงต้องขอตั้งหลักเพื่อหารือและปรึกษากับนักกฎหมาย เพื่อช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา โดยท่านคงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อความยุติธรรมแม้ว่าท่านจะเป็นพระ แต่ก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย”ดร.สุขุม กล่าว
ดร.สุขุม กล่าวอีกว่าหากมีการตรวจสอบเรื่องเงินในบัญชีธนาคาร และทรัพย์สินต่างๆก็ขอให้ทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบย้อนหลังไปตั้งแต่กรรมการชุดแรกได้เข้ามาดำเนินการ เพื่อความเป็นธรรมไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ และหากทาง ปปง.จะอายัดทรัพย์ของหลวงปู่เณรคำก็อยากให้คำนึงถึงญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่ทำบุญกับหลวงปู่เณรคำด้วยว่าเป็นการทำร้ายจิตใจ และต้องรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายขึ้นในภายหลัง
ข่าว : เดลินิวส์
4 กรกฎาคม 2556
เสื้อแดงโวย !
โดน "สุขุม" ศิษย์อริยะต้ม
เวรกรรม หลวงพ่อสนองไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน เพราะมันอ้างว่า ปรนนิบัติรับใช้พระอริยะหลวงพ่อสนองมาสามปีเต็ม จนกระทั่งละสังขาร บักขุมเอ๊ย โผล่วัดสังฆทานวันไหน โดนสหบาทาแน่มึง !
ว่าแต่..บักขุมนี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ ฝีปากระดับเซียนเรียกพี่ทั้งหัวหน้าและสมุนเลย ทำงานเข้าแข้งเข้าขากันขนาดนี้ น่าจะย้ายไปอยู่ปารีสด้วยกันนะ บอกพระอาจารย์ซี ว่าสุขุมคิดถึง อย่าให้สุขุมติดคุกคนเดียวนะ พระอาจารย์ !
หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ
วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี
"พระอริยะ" ที่นายสุขุมปรนนิบัติมานานถึง 3 ปี
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมาธิการศาสนาฯ เพื่อไทย จี้เอาผิดหลวงปู่ "เณรคำ" ฐานต้มคนเสื้อแดง
วันที่ 3 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร มีนายสันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชล เป็นประธานฯ เพื่อพิจารณากรณี พระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ โดยเป็นการหารือภายใน ไม่ได้เชิญบุคคลภายนอกมา ชี้แจงเพิ่มเติม
โดยนายชินวัฒน์ หาบุญพาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมาธิการฯจากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
ก่อนหน้านี้ตนรู้จักกับ นายสุขุม ผ่านคนชื่อ “วิโรจน์” (ขอสงวนนามสกุล) ที่อ้างว่า เป็นประธานสภาวิทยุชุมชน 7,000 แห่ง ในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่แยกผ่านฟ้าลีลาศ ปี 2553 โดยบุคคลทั้ง 2 ยกมาอ้าง เพื่อขอจัดสรรเวลาปราศัยบนเวที ซึ่ง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานนปช.ขณะนั้น ได้อนุญาตให้ขึ้นปราศรัยทุกวัน วันละ 30 นาที แต่ตนทราบมาว่า นายสุขุมเคยเล่นงานองค์กรพระพุทธศาสนา จึงได้สอบถามกับ นายวิโรจน์ ทำให้ทั้งคู่หายไปจากเวทีชุมนุม
นายชินวัฒน์ กล่าวว่า มาพบนายสุขุมและนายวิโรจน์อีกครั้ง ตอนไปออกสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท รายการที่ตนเป็นผู้จัดแต่ช่วงนั้นตนอยู่ประเทศกัมพูชา คนพวกนี้เป็นพวก 18 มงกุฎ หลอกว่า เป็นกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตนดูแลมาก่อน และออกรายการอวดอ้างสรรพคุณว่า หากคนที่อยากได้แท็กซี่ฟรีเงินดาวน์ อยากได้สวัสดิการแก่ครอบครัว ให้มาสมัคร ซึ่งมีคนเชื่อและมาสมัครเป็นสมาชิกกว่า 1,000 คน และพาไปจัดอบรมที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เสียค่าอบรมคนละ 2,000 บาท แต่จนถึงขณะนี้พบว่า คนที่หลงเชื่อกลับไม่ได้รับสิ่งที่เขาอวดอ้างสรรพคุณ
วันที่ 3 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร มีนายสันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชล เป็นประธานฯ เพื่อพิจารณากรณี พระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ โดยเป็นการหารือภายใน ไม่ได้เชิญบุคคลภายนอกมา ชี้แจงเพิ่มเติม
โดยนายชินวัฒน์ หาบุญพาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมาธิการฯจากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
ก่อนหน้านี้ตนรู้จักกับ นายสุขุม ผ่านคนชื่อ “วิโรจน์” (ขอสงวนนามสกุล) ที่อ้างว่า เป็นประธานสภาวิทยุชุมชน 7,000 แห่ง ในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่แยกผ่านฟ้าลีลาศ ปี 2553 โดยบุคคลทั้ง 2 ยกมาอ้าง เพื่อขอจัดสรรเวลาปราศัยบนเวที ซึ่ง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานนปช.ขณะนั้น ได้อนุญาตให้ขึ้นปราศรัยทุกวัน วันละ 30 นาที แต่ตนทราบมาว่า นายสุขุมเคยเล่นงานองค์กรพระพุทธศาสนา จึงได้สอบถามกับ นายวิโรจน์ ทำให้ทั้งคู่หายไปจากเวทีชุมนุม
นายชินวัฒน์ กล่าวว่า มาพบนายสุขุมและนายวิโรจน์อีกครั้ง ตอนไปออกสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท รายการที่ตนเป็นผู้จัดแต่ช่วงนั้นตนอยู่ประเทศกัมพูชา คนพวกนี้เป็นพวก 18 มงกุฎ หลอกว่า เป็นกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตนดูแลมาก่อน และออกรายการอวดอ้างสรรพคุณว่า หากคนที่อยากได้แท็กซี่ฟรีเงินดาวน์ อยากได้สวัสดิการแก่ครอบครัว ให้มาสมัคร ซึ่งมีคนเชื่อและมาสมัครเป็นสมาชิกกว่า 1,000 คน และพาไปจัดอบรมที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เสียค่าอบรมคนละ 2,000 บาท แต่จนถึงขณะนี้พบว่า คนที่หลงเชื่อกลับไม่ได้รับสิ่งที่เขาอวดอ้างสรรพคุณ
ข่าว : ไทยรัฐ
4 กรกฎาคม 2556
ไทยรัฐลงข่าว !
ผู้สาว "แฉ" มีลูกกับเณรคำ
ขอค่าเลี้ยงดูหลวงปู่เณรคำ !
สีกาอ้อนผ่านสื่อ
แหมอีหนูก็ใจร้อนจุงเบย หลวงปู่ยังติดกิจนิมนต์อยู่ที่ปารีส ยังมาไม่ได้ นะ รักแล้วรอหน่อย ซัก 50 ปีคงได้กลับ
คิดฮอดคิดฮอด
คิดฮอดจนบ่ได้หลับบ่ได้นอน
สีกาโผล่ ขอค่าเลี้ยงดูบุตร "เณรคำ" อ้างขับรถมารับที่หน้าโรงเรียน พาไปนอนตั้งแต่อยู่ ม.2 ขณะที่ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เตรียมฟ้องพระดังและพวก ฐานซ่องโจรและหลอกลวงประชาชน...
หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เปิดเผยว่า กำลังเร่งดำเนินการเอกสารสำนวนคดี เพื่อฟ้องนายคำกับพวกฐานซ่องโจรและหลอกลวงประชาชน ตามด้วยเรื่องคดีปกครองคณะสงฆ์ที่เจ้าคณะปกครองในแต่ละชั้น ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมจะส่งหนังสือชี้แจงความผิดที่เห็นเด่นชัดไปยังคณะปกครองสงฆ์ทุกระดับชั้นที่ จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี โดยจะยื่นฟ้องนายคำที่ศาลอาญา ในวันที่ 5 ก.ค.นี้ ส่วนที่นายคำยังไม่กลับประเทศไทย โดยลูกศิษย์อ้างว่าติดกิจนิมนต์นั้น นายคำได้รับมอบหมายจากสหประชาชาติ ให้ไปทำหน้าที่รวบรวมนิกายต่างๆ ของศาสนาพุทธในยุโรปให้เป็นนิกายเดียว โดยยอมทิ้งงานห่มผ้าพิธีสำคัญประจำทุกปี ดังนั้น วิญญูชนควรพึงรู้ได้ว่านายคำได้หนีคดีแล้ว
แฉซ้ำมั่วสีกา 8 คน
พระนักเทศน์ชื่อดัง กล่าวต่อว่า นายคำได้มีความสัมพันธ์กับสีกา จำนวน 8 คน นอกจากนี้ ยังมีสีกาอีกจำนวนมากที่ยอมเอาตัวแลกกับเงิน ส่วนหลักฐานตนกำลังให้คนไปประสาน แต่ไม่ได้คาดหวังว่าบุคคลเหล่านี้จะลงมาช่วยเหลือ แต่มั่นใจว่าหลักฐานที่มีอยู่ คิดว่าจะสามารถเอาผิดนายคำและขบวนการให้ติดคุกได้ และอยากฝากถึงสมเด็จพระวันรัต ปฏิบัติหน้าที่แทนโดยปกครองคณะสงฆ์นิกายธรรมยุตทั่วประเทศ ทั้งหมดรวม 18 ภาค 76 จังหวัด ส่งคณะบุคคลจากส่วนกลางที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ไปทำการสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง
พระนักเทศน์ชื่อดัง กล่าวต่อว่า นายคำได้มีความสัมพันธ์กับสีกา จำนวน 8 คน นอกจากนี้ ยังมีสีกาอีกจำนวนมากที่ยอมเอาตัวแลกกับเงิน ส่วนหลักฐานตนกำลังให้คนไปประสาน แต่ไม่ได้คาดหวังว่าบุคคลเหล่านี้จะลงมาช่วยเหลือ แต่มั่นใจว่าหลักฐานที่มีอยู่ คิดว่าจะสามารถเอาผิดนายคำและขบวนการให้ติดคุกได้ และอยากฝากถึงสมเด็จพระวันรัต ปฏิบัติหน้าที่แทนโดยปกครองคณะสงฆ์นิกายธรรมยุตทั่วประเทศ ทั้งหมดรวม 18 ภาค 76 จังหวัด ส่งคณะบุคคลจากส่วนกลางที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ไปทำการสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง
"สีกา" โผล่ แฉสัมพันธ์ลึกตั้งแต่เรียน ม.2
เที่ยงวันเดียวกัน น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี บ้านอยู่ ต.น้ำเกลี้ยง อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ เปิดตัวแฉว่า มีสัมพันธ์กับพระชื่อดังจนมีลูกด้วยกัน ต่อหน้า พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผกก.สภ.น้ำเกลี้ยง ที่เชิญมาเพื่อเป็นหลักประกันดูแลความปลอดภัยให้กับ น.ส.เอ และครอบครัว โดยกล่าวว่า ตนเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่อาศัยอยู่กับยาย เมื่อราว 12 ปีก่อน ขณะเรียนอยู่ชั้น ม.2 หลวงปู่เณรคำก็มาธุดงค์มาปักกลดอยู่ในป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน ยายได้พาตนไปถวายภัตตาหารทุกวัน ต่อมาหลวงปู่เณรคำขับรถมาจอดรอตนที่หน้าโรงเรียน แล้วพาตนไปมีสัมพันธ์กัน จากนั้นก็แวะเวียนมารับตนที่บ้านบ้าง ให้ศิษย์มารับบ้าง พาไปนอนด้วย กระทั่งตนอยู่ชั้น ม.3 และตั้งครรภ์ขึ้น
เที่ยงวันเดียวกัน น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี บ้านอยู่ ต.น้ำเกลี้ยง อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ เปิดตัวแฉว่า มีสัมพันธ์กับพระชื่อดังจนมีลูกด้วยกัน ต่อหน้า พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผกก.สภ.น้ำเกลี้ยง ที่เชิญมาเพื่อเป็นหลักประกันดูแลความปลอดภัยให้กับ น.ส.เอ และครอบครัว โดยกล่าวว่า ตนเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่อาศัยอยู่กับยาย เมื่อราว 12 ปีก่อน ขณะเรียนอยู่ชั้น ม.2 หลวงปู่เณรคำก็มาธุดงค์มาปักกลดอยู่ในป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน ยายได้พาตนไปถวายภัตตาหารทุกวัน ต่อมาหลวงปู่เณรคำขับรถมาจอดรอตนที่หน้าโรงเรียน แล้วพาตนไปมีสัมพันธ์กัน จากนั้นก็แวะเวียนมารับตนที่บ้านบ้าง ให้ศิษย์มารับบ้าง พาไปนอนด้วย กระทั่งตนอยู่ชั้น ม.3 และตั้งครรภ์ขึ้น
เรียกร้องค่าเลี้ยงดูลูกชาย
น.ส.เอ กล่าวต่อว่า หลังจบ ม.3 หลวงปู่เณรคำก็พาไปเช่าบ้านอยู่ที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จนคลอดลูกชายถึงได้พากลับมาอยู่ที่บ้าน จากนั้นหลวงปู่เณรคำก็ห่างหายไป ไม่มาดูแลตนกับลูก เมื่อตนโทรศัพท์ไปขอเงิน ก็จะให้ลูกศิษย์โอนให้ครั้งละ 5,000-10,000 บาท ตนเคยนำเรื่องเข้าร้องเรียนตำรวจกองปราบปราม เมื่อปี 2553 และมีการตกลงให้ค่าเลี้ยงดูจำนวนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ลูกชายคนดังกล่าวอายุได้ 11 ขวบแล้ว เรียนอยู่ชั้น ป.5 ที่ร้องเรียนกับสื่อมวลชนเพราะลูกชายโตขึ้นเรื่อยๆ ต้องเรียนสูงขึ้น ใช้เงินมากขึ้น ต้องการให้หลวงปู่เณรคำออกมารับผิดชอบส่งเสียเลี้ยงดู หรือจ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นก้อนมาให้ แล้วก็จบกันไป
น.ส.เอ กล่าวต่อว่า หลังจบ ม.3 หลวงปู่เณรคำก็พาไปเช่าบ้านอยู่ที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จนคลอดลูกชายถึงได้พากลับมาอยู่ที่บ้าน จากนั้นหลวงปู่เณรคำก็ห่างหายไป ไม่มาดูแลตนกับลูก เมื่อตนโทรศัพท์ไปขอเงิน ก็จะให้ลูกศิษย์โอนให้ครั้งละ 5,000-10,000 บาท ตนเคยนำเรื่องเข้าร้องเรียนตำรวจกองปราบปราม เมื่อปี 2553 และมีการตกลงให้ค่าเลี้ยงดูจำนวนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ลูกชายคนดังกล่าวอายุได้ 11 ขวบแล้ว เรียนอยู่ชั้น ป.5 ที่ร้องเรียนกับสื่อมวลชนเพราะลูกชายโตขึ้นเรื่อยๆ ต้องเรียนสูงขึ้น ใช้เงินมากขึ้น ต้องการให้หลวงปู่เณรคำออกมารับผิดชอบส่งเสียเลี้ยงดู หรือจ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นก้อนมาให้ แล้วก็จบกันไป
วัดขันติบารมี สาขา 88 ถูกทิ้งร้าง
ที่วัดขันติบารมี สาขา 88 บ้านม่อนหินเหล็กไฟ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อเย็นวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา มีคนงานเข้าไปรื้อป้ายชื่อวัด รวมทั้งภาพของหลวงปู่เณรคำที่ติดบนแผ่นไวนิลขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนสายเลี่ยงม่อนหน้าทางเข้าวัดออกจนหมด ส่วนพระสุพันโน พระวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกส่งมาดูแลสถานที่เพียง 1 สัปดาห์ ก็ได้เก็บข้าวของออกจากกุฏิ เดินทางกลับ จ.ศรีสะเกษ แล้ว หลังมีข่าวว่าโยมที่บริจาคที่ดินจะมาทวงที่ดินคืน
ที่วัดขันติบารมี สาขา 88 บ้านม่อนหินเหล็กไฟ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อเย็นวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา มีคนงานเข้าไปรื้อป้ายชื่อวัด รวมทั้งภาพของหลวงปู่เณรคำที่ติดบนแผ่นไวนิลขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนสายเลี่ยงม่อนหน้าทางเข้าวัดออกจนหมด ส่วนพระสุพันโน พระวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกส่งมาดูแลสถานที่เพียง 1 สัปดาห์ ก็ได้เก็บข้าวของออกจากกุฏิ เดินทางกลับ จ.ศรีสะเกษ แล้ว หลังมีข่าวว่าโยมที่บริจาคที่ดินจะมาทวงที่ดินคืน
แม่ค้าหวั่น “เณรคำ” เบี้ยวค่าซื้อพลอย
ที่ตลาดอัญมณีแม่สอด อ.แม่สอด บรรดาแม่ค้าเพชรพลอยที่เป็นลูกศิษย์ศรัทธาหลวงปู่ ต่างจับกลุ่มปรับทุกข์เกี่ยวกับเรื่องที่ ปปง. เตรียมอายัดเงินในบัญชีของหลวงปู่เณรคำ เนื่องจากก่อนหน้า หลวงปู่เณรคำได้สั่งซื้อพลอยจากแม่ค้าชื่อ นาง จ. มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท และสั่งซื้อจากนาง ถ. มูลค่าร่วม 10 ล้านบาท รวมทั้งสั่งให้ร้านทองเลี่ยมกรอบพระมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท และยังมีการสั่งซื้อเครื่องประดับแบบปลีกย่อยจากแม่ค้าอีกหลายราย โดยรับสินค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ชำระเงินค่าสินค้า ทำให้ต่างเกรงกันว่าจะกลายเป็นหนี้สูญ ผู้สื่อข่าวจึงพยายามจะสอบถามรายละเอียดจากแม่ค้ากลุ่มดังกล่าว แต่ถูกต่อว่าที่เสนอข่าว ทำให้เกิดเรื่อง
ที่ตลาดอัญมณีแม่สอด อ.แม่สอด บรรดาแม่ค้าเพชรพลอยที่เป็นลูกศิษย์ศรัทธาหลวงปู่ ต่างจับกลุ่มปรับทุกข์เกี่ยวกับเรื่องที่ ปปง. เตรียมอายัดเงินในบัญชีของหลวงปู่เณรคำ เนื่องจากก่อนหน้า หลวงปู่เณรคำได้สั่งซื้อพลอยจากแม่ค้าชื่อ นาง จ. มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท และสั่งซื้อจากนาง ถ. มูลค่าร่วม 10 ล้านบาท รวมทั้งสั่งให้ร้านทองเลี่ยมกรอบพระมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท และยังมีการสั่งซื้อเครื่องประดับแบบปลีกย่อยจากแม่ค้าอีกหลายราย โดยรับสินค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ชำระเงินค่าสินค้า ทำให้ต่างเกรงกันว่าจะกลายเป็นหนี้สูญ ผู้สื่อข่าวจึงพยายามจะสอบถามรายละเอียดจากแม่ค้ากลุ่มดังกล่าว แต่ถูกต่อว่าที่เสนอข่าว ทำให้เกิดเรื่อง
คณะศิษย์ร้องกองปราบฯ สอบรูปคู่สีกา
ต่อมาเวลา 15.30 น. นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุติธรรม พร้อมคณะลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ ได้เข้าร้องเรียนต่อ ร.ต.ท.ชลิต มณีพราว พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ขอให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีภาพถ่ายคล้ายพระวิรพล นอนอยู่บนหมอนกับสีการายหนึ่ง ว่าเป็นภาพหลวงปู่เณรคำจริงหรือไม่ โดยมอบรูปให้ไว้เป็นหลักฐานด้วย ซึ่งนายสุขุม กล่าวว่า รูปดังกล่าวมีการเผยแพร่มาตั้งแต่ 5 ปีก่อน เป็นฝีมือของนักเรียนหญิงชั้น ม.ปลาย โรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นลูกของอดีตกรรมการสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม เป็นผู้นำไปมอบให้กับครูคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเสริมเป็นผู้สื่อข่าว เพื่อหวังทำลายชื่อเสียงหลวงปู่เณรคำ อยากให้ตรวจสอบว่าเป็นภาพจริงหรือตัดต่อ หากเป็นภาพจริง ขอให้ประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม และเจ้าคณะจังหวัด เพื่อทำพิธีลาสิขาหลวงปู่เณรคำ หากเป็นภาพที่มีการตัดต่อ ก็ขอให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพและนำออกมาเผยแพร่
ต่อมาเวลา 15.30 น. นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุติธรรม พร้อมคณะลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ ได้เข้าร้องเรียนต่อ ร.ต.ท.ชลิต มณีพราว พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ขอให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีภาพถ่ายคล้ายพระวิรพล นอนอยู่บนหมอนกับสีการายหนึ่ง ว่าเป็นภาพหลวงปู่เณรคำจริงหรือไม่ โดยมอบรูปให้ไว้เป็นหลักฐานด้วย ซึ่งนายสุขุม กล่าวว่า รูปดังกล่าวมีการเผยแพร่มาตั้งแต่ 5 ปีก่อน เป็นฝีมือของนักเรียนหญิงชั้น ม.ปลาย โรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นลูกของอดีตกรรมการสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม เป็นผู้นำไปมอบให้กับครูคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเสริมเป็นผู้สื่อข่าว เพื่อหวังทำลายชื่อเสียงหลวงปู่เณรคำ อยากให้ตรวจสอบว่าเป็นภาพจริงหรือตัดต่อ หากเป็นภาพจริง ขอให้ประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม และเจ้าคณะจังหวัด เพื่อทำพิธีลาสิขาหลวงปู่เณรคำ หากเป็นภาพที่มีการตัดต่อ ก็ขอให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพและนำออกมาเผยแพร่
ย้ำ “เณรคำ” ไม่หนี แค่ตั้งหลัก
นายสุขุม กล่าวต่อว่า ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ทางเครือข่ายฯ ต้องการให้มีการตรวจสอบไปพร้อมกัน ประกอบด้วย การตรวจสอบบัญชีธนาคารของหลวงปู่เณรคำ โดย ปปง. เนื่องจากเป็นเงินที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ จากการทำบุญ บริจาค และติดกัณฑ์เทศน์ สำหรับยอดเงินจำนวน 200 ล้านบาท เป็นเงินที่ญาติโยมถวายเพื่อใช้ในการก่อสร้างวัดและสำนักสงฆ์ทั่วประเทศ ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จ ทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯ ปรึกษากันแล้วว่าจะขอให้ทนายความจากต่างประเทศ เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของคดีที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่าหลวงปู่เณรคำเดินทางกลับประเทศไทยแน่นอน ท่านไม่ได้หนีแต่ตอนนี้คงต้องขอตั้งหลัก เพื่อหารือและปรึกษากับนักกฎหมาย เพื่อช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา โดยท่านคงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อความยุติธรรม
นายสุขุม กล่าวต่อว่า ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ทางเครือข่ายฯ ต้องการให้มีการตรวจสอบไปพร้อมกัน ประกอบด้วย การตรวจสอบบัญชีธนาคารของหลวงปู่เณรคำ โดย ปปง. เนื่องจากเป็นเงินที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ จากการทำบุญ บริจาค และติดกัณฑ์เทศน์ สำหรับยอดเงินจำนวน 200 ล้านบาท เป็นเงินที่ญาติโยมถวายเพื่อใช้ในการก่อสร้างวัดและสำนักสงฆ์ทั่วประเทศ ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จ ทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯ ปรึกษากันแล้วว่าจะขอให้ทนายความจากต่างประเทศ เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของคดีที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่าหลวงปู่เณรคำเดินทางกลับประเทศไทยแน่นอน ท่านไม่ได้หนีแต่ตอนนี้คงต้องขอตั้งหลัก เพื่อหารือและปรึกษากับนักกฎหมาย เพื่อช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา โดยท่านคงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อความยุติธรรม
ข่าว : ไทยรัฐ
4 กรกฎาคม 2556
สุขุม-ศิษย์อริยะโดน !
กมธ.ศาสนาดำเนินคดี
ข้อหาให้การเท็จแก่เจ้าพนักงาน
ซังเตแน่มึง !
อา..ซวยละมึง ไอ้ด๊อกเตอร์กำมะลอเอ๋ย อ้างเอาทั้งหลวงพ่อสนอง วัดสังฆทาน และครูบาอาจารย์มากมาย มาเป็นกันชนความตอหลดตอแหลของตัวเอง วันนี้ มิใช่แค่ไอ้ด๊อกเตอร์กำมะลอจะเสียหายเท่านั้น แต่ยังลามปามไปถึงครูบาอาจารย์ที่อ้างอิงถึงด้วย แบบนี้รับรองว่าไม่ได้เข้าวัดสังฆทานอีกแน่
อยู่กับพระอริยะมาตลอดชีวิต
แต่ปากมอมจนคนเห็นทั่วบ้านทั่วเมือง
ถ้าเป็นสมัยก่อนเป็นโดนกระทืบจมดินไปแล้ว
ดูสิ ยังมีหน้าลงสมัครผู้ว่า กทม. อีก
กดที่ภาพเพื่อชม "สุขุม-ศิษย์อริยะ" ตอแหล
ในรายการ "เจาะข่าวเด่น" กับสรยุทธ
กมธ.ศาสนาฯ สภาตั้งข้อสังเกต "ลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ" กล่าวเท็จ เล็งเอาผิด
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสันต์ศักย์ งามพิเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชล ประธาน กมธ.เป็นประธานพิจารณาต่อเนื่องในประเด็นวัตรปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมของพระวิรพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ประธานที่พักสงฆ์ขันติธรรม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้ ในที่ประชุมเป็นการหารือระหว่าง กมธ.และที่ปรึกษา โดยไม่ได้เชิญบุคคลใดมาให้การชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งก่อนเข้าสู่การหารือ ที่ปรึกษาประธาน กมธ.ได้สรุปข้อมูลที่ได้ลงพื้นที่สำนักสงฆ์ขันติธรรมช่วงที่มีพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลองว่า ช่วงที่ไปไม่ค่อยมีญาติโยมที่เป็นในพื้นที่ มีแต่สื่อมวลชนและคนจากจังหวัดอื่น แต่ก็ไม่มาก 100 กว่าคน โดยบริเวณสำนักสงฆ์มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีตู้บริจาคแบบนิรภัยกว่า 20 ตู้ มีตู้ขนาดใหญ่ ขนาด 2x2 เมตร จำนวน 2 ตู้ ขอรับบริจาคสร้างเครื่องทรงพระแก้วมรกตจำลอง นอกจากนี้ ภายในศาลาอเนกประสงค์ยังมีภาพถ่ายของพระวิรพลจำนวนมาก ทั้งภาพข่าวที่เคยจัดผ้าป่าได้ 20 หรือ 50 ล้านบาท ตลอดจนรูปที่ทำให้เชื่อว่าพระวิรพลมีความพิเศษมีรูปเข้าเฝ้า เป็นต้น
พระครูพิศาลสรนาท รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผน กองธรรม จากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ในฐานะที่ปรึกษา กมธ. กล่าวว่า ตนขอให้พระวิรพลเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อให้ประเด็นดังกล่าวมีข้อยุติ เพราะขณะนี้เรื่องจะขยายออกถึงการตรวจสอบบัญชีทางการเงินอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องการตรวจสอบความไม่เหมาะสมทางคณะสงฆ์ที่ถูกแต่งตั้งอยู่ระหว่างดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมฝากไปถึงพระสงฆ์ที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะโต้วาที เพราะอาจจะทำให้เกิดความแตกแยกในวงการพระพุทธศาสนา
ขณะที่นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะโฆษก กมธ.ได้มีการหารือถึงประเด็นที่นายสุขุม วงประสิทธิ์ ประธานองค์กรเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ศิษย์หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก มาชี้แจงต่อ กมธ.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีลักษณะของการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จและไม่รู้เป็นด็อกเตอร์จริงหรือเปล่า จึงอยากให้ กมธ.เอาผิดกับนายสุขุม นอกจากนี้ เห็นว่าต้องเร่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตอบข้อสงสัยของของ กมธ.ที่ได้มีหนังสือถามไปเกี่ยวกับพระวิรพล เพราะไม่เช่นนั้นงานของ กมธ.จะเดินต่อไปไม่ได้ หากยังต้องรอข้อมูลของ พศ.
ด้านนายชินวัฒน์ หาบุญพาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะ กมธ. เล่าถึงพฤติกรรมของนายสุขุมว่า ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้น กมธ.ควรร่วมมือกับหน่วยงานทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับนายสุขุม เพราะก่อนหน้านี้นายสุขุมและเพื่อนที่ชื่อนายวิโรจน์ ซึ่งไม่ขอระบุนามสกุลได้หลอกลวงประชาชนในหลายเรื่อง
นายชินวัตร กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายสุขุมผ่านทางนายวิโรจน์ เพราะอ้างว่าเป็นประธานสภาวิทยุชุมชนจำนวน 7,000 แห่ง ช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ (นปช.) บริเวณแยกผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อปี 2553 บุคคลทั้ง 2 ได้นำมาอ้างเพื่อขอจัดสรรเวลาปราศัยบนเวที โดยนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. ได้อนุญาตให้ขึ้นปราศรัยทุกวันๆ วันละ 30 นาที ทั้งนี้ ช่วงนั้นตนทราบเรื่องเบื้องต้นว่า นายสุขุมไปเล่นงานองค์กรพระพุทธศาสนาด้วย และเมื่อเวที นปช.แยกไปจัดที่ราชประสงค์ ตนได้สอบถามนายวิโรจน์ถึงการเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุ พบว่าไม่เป็นเรื่องจริง ทำให้นายวิโรจน์และนายสุขุมหายไปจากเวทีการชุมนุม
"ผมมาพบนายสุขุมและนายวิโรจน์อีกครั้งตอนที่ไปออกสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดทรายการที่ตนเป็นผู้จัด ทั้งนี้ ช่วงนั้นผมอยู่ประเทศกัมพูชา ทำให้สองคนนั้นมาจัดรายการ โดยคนพวกนี้เป็นพวก 18 มงกุฎ หลอกว่าเป็นกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผมดูแลอยู่มาก่อน และออกรายการอวดอ้างสรรพคุณว่า หากคนที่อยากได้แท็กซี่ฟรีเงินดาวน์ อยากได้สวัสดิการสำหรับครอบครัวให้มาสมัคร ขณะนั้นมีคนเชื่อและมาสมัครเป็นสมาชิกกว่า 1,000 คน และพาไปจัดอบรมที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เสียค่าอบรมคนละ 2,000 บาท แต่จนถึงขณะนี้พบว่า คนที่หลงเชื่อกลับไม่ได้รับสิ่งที่เขาอวดอ้างสรรพคุณ"นายชินวัตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม กมธ.ได้มีหนังสือลงวันที่ 28 มิถุนายน ถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ใน 8 ประเด็นคือ 1.รายชื่อคณะกรรมการสงฆ์ พร้อมประเด็นตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพระวีรพล ฉัตติโก 2. ความคืบหน้าในการตรวจสอบทรัพย์สินของที่พักสงฆ์ขันติธรรม 3.สถานะและสังกัดของพระวิรพล 4.การดูแลและตรวจสอบที่พักสงฆ์ขันติธรรมของพศ. 5.ความแตกต่างระหว่างที่พักสงฆ์ สำนักสงฆ์และวัด 6.จำนวนที่พักสงฆ์ สำนักสงฆ์และวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในจังหวัดศรีษะเกษ 7.มาตรการดำเนินการในการอนุญาตให้สร้างวัด ซึ่งไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จในเวลาที่กำหนด และ 8.ข้อคิดเห็นแนวทางการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ข่าว : มติชน
4 กรกฎาคม 2556
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ